วัดพระศรีรัตนศาสดาราม
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือ วัดพระแก้ว
สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในปี พ.ศ. 2325 เมื่อทรงสถาปนาเมืองหลวงขึ้นใหม่ในชัยภูมิที่เหมาะสม ณ ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา คือกรุงเทพมหานคร โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดพระศรีรัตนศาสดารามและสถาปนาเป็นพระอารามหลวงในพระบรมมหาราชวัง ตามโบราณราชประเพณีที่ถือสืบมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และได้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรจากพระวิหารน้อยวัดอรุณราชวรารามมาประดิษฐานในพระอุโบสถ ใช้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีตามโบราณราชประเพณี ลักษณะพิเศษของวัดนี้คือมีเฉพาะเขตพุทธาวาส ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา เช่นเดียวกับวัดมหาธาตุในสมัยสุโขทัย และวัดพระศรีสรรเพชญ์ในสมัยกรุงศรีอยุธยา บริเวณรอบพระอุโบสถมีศาลาราย 12 หลัง ทางทิศเหนือและใต้ใช้เป็นที่นั่งฟังธรรมของสาธุชนหรือนักเรียนสำหรับอ่านฉันท์โอ้เอ้ในโอกาสพิเศษ และภายในบริเวณวัดพระศรีรัตนศาสดาราม มีสถาปัตยกรรม ประติมากรรมที่น่าสนใจหลากหลาย เช่น
พระอุโบสถ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร และปราสาทพระเทพบิดร เป็นต้น
พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต เป็นอาคาร
ก่ออิฐถือปูนสถาปัตยกรรมแบบไทยประเพณี ก่อสร้างแล้วเสร็จสมบูรณ์ใน พ.ศ. 2327 ประดับด้วยช่อฟ้า ใบระกา และหางหงส์ หน้าบันจำหลักลายพระนารายณ์ทรงครุฑยุดนาค ล้อมรอบด้วยลายก้านขดเทพนม ลงรักปิดทองประดับกระจก มีเสานางเรียงเป็นเสาย่อมุมไม้สิบสองโดยรอบ ผนังด้านนอกประดับลายทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ปิดทองประดับกระจก ฐานปัทม์ตกแต่งด้วยรูปครุฑยุดนาค หล่อด้วยสำริดปิดทอง มีจำนวน 112 รูป ซุ้มพระทวารและพระบัญชรเป็นซุ้มปูนปั้นทรงมณฑป บานพระทวารและพระบัญชรประดับมุก ที่บันไดทางขึ้นพระอุโบสถตั้งสิงห์สำริด รวม 6 คู่ ผนังด้านในทั้ง 4 ด้าน เขียนจิตรกรรมฝาผนังเล่าเรื่องพุทธประวัติ โดยผนังหุ้มกลองด้านหน้าพระแก้วมรกตเป็นภาพตอนตรัสรู้เล่าเรื่องมารผจญ ผนังหุ้มกลองด้านหลังเป็นภาพไตรภูมิ ผนังด้านข้างเป็นภาพพระปฐมสมโพธิกถาและชาดก รวมทั้งภาพกระบวนพยุหยาตราทางชลมารคด้านทิศใต้และกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารคด้านทิศเหนือ
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต
เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ ศิลปะล้านนาตอนปลาย แกะจากหยกสีเขียวทึบทั้งองค์ หน้าตักกว้าง 48.3 ซม. สูง 66 ซม. ประดิษฐานภายในพระบุษบกทองคำบนฐานชุกชี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 1977
ที่วัดป่าเยียะ เมืองเชียงราย ภายในเจดีย์ซึ่งถูกฟ้าผ่าองค์พระเดิมถูกปิดทับด้วยปูนลงรักปิดทอง จนกระทั่งปูนที่ปลายพระนาสิกกะเทาะ เผยให้เห็นหยกสีเขียว จึงมีการกะเทาะปูนออกจนเห็นองค์พระพุทธรูปเต็มองค์พระเจ้าสามฝั่งแกน เจ้าเมืองเชียงใหม่ ทรงโปรดให้อัญเชิญพระแก้วมรกตมาเมืองเชียงใหม่ แต่ช้างทรงกลับมุ่งหน้าไปเมืองลำปาง แม้เปลี่ยนช้างถึง 2 ครั้ง จึงโปรดให้นำไปประดิษฐานที่เมืองลำปางเป็นเวลา 32 ปี ต่อมาสมัยพระเจ้าติโลกราช จึงอัญเชิญมาประดิษฐานที่วัดเจดีย์หลวง เมืองเชียงใหม่ รวม 84 ปี
ต่อมาพระเจ้าไชยเชษฐาอัญเชิญไปประดิษฐานที่หลวงพระบางและเวียงจันทน์ รวม 226 ปี จนกระทั่งปี พ.ศ. 2321 เจ้าพระยาจักรี (รัชกาลที่ 1) ได้อัญเชิญกลับสู่ไทย หลังตีเมืองเวียงจันทน์ได้ โดยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโปรดให้นำไปประดิษฐานที่วัดอรุณราชวราราม และต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 1 สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ได้โปรดให้อัญเชิญมาประดิษฐาน ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พร้อมทั้งโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องทรงอุทิศถวายพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร 2 ชุด คือ เครื่องทรงสำหรับฤดูร้อนและฤดูฝน ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องทรงสำหรับฤดูหนาวถวายอีก 1 ชุด แต่เครื่องทรงทั้ง 3 ฤดูในปัจจุบัน กรมธนารักษ์ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สร้างขึ้นใหม่ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เนื่องในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติ ครบ 50 ปี ในปี พ.ศ. 2539 ทำด้วยทองคำประดับเนาวรัตน์เหมือนเดิม กำหนดพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเปลี่ยนเครื่องทรงพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร ปีละ 3 ครั้ง คือ
วันแรม 1 ค่ำ เดือน 4 เพื่อทรงเครื่องสำหรับฤดูร้อน
วันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 เพื่อทรงเครื่องสำหรับฤดูฝน
วันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 เพื่อทรงเครื่องสำหรับฤดูหนาว
ปราสาทพระเทพบิดร
เดิมชื่อ “พระพุทธปรางค์ปราสาท” เป็นอาคารทรงจัตุรมุขแบบไทย หลังคายกยอดปราสาททรงปรางค์ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2399
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีพระราชประสงค์จะอัญเชิญ พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต)
มาประดิษฐานเพื่อให้ประชาชนได้ชื่นชมใกล้ชิด แต่เมื่อก่อสร้างแล้วพบว่าขนาดคับแคบ ไม่เหมาะสำหรับประกอบพระราชพิธีทางศาสนา
ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้อัญเชิญเจดีย์กาไหล่ทองมาประดิษฐานแทน แต่เกิดเหตุไฟฟ้าลัดวงจรในปี พ.ศ. 2446 ทำให้หลังคาปราสาทเสียหาย การบูรณะแล้วเสร็จในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงโปรดให้อัญเชิญพระบรมรูปหล่อบรอนซ์ลงรักปิดทองของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 5 มาประดิษฐานในโถงกลาง พร้อมทั้งอัญเชิญพระเทพบิดรจากพระวิหารยอดมาประดิษฐานที่มุขตะวันตกและเปลี่ยนชื่อใหม่เป็นปราสาทพระเทพบิดร
ปัจจุบัน ภายในปราสาทประดิษฐานพระบรมรูปของ พระมหากษัตริย์ไทยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 9 โดยจะเปิดให้ประชาชนเข้าถวายบังคมในโอกาสพิเศษ ได้แก่
6 เมษายน : วันพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และวันจักรี
13–15 เมษายน : วันสงกรานต์
4 พฤษภาคม : วันฉัตรมงคล
28 กรกฎาคม : วัวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ
พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10
13 ตุลาคม : วันคล้ายวันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร หรือ
วันนวมินทรมหาราช
23 ตุลาคม : วันปิยมหาราช
5 ธันวาคม : วันคล้ายวันพระบรมราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตรซึ่งเป็นวันชาติไทยและวันพ่อแห่งชาติ และเป็นวันดินโลก (World Soil Day)
ทั้งนี้ยังมีประติมากรรมที่สวยงามอีกหลายภายในวัด
พระศรีรัตนศาสดาราม เช่น
หอพระมณเฑียรธรรม
พระวิหารยอด
หอพระนาก
นครวัดจำลอง
พระมณฑป
พระศรีรัตนเจดีย์
หอระฆัง
หอพระราชกรมานุสรและหอพระราชพงศานุสร
พระระเบียงคดและจิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์
ยักษ์ทวารบาล
พระอัษฎามหาเจดี หมายเหตุ : สะกดตามป้ายจารึกนามพระปรางค์พระอัษฎามหาเจดีย์
พระบุษบก
ประติมากรรมฤๅษี
พระโพธิธาตุพิมาน
พระเจดีย์ทอง 2 องค์
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร
วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร หรือ วัดอรุณ หรือ วัดแจ้ง
เดิมชื่อวัดมะกอกด้วย เพราะในบริเวณนี้มีทุ่งมะกอกอยู่เป็นจำนวนมาก ต่อมาเมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินเคลื่อนทัพมาถึงในยามเช้า ทรงเห็นวัดขณะพระอาทิตย์ขึ้น จึงเรียกว่าวัดแจ้ง ภายหลังเมื่อทรงตั้งกรุงธนบุรีโปรดให้วัดนี้เป็นวัดในเขต พระราชฐานและเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกต ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 1 โปรดให้ย้ายพระแก้วมรกตไปยังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
พระปรางค์วัดอรุณ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์สำคัญของประเทศไทย และจุดหมายยอดนิยมของนักท่องเที่ยว สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา และได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในสมัยรัชกาลที่ 2 แล้วเสร็จในรัชกาลที่ 4 พร้อมพระราชทานนามว่า “วัดอรุณราชวราราม” องค์พระปรางค์สูง 82 เมตร เคยเป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดในกรุงเทพฯ โดดเด่นด้วยศิลปะการแต่งอิฐถือปูนสีขาว ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ เปลือกหอย และชามเบญจรงค์โบราณจากจีนในลวดลายดอกไม้ ใบไม้ รวมถึงประติมากรรมกินรี เทวดา ยักษ์ และพญาครุฑ ยอดบนสุดติดตั้งนภศูลครอบด้วยมงกุฎปิดทอง งดงามตระการตา ใครได้สักการะพระปรางค์ ชีวิตจะรุ่งเรืองตลอดปี เหมาะแก่การขอพรรับปีใหม่ที่สุด
ยักษ์ อีกหนึ่งจุดเด่นที่ควรค่าแก่การไปถ่ายภาพก็คือ ซุ้มประตูทางเข้าสู่พระอุโบสถทางด้านตะวันออก ที่มีทวารบาลยืนพร้อมกระบองคู่ใจ อย่าง “ทศกัณฐ์” ราชาแห่งยักษ์ เจ้าครองกรุงลงกาและยักษ์อีกหนึ่งตนที่อยู่ทางซ้าย กายสีขาว ชื่อว่า “สหัสเดชะ” เจ้าครองเมืองปางตาล มีฤทธิ์มากเช่นเดียวกับทศกัณฐ์
นอกจากพระปรางค์วัดอรุณแล้ว ยังมียักษ์วัดแจ้งที่ยืนเฝ้าซุ้มประตู คอยปัดเป่าสิ่งไม่ดีตามความเชื่อโบราณ ผู้คนจึงนิยมมาขอพรด้านโชคลาภ อำนาจและวาสนา อีกทั้งวัดยังเก็บรักษาสิ่งของของ “สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี” ไว้ คือ “พระแท่นพระเจ้าตาก” ซึ่งมีความเชื่อว่า ถ้าได้ลอดพระแท่น จะช่วยเสริมมงคล ล้างอาถรรพ์ แก้ไขดวงชะตาที่ตก และเสริมบารมีได้ และยังมีสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่ทรงคุณค่างดงามให้ความประทับใจทุกครั้งที่มาเยือน เช่น
เจดีย์บริวาร
มณฑป
พระอุโบสถ
พระพุทธธรรมมิศราชโลกธาตุดิลก
พระพุทธนฤมิตร
พระวิหาร
พระพุทธชัมพูนุช มหาบุรุษลักขณาอสีตยานุบพิตร
มณฑปพระพุทธบาท
หลังจากชมความวิจิตรของวัดอรุณแล้ว สามารถเดินทางข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา ทางเรือโดยสารข้ามฟากจากท่าเรือ “ท่าวัดอรุณ” ไป “ท่าเตียน” เพื่อสักการะพระพุทธไสยาสน์ ซึ่งเป็นพระนอนที่ใหญ่ที่สุดในกรุงเทพมหานคร และใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศไทย ณ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหารหรือ วัดโพธิ์
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1 เดิมชื่อ “วัดโพธาราม” สร้างในสมัย
กรุงศรีอยุธยา และเป็นที่ประดิษฐานต้นพระศรีมหาโพธิ์จากลังกา ต่อมาเมื่อรัชกาลที่ 1 ทรงสร้างพระบรมมหาราชวังได้โปรดให้บูรณะวัดนี้อย่างยิ่งใหญ่พร้อมพระราชทานนามใหม่ว่าวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาวาศ ต่อมารัชกาลที่ 4 ได้โปรด ให้เปลี่ยนท้ายนามวัดเป็น “วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม”
ครั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ 3 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่นานถึง 16 ปี 7 เดือน ขยายเขตพระอารามด้านใต้และตะวันตก คือ ส่วนที่เป็นพระวิหารพระพุทธไสยาสน์ สวนมิสกวันสถาปนาขึ้นใหม่ พระมณฑป ศาลาการเปรียญ และสระจระเข้บูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่เป็นโบราณสถานในพระอารามหลวงที่ปรากฏอยู่ทุกวันนี้ แม้การบูรณะปฏิสังขรณ์ครั้งล่าสุด เมื่อฉลองกรุงเทพฯ 200 ปี พ.ศ. 2525 เป็นเพียงซ่อมสร้างของเก่าให้ดีขึ้น มิได้สร้างเสริมสิ่งใด ๆ
ทั้งนี้ เนื่องจากสมัยรัชกาลที่ 3 ยังไม่มีการพิมพ์หนังสือการศึกษา ที่มีเรียนก็อยู่ตามวัด ทำให้คนทั่วไปไม่มีโอกาสได้เรียน ด้วยทรงมีพระราชประสงค์จะให้มีแหล่งเล่าเรียนความรู้ จึงโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมและเลือกสรรตำรับตำรามาจารึกที่แผ่นศิลาไว้โดยรอบวัดเพื่อเผยแพร่แก่ประชาชน วัดพระเชตุพนฯ จึงได้ชื่อว่าเป็น “มหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศไทย”
วิหารพระพุทธไสยาส สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) เมื่อโปรดให้ขยายเขตวัดทางทิศเหนือ ซึ่งซ้อนทับพื้นที่เดิมของวัดโพธารามโดยมอบหมายให้พระองค์เจ้าลดาวัลย์เป็นแม่กองในการก่อสร้าง เริ่มจากการสร้างพระพุทธไสยาสน์ก่อน จากนั้นจึงสร้างวิหารครอบองค์พระ เครื่องหลังคาเป็นแบบไทยประเพณี ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ และนาคสะดุ้ง หลังคาซ้อน 3 ชั้น มีตับหลังคา 4 ตับ เสารับน้ำหนักเป็นเสาทรงสี่เหลี่ยมทึบตัน ไม่มีบัวหัวเสาและไม่มีคันทวย ซึ่งเป็นลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมสมัยรัชกาลที่ 3 หน้าบันวิหารเป็นปูนปั้นลงรักปิดทอง ประดับกระจกเป็นลายพรรณพฤกษา อันเป็นรูปแบบใหม่ที่เกิดในสมัยนั้น ซุ้มประตูและหน้าต่างตกแต่งด้วยลวดลายอย่างประณีต ภายในวิหารด้านบนของผนังเขียนภาพสีเรื่องมหาวงศ์ ส่วนช่องผนังระหว่างหน้าต่าง เขียนภาพพระสาวิกาเอตทัคคะ 13 องค์ อุบาสกเอตทัคคะ 10 ท่าน และอุบาสิกาเอตทัคคะ 10 ท่าน แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจในการสืบทอดพระพุทธศาสนาและศิลปกรรมในยุคนั้น
พระพุทธไสยาสน์ (พระนอนวัดโพธิ์) เป็นพระพุทธรูปปางสีหไสยาสน์ (พระนอน) ขนาดใหญ่ ยาวถึงสองเส้นสามวา (ประมาณ 46 เมตร) นับเป็นพระนอนขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของประเทศไทย รองจากพระนอนจักรสีห์และพระนอนวัดขุนอินทประมูล พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 3) โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธไสยาสน์ขึ้นก่อน จากนั้นจึงสร้างพระวิหารครอบในภายหลัง องค์พระก่อด้วยอิฐถือปูน ลงรักปิดทองทั้งองค์ งดงามอลังการ จุดเด่นอยู่ที่พระบาทขององค์พระ ซึ่งแต่ละข้างมีความกว้าง 1.5 เมตร ยาว 5 เมตร ประดับมุกเป็นภาพมงคล 108 ประการ ตามตำรามหาปุริสลักขณะ โดยลวดลายแบ่งเป็นช่องสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ล้อมรอบ
“รูปจักร” ที่อยู่กึ่งกลางพระบาททั้งสองข้างมีลวดลายเหมือนกัน สะท้อนถึงการผสมผสานความเชื่อจากชมพูทวีปและจีน เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามโดยเฉพาะศิลปะการประดับมุกที่ฝ่าพระบาท ได้รับการยกย่องว่าเป็นพระนอนองค์ใหญ่ที่มีความงดงามเป็นเอกในบรรดาพระนอนด้วยกันเป็นที่เคารพสักการะ เลื่อมใสศรัทธาอย่างยิ่งทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ นับเป็นพระพุทธปฏิมากรสำคัญคู่บ้านคู่เมือง เป็นที่เชิดหน้าชูตาแก่บ้านเมืองอย่างหนึ่ง ทั้งยังนับเนื่องอยู่ในคติการไหว้พระ 9 วัด ของพุทธศาสนิกชน โดยมีคติว่าจะได้ร่มเย็นเป็นสุขและยังมีสถาปัตยกรรมและประติมากรรมที่ทรงคุณค่างดงามให้ความประทับใจทุกครั้งที่มาเยือน เช่น
พระอุโบสถวัดพระเชตุพนฯ
ศาลาการเปรียญ
พระพุทธเทวปฏิมากร
พระมหาสถูป
พระวิหารทิศ
พระเจดีย์หมู่ห้าฐานเดียว
พระเจดีย์ราย
พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล
มณฑปหอไตร
ยักษ์วัดโพธิ์
รูปปั้นฤๅษีดัดตน
ยักษ์วัดโพธิ์ ตั้งอยู่ที่ซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป โดยมีสีกายเป็นสีแดงและสีเขียว ลักษณะคล้ายยักษ์ในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ซึ่งมักมีผู้เข้าใจผิดว่าตุ๊กตาสลักหินรูปจีน หรือลั่นถันเป็นยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งแท้จริงแล้วนายทวารบาลที่ตั้งอยู่บริเวณซุ้มประตูทางเข้าพระมณฑป คือ ยักษ์วัดโพธิ์ มีนามว่า สัทธาสูร พญาขร มัยราพณ์ และแสงอาทิตย์ และนอกจากนี้ ยังมีตำนานเกี่ยวกับยักษ์วัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำให้เกิดท่าเตียนในปัจจุบัน นั่นคือ ยักษ์วัดโพธิ์ซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดโพธิ์และยักษ์วัดแจ้งซึ่งทำหน้าที่ดูแลวัดแจ้งนั้น ทั้ง 2 ตนเป็นเพื่อนรักกัน
วันหนึ่งยักษ์วัดแจ้งไปขอยืมเงินจากยักษ์วัดโพธิ์ เมื่อถึงกำหนดส่งเงินคืน ยักษ์วัดแจ้งกลับไม่ยอมจ่าย ดังนั้น ยักษ์ทั้ง 2 ตนจึงเกิดทะเลาะกัน แต่เพราะรูปร่างที่ใหญ่โตและพละกำลังที่มหาศาลของยักษ์ทั้ง 2 ตน เมื่อเกิดต่อสู้กันจึงทำให้บริเวณนั้นราบเรียบโล่งเตียนไปหมด เมื่อพระอิศวรทราบเรื่องนี้ จึงได้ลงโทษให้ยักษ์วัดโพธิ์ยืนเฝ้าพระอุโบสถวัดโพธิ์ และยักษ์วัดแจ้งยืนเฝ้าวิหารวัดแจ้งตั้งแต่นั้นมา