พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
เป็นการรวมกันของสองพิธีสำคัญ คือพระราชพิธีพืชมงคล ซึ่งเป็นพิธีสงฆ์ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม และ
พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ ซึ่งเป็นพิธีพราหมณ์ที่จัดขึ้นในสนามหลวงหลังจากการทำพิธีสงฆ์ในวันแรก พิธีนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย ซึ่งพระมหากษัตริย์เป็นประธานในพิธีแต่ไม่ได้ลงมือไถนาเอง ต่อมาในสมัยกรุงศรีอยุธยาพระมหากษัตริย์จะทรงจำศีลเงียบ 3 วันและมอบหมายให้เจ้าพระยาจันทกุมารเป็นผู้แทน ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์เริ่มจากรัชกาลที่ 1 โดยเจ้าพระยาพลเทพเป็นผู้ทำการแรกนาและในรัชกาลที่ 3 ได้ถือว่าผู้ยืนชิงช้าเป็นผู้แรกนา ส่วนรัชกาลที่ 4 ได้โปรดเกล้าฯ
ให้มีพิธีสงฆ์เพิ่มขึ้นในพระราชพิธีต่าง ๆ รวมทั้งพระราชพิธีนี้ด้วย
พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เป็นพิธีการเพื่อความเป็นสิริมงคลและบำรุงขวัญเกษตรกร กำหนดจัดขึ้นในเดือนหกของทุกปี ซึ่งระยะนี้เป็นระยะเหมาะสมที่จะเริ่มต้นการทำนา อันเป็นอาชีพหลักของประชาชนคนไทย แต่ไม่ได้กำหนดวันที่แน่นอนไว้เหมือนกับวันในพระราชพิธีอื่น ส่วนจะเป็นวันใดในเดือนหกหรือเดือนพฤษภาคมที่มีฤกษ์ยามที่เหมาะสมต้องตามประเพณีก็ให้จัดขึ้นในวันนั้น
การตั้งสัตยาธิษฐานหยิบผ้านุ่งแต่งกาย (การเสี่ยงทายผ้านุ่ง)
“ผ้านุ่งแต่งกาย” คือ ผ้านุ่งซึ่งเป็นผ้าลาย มีด้วยกัน 3 ผืน คือสี่คืบ ห้าคืบ และหกคืบวางเรียงบนโตกมีผ้าคลุมเพื่อให้พระยาแรกนาตั้งสัตยาธิษฐานหยิบ หากหยิบได้ผ้าผืนใดให้นุ่งผืนนั้นทับผ้านุ่งผืนเดิมอีกชั้นหนึ่งเพื่อเตรียมออกแรกนา โดยผ้านุ่งนี้ถ้าหยิบได้ผืนใดก็จะมีคำทำนายไปตามนั้น คือ
ผ้า 4 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะมากสักหน่อย นาในที่ดอนจะได้ผลบริบูรณ์ดี นาในที่ลุ่มอาจจะเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่
ผ้า 5 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำในปีนี้จะมีปริมาณพอดีข้าวกล้าในนาจะได้ผล บริบูรณ์ และผลาหาร มังสาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี
ผ้า 6 คืบ พยากรณ์ว่า น้ำจะน้อย นาในที่ลุ่มจะได้ผลบริบูรณ์ดี แต่นาในที่ดอนจะเสียหายบ้าง ได้ผลไม่เต็มที่
คันไถที่ใช้ในพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ
สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2539 โดยกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมหนองโพ อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี น้อมเกล้า น้อมกระหม่อมสร้างถวาย พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เพื่อใช้ใน
พระราชพิธีดังกล่าว เป็นคันไถที่ทำจากไม้สมอ ซึ่งชุดคันไถประกอบด้วย
คันไถ ขนาดความสูงวัดจากพื้นถึงเศียรนาค 2.26 เมตร และ ความยาวจากเศียรนาคถึงปลายไถ 6.59 เมตร ทาสีแดงชาดตลอดคันไถ ที่หัวคันไถทำเป็นเศียรพญานาคลงรักปิดทอง ลวดลายประดับคันไถเป็นลายกระจังตาอ้อยลงรักปิดทองตลอดคัน ปลายไถหุ้มผ้าขาวขลิบทองสำหรับมือจับ
แอกเทียมพระโค ยาว 1.45 เมตร ตรงกลางแอกประดับด้วยรูปครุฑยุดนาคหล่อด้วยทองเหลืองลงรักปิดทองอยู่บนฐานบัว ปลายแอกทั้งสองด้านแกะสลักเป็นรูปเศียรพญานาคลงรักปิดทอง ลวดลายประดับเป็นลายกระจังตาอ้อยลงรักปิดทองตลอดคัน ที่ปลายแอกแต่ละด้านมีลูกแอกทั้งสองด้านสำหรับเทียมพระโคพร้อมเชือกกระทาม
ฐานรอง เป็นที่สำหรับตั้งรองรับคันไถพร้อมแอก ทำด้วยไม้เนื้อแข็ง
ทาด้วยสีแดงชาด มีลวดลายประดับเป็นลายกระจังตาอ้อยลงรักปิดทอง ทั้งด้านหัวไถและปลายไถ
ธงสามชาย เป็นธงประดับคันไถติดตั้งอยู่บนเศียรนาค ทำด้วยกระดาษและผ้าสักหลาด เขียนลวดลายลงรักปิดทองประดับด้วยกระจกแวว มีพู่สีขาวประดับด้านบนเป็นเครื่องสูงชนิดหนึ่งเพื่อประดับพระเกียรติ ธงสามชายมีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยม ฐานยาว 41 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร และเสาธงยาว 72 เซนติเมตร
การเสี่ยงทายของกิน 7 สิ่ง
“ของกิน 7 สิ่ง” ที่ตั้งเลี้ยงพระโคนั้น มี ข้าว ข้าวโพด ถั่วเขียว งา เหล้า น้ำ และหญ้า ถ้าพระโคกินสิ่งใดก็จะมีคำทำนายไปตามนั้น คือ
พระโคกินข้าวหรือข้าวโพด พยากรณ์ว่า ธัญญาหาร ผลาหาร จะบริบูรณ์ดี
พระโคกินถั่วหรืองา พยากรณ์ว่า ผลาหาร ภักษาหาร จะอุดมสมบูรณ์ดี
พระโคกินน้ำหรือหญ้า พยากรณ์ว่า น้ำท่าจะบริบูรณ์พอสมควร ธัญญาหารผลาหาร ภักษาหาร มังสาหารจะอุดมสมบูรณ์
พระโคกินเหล้า พยากรณ์ว่า การคมนาคมจะสะดวกขึ้น การค้าขายกับต่างประเทศดีขึ้น ทำให้เศรษฐกิจรุ่งเรือง
พระราชพิธีตรียัมปวาย
เป็นพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ในพระราชพิธีทางศาสนาพราหมณ์-ฮินดูที่มีมาแต่โบราณ โดยเชื่อว่ามีการสืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และยังคงปฏิบัติสืบเนื่องมาจนถึง กรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น พระราชพิธีนี้เป็นส่วนหนึ่ง
ของพิธี “โล้ชิงช้า” ซึ่งจัดขึ้นที่หน้าวัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร ตรงบริเวณเสาชิงช้า ชื่อ “ตรียัมปวาย” มาจากคำในภาษาสันสกฤตว่า “ตรี” (สาม) “ยม” หรือ “ยัญ” (การบูชา) และ “ปวาย” (การถวาย) ซึ่งรวมความหมายได้ว่า “พิธีถวายบูชาแด่เทพเจ้าทั้งสาม” ได้แก่ พระพรหม (เทพผู้สร้าง) พระวิษณุ (เทพผู้ปกป้อง) และพระศิวะ (เทพผู้ทำลายและแปรเปลี่ยน) ซึ่งเป็นเทพเจ้าองค์สำคัญในศาสนาฮินดู
ลักษณะพิธีพระราชพิธีตรียัมปวายมักจัดขึ้นในช่วงเดือนหก (พฤษภาคม)
ซึ่งเป็นช่วงต้นฤดูฝนก่อนการทำนา โดยแบ่งออกเป็น 2 พิธี คือ
พิธีตรียัมปวาย – พิธีบูชาพระศิวะ (พระอิศวร) ซึ่งจัดขึ้นในเวลากลางคืน ณ บริเวณเสาชิงช้า มีการอัญเชิญเทวรูปของพระศิวะมาประดิษฐานเพื่อประกอบพิธีกรรม โดยพราหมณ์จะสวดมนต์ถวายเครื่องสักการะ เช่น น้ำหอม ดอกไม้ และผลไม้ พร้อมมีพิธีกรรมที่แฝงด้วยความหมายของการอัญเชิญเทพเจ้าลงมาสู่โลกมนุษย์
พิธีพญานาค หรือ พิธียมพวาย เป็นพิธีที่จัดขึ้นในเวลากลางวัน ถัดจากพิธีตรียัมปวาย โดยจะมีการ " โล้ชิงช้า" ซึ่งสื่อถึงการเชิญเทพเจ้ามาประทับ ณ เสาชิงช้าเพื่ออำนวยพรแก่โลกมนุษย์พิธีกรรมมีความละเอียดอ่อนและต้องดำเนินการโดยพราหมณ์ในราชสำนักผู้มีความรู้และชำนาญในพระเวทตามแบบแผนดั้งเดิมที่ถ่ายทอดต่อกันมา
พระราชพิธีตรียัมปวายจัดขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์หลัก 3 ประการคือ
เพื่อบูชาและแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าทั้งสาม ได้แก่ พระพรหม พระวิษณุ และพระศิวะ ซึ่งถือเป็นการแสดงความจงรักภักดีต่อธรรมจักรของจักรวาล
เพื่ออำนวยพรให้บ้านเมืองสงบสุข ฝนฟ้าตกต้องตามฤดูกาล การเกษตรเจริญงอกงาม ประชาชนมีความสุขและความมั่นคง
เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่พระมหากษัตริย์และแผ่นดิน สะท้อนถึงการที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นองค์เอกในฐานะ "ธรรมราชา" ผู้เชื่อมโยงโลกมนุษย์กับโลกเทพเจ้า
พระราชพิธีตรียัมปวาย “โล้ชิงช้า” มาสิ้นสุดในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 7) เมื่อปี พ.ศ. 2474 โดยมี พระยาปฏิพัทธ์ภูบาล (คอยู่เหล ณ ระนอง) เป็นพระยายืนชิงช้าคนสุดท้ายแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เหตุที่รัชกาลที่ 7 ทรงโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ยกเลิกพระราชประเพณีนี้เป็นเพราะในขณะนั้นสภาพบ้านเมืองประสบกับภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และการจัดพิธีนี้ในแต่ละครั้งก็ต้องใช้เงินเป็นจำนวนมาก ทั้งที่ในขณะนั้นประเทศจำเป็นต้องประหยัดงบประมาณแผ่นดิน จึงทรงเห็นสมควรให้ยกเลิกพระราชพิธีตรียัมปวาย“โล้ชิงช้า” ตั้งแต่นั้นตราบจนปัจจุบัน...