ความสำคัญของค่านิยม
อาจกล่าวได้ว่าค่านิยมมีความเกี่ยวพันกับวัฒนธรรม ค่านิยมบางอย่างได้สร้างแก่นของวัฒนธรรมนั่นเอง เช่น ค่านิยมเรื่องรักอิสรเสรีของสังคมไทย ทำให้คนไทยมีพฤติกรรมที่ “ทำอะไรตามใจคือไทยแท้” เพราะฉะนั้นค่านิยมจึงมีความสำคัญมากและมีผลกระทบถึงความเจริญหรือความเสื่อมของสังคม กล่าวคือ สังคมที่มีค่านิยมที่เหมาะสมและถูกต้อง เช่น ถ้าสังคมใดยืดถือค่านิยมเรื่องความซื่อสัตย์ ความขยันหมั่นเพียร ความเสียสละ หรือความสามัคคี สังคมนั้นย่อมจะเจริญก้าวหน้าแน่นอนแต่ในทางกลับกัน ถ้าสังคมใดมีค่านิยมที่ไม่สนับสนุนความเจริญ เช่น ค่านิยมที่เชื่อเรื่องโชคชะตาก็จะก่อให้เกิดพฤติกรรมไม่กระตือรือร้น หรือเฉื่อยชา ซึ่งจะเป็นอุปสรรคในการพัฒนา เป็นต้น
อิทธิพลของค่านิยมต่อตัวบุคคล
ค่านิยมไม่ว่าจะเป็นของบุคคลหรือค่านิยมของสังคม จะมีอิทธิพลต่อตัวบุคคล ดังนี้ คือ
1. ช่วยให้บุคคลตัดสินใจว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก ดีหรือไม่ดี มีคุณค่าหรือไม่มีคุณค่าควรทำหรือไม่ควรทำ
2. ช่วยให้บุคคลในการกำหนดท่าทีของตนต่อเหตุการณ์ที่ตนต้องเผชิญ
3. ช่วยสร้างมาตรฐาน และแบบฉบับจากการประพฤติปฏิบัติของบุคคล
4. มีอิทธิพลเหนือบุคคลในการเลือกคบหาสมาคมกับบุคคลอื่น และเลือกกิจกรรม ทางสังคม ซึ่งตนจะต้องเข้าไปร่วมด้วย
5. ช่วยให้บุคคลกำหนดความคิดและแนวทางปฏิบัติ
6. ช่วยเสริมสร้างหลักศีลธรรม ซึ่งบุคคลจะใช้ในการพิจารณา การกระทำของตนอย่างมีเหตุผล
ชาวพุทธที่ดีนอกจากจะต้องพัฒนาตนเองให้เป็นคนดี มีศีลธรรม ประกอบอาชีพสุจริตแล้ว ยังมีหน้าที่ที่ต้องทำประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมด้วย ส่วนรวมในที่นี้แบ่งได้เป็น 4 ระดับ คือ ครอบครัว ชุมชน ประเทศชาติ และโลก
การบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อครอบครัว
ครอบครัวในอุดมคติตามหลักพระพุทธศาสนาเป็นสถานบันแห่งการใช้ชีวิตร่วมกันของชายหญิงที่มีอุดมการณ์ชีวิตสอดคล้องกัน ต่างฝ่ายมีความพร้อมในภาระหน้าที่อันพึงปฏิบัติต่อกัน คือการเกื้อกูลสงเคราะห์กันและผลิตสมาชิกใหม่ที่มีคุณภาพสู่สังคม จากอุดมคติของครอบครัวดังกล่าว ทำให้เห็นมิติที่นำไปสู่ภารกิจของครอบครัวสำคัญ 2 ประการคือ
มิติที่ 1 คือการที่ครอบครัวในฐานะสถาบันจะต้องมีความเป็นปึกแผ่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
มิติที่ 2 เมื่อสมาชิกเกิดขึ้นมาใหม่ ก็จะต้องได้รับการอบรมเลี้ยงดูให้มีคุณภาพตามที่ประสงฆ์
มิติทั้งสองประการนี้ เป็นอุดมการณ์สำคัญในการดำเนินชีวิตครอบครัวตามแนวพระพุทธศาสนา ซึ่งให้ความสำคัญแก่ครอบครัวในฐานะเป็นรากฐานของสังคมที่มีความจำเป็นต่อการดำรงอยู่ของมวลมนุษยชาติ จึงเน้นให้ผู้ครองเรือนดำรงตนอย่างถูกต้องตามวิถีทางแห่งฆราวาส
ในพระพุทธศาสนามีหลักธรรมสำหรับให้ครในครอบครัวปฏิบัติเรียกว่า "กุลจิรัฏฐิติธรรม 4" หลักธรรม 4 ประการที่ทำให้ตระกูลมั่งคั่ง ประกอบด้วย
1. ของหายของหมดต้องแสวงหา
2. ของเก่าชำรุดต้องบูรณซ่อมแซม
3. รู้จักประมาณในการใช้จ่าย
4. ต้งผู้มีศีลธรรมเป็นพ่อบ้านแม่เรือน
หลักกุลจิรัฏฐิติธรรม 4 จึงเป็นหลักธรรมที่ผู้ครองเรือนทั้งหญิงและชายพึงยึดถือปฏิบัติเพื่อรับผิดชอบและรักษาครอบครัวให้คงอยู่อย่างสมบูรณ์
2. การบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อชุมชน
ชุมชนนั้นใหญ่กว่าครอบครัวแต่เล็กกว่าประเทศ ชุมชน คือ กลุ่มคนที่อยู่ใกล้ เคียงกัน พบปะกันเป็นประจำ มีศาสนา วัฒนะรรม ภาษา และอาชีพคล้ายกัน ถ้าชุมชนเข้มแข็ง รักใคร่สามัคคีกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ครอบครัวก็จะดีขึ้นด้วย เราจึงมีหน่าที่ที่จะต้องรักษาทำนุบำรุงให้ชุมชนเจริญก้าหวน้า
การที่ชุมชนจะเจริยก้าวหน้าหรือมั่งคั่งได้ คนในชุมชนต้องรักและสามัคคีกัน ในทางพระพุทธศาสนามีคำสอนเรื่อง "สังคหวัตุ 4"
สังคหวัตถุ 4 หมายถึง หลักธรรมที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวน้ำใจของผู้อื่น ผูกไมตรี เอื้อเฟื้อ เกื้อกูล หรือเป็นหลักการสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน มีอยู่ 4 ประการ ได้แก่
1. ทาน คือ การให้ การเสียสละ หรือการเอื้อเฟื้อแบ่งปันของๆตนเพื่อประโยชน์แก่บุคคลอื่น ไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ไม่เป็นคนเห็นแก่ได้ฝ่ายเดียว คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้ไม่เป็นคนละโมบ ไม่เห็นแก่ตัว เราควรคำนึงอยู่เสมอว่า ทรัพย์สิ่งของที่เราหามาได้ มิใช่สิ่งจีรังยั่งยืน เมื่อเราสิ้นชีวิตไปแล้วก็ไม่สามารถจะนำติดตัวเอาไปได้
2. ปิยวาจา คือ การพูดจาด้วยถ้อยคำที่ไพเราะอ่อนหวาน พูดด้วยความจริงใจ ไม่พูดหยาบคายก้าวร้าว พูดในสิ่งที่เป็นประโยชน์เหมาะสำหรับกาลเทศะ พระพุทธเจ้าทรงให้ความสำคัญกับการพูดเป็นอย่างยิ่ง เพราะการพูดเป็นบันไดขั้นแรกที่จะสร้างมนุษย์สัมพันธ์อันดีให้เกิดขึ้น วิธีการที่จะพูดให้เป็นปิยวาจานั้น จะต้องพูดโดยยึดถือหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้
เว้นจากการพูดเท็จ
เว้นจากการพูดส่อเสียด
เว้นจากการพูดคำหยาบ
เว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
3. อัตถจริยา คือ การสงเคราะห์ทุกชนิดหรือการประพฤติในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ผู้อื่น
4. สมานัตตา คือ การเป็นผู้มีความสม่ำเสมอ หรือมีความประพฤติเสมอต้นเสมอปลาย คุณธรรมข้อนี้จะช่วยให้เราเป็นคนมีจิตใจหนักแน่นไม่โลเล รวมทั้งยังเป็นการสร้างความนิยม และไว้วางใจให้แก่ผู้อื่นอีกด้วย
3. การบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
สิ่งแรกที่เราควรบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติได้ คือการ การเป็ฯพลเมืองดี ทำตามกฎหมายบ้านเมือง และเมื่อเห็นคนทำผิดกฆมายก็แจ้งให้ผู้ที่เกี่ยวข้องทราบ ข้อต่อมาก็ส่งเสริมให้เกิดความสามัคคีของคนในชาติ ไม่แบ่งฝักแบ่งฝ่ายในเรื่อง ศาสนา เชื้อชาติ วัฒนธรรมและชนชั้น เราต้องพยายามทำใจให้กว่างในเรื่องเหล่านี้ การแตกแยกในเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องใหญ่ ทำให้ประเทศชาติไม่เป็ฯอันหนึ่งอันเดียวกัน ปราศจากความสามัคคี เกิดความร้าวฉาน และเมื่อประเทศไทยไม่มั่นคงการพัฒนาประเทศก็เป็นไปได้ยาก ในพระพุทธศาสนามีหลักธรรมข้อหนึ่ง ที่จะก่อให้เกิดความเจริญแก่บ้านเมือง คือ "อปริหานิยธรรม"
อปริหานิยธรรม 7 คือ ธรรม ไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม เป็นไปเพื่อความเจริญฝ่ายเดียว องค์ประกอบของ อปริหานิยธรรม มี 7 อย่าง คือ
1. หมั่นประชุมกันเนืองนิตย์
2. เมื่อประชุมก็พร้อมเพรียงกันประชุม เมื่อเลิกประชุมก็พร้อมเพรียงกันเลิกและพร้อมเพรียงช่วยกันทำกิจที่สงฆ์จะต้องทำ
3.ไม่บัญญัติสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติขึ้น ไม่ถอนสิ่งที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้แล้ว สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบทตามที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้
4. ภิกษุผู้ใหญ่เป็นประธานในสงฆ์ เป็นที่ซึ่งเคารพนับถือ ภิกษุเหล่านั้นเชื่อฟังถ้อยคำของท่าน
5.ไม่ลุอำนาจแก่ความอยากที่เกิดขึ้น
6. ยินดีในเสนาสนะป่า
7. ตั้งใจอยู่ว่า เพื่อนภิกษุสามเณรซึ่งเป็นผู้มีศีล ซึ่งยังไม่มาสู่อาวาส ขอให้มา ที่มาแล้ว ขอให้อยู่เป็นสุข
ธรรม 7 อย่างนี้ ตั้งอยู่ในผู้ใด ผู้นั้นไม่มีความเสื่อมเลย มีแต่ความเจริญฝ่ายเดียว
4. การบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ
สำหรับนักเรียน สามารถที่จะบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อโลกได้ เช่น
1. ช่วยกันรักษาทรัพยากรธรรมและสิ่งแวดล้อม
2. ช่วยกันทำให้โลกมีสันติภาพ นักเรียนอาจจะช่วยอะไรหม่ได้มากนัก แต่เราสามารถทำได้โดยเริ่มที่ตัวเรา โดยพัฒนาตัวเราหรือคนใกล้เคียงให้มีนิสัยรักสันติ ไม่นิยมความรุ่นแรงง ฝึกตนให้มีขันติ รู้จักรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น
3. รับว่าคนในโลกซึ่งแตกต่างกีนของเชื้อชาติ ศาสนา วัฒนธรรมนั้นเป็นเพื่อนร่วมดลกเดียวกัน เกิด แก่ เจ็บ ตาย เหมือนกันทุกคน รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเรา พยายามยึดหลัก "พรหมวิหาร 4"
ตัวอย่างของการทำประโยชน์ส่วนรวม เช่น
1. ช่วยกันกวาดถนนตามที่สาธารณะ
2. เก็บกวาดขยะของหมู่บ้านของตนเอง
3. กวาดลานวัดทำความสะอาดวัด
4. ช่วยกันปลูกต้นไม้เพื่อลดภาวะโลกร้อน
ปลูกจิตใต้สำนึก
จิตสำนึกของคน จากการศึกษาพบว่า มี 2 ลักษณะคือ จิตสำนึกภายใน และจิตสำนึกภายนอก
1. จิตสำนึกภายใน เป็นสิ่งที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของพ่อแม่และบรรพบุรุษ เป็นจิตสำนึกที่อยากทำด้วยจิตใจของตนเอง ไม่มีใครมาบงการให้ทำนั่นทำนี่ หน่วยงานหรือองค์กรใด มีคนในลักษณะดังกล่าวมาร่วมงาน จะทำให้หน่วยงานและองค์กรนั้น มีแต่ความเจริญรุ่งเรือง เพราะได้รับความร่วมมือด้วยดี
2. จิตสำนึกภายนอก คือการกระทำโดยมีคนอื่นบอกให้ทำ บังคับให้ทำ ทำตามแนวทางที่หน่วยงานและองค์กรต่าง ๆ กำหนดขึ้น เพื่อใช้เป็นแนวปฏิบัติ การทำในลักษณะดังกล่าว จะขาดความร่วมมือในกิจกรรมนั้น ๆ เพราะเป็นการปฏิบัติตามแนวทาง ถ้าไม่ทำจะได้รับการลงโทษ การว่ากล่าวตักเตือน ซึ่งคนที่มีจิตสำนึกที่มีมาจากภายใน จะไม่เกิดความประทับใจ หน่วยงานหรือองค์กรใด มีบุคคลลักษณะดังกล่าวทำงาน มักจะก่อปัญหาในหน่วยงานและองค์กร กิจกรรมต่าง ๆ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จ
ลองมองย้อนกลับดูว่า ถ้าผู้คนขาดการมี จิตสำนึก หรือ จิตสาธารณะที่ดี สังคมส่วนรวมจะประสบปัญหาอย่างไร จากการศึกษาผลกระทบที่นักวิชาการ ร่วมศึกษามา และจากการศึกษาจากตำราต่าง ๆ น่าจะมีผลกระทบทั้งในระดับครอบครัว ชุมชน ระดับชาติ ตลอดจนถึงระดับโลก ดังนี้
ในระดับครอบครัว ครอบครัวไทยในปัจจุบัน เป็นครอบครัวขนาดเล็ก นอกจากพ่อแม่แล้ว ในครอบครัวหนึ่ง ๆ จะมีลูก 2-3 คนเท่านั้น เพราะไม่สามารถเลี้ยงดูลูกที่มีมากมายได้ ลูกที่ไม่มาก พ่อแม่สามารถเลี้ยงดูได้ค่อนข้างจะดีและมีคุณภาพ นอกจากให้การศึกษาในสถาบันการศึกษาแล้ว พ่อแม่ ยังช่วยกันอบรมสั่งสอนในด้านคุณธรรมจริยธรรมให้กับลูก ๆ เพื่อให้เป็นพลเมืองที่ดีของชาติ ครอบครัวจะมีแต่ความสุขและความอบอุ่น ผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ในกรณีที่ครอบครัวขาดผู้นำที่ดี พ่อแม่แยกทางกัน ลูก ๆ ขาดความอบอุ่น พึ่งพ่อแม่ไม่ได้ กลับต้องไปพึ่งพาเพื่อน ๆ เด็กและเยาวชน ต่างคนก็ต่างไปพึ่งยาเสพติดแทน ครอบครัวเริ่มอ่อนแอ สั่นคลอน นับว่าเป็นผลกระทบกับสังคมส่วนรวมในอนาคต เพราะครอบครัวเป็นสถาบันที่เล็กที่สุด ถ้าครอบครัวมีปัญหา ก็จะส่งผลกระทบต่อชุมชนและสังคมภายนอกในเรื่อง จิตสาธารณะ อย่างแน่นอน
ในระดับชุมชน ถ้าคนในชุมชนขาด จิตสำนึก ขาดจิตสาธารณะ ต่างคนต่างอยู่ ไม่มีใครสนใจใคร ชุมชนเริ่มอ่อนแอ ยิ่งนานไป ก็มีแต่เสื่อมทรุดลง เพราะชุมชนขาดการพัฒนา ขาดศูนย์รวมทางจิตใจ ขาดผู้นำที่ดีและเข้มแข็ง สมาชิกขาดการมีส่วนร่วม เนื่องจากการ เห็นแก่ตัว ไม่ยอมเสียสละ กลัวเสียทรัพย์รวมทั้งต้องเสียเวลา ที่ต้องมาช่วยเหลือชุมชน เมื่อชุมชนขาดการพัฒนา อาชญากรรมในชุมชนย่อมเกิดขึ้น อันจะส่งผลให้ชุมชนเกิดการล่มสลายในอนาคต
ในระดับชาติ ย่อมรับผลจากครอบครัว จากชุมชน ถ้าครอบครัวและชุมชนขาด จิตสาธารณะ ที่ดี ขาดความความเข้มแข็ง ประเทศชาติก็ย่อมเกิดวิกฤตการณ์ภายในประเทศทุกด้าน ผู้นำประเทศแก้ปัญหาไม่ได้เพราะ บุคลากรในประเทศขาดการเสียสละ มีการเบียดเบียนทำลายทรัพยากรและสมบัติที่เป็นส่วนรวมอย่างต่อเนื่อง เหมือนปลวกที่คอยแทะกินเนื้อไม้ ประเทศชาติตกอยู่ในสภาพที่ล้าหลัง ไม่สามารถต่อสู้กับชาติอื่นที่อยู่ข้างเคียงได้ เพราะขาดพลังและความร่วมมือของคนในสังคม แม้ว่าผู้นำประเทศ จะนำมาตรการใด ๆ ออกมาใช้ ประชาชนก็จะขัดขวาง ไม่ให้ความร่วมมือ เกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวก แก่งแย่งแข่งขัน เห็นแก่ตัว เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตนและกลุ่มของตน การทุจริตคอรัปชั่นจึงเกิดขึ้น ผลที่ตามมาคือ การล่มสลายของชาติ
ในระดับโลก ซึ่งเป็นระดับที่ได้รับผลกระทบในวงกว้าง ถ้าบุคคลในระดับประเทศขาด จิตสำนึกสาธารณะ ต่างประเทศ ต่างอยู่ หวังแต่เอารัดเอาเปรียบกับประเทศอื่น โดยไม่มีจิตสำนึกในการช่วยเหลือ โดยเฉพาะ ประเทศที่ด้อยโอกาส การพัฒนามีน้อย หวังแต่จะกอบโกยผลประโยชน์เข้าภายในประเทศของตนเอง ขาดความช่วยเหลือมิตรประเทศที่เคียงข้าง หวังให้ประเทศของตนเองอยู่รอดปลอดภัยเท่านั้น ประเทศที่ถูกเอาเปรียบ เกิดความไม่พอใจ หวังที่จะแก้แค้น ขาดการไว้วางใจซึ่งกันและกัน แต่ละประเทศมีการสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ เพื่อปกป้องประเทศของตนเอง เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น มักมีแนวโน้มในการใช้กำลังและความรุนแรง เพื่อแสดงแสนยานุภาพทางการสงคราม ในการตัดสินปัญหา
การเอาเปรียบในเรื่องการค้าระหว่างประเทศ ที่รัฐบาลพยายามทุกวิถีทาง เพื่อให้เกิดการได้เปรียบทางการค้า ทำให้ประเทศด้อยกว่า ขาดโอกาสในการพัฒนาประเทศของตน อันเป็นผลให้เกิดการรังเกียจเหยียดหยามคนต่างเชื้อชาติ สีผิว มีศักดิ์ศรีที่ด้อยกว่าประเทศของตน ดังนั้นผลกระทบที่เกิดขึ้นจากปัญหาต่างระดับ จากครอบครัวสู่ชุมชน สู่ประเทศ ที่ส่งผลต่อโลกกลม ๆ ใบนี้ ในอนาคต ถ้าสามารถขจัดความเห็นแก่ตัวของคนได้ตั้งแต่ ระดับครอบครัว ความสันติสุขของคนในระดับต่าง ๆ จนถึงระดับโลก ย่อมจะเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
จากความสำคัญดังกล่าว ขึ้นอยู่กับ ความสำนึก จิตสำนึก ที่พัฒนาไปเป็น จิตสาธารณะ หรือ จิตสำนึกสาธารณะ ถ้าสามารถปลูกฝัง ส่งเสริมหรือพัฒนาให้เด็กมีจิตสำนึกด้านสาธารณะ ด้วยวิธีการต่าง ๆได้ จะทำให้เด็กและเยาวชน มีจิตใจที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนรวม มากกว่าประโยชน์ส่วนตน นั่นคืออาสาดูแลรับผิดชอบสมบัติส่วนรวม มีการใช้สมบัติของส่วนรวม อย่างเห็นคุณค่า ใช้อย่างทะนุถนอมและประหยัด รู้จักการแบ่งปัน เปิดโอกาสในการใช้ของส่วนรวมต่อผู้อื่น เมื่อเด็กและเยาวชนเจริญเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ปัญหาที่เกิดการเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ปัญหาการทำลายสาธารณะสมบัติต่าง ๆ จะลดลง การเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน และประโยชน์ของพวกพ้องก็จะลดน้อยลง และจะนำมาสู่สังคมที่พัฒนาขึ้น
การสร้างจิตสำนึกของคน ต้องได้รับการปลูกฝังตั้งแต่เด็ก จากบุคคลต่าง ๆ เช่น พ่อแม่ที่อยู่ที่บ้าน ผู้ปกครองส่วนท้องถิ่น ในหน่วยงานหรือองค์กร พระสงฆ์องค์เจ้าที่วัด และครูในสถานศึกษา บุคคลเหล่านั้นจะเพิ่มบทบาทที่สำคัญยิ่งในการอบรมสั่งสอน และเป็นแบบอย่างที่ดีของเด็กและเยาวชน
เด็กและเยาวชน ที่มีความรับผิดชอบต่อสังคม จะเป็นการช่วยเหลือและไม่สร้างความเดือดร้อน ความเสียหายกับผู้อื่นหรือสังคมในลักษณะต่าง ๆ ดังนี้
1. รับผิดชอบต่อครอบครัว โดยเชื่อฟังพ่อแม่ การช่วยเหลืองานบ้าน ร่วมกับพ่อแม่พี่น้องรวมทั้งญาติ ๆ ไม่ทำให้พ่อแม่ต้องได้รับความเดือดร้อนและเสียใจ
2. รับผิดชอบต่อตนเอง โดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้กับตนเอง ไม่ทำร้ายตัวเองไม่เสพยาเสพติด ไม่ดื่มสุรา ไม่สูบบุหรี่ อันเป็นเหตุให้เสียสุขภาพ มีความรับผิดชอบต่อโรงเรียน การดูแลรักษาความสะอาด การทิ้งเศษขยะลงถังที่จัดเตรียมไว้ ไม่ขีดเขียนข้อความใด ๆ ที่โต๊ะ เก้าอี้ และผนังของอาคาร ปฏิบัติตามกฎระเบียบวินัยของโรงเรียน ช่วยรักษาทรัพย์สมบัติของโรงเรียน มีความรับผิดชอบต่อครู เช่น ตั้งใจเล่าเรียน เชื่อฟังคำสั่งสอนของครู
3. รับผิดชอบต่อบุคคลอื่น เช่นการให้ความช่วยเหลือ ให้คำแนะนำ ไม่เอารัดเอาเปรียบบุคคลอื่น เคารพสิทธิและให้เกียรติซึ่งกันและกัน อันจะเป็นการสร้างความรักและความสุขกับสังคมส่วนรวม
4. รับผิดชอบต่อสังคมและสาธารณะ เช่น ปฏิบัติตามกฎระเบียบของบ้านเมือง ปฏิบัติตามกฎหมาย รักษาทรัพย์สมบัติของส่วนรวม ให้ความร่วมมือกับชุมชนและสังคม
5. การมีส่วนร่วมในการพัฒนาทางด้านการเมือง การมีความกระตือรือร้น ในสิทธิเสรีภาพและหน้าที่ ตามระบอบการปกครองประชาธิปไตย การทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาทางด้านการเมือง การทำหน้าที่ในการเลือกตั้งผู้แทนทุกระดับของหน่วยงานและองค์กร ประกอบกับต้องช่วยกันสอดส่องดูแลความเคลื่อนไหวทางการเมือง เพื่อให้เกิด ความโปร่งใส ตรวจสอบความยุติธรรม ในการสรรหาคนดีเข้าสู่ระบบการปกครองประชาธิปไตย สร้างความเป็นธรรมให้บังเกิดขึ้นในสังคมและประเทศชาติ ด้วยจิตสำนึกสาธารณะ
เด็กและเยาวชน ร่วมสร้างความรุ่งเรืองให้กับสังคมและสาธารณะ คือการสร้างจิตใจและจิตสำนึกให้เป็น จิตสาธารณะ นั่นคือเด็กและเยาวชน ต้องมีความรับผิดชอบในตนเอง และต้องเป็นความรับผิดชอบหรือ จิตสำนึกที่มาจากภายใน แม้ว่าจะได้รับการอบรมสั่งสอน ถ้าใจตนเองไม่ยอมรับ จิตสาธารณะ จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน ดังนั้นคำว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน จึงเป็นความสำคัญส่วนหนึ่ง ในการสร้าง จิตสาธารณะ เพราะถ้าแต่ละคนไม่พยายามที่จะช่วยเหลือตนเอง ไม่พยายามที่จะพึ่งตนเอง จะรอแต่คนอื่นเขามาช่วย สังคมก็คงจะมีแต่ คนที่ง่อยเปลี้ยเสียแรง และรอรับการช่วยเหลืออย่างเดียว
นอกจากเด็กและเยาวชน จะมีความพร้อมในการสร้างความตระหนักและความสำนึกในใจของตนเองแล้ว แนวทางที่สำคัญในการสร้าง จิตสาธารณะ ยังมีอีกหลายประการที่เด็กและเยาวชนต้องตระหนักคือ
1. การเพิ่มคุณค่าการมีวินัยในตนเอง นั่นคือความตระหนักถึงการมีส่วนร่วม การปกครองในระบอบประชาธิปไตย เด็กและเยาวชนทุกคน ต้องศึกษาสิทธิ เสรีภาพ หน้าที่ ความรับผิดชอบต่อตนเองและสาธารณะ
2. สิ่งแวดล้อมคือชีวิต เด็กและเยาวชนต้องตระหนักอยู่เสมอว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของสังคม เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อม ทุกคนต้องช่วยกันดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ถ้าสิ่งแวดล้อมโดยส่วนรวมดี ก็จะส่งผลดีกลับคืนมายังผู้คนในผืนโลกใบนี้ ได้พบแต่ความสุข อากาศที่ดีและสดชื่น
3. ขจัดผลกระทบที่เกิดขึ้นกับส่วนรวม เด็กและเยาวชนทุกคนต้องช่วยผู้ใหญ่ ในการกำหนดแผนการดูแลและแก้ไข จากผลกระทบที่จะเกิดขึ้น ในอันที่จะเป็นเหตุทำให้โลกร้อนเช่น การใช้พลังงาน โรงงานอุตสาหกรรม การทำลายป่าไม้ ต้นน้ำ ลำธาร การขจัดสิ่งที่จะก่อให้เกิดมลพิษต่าง ๆ บ้านทุกหลังต้องสร้างบ่อพักน้ำทิ้ง บ่อดักไขมัน ก่อนปล่อยน้ำลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ
4. หลักธรรมช่วยในการดำเนินชีวิต สังคมเป็นสุข เพราะหลักธรรมหรือคำสั่งสอนของทุกศาสนา ซึ่งในแต่ละศาสนา ล้วนแต่สอนให้คนเป็นคนดีทั้งสิ้น ถ้าปฏิบัติได้ ย่อมจะทำให้สังคมเป็นสุข ดูแลตนเอง บังคับจิตใจ ไม่ทำร้ายตนเอง ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่เบียดเบียนซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะเด็กและเยาวชน ที่จะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ดูแลบ้านเมืองแทนผู้ใหญ่ในปัจจุบัน ถ้ายึดมั่นในหลักธรรมคำสอนของศาสดาแต่ละศาสนา จะทำให้สังคมอยู่เย็นเป็นสุขอย่างแน่นอน
สรุปได้ว่า จิตสาธารณะ หรือจิตสำนึกสาธารณะ เป็นสิ่งที่มีความจำเป็น อันจะเป็นประโยชน์ ในทุกระดับ โดยเฉพาะ ถ้าพัฒนาให้เกิดขึ้นได้อย่างเข้มแข็ง ตั้งแต่บุคคลในระดับครอบครัว ทั่วโลก ย่อมส่งผลดีในระดับที่สูงขึ้นเป็นลำดับ และที่สำคัญที่สุด การสร้างและปลูกฝังจิตสำนึก ที่ดีนั้น ต้องสร้างกับ เด็กและเยาวชนเป็นพื้นฐาน เพราะเด็กสามารถรับรู้ในสิ่งที่ดีงามจากพ่อแม่ที่บ้าน รับรู้จากผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้นำชุมชน พระสงฆ์องค์เจ้า ดูแลลูกหลานในระดับชุมชนและสังคม เมื่อถึงสถาบันการศึกษา ครูจะคอยอบรมสั่งสอน ทั้งด้านวิชาการ อบรมคุณธรรม จริยธรรม ปลูกฝังให้เด็กและเยาวชนรู้จักการเสียสละ การ ให้ มากกว่า การรับ อย่างเดียว จะทำให้เด็กและเยาวชน พัฒนาจิตใจในการช่วยเหลือผู้อื่น มีความอ่อนน้อมถ่อมตน เตรียมเข้าสู่การพัฒนา จิตใจตนเองสู่ จิตสำนึกสาธารณะ ต่อไป
กลายเป็นเด็กดี ที่มีความเรียบร้อยมากขึ้น ทำให้มีสมาธิในการทำกิจกรรมอื่นๆ ดีขึ้นมาก ทำให้เด็กกลายเป็นเด็กไม่ใช้ความรุนแรง
ทำให้เด็กมีความสามัคคีกนมากขึ้น ไม่ทะเลาะกัน ไม่ตบตีกัน อีกทั้งยังทำให้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดด้วย
1 ช่วยทำให้สร้างความพื้นฐานที่ดีต่อจิตใจ
2. ทำให้ได้ความสามัคคีกับเพื่อนฝูง
3.ทำให้เป็นการใช้เวลาว่างที่เป็นประโยชน์
http://www.volunteerspirit.org/
https://www.google.co.th/search?q=%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%95%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%B2&newwindow=1&tbm=isch&tbo=u&source=univ&sa=X&ei=iOrqVPeSJ4SxuASV_IKgCQ&ved=0CD8QsAQ&biw=1517&bih=741&dpr=0.9
http://www.nitade.lpru.ac.th/2012/html/news9.html