ระบอบการปกครอง (Regime of Government) หมายถึง แนวความคิด รวบยอด หรือ ลัทธิทางการเมือง ที่นำมาใช้เป็นหลักในการปกครองรัฐ การวางระบบการเมือง การกำหนดสิทธิเสรีภาพราษฎร ฯลฯ ระบอบการปกครองของประเทศต่างๆ ในโลกนี้
Pyramid of Capitalist System (พีระมิดระบบทุนนิยม) คือชื่อเรียกทั่วไปของภาพวาดการ์ตูนจากสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2454 ที่ล้อเลียนและเสียดสีข้อวิจารณ์ถึงระบบทุนนิยม โดยอ้างอิงจากต้นฉบับที่เป็นภาพวาดบนใบปลิวจากรัสเซียราวปี พ.ศ. 2443 ภาพวาดดังกล่าวมุ่งประเด็นไปที่การจัดช่วงชั้นทางสังคมออกเป็นชนชั้นต่าง ๆ และความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งภาพวาดชิ้นนี้ถูกขนานนามว่า "โด่งดัง" และ "เป็นที่รู้จักและถูกทำซ้ำอย่างแพร่หลาย" ก่อให้เกิดภาพวาดอื่น ๆ ที่อ้างอิงภาพวาดนี้ตามมาอีกหลายชิ้นงาน
การปกครองเผด็จการอำนาจนิยม
คือ การปกครองแบบเผด็จการที่ยึดหลักว่าอำนาจ ทั้งหลายทั้งปวงในรัฐต้องรวมอยู่ในมือของคนกลุ่มน้อยหรือคนกลุ่มเดียวซึ่งมีการรวมอำนาจ เช่น การรวมอำนาจด้วยวิธีการปฏิวัติรัฐประหาร ผู้ที่ยึดอำนาจรัฐได้จะเป็นรัฐบาลโดยที่รัฐบาล ไม่ต้องรับผิดชอบต่อผู้ใดโดยเฉพาะไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน เพราะเป็นฐานอำนาจ มิได้มาจากประชาชน
การปกครองแบบเผด็จการอำนาจนิยม ได้แก่
1. อัตตาธิปไตย (Authocracy) หรือ การปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กษัตริย์ ทรงไว้ซึ่งอำนาจในการปกครอง โดยไม่มีขอบเขตจำกัด เช่น จักรพรรดิซีซาร์ พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 เป็นต้น
2. คณาธิปไตย (Oligarchy) เป็นการปกครองแบบเผด็จการที่ประกอบด้วยคนกลุ่มเดียว คนกลุ่มนี้จะเป็นผู้มีอำนาจในการปกครองประเทศอย่างแท้จริง อำนาจการปกครองถูกผูกขาด โดยกลุ่มคนเดียว เช่น คณะปฏิวัติ
3. อภิชนาธิปไตย (Aristocracy) เป็นการปกครองโดยชนกลุ่มน้อย ซึ่งตามปกติมักจะเป็น ผู้มีตำแหน่งสูงในทาง ราชการ เช่น พวกขุนนาง หรือมิฉะนั้นก็เป็นผู้มีอำนาจทางเศรษฐกิจ สังคม และ การเมือง ในอดีตต่างประเทศ กลุ่มขุนนาง หรือกลุ่มอภิสิทธิ์ชน มีอำนาจเหล่านี้ จะเข้าปกครองประเทศซึ่งผลที่เกิดขึ้นจะทำให้เกิดรูปรัฐบาลเผด็จการ
การปกครองแบบเผด็จการเบ็ตเสร็จ
การปกครองแบบเผด็จการเบ็ดเสร็จ เป็นระบบปฏิบัติการที่มีการรวมอำนาจ เช่น การปฏิวัติรัฐประหาร ผู้ยึดอำนาจจะได้เป็นรัฐบาล และไม่ต้องรับผิดชอบต่อประชาชน โดยที่ว่ากิจการทุกอย่างของประชาชน รวมทั้งวิถีดำรงชีวิตทั้งปวงของประชาชนไม่ว่าจะเป็น เรื่องที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ สังคม หรือการเมือง จะต้องตกอยู่ในอำนาจของรัฐบาลแต่ผู้เดียว การปกครองแบบเผด็จการแบบเบ็ดเสร็จ ได้แก่
1. ฟาสซิส (Fascism) เป็นการปกครองแบบเผด็จการที่ประชาชนถูกจำกัดสิทธิ์และ ถูกบังคับโดยมีความเชื่อว่า คนเกิดมาเพื่อรัฐ และจะต้องรับใช้รัฐตลอดไป รัฐที่เข้มแข็งกว่า ย่อมได้สิทธิในการปกครองผู้ที่อ่อนแอกว่าต้องเสียสละสิทธิดังกล่าวการปกครองโดยคนกลุ่มน้อย หรือคนๆ เดียวเป็นการปกครองที่ดีที่สุด เพราะมีประสิทธิภาพช่วยให้ประเทศชาติเจริญอย่าง รวดเร็ว และถือว่าเป็นเสมือนสิ่งมีชีวิต ยอมต้องเจริญเติบโตอยู่ตลอดเวลา เหมือนจะต้องเจริญ ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง มีการขยายดินแดน เพราะฉะนั้นสงครามจึงเป็นสิ่งที่ชอบธรรม เช่น รัฐบาลภายใต้พรรคฟาสซิสต์ของมุสโสลินี ปัจจุบันผู้ที่นิยม ทหารนิยม ชาตินิยม เชื้อชาตินิยม หรือจักรวรรดินิยม ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นพวกฟาสซิสต์ ฉะนั้น พวกนาซีและฟาสซิสต์ ถึงมี วัตถุประสงค์ที่จะขยายดินแดน ขยายการควบคุมเขาไปในส่วนต่างๆ ในโลก เพราะถือว่า เป็นสัญลักษณ์ของความยิ่งใหญ่ของชาติตน โดยถือว่า การครอบครองชาติอื่นเป็นคุณธรรม การงครอบครองชาติอื่นได้มากขึ้นเท่าใด ชาติของตนจะมีฐานะเด่นขึ้นเท่านั้น
2. คอมมิวนิสต์ ( Communism) เป็นลัทธิการเมืองและเศรษฐกิจ คิดขึ้นโดย คาร์ลมาร์กซ์ และเองเกลส์ ซึ่ง ต้องการให้มีรัฐบาลกลางภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์มีอำนาจ เพื่อควบคุมการเมืองและเศรษฐกิจของชาติ โดยขจัดพวกที่เป็นเจ้าของทรัพย์สินหรือการผลิต ต้องการให้มีการปฏิวัติและการทำลายล้างระบบการเมืองอื่นๆ ผู้ปกครองประเทศจะต้องเป็นคอมมิวนิสต์พวกเดียวเท่านั้น ประชาชนอื่นไม่มีสิทธิ พวกคอมมิวนิสต์ถือว่าตนมีอำนาจ ปกครองเพราะอ้างว่าเป็นตัวแทนของชนชั้นกรรมาชีพ
ข้อดีของการปกครองแบบเผด็จการ
1 รัฐบาลสามารถตัดสินใจทำอย่างใดอย่างหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว
2 แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพเฉียบขาด โดยไม่จำต้องเกรงใจว่าจะเกินหน้าที่กฎหมายกำหนดไว้
3 มีส่วนก่อให้เกิดความก้าวหน้า และพัฒนาทางด้านต่างๆ เช่น ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์ และ เทคโนโลยีในประเทศ เป็นต้น
ข้อเสียของการปกครองแบบเผด็จการ
1 การปกครองโดยผํู้คนเดียวหรือกลุ่มเดียว ย่อมมีข้อผิดพลาดในการใช้อำนาจ และอำนาจเพื่อประโยชน์ ของตนและพวกพ้อง
2 อาจมีการใช้อำนาจเผด็จการกดขี่และริดรอนสิทธิเสรีภาพประชาชนหรือกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วย
3 ขัดขวางการมีส่วนร่วมของประชาชนในหลายๆ ด้าน
คำว่าประชาธิปไตย มาจากภาษาอังกฤษว่า Democracy ซึ่งมีรากศัพท์จากภาษากรีก 2 คำ คือคำว่า Demos แปลว่า ประชาชน และ Kratein แปลว่า การปกครอง เมื่อรวมกันจึงแปลว่า “การปกครองโดยประชาชน”
การปกครองแบบประชาธิปไตย วิวัฒนาการมาจากการปกครองประชาธิปไตยในนครรัฐเอเธนส์ของประเทศ กรีกโบราณ ซึ่งเป็นประชาธิปไตยโดยตรง คือประชาชนทั้งหมดของ นครรัฐ เป็นผู้ใช้อำนาจในการปกครองโดยตรง ต่อมา เมื่อการปกครองแบบนี้ได้สลายไปจากเอเธนส์ ก็ได้มาเจริญเติบโตในอังกฤษ ซึ่งต่อมาประเทศอังกฤษก็ได้ชื่อว่าเป็นแม่บท ของการปกครองแบบประชาธิปไตย
ระบบการปกครองในระบอบประชาธิปไตยนั้น คือ การปกครองที่ให้สิทธิเสรีภาพ แก่ประชาชนมากที่สุด นั่นหมายถึง การปกครองที่อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน แต่ในทางปฏิบัติประชาชนจะใช้วิธีการปกครองโดยเลือกตัวแทนเข้าไป บริหารประเทศแทนตนในสภา เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ดังนั้นบุคคล หรือคณะบุคคล จะรับตำแหน่ง ผู้ปกครอง จะต้องได้รับความเห็นชอบจากประชาชนนโยบายในการปกครองประเทศ จะต้องสอดคล้องกับความต้องการ ของประชาชนส่วนใหญ่ การที่จะเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น ต้องเป็นการปกครองโดยอำนาจของคนส่วนใหญ่ และ เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนมาก ดังนั้นการปกครองแบบนี้จึงเป็นการปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน ( คำกล่าว ของประธานาธิบดี สหรัฐอเมริกาคนที่ 16 ของอเมริกา อับราฮัม ลินคอล์น)
ประเภทการปกครองระบอบประชาธิปไตย
1 ประชาธิปไตยโดยตรง ประชาชนมาประชุมกัน อภิปราย และลงคะแนนหรือออกเสียง ร่วมกันในเรื่องสำคัญ เช่น การประชุมเรื่องงบประมาณ กฎหมายระดับท้องถิ่น หรือการลง ประชามติในระดับประเทศ เช่น การจะรับหรือไม่รับ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
2 ประชาธิปไตยโดยอ้อม (ระบบตัวแทน) เนื่องจากประเทศส่วนใหญ่มีประชาชนมาก มีความซับซ้อนต้องแบ่งงานกันทำ จึงมักใช้วิธีเลือกตั้งผู้แทนไปเป็นฝ่ายบริหารและ ฝ่ายนิติบัญญัติ
หลักเกณฑ์สำคัญของการปกครองระบอบประชาธิปไตย
1. ต้องยึดหลักกฎหมาย หรือหลักนิติธรรม คือ มีรัฐธรรมนูญเป็นหลักในการปกครอง ไม่ใช่ปกครองตามใจชอบ
2. หลักการอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ประชาชนแสดงออกซึ่งการเป็นเจ้าของโดย ใช้อำนาจที่มีตามกระบวนการเลือกตั้งอย่างอิสระทั่วถึง รายการได้มาซึ่งผู้ปกครองและผู้แทน ของตน รวมทั้งประชาชนมีอำนาจคัดค้านและถอดถอน ผู้ปกครองและผู้แทนที่ประชาชนเห็นว่า วิธีการบริหารประเทศในด้านที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมส่วนรวม เช่น มีพฤติกรรม ที่ร่ำรวย ผิดปกติ
3. ต้องยึดหลักเหตุผล เป็นหลักของนักปราชญ์ที่ว่า มนุษย์มีลักษณะเป็นสัตว์ฉลาด ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงเป็นผู้มีเหตุผล เหตุผลจะเกิดจากการที่มนุษย์ สามารถแลกเปลี่ยนความคิด เห็นซึ่งกันและกัน การแลกเปลี่ยนความคิดเห็น การโต้เถียงกัน ทำให้มนุษย์สามารถใช้เหตุผล เป็นเครื่องมือในการตัดสินใจ หลักการประชาธิปไตย จึงอยู่ที่ว่า ควรเปิดโอกาสให้คน แสดง ความคิดเห็นมากที่สุด เพื่อให้มนุษย์ให้ผลได้อย่างเต็มที่ เช่น มีการประชุมในลักษณะต่างๆ ระดับต่าง ๆ เป็นต้น
4. ต้องยึดหลักเสรีภาพ หลักประชาธิปไตยถือว่า เสรีภาพเป็นสิ่งสำคัญ เป็นเครื่องเกื้อกูล ให้มนุษย์สามารถ ใช้ปัญญา และเหตุผลได้อย่างเต็มที่ โดยกำหนดหลักเสรีภาพไว้ในรัฐธรรมนูญ และกฎหมายต่างๆ แต่เสรีภาพต้องยึดหลัก ความชอบธรรม ผเหตุผลและคุณธรรม ถ้ามีมาก จนกระทั่งไม่มีขอบเขตจำกัด จะเป็นอนาธิปไตย ที่ทุกคนเป็นใหญ่ มีอิสระ เต็มที่ทำอะไรได้ตาม ใจชอบ เสรีภาพแบบไม่มีขอบเขตนี้ ไม่ใช่ประชาธิปไตย
5. ต้องยึดหลักความเสมอภาค เป็นหลักปรัชญาเบื้องต้น ข้อความเป็นประชาธิปไตยซึ่งเป็น ปัจจัยอย่างยิ่ง ประการหนึ่ง ของประชาธิปไตย ความเสมอภาคในที่นี้หมายถึง ความเสมอภาค ทางการเมือง
6. ยึดหลักตัดสินใจโดยเสียงข้างมาก และเคารพสิทธิของเสียงข้างน้อย หลักประชาธิปไตย ต้องใช้เสียงข้างมาก เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินงาน ในการตัดสินปัญหา ในการแก้ไข ข้อขัดแย้ง การใช้เสียงข้างมากนี้ต้องยึดหลัก ความเสมอภาค คือทุกคนมีความสำคัญ และมี คุณค่าเท่ากัน และเมื่อเสียงข้างมากลงมติอย่างไรแล้ว เสียงข้างน้อยต้อง ยอมรับและปฏิบัติ เพระที่ว่าเคารพสิทธิของเสียงข้างน้อยนั้นคือ เมื่อเสียงข้างมากชนะแล้ว จะไม่มีผลกระทบ กระเทือนต่อ ผู้ที่เป็นเสียงข้างน้อย ถือเสียงข้างน้อยไม่ถือว่ามีโทษหรือมีความผิดแต่อย่างใด ทั้งสิ้น
ข้อดีของระบอบประชาธิปไตย
1. เปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการปกครอง
2. ปัญหาความขัดแย้ง ระหว่างรัฐกับประชาชนโดยวิถีทางกฎหมาย
3. กระจายอำนาจการปกครองให้ท้องถิ่น
4. สามารถเปลี่ยนแปลงผู้นำได้เป็นครั้งคราว
5. ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน
6. เกิดประเพณี ความเป็นระเบียบเรียบร้อยมีความสงบสุขสังคม
ข้อเสียของระบอบประชาธิปไตย
1. เสียค่าใช้จ่ายสูงในการเลือกตั้ง หรือวิธีการสรรหาบุคคลเข้าสู่ตำแหน่ง
2. ประชาชนม้กจะถ่ายสลิปภาพเกินขอบเขต ซึ่งอาจนำไปสู่ความไม่สงบสุข หรือความขัดแย้งเรื่องความคิดที่ แตกต่างกัน
3. การบริหารงานล่าช้า เพราะการตัดสินใจ รายการปฏิบัติการต่างๆ ต้องมีการปรึกษาหารือกัน ผ่านขั้นตอน หลายขั้นตอน
ประชาธิปไตยระบบรัฐสภา
ต้นกำเนิดมาจากประเทศอังกฤษ
ในการปกครองระบบรัฐสภา ผู้ใช้อํานาจนิติบัญญัติคือสมาชิกรัฐสภา ซึ่งมีอำนาจไม่เพียงแต่จะควบคุมผู้ใช้ อำนาจบริหาร มิให้ใช้อำนาจเกินขอบเขตเท่านั้นแต่ยังไปทำหน้าที่เป็นผู้ใช้อำนาจบริหารเองอีกด้วย ทั้งนี้ก็เป็นไปตาม หลักการรวมอํานาจนิติบัญญัติและบริหารไว้ในมือของคณะบุคคลเดียวกัน อันเป็นหลักการที่สำคัญที่สุด ของการปกครอง ระบบนี้กล่าวคือ พรรคที่มีเสียงข้างมาก ในรัฐสภาจะเป็นผู้ได้รับมอบหมายจากประมุขของรัฐ ให้เป็นผู้จัดตั้งรัฐบาล ทำหน้าที่บริหารประเทศ ส่วนพรรคที่มีเสียงข้างน้อย ก็จะคอยค้านการใช้อำนาจบริหารของภาคที่มีเสียงข้างมากนั้น เพื่อไม่ให้พรรคฝ่ายข้างมากหรือพรรครัฐบาล ลืมตัวและใช้อำนาจเกินขอบเขต ถ้าทั้งสองฝ่ายเกิดขัดแย้งกันอย่างรุนแรง โดยเฉพาะเมื่อพรรคฝ่ายข้างน้อย เปิดรวบรวมสมาชิกในสภาได้มากกว่าภาครัฐบาล และสามารถลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลได้ รัฐบาลก็มีอยู่ 2 ทางเลือกคือ ลาออกเพื่อให้พรรคฝ่ายค้านจัดตั้งรัฐบาลบ้าง หรือมิฉะนั้นก็ให้นายกรัฐมนตรี ยุบสภาเสีย เพื่อให้มีการเลือกตั้งใหม่ ซึ่งก็จะมีผลให้สมาชิกของทั้งสองฝ่ายต้องหลุดจากตำแหน่ง และออกไปหาเสียงเพื่อให้ประชาชน เลือกตนกลับเข้ามานั่งในรัฐสภาอีก มีผลทำให้เป็นการถ่วงดุลอำนาจของกันและกัน และให้สมาชิกของรัฐสภาทุกคน ต้องปฏิบัติหน้าที่ของตนด้วยความรับผิดชอบ และคำนึงถึงประโยชน์ของประชาชนเป็นใหญ่
โดยทั่วไป รัฐธรรมนูญของประเทศที่ใช้การปกครองแบบประชาธิปไตยในระบบรัฐสภานี้ เช่น อังกฤษ ไทย ญี่ปุ่น สิงคโปร์ สวีเดน เดนมาร์ก มาเลเซีย เป็นต้น
ข้อดี
รัฐสภามีอำนาจมากกว่ารัฐบาล หากรัฐบาลมีความ มั่นคงก็จะสามารถควบคุมรัฐสภาได้เพราะฝ่ายบริหาร มาจากฝ่ายนิติบัญญัติ ด้วยเหตุนี้การดำเนินงานของ รัฐบาลมักดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ระบบนี้ป้องกันรัฐบาล ใช้อำนาจเกินขอบเขตโดยรัฐสภา สามารถตั้งกระทู้ถาม คณะรัฐมนตรีได้
ข้อเสีย
ระบบรัฐสภานี้อาจทำให้รัฐบาลผสมขาดเสถียรภาพได้ เนื่องจากการรวมตัวหลายพรรคการเมือง ซึ่งแต่ละภาค พยายามรักษาผลประโยชน์ของตนเอง ทำให้การบริหาร ประเทศไม่เกิดสัมฤทธิ์ผล
ประชาธิปไตยระบบประธานาธิบดี
ต้นกำเนิดมาจากประเทศสหรัฐอเมริกา
ในการปกครองระบอบประธานาธิบดี ผู้ใช้อํานาจนิติบัญญัติคือรัฐสภา กับผู้ใช้อํานาจบริหารคือประธานาธิบดีและ คณะรัฐมนตรี ทำหน้าที่แยกต่างหากจากกัน ทั้งนี้ก็เป็นไปตามหลักการ แยกผู้ใช้อำนาจบริหารและนิติบัญญัติออกจากกัน อันเป็นหลักการที่สำคัญที่สุดของระบบนี้ นอกจากนั้นผู้ใช้อำนาจทั้งสองนี้ จะเป็นอิสระไม่ขึ้น ต่อกันอีกด้วย ทั้งนี้ ก็เพราะ ผู้ใช้อำนาจทั้งสองฝ่าย ซึ่งต่างก็ได้รับเลือกตั้งโดยตรงมาจากประชาชน เช่นกัน เป็นหลักการถ่วงดุลอำนาจซึ่งกันและกัน คอยป้องกันไม่ให้มีการใช้อำนาจเกินขอบเขต ในประเทศที่ใช้ระบบนี้ เช่น อเมริกา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เป็นต้น
ข้อดี
ประธานาธิบดีมีสิทธิ์เด็ดขาดในการเลือกคณะรัฐมนตรี ของตัวเองรัฐมนตรีมีเวลาเต็มที่ในการ ปฏิบัติภารกิจ เพราะไม่ต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภา ไม่จำเป็นต้องประชุม สภาหรือเสียเวลาในการตอบกระทู้ของรัฐสภาหากเกิด วิกฤตฉุกเฉิน ประธานาธิบดีมีอำนาจ อย่างเต็มที่ในการ ปฏิบัติหน้าที่อย่า งเด็ดขาด เพราะเป็นอิสระจากการ ควบคุมรัฐสภา
ข้อเสีย
หากประธานาธิบดีสังกัดพรรคการเมืองที่เป็นคนละ พรรคกับพรรคการเมืองเสียงข้างมากในรัฐสภา ประธานาธิบดี อาจไม่สามารถบริหาร ประเทศได้อย่าง ราบรื่น
ประชาธิปไตยระบบกึ่งประธานาธิบดี
ในการปกครองระบบนี้รัฐสภามีอำนาจเพียงออกกฎหมายและควบคุมการบริหารราชการแผ่นดินเท่านั้นสมาชิก รัฐสภาจะไปใช้อำนาจบริหารในขณะเดียวกันไม่ได้ ส่วนประธานาธิบดีในระบบนี้มีอำนาจมากกว่าประธานาธิบดีในระบบ รัฐสภา เพราะสามารถใช้อํานาจบริหารบางอย่างได้ โดยไม่ต้องมีนายกรัฐมนตรีมาคอยรับผิดชอบแทน เช่น ยุบสภา ผู้แทนราษฎรได้ทุกกรณี เป็นต้น จึงทำให้ประธานาธิบดีอยู่ในฐานะที่ถ่วงดุลอำนาจของรัฐสภาได้ อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี และคณะรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้ใช้อํานาจบริหารอย่างแท้จริง ก็ยังต้องรับผิดชอบต่อรัฐสภาอยู่ดี และถ้าไม่ได้รับ ความไว้วางใจจากรัฐสภาก็ต้องลาออก เว้นแต่ประธานาธิบดีจะให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป พร้อมกับสั่งยุบสภาเพื่อให้มีการ เลือกตั้งใหม่ จะเห็นได้ว่าในระบบนี้ฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติอยู่ในฐานะที่คานกันและดุลกัน ในประเทศที่ใช้ระบบนี้ เช่น ฝรั่งเศส รัสเซีย อียิปต์ อินเดีย เกาหลีใต้ โปรตุเกส ฟินแลด์ เป็นต้น
ข้อดี
ประธานาธิบดีมีอำนาจเด็ดขาด มีอิสระในการ ปฏิบัติงาน ทำให้สามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่างเต็มที่ การแยกระหว่างอำนาจทางการเมือง และอำนาจบริหาร ทำให้ประธานาธิบดีได้ใช้ เวลาในการปฏิบัติการ ทาง การเมือง เช่น การเสนอนโยบาย วิเคราะห์และวางแผน ทางการเมืองทั้งในประเทศ และนอกประเทศ
ข้อเสีย
รัฐมนตรีปฏิบัติงานด้วยความลำบากกว่าคณะ รัฐมนตรีในระบบอื่น เพราะต้องรับผิดชอบต่อ ทั้ง 2 องค์กรดังที่กล่าวมา นอกคีจากนี้หากสังคมที่มี ระบบพรรค การเมืองมากเกินไปรัฐ สภาก็อาจจะ ไม่มีเสถียรภาพ และหากประธานาธิบดีเป็นบุคคล ที่ไม่มีอำนาจจริงๆ ก็อาจจะควบคุมรัฐสภาและ คณะรัฐมนตรีไม่ได้
กลุ่มที่ 1
กลุ่มที่ 2
กลุ่มที่ 3
กลุ่มที่ 4
กลุ่มที่ 5
กลุ่มที่ 6
กลุ่มที่ 7
กลุ่มที่ 8
กลุ่มที่ 9
กลุ่มที่ 1
กลุ่มที่ 2
กลุ่มที่ 3
กลุ่มที่ 4
กลุ่มที่ 5
กลุ่มที่ 6
กลุ่มที่ 7
กลุ่มที่ 8
กลุ่มที่ 9
กลุ่มที่ 10
กลุ่มที่ 1
กลุ่มที่ 2
กลุ่มที่ 3
กลุ่มที่ 4
กลุ่มที่ 5
กลุ่มที่ 6
กลุ่มที่ 7
กลุ่มที่ 8
กลุ่มที่ 9
กลุ่มที่ 10
กลุ่มที่ 1
กลุ่มที่ 2
กลุ่มที่ 3
กลุ่มที่ 4
กลุ่มที่ 5
กลุ่มที่ 6
กลุ่มที่ 7
กลุ่มที่ 8
กลุ่มที่ 9
กลุ่มที่ 10
กลุ่มที่ 1
กลุ่มที่ 2
กลุ่มที่ 3
กลุ่มที่ 4
กลุ่มที่ 5
กลุ่มที่ 6
กลุ่มที่ 7
กลุ่มที่ 8
กลุ่มที่ 9
กลุ่มที่ 10
กลุ่มที่ 1
กลุ่มที่ 2
กลุ่มที่ 3
กลุ่มที่ 4
กลุ่มที่ 5
กลุ่มที่ 6
กลุ่มที่ 7
กลุ่มที่ 8
กลุ่มที่ 9
กลุ่มที่ 10
กลุ่มที่ 1
กลุ่มที่ 2
กลุ่มที่ 3
กลุ่มที่ 4
กลุ่มที่ 5
กลุ่มที่ 6
กลุ่มที่ 7
กลุ่มที่ 8
กลุ่มที่ 9
กลุ่มที่ 10
กลุ่มที่ 1
กลุ่มที่ 2
กลุ่มที่ 3
กลุ่มที่ 4
กลุ่มที่ 5
กลุ่มที่ 6
กลุ่มที่ 7
กลุ่มที่ 8
กลุ่มที่ 9
กลุ่มที่ 10