ศิลป์สยามกลางมหานคร : มรดกภูมิปัญญา
ศิลป์สยามกลางมหานคร : มรดกภูมิปัญญา
ละครชาตรี
“รำซัดชาตรี” ปรับปรุงมาจากรำซัดไหว้ครูของละครโนรา-ชาตรี ซึ่งเป็นละครรำที่เก่าแก่ชนิดหนึ่งของประเทศไทยและมีการแสดงอย่างแพร่หลายในหลายจังหวัดทางภาคใต้ของประเทศไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวกันว่าละครชาตรีนี้เป็นต้นกำเนิดของละครรำประเภทต่าง ๆ ซึ่งได้ถูกปรับปรุงขึ้นใหม่ ในสมัยต่อมาประเพณีการแสดงละครโนรา-ชาตรีทางภาคใต้ถือเป็นธรรมเนียม สืบทอดต่อกันมาว่า ผู้แสดงฝ่ายชาย (ตัวพระหรือนายโรง) จะต้องรำไหว้ครูอย่าง “รำซัด” ตามที่พื้นเมืองเรียกกัน ซึ่งเป็นการรำเพื่อเบิกโรงเสียก่อนและเป็นการรำแบบรำเดี่ยว โดยมีปี่ โทน กลอง กรับ และฆ้องคู่ เป็นเครื่องดนตรีเล่นประกอบจังหวะและโขนที่มีคนคอยพากย์ให้ ในส่วนของเครื่องดนตรีประกอบการแสดงละครชาตรี หากเป็นสมัยโบราณจะมีเพียงกลองตุ๊ก โทน ปี่ ฆ้องคู่ กลับไม้ไผ่ ฉิ่ง ซึ่งเป็นเครื่องดนตรีประกอบจังหวะทำให้การร้องเป็นเพลงทำนองชาตรีและทำนองกำพลัดเท่านั้น แต่เมื่อละครชาตรีมารวมกับละครนอกมีการร้องเพลงอัตราสองชั้นและอัตราชั้นเดียว และเครื่องดนตรีประกอบจะเพิ่มระนาดเข้ามา ทำให้เป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของละครชาตรีที่ละครแบบอื่น ๆ ไม่มีนั่นคือ “การรำซัดไหว้ครู” ซึ่งจะทำก่อนที่เริ่มการแสดงเข้าเรื่อง ส่วนละครนอกจะเป็นการรำถวายมือ
ต่อมา ประมาณปีพุทธศักราช 2499 กรมศิลปากรได้มอบให้อาจารย์ลมุล ยมะคุปต์ และอาจารย์มัลลี (หมัน) คงประภัศร์ ผู้เชี่ยวชาญการสอนนาฏศิลป์ วิทยาลัยนาฏศิลป์ กรมศิลปากร (ปัจจุบันท่านทั้งสองเสียชีวิตไปแล้ว) ฝึกซ้อมนาฏศิลป์ให้รำซัดชาตรีเป็นระบำชุม โดยปรับปรุงท่ารำให้เป็นแบบแผนและมีดนตรีประกอบการรำซัดชาตรีได้แก่ ปี่ กลอง โทน กรับ และฆ้องคู่ เช่นเดิม ภายหลังที่ได้รับการปรับปรุงเรียบร้อยแล้ว ได้นำออกแสดงทั้งในประเทศและต่างประเทศหลายครั้งหลายหน ปรากฏว่าได้รับความนิยมชมชอบจากผู้ชมเป็นอย่างดียิ่ง นับเป็นวิวัฒนาการของนาฏศิลป์ไทยอีกแบบหนึ่ง
“ครูหมู” จารุวรรณ สุขสาคร ทายาทรุ่นที่ 4 ของคณะละครชาตรี “จงกล โปร่งน้ำใจ” โดยบรรพบุรุษของครูหมูฝั่งหนึ่งเป็นครูละครชาตรีจากท่าเรือจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอีกฝั่งหนึ่งเป็นโนรา-ชาตรีจากจังหวัดพัทลุง ซึ่งอพยพย้ายถิ่นฐานมาอยู่กรุงเทพมหานครราวช่วงรัชกาลที่ 6 ณ ตรอกละคร ย่านนางเลิ้ง หรือชื่อเดิมของถิ่นนี้คือ “สนามควาย” ซึ่งย่านนี้เป็นแหล่งรวมวัฒนธรรมบันเทิงที่สำคัญของกรุงเทพมหานคร เนื่องจากเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของมหรสพแขนงต่าง ๆ ทั้งคณะละครชาตรี โขน ลิเก
โดยคณะละครชาตรี “จงกล โปร่งน้ำใจ” ตั้งชื่อตามผู้ก่อตั้งในปีพุทธศักราช 2509 นั่นคือ คุณแม่จงกล ซึ่งมีสถานะเป็นป้าของครูหมู เมื่อแรกเริ่มได้รวบรวมเอาลูกหลานและลูกศิษย์มาตั้งเป็นคณะ รับงานแสดงละครชาตรีแบบดั้งเดิมที่แสดงตามแบบขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณ มีการโหมโรง รำซัดไหว้ครู รวมถึงการรำถวายมือที่ปัจจุบันได้ถูกตัดทอนมาเป็นการรำแก้บน ต่อมาเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผ่าน การจ้างงานก็ลดน้อยลง คณะละครชาตรีหลายคณะต้องปิดตัวไป เหลือเพียงแต่คณะละครชาตรี “จงกล โปร่งน้ำใจ” ที่ยังคงอยู่ได้ จากรายได้หลักซึ่งเกิดจากการเข้าไปเป็นหนึ่งในคณะละครรำแก้บนที่ศาลพระพรหมเอราวัณ แม้จะมีรายได้หลักต่อลมหายใจให้ชาวคณะที่ยังเหลืออยู่แต่ครูหมูก็ไม่หยุดแค่นั้นเพราะมองว่าถ้าปล่อยไปเช่นนี้ละครชาตรีก็จะเหลือภาพจำเพียงการรำแก้บน ครูหมูและพี่น้องจึงร่วมใจกันฟื้นฟูงานละครชาตรีตามขนบดั้งเดิม ด้วยการรวบรวมลูกศิษย์วัยเก๋าของแม่จงกล มาร่วมเล่นละครชาตรีด้วยกันอีกครั้ง โดยได้จัดแสดงในเวทีสังคีตศาลาของกรมศิลปากรเป็นการเปิดโลกละครชาตรีให้กลับมาเป็นที่รู้จักของคนไทยอีกครั้ง และที่สำคัญละครชาตรียังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกทางวัฒนธรรมของกรุงเทพมหานครจากการผลักดันของครูหมูอีกด้วย และครูหมูยังคงเป็นผู้ถ่ายทอดละครชาตรีให้กับเด็กรุ่นใหม่ เริ่มจากการได้ทุนฟื้นฟูละครชาตรีจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน หลังเปิดสอนต่อเนื่องมาหลายปีก็มีเด็กไทยให้ความสนใจศึกษาและเรียนรู้ละครชาตรีกันมากมาย หลายรายได้ใช้ความสามารถที่เรียนรู้จากครูหมูไปสานต่อและเติมเต็มอนาคตทางการศึกษาจากสถาบันการศึกษาต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียง เพียงเท่านี้ก็เป็นสิ่งที่ครูหมูภูมิใจและสุขใจแล้ว