1. ความหมายของการเลือกตั้ง
การเลือกตั้ง คือ การที่ราษฎรใช้สิทธิของตนเองลงคะแนนเสียงเลือกตัวแทน เพื่อทําหน้าที่ แทนตนในการปกครองแต่ละระดับของประเทศ เช่น การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเลือกตั้ง สมาชิกสภาจังหวัด เป็นต้น
การเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตยนั้นต้องเป็นการเลือกตั้งโดยเสรี กล่าวคือ ต้องเปิดกว้าง ให้อิสระในการตัดสินใจทั้งในแง่ของผู้สมัครและผู้ออกเสียง ทั้งนี้ ต้องเป็นไปโดยบริสุทธิ์และยุติธรรม ไม่มีการชี้นําหรือบังคับให้เลือก
2. ความสําคัญของการเลือกตั้ง
ประชาชนเป็นผู้มีอํานาจในการปกครองประเทศ แต่ในสภาพสังคมปัจจุบัน ย่อมเป็นไป ไม่ได้ที่ประชาชนทุกคนจะทําหน้าที่ปกครองประเทศพร้อม ๆ กัน จึงมีความจําเป็นต้องเลือกผู้แทนของ ตนเข้าไปทําหน้าที่แทนตน และประชาชนสามารถเปลี่ยนผู้แทนซึ่งใช้อํานาจแทนตนได้ โดยเลือกผู้ที่ตน เห็นว่าประโยชน์แก่ส่วนรวมตามแนวทางที่ตนต้องการ โดยพิจารณาจากนโยบายของผู้สมัครหรือพรรค ของผู้สมัคร
3. การเลือกตั้งผู้แทนในระดับต่าง ๆ
การเลือกตั้งในประเทศไทยมีหลายระดับ ตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน กล่าวคือ
3.1 ระดับหมู่บ้าน คือ การเลือกผู้ใหญ่บ้าน กรรมการหมู่บ้านและสมาชิกสภาท้องถิ่น
3.2 ระดับตําบล คือ กํานัน ผู้บริหารท้องถิ่น
3.3 ระดับอําเภอ คือ สมาชิกสภาเทศบาลและสมาชิกสภาเมืองพัทยา
3.4 ระดับจังหวัด คือ สมาชิกสภาจังหวัด และการเลือกตั้งในกรุงเทพฯ ซึ่งได้แก่ การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร การเลือกตั้งสมาชิกสภา กทม. และการเลือกตั้งสมาชิกสภาเขต
3.5 ระดับชาติ คือ การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา
4. คุณสมบัติของผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้สมัครรับเลือกตั้ง
4.1 คุณสมบัติผู้มีสิทธิเลือกตั้ง สส. สว.
4.1.1 มีสัญชาติไทย แต่บุคคลที่มีสัญชาติไทย โดยการเปลี่ยนแปลงสัญชาติต้อง ได้สัญชาติไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี
4.1.2 มีอายุไม่ต่ํากว่าสิบแปดปีบริบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้ง
4.1.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึง วันเลือกตั้ง
4.2 คุณสมบัติผู้มีสิทธิเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น
4.2.1 มีสัญชาติไทย แต่บุคคลผู้มีสัญชาติไทยโดยการแปลงสัญชาติ ต้องได้สัญชาติ ไทยมาแล้วไม่น้อยกว่าห้าปี
4.2.2 มีอายุไม่ต่ําสิบแปดปีบริบูรณ์ในวันที่ 1 มกราคมของปีที่มีการเลือกตั้ง
4.2.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งมาแล้ว เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่า หนึ่งปีนับถึงวันเลือกตั้ง และ
4.2.4 คุณสมบัติอื่นที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองกําหนด
ในกรณีที่มีการย้ายทะเบียนบ้านออกจากเขตเลือกตั้งหนึ่ง ไปยังอีกเขตเลือกตั้ง หนึ่งภายในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเดียวกันอันทําให้บุคคลมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ในเขตเลือกตั้งเป็น เวลาติดต่อกันน้อยกว่าหนึ่งปี นับถึงวันเลือกตั้ง ให้บุคคลนั้นมีสิทธิออกเสียงลงคะแนนเลือกตั้ง ในเขต เลือกตั้งที่ตนมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านครั้งสุดท้าย เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าหนึ่งปี
4.3 คุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง สส.
4.3.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
4.3.2 มีอายุไม่ต่ํากว่ายี่สิบห้าปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง
4.3.3 สําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า เว้นแต่เคยเป็นสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรหรือสมาชิกวุฒิสภา
4.3.4 เป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งแต่เพียงพรรคเดียวนับถึง วันสมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าเก้าสิบวัน
4.3.5 ผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งต้องมีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังต่อไปนี้ด้วย คือ
(1) มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับสมัครรับเลือกตั้งมาแล้วเป็นเวลา ติดต่อกันไม่น้อยกว่าหนึ่งปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
(2) เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง หรือเคยเป็น สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่นในจังหวัดนั้น
(3) เป็นบุคคลที่เกิดในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง
(4) เคยศึกษาในสถานศึกษาที่ตั้งอยู่ในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้งเป็นเวลาติดต่อกัน ไม่น้อยกว่าสองปีการศึกษา
(5) เคยรับราชการหรือเคยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในจังหวัดที่สมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าสองปี
4.4 คุณสมบัติผู้มีสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง สว.
4.4.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
4.4.2 มีอายุไม่ต่ํากว่า 40 ปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง
4.4.3 สําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า
4.4.4 มีลักษณะอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาตรา 107 (5)
4.5 คุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น
4.5.1 มีสัญชาติไทยโดยการเกิด
4.5.2 มีอายุไม่ต่ํากว่ายี่สิบห้าปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง
4.5.3 มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่สมัครรับเลือกตั้ง เป็นเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าหนึ่งปีนับถึงวันสมัครรับเลือกตั้ง
4.5.4 คุณสมบัติอื่นที่กฎหมายว่าด้วยการจัดตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นกําหนด
4.6 คุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ผู้บริหารท้องถิ่น
4.6.1 กรณีนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด
(1) มีอายุไม่ต่ํากว่าสามสิบปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง
(2) สําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิก สภาจังหวัดสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา
(3) ไม่เป็นผู้พ้นจากตําแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือ ผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่น เลขานุการหรือที่ปรึกษาผู้บริหารท้องถิ่น เพราะเหตุมีส่วนได้เสีย ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทํากับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่ถึงห้าปีนับถึง วันสมัครรับเลือกตั้ง
4.6.2 นายกเทศมนตรี
(1) มีอายุไม่ต่ํากว่าสามสิบปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง
(2) สําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา
(3) ไม่เป็นผู้พ้นจากตําแหน่งสมาชิกสภาท้องถิ่น คณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหาร ท้องถิ่นรองผู้บริหารท้องถิ่น หรือที่ปรึกษาหรือเลขานุการของผู้บริหารท้องถิ่น เพราะเหตุมีส่วนได้เสียไม่ว่า ทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาที่กระทํากับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ยังไม่ถึงห้าปีนับถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง
(4) เคยเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ซึ่งถูกให้พ้นจากตําแหน่ง เนื่องจากกระทําการทุจริตหรือประพฤติมิชอบ
4.6.3 นายกองค์การบริหารส่วนตําบล
(1) มีอายุไม่ต่ํากว่าสามสิบปีบริบูรณ์ในวันเลือกตั้ง
(2) สําเร็จการศึกษาไม่ต่ํากว่ามัธยมศึกษาตอนปลายหรือเทียบเท่า หรือเคยเป็นสมาชิก สภาตําบล สมาชิกสภาท้องถิ่น ผู้บริหารท้องถิ่น หรือสมาชิกรัฐสภา
(3) ไม่เป็นผู้มีพฤติกรรมในทางทุจริตหรือพ้นจากตําแหน่งสมาชิกสภาตําบล สมาชิก สภาท้องถิ่นคณะผู้บริหารท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น รองผู้บริหารท้องถิ่นหรือเลขานุการ หรือที่ปรึกษาของ ผู้บริหารท้องถิ่นเพราะเหตุที่มีส่วนได้เสียไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อมในสัญญาหรือกิจการที่กระทํากับองค์กร ปกครองส่วนท้องถิ่นยังไม่ถึงห้าปีนับถึงวันรับสมัครเลือกตั้ง
วิธีการเลือกตั้งในระดับหมู่บ้านอาจทําได้ทั้งวิธีลงคะแนนลับและเปิดเผย การเลือกตั้ง ในระดับอื่น ๆ จะใช้วิธีลับ ซึ่งมีขั้นตอนสําคัญ คือ จะต้องมีการตรวจสอบรายชื่อผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งภายใน ระยะเวลาที่กฎหมายกําหนด หากไม่มีชื่อหรือชื่อผิดพลาด หรือมีชื่อบุคคลที่ไม่รู้จักในบ้านของตน ก็ให้แจ้ง เจ้าหน้าที่ดําเนินการให้ถูกต้อง ที่สําคัญบัตรประจําตัวประชาชนต้องเก็บไว้กับตัว อย่าให้ใครยืมหรือทําหาย เป็นอันขาด
5. การใช้ดุลพินิจในการเลือกตั้ง
1) ในการเลือกตั้งต้องคอยติดตามประวัติและข่าวคราวเกี่ยวกับผู้สมัครอยู่เสมอ
2) ตรวจดูว่ามีสิทธิ์เลือกผู้แทนได้กี่คน
3) จําหมายเลขผู้สมัครที่ต้องการเลือกให้ได้ เมื่อรับบัตรเลือกตั้งแล้วเดินเข้าคูหา
4) ทําเครื่องหมาย X (กากบาท) ในช่องทําเครื่องหมายในบัตรเลือกตั้งให้ตรงเครื่องหมาย (หมายเลข) ของผู้สมัคร
5) พับบัตรเลือกตั้งให้กรรมการหย่อนลงในหีบบัตรต่อหน้าตนเอง
ข้อสําคัญต้องเลือกคนที่มีความจริงใจและเสียสละเพื่อส่วนร่วมมีความรู้ความสามารถ และมีอาชีพสุจริตเป็นหลักเป็นแหล่งแน่นอนไม่ควรเลือกผู้ที่มีเบื้องหลังไม่สุจริต และซื้อขายเสียง
6. ผลเสียของการซื้อขายเสียง
สําหรับการซื้อขายเสียง นับเป็นอันตรายอย่างยิ่งของการเลือกตั้งในทุกระดับ เพราะไม่ได้ หวังที่จะเข้ามาเพื่อช่วยสังคมส่วนร่วมอย่างจริงใจ เป็นเพียงทางผ่าน และผลประโยชน์ของตนหรือเข้ามา เพื่อกอบโกยผลประโยชน์ตามวิถีทางของเขา โดยไม่สนใจผลประโยชน์ของชาติและประชาชน คนเหล่านี้ จะไม่เห็นใครสําคัญกว่าตนเอง และประโยชน์ของตน ซึ่งไม่ควรจะให้มีโอกาสเข้าจัดการผลประโยชน์ของ ประเทศชาติและประชาชนอย่างเด็ดขาด
7. การป้องกันการซื้อขายเสียง
หนทางป้องกันการซื้อขายเสียง ก็อยู่ที่ประชาชนที่จะต้องคํานึงอยู่เสมอว่าอํานาจของ ประชาชนเป็นอํานาจศักดิ์สิทธิ์ จะซื้อขายกันไม่ได้และช่วยกันโดย
7.1 ไม่รับเงินหรือสิ่งแลกเปลี่ยน
7.2 ต่อต้านการซื้อเสียงทุกชนิดในการเลือกตั้งทุกระดับ
7.3 ถ้าพบเห็นการซื้อขายเสียงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที่และช่วยเป็นพยานให้กับทาง เจ้าหน้าที่
7.4 แนะนําคนในครอบครัวหรือเพื่อนบ้านให้เห็นภัยของการซื้อขายเสียงและร่วมกัน รณรงค์ต่อต้าน
7.5 ชักชวนกันไปใช้สิทธิให้มาก ๆ
8. การรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
การรณรงค์ให้ประชาชนเลือกตั้งให้ถือเป็นหน้าที่ของทุกคนที่จะช่วยสังคม โดยชี้ให้เห็น ความสําคัญของการเลือกตั้ง แต่การรณรงค์ไม่จําเป็นต้องรณรงค์เฉพาะช่วงที่จะมีการเลือกตั้งเท่านั้น แต่ สามารถทําได้ในทุกโอกาส เช่น
1) การติดตามข่าวสารของผู้แทนมาเผยแพร่แก่ประชาชน
2) การติดตามพฤติกรรม แนวความคิด และการตัดสินใจของผู้แทนที่มีต่อนโยบาย สาธารณะมาเผยแพร่
3) การจับกลุ่มสนทนาปัญหาของบ้านเมือง
4) ชม/ฟังการถ่ายทอดเสียงการประชุมสภาฯ สิ่งเหล่านี้ จะทําให้ประชาชนรู้สึกว่าเรื่องการ เลือกตั้งเป็นสิ่งใกล้ตัว มีผลกระทบกับประชาชนโดยตรง
9. ประชาชนควรทําอย่างไรเมื่อมีการเลือกตั้ง
การใช้ดุลพินิจในการเลือกตั้งจึงเป็นสิ่งสําคัญเราคงจะเลือกโดยเห็นแก่พรรคพวกหรือ เกรงใจเพราะเป็นคนรู้จักกันหรือมีคนมาขอร้องให้เลือกไม่ได้อีกแล้ว และโดยเฉพาะการเลือกตั้งที่เห็นแก่ อามิสสินจ้างเป็นการกระทําที่เลวร้าย ประชาชนจึงควรพิจารณาให้ถ่องแท้โดย
9.1 พิจารณานโยบาย/จุดยืนของพรรคว่าเป็นไปตามแนวทางที่เราต้องการหรือไม่
9.2 พิจารณาตัวบุคคลผู้สมัคร โดยดูประวัติความเป็นมาว่า เป็นคนดีมีจุดยืนเคียงข้าง ประชาชนและสังคมส่วนรวมหรือไม่
9.3 พิจารณาถึงบทบาทในทางสังคมและด้านต่าง ๆ ของผู้สมัครและพรรคที่สังกัด อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการเลือกตั้งทุกคนต้องปฏิบัติในหน้าที่ของพลเมือง 4 ประการ คือ
(1) ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งทุกครั้ง
(2) ชักชวนคนอื่นไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งโดยอิสระ
(3) สอดส่องดูแลไม่ให้มีการโกงเลือกตั้ง
(4) หากรู้เห็นว่ามีการโกงเลือกตั้งหรือซื้อขายเสียงให้แจ้งเจ้าหน้าที่ทันที
10. หากประชาชนไม่ไปใช้สิทธิในการเลือกตั้งจะเสียสิทธิดังต่อไปนี้
ในการที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ใช้สิทธิเลือกตั้งและมิได้แจ้งเหตุไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตาม มาตรา 21 หรือมาตรา 22 หรือแจ้งเหตุแล้วแต่เหตุนั้นมิใช่เหตุอันสมควรให้ถือว่าผู้นั้นเป็นบุคคลซึ่งไม่ไป เลือกตั้งโดยไม่แจ้งเหตุอันสมควรที่ทําให้ไม่อาจไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ได้ตามมาตรา 68 วรรคสอง ของ รัฐธรรมนูญให้ผู้นั้นเสียสิทธิดังต่อไปนี้
10.1 กรณี ส.ส. สว.
10.1.1 สิทธิยื่นคําร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้บริหารท้องถิ่น และสมาชิกสภาท้องถิ่น
10.1.2 สิทธิร้องคัดค้านการเลือกกํานันและผู้ใหญ่บ้าน ตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะ ปกครองท้องที่
10.1.3 สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้บริหาร ท้องถิ่นและสมาชิกสภาท้องถิ่น
10.1.4 สิทธิสมัครรับเลือกเป็นกํานันและผู้ใหญ่บ้าน ตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะ ปกครองท้องที่
10.1.5 สิทธิเข้าชื่อร้องขอเพื่อให้รัฐสภาพิจารณากฎหมาย ตามกฎหมายว่าด้วยการ เข้าชื่อเสนอกฎหมาย
10.1.6 สิทธิเข้าชื่อร้องขอให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่น ตาม กฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
10.1.7 สิทธิเข้าชื่อร้องขอเพื่อให้วุฒิสภามีมติถอดถอนบุคคล ตามกฎหมายประกอบ รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต
10.1.8 สิทธิเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ตาม กฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียเพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น
การเสียสิทธิตามวรรคหนึ่ง ให้มีกําหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้นั้นไม่ไปใช้สิทธิ เลือกตั้งจนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้นั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
10.2 กรณีไม่ไปเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่นจะเสียสิทธิ ดังนี้
10.2.1 สิทธิยื่นคําร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น
10.2.2 สิทธิร้องคัดค้านการเลือกกํานันและผู้ใหญ่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะ ปกครองท้องที่
10.2.3 สิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาท้องถิ่นและผู้บริหารท้องถิ่น
10.2.4 สิทธิสมัครรับเลือกเป็นกํานั้นและผู้ใหญ่บ้านตามกฎหมายว่าด้วยลักษณะ ปกครองท้องที่
10.2.5 สิทธิเข้าชื่อร้องขอให้สภาท้องถิ่นพิจารณาออกข้อบัญญัติท้องถิ่น ตาม กฎหมายว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอข้อบัญญัติท้องถิ่น
10.2.6 สิทธิเข้าชื่อร้องขอให้ถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่นตาม กฎหมายว่าด้วยการลงคะแนนเสียง เพื่อถอดถอนสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น