ต้มยำกุ้ง
นับเป็นความภาคภูมิใจของคนไทยอีกหนึ่งวาระ เมื่อ “ต้มยำกุ้ง” อาหารไทยที่ดังไกลระดับโลก จนถือเป็นตัวแทนประเทศไทยที่ชาวต่างชาติรู้จักกันเป็นอย่างดี ได้ขึ้นทะเบียนเป็นรายการตัวแทนมรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ (Representative List of the Intangible Cultural Heritage of Humanity : RL) ประจำปี 2567 จากที่ประชุมคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลเพื่อการสงวนรักษามรดกวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ ครั้งที่ 19 ขององค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือ UNESCO ถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมชิ้นที่ 5 ของประเทศไทย ที่ได้รับการรับรองต่อจากโขน (ปี พ.ศ. 2561) นวดไทย (ปี พ.ศ. 2562) โนรา (ปี พ.ศ. 2564) และประเพณีสงกรานต์ (ปี พ.ศ. 2566)
ต้มยำกุ้งเป็นเมนูที่มีรากฐานมาจากอาหารไทยดั้งเดิม ซึ่งสะท้อนถึงวัฒนธรรมการกินของคนไทยที่เน้นการใช้วัตถุดิบท้องถิ่นและสมุนไพรที่มีคุณค่าต่อสุขภาพ ที่มาของต้มยำกุ้งนั้นไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าใครเป็นผู้คิดค้น แต่หลักฐานหนึ่งที่ปรากฏชัดเจนคือมีการบันทึกถึงเมนู “ต้มยำ” มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ในประติทินบัตรแลจดหมายเหตุ ร.ศ. 108 เล่มที่ 1 ฉบับที่ 6 (พ.ศ. 2433) โดยปรากฏสูตรต้มยำต่าง ๆ เช่น ต้มยำปลา ส่วนในตำราปะทานุกรม การทำของคาวของหวาน อย่างฝรั่งแลสยาม (พ.ศ. 2441) ปรากฏสูตร “ต้มยำกุ้งทรงเครื่อง” “ต้มกุ้งกับเห็ด โคน” ส่วนในตำราแม่ครัวหัวป่าก์ (พ.ศ. 2451) โดยท่านผู้หญิงเปลี่ยน ภาสกรวงศ์ ซึ่งเป็นตำราอาหารอย่างเป็นทางการของไทยเล่มแรกได้ปรากฏชื่อเมนูต้มยำเขมร หรือแกงนอกหม้อ แต่หน้าตาไม่เหมือนต้มยำกุ้งที่กินอยู่ในปัจจุบัน
หลักฐานที่บันทึกถึงต้มยำกุ้งซึ่งหน้าตาและรสชาติใกล้เคียงต้มยำกุ้งน้ำใสในปัจจุบัน คือ "ต้มยำกุ้ง" ในหนังสือ ของเสวย (พ.ศ. 2507) โดย ม.ร.ว. กิตินัดดา กิติยากร อดีตเลขาธิการคณะองคมนตรี ได้เล่าถึงการทำต้มยำกุ้งสดเพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระบรม
ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่วังไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อปี พ.ศ. 2505 สรุปความว่า
...ปอกเปลือกกุ้งทะเลล้างให้สะอาด ผ่าหลัง ชักเส้นดำออก นำเปลือกและหัวกุ้งไปต้มทำน้ำซุป เมื่อจะรับประทานจึงลวกกุ้งด้วยน้ำร้อน จัดใส่ชาม ตักน้ำซุปใส่ ปรุงรสด้วยมะนาว พริกขี้หนูตำและน้ำปลา...
"ต้มยำกุ้ง" จึงไม่ใช่แค่อาหารจานเด็ด แต่เป็น "สัญลักษณ์แห่งภูมิปัญญาไทย" ที่ผสมผสานความเป็นมาทางประวัติศาสตร์ การสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม และการพัฒนาที่ไม่หยุดนิ่ง จนได้รับการยอมรับในระดับโลก สมกับการเป็น "มรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ" อย่างแท้จริง
ผัดไทย
ผัดไทย ถือเป็นเมนูที่หาทานง่าย และมีชื่อเสียงไปทั่วโลก รสชาติดี สามารถทานได้ทุกเพศทุกวัย ที่สำคัญ คำว่า pad thai ได้ถูกบรรจุลงใน เว็บไซต์ Oxford Dictionaries อีกด้วย
ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย ปัจจุบันเรียกสั้น ๆ จนเหลือแค่คำว่า ผัดไทย ซึ่งเป็นอาหารอีก 1 เมนูที่ประจำชาติและขึ้นชื่อของประเทศไทย มีต้นกำเนิดในสมัยจอมพลป. พิบูลสงคราม เป็น นายกรัฐมนตรี
ในช่วงก่อนการคิดค้นสูตรผัดไทยขึ้นนั้นเป็นช่วงสมัยสงครามโลกครั้ง 2 เกิดภาวะข้าวแพง เพื่อลดการบริโภคข้าวภายในประเทศ รวมไปถึงภาวะความแตกแยกทางชาตินิยม เพราะการมีคนไทยเชื้อสายต่าง ๆ จำนวนมาก เช่น เชื้อสายจีน ซึ่งในช่วงนั้นประเทศยังใช้ชื่อว่า สยาม จึงมีการปลุกระดมให้คนไทยรู้สึกรักชาติ โดยออกประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี ว่าด้วย “รัฐนิยม” หลายอย่าง เพื่อปลุกระดม “ลัทธิชาตินิยม” ในหมู่ข้าราชการและประชาชนอย่างกว้างขวาง มีความพยายาม
ที่จะให้คนไทย “รักเมืองไทย ชูชาติไทย” “ไทยทำ ไทยใช้ ไทยเจริญ”
แต่การจะรณรงค์ให้ประชาชนกินเส้นก๋วยเตี๋ยวก็ไม่เหมาะ เพราะก๋วยเตี๋ยวได้รับอิทธิพลจากชาวจีน เหมือนผัดซีอิ้วมากเกินไป เลยมีการคิดค้นเปลี่ยนเป็นเส้นจันทบูรแทนและใส่กุ้งแห้งแทนเนื้อหมู และส่วนผสมอื่น ๆ ลงไป แล้วก็ตั้งชื่อให้เป็นชาตินิยมว่า ผัดไทย นั่นเอง
วิธีการทำผัดไทยอย่างง่าย ๆ คือ นำก๋วยเตี๋ยวเส้นเล็กแบน มาผัดกับกระเทียม เต้าหู้ หัวไชโป๊สับ ถั่วงอก กุยช่าย ไข่ กุ้งแห้ง ปรุงรสด้วยน้ำมะขามเปียก น้ำตาลปี๊บ น้ำปลา พริกแห้งป่น
เพิ่มรสมันด้วยถั่วลิสงคั่วป่นหยาบ รับประทานกับหัวปลี ใบบัวบก กุยช่ายและถั่วงอก
ยำใหญ่
ยำใหญ่เป็นหนึ่งในอาหารไทยโบราณที่มีความสำคัญทางวัฒนธรรม โดยเฉพาะในสายอาหารชาววัง ซึ่งมีลักษณะพิเศษทั้งด้านรสชาติ ความพิถีพิถันในการจัดจาน และวัตถุดิบที่ใช้
ยำใหญ่ปรากฏอยู่ในบทพระราชนิพนธ์เรื่อง กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน โดยรัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในหลักฐานทางวรรณกรรมที่แสดงให้เห็นถึงความนิยมของเมนูนี้ในราชสำนัก ตัวอย่างบทกาพย์ที่กล่าวถึงยำใหญ่ ได้แก่
ยำใหญ่ใส่สารพัด วางจานจัดหลายเหลือตรา
รสดีด้วยน้ำปลา ญี่ปุ่นล้ำย้ำยวนใจ
จากบทกาพย์นี้แสดงให้เห็นว่า "ยำใหญ่" เป็นอาหารที่รวมวัตถุดิบหลายอย่างไว้ด้วยกันและได้รับการปรุงแต่งอย่างประณีต โดยคำว่า “แสร้งทำ” ในที่นี้หมายถึงเมนูที่เลียนแบบอาหารอย่างอื่นหรือใช้ของธรรมดาแต่นำมาปรุงให้มีรสชาติพิเศษตามแบบชาววัง
ยำใหญ่จึงเป็นอาหารที่สะท้อนให้เห็นถึง ความหรูหรา พิถีพิถัน และรสนิยมของราชสำนักไทยโบราณ และยังเป็นหนึ่งในเมนูที่นิยมจัดในงานพิธีหรือโต๊ะไทยสำรับโบราณในปัจจุบัน
มัสมั่น
ได้รับฉายาว่าเป็น “ราชาแห่งเครื่องแกง” ด้วยรสชาติที่เข้มข้นเป็นเอกลักษณ์ ผสมผสานทั้งความเผ็ดร้อน ความหวาน และความหอม ด้วยนานาเครื่องเทศกลมกล่อม จนเป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลก ถูกปากติดใจของชาวต่างชาติ จนได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมนูที่อร่อยที่สุดในโลกอยู่หลายสมัย โดยเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2560 จากสื่อต่างประเทศอย่าง CNN Travel และปัจจุบันแกงมัสมั่นยังคงครองบัลลังก์เป็นแชมป์อาหารที่อร่อยที่สุดในโลกตลอดมา
มัสมั่นเป็นอาหารไทยที่ได้รับอิทธิพลจากอาหารต่างประเทศ และได้รับการพัฒนาให้มีรสชาติและลักษณะเฉพาะตามแบบอาหารชาววัง โดยเฉพาะในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
คำว่า “มัสมั่น” (Massaman) มาจากภาษามลายูว่า "masam" ซึ่งแปลว่า “เปรี้ยว” หรืออาจมีรากมาจากภาษาเปอร์เซียหรืออาหรับที่เกี่ยวกับอาหารเครื่องเทศ เนื่องจากมัสมั่นมีความเชื่อมโยงกับอาหารอิสลาม ที่ใช้เนื้อวัวหรือเนื้อแกะ และมีการปรุงด้วยเครื่องเทศหลากหลายชนิด
มัสมั่นเข้ามาในไทยตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ผ่านการค้ากับชาวเปอร์เซียและมุสลิม ต่อมาได้รับการดัดแปลงให้เข้ากับรสนิยมของชาวไทย และถูกนำเข้าราชสำนักไทยในสมัยรัตนโกสินทร์
มัสมั่นได้รับการกล่าวถึงอย่างโด่งดังใน กาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวาน ของรัชกาลที่ 2 โดยพระองค์ทรงพรรณนาถึงรสชาติของมัสมั่นไว้อย่างไพเราะ
"มัสมั่นแกงแก้วตา หอมยี่หร่ารสร้อนแรง
ชายใดได้กลืนแกง แรงอยากให้ใฝ่ฝันหา"
นี่แสดงให้เห็นว่ามัสมั่นเป็นอาหารชั้นสูงที่ได้รับความนิยมในหมู่ชนชั้นสูงหรือในราชสำนัก ที่แสดงถึงการผสมผสานวัฒนธรรมอาหารจากต่างชาติและการปรุงอย่างประณีตแบบไทยชาววัง ทั้งด้านรสชาติ กลิ่น และการนำเสนอ ถือเป็นหนึ่งในมรดกอาหารแห่งชาติ ที่ยังคงได้รับความนิยมทั้งในไทยและต่างประเทศ
ช่อม่วง
ช่อม่วงเป็นขนมไทยโบราณที่มีรูปร่างและการตกแต่งที่วิจิตรประณีต เป็นหนึ่งในอาหารว่างหรือขนมชาววังที่แสดงถึงความละเอียดอ่อนทางศิลปะของไทย และสะท้อนถึงรสนิยมของผู้บริโภคในระดับสูง
ช่อม่วง ปรากฏหลักฐานการมีอยู่ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น โดยเฉพาะในราชสำนักยุคต้นกรุง มีการจัดเสิร์ฟในงานเลี้ยงรับรองและพิธีการต่าง ๆ ภายในวัง เพราะเป็นขนมที่ต้องใช้ ฝีมือและความอดทนสูงในการปั้นและจับจีบแป้งให้มีลวดลายคล้ายดอกไม้ ชื่อ "ช่อม่วง" มาจากรูปร่างของขนมที่ทำให้คล้ายดอกช่อม่วง และนิยมทำให้มีสีม่วงอ่อนตามธรรมชาติ
ซึ่งสมัยก่อนจะใช้สีจากพืชธรรมชาติ เช่น ดอกอัญชัน หรือ ข้าวเหนียวดำ
จุดเด่นในวัฒนธรรมอาหารชาววังแสดงถึงความประณีต ละเอียด และสร้างสรรค์ ของหญิงชาววังเป็นขนมที่ใช้ในงานมงคล เพราะเชื่อว่า
“ช่อม่วง” เป็นสัญลักษณ์ของความรัก ความงดงาม และสิริมงคล มีบทบาทในงานรับรองแขกบ้านแขกเมืองและกิจกรรมส่งเสริมวัฒนธรรมไทยยังมีการกล่าวถึงในกาพย์เห่ชมเครื่องคาวหวานของรัชกาลที่ 2 โดยพระองค์ทรงพรรณนาถึงช่อม่วงไว้อย่างไพเราะ
ช่อม่วงเหมาะมีรศ หอมปรากฎกลโกสุม
คิดสีสไบคลุม หุ้มห่มม่วงดวงพุดตาล