ยุคก่อนปี 1948: จุดเริ่มต้นของความตึงเครียด
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์: พื้นที่ที่รู้จักกันในชื่อปาเลสไตน์เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของศาสนายิว คริสต์ และอิสลาม ชาวยิวเชื่อว่าดินแดนนี้เป็นบ้านเกิดของพวกเขามาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่หลังจากชาวยิวถูกขับไล่ออกจากพื้นที่ไปหลายพันปี ชาวอาหรับมุสลิมก็เข้ามาตั้งรกรากและอาศัยอยู่ในพื้นที่นี้เป็นส่วนใหญ่
กระแสไซออนิสต์ (Zionism): ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 กระแสชาตินิยมของชาวยิว (ไซออนิสต์) เริ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายคือการสร้างรัฐของชาวยิวขึ้นมาใหม่ในดินแดนปาเลสไตน์ ทำให้ชาวยิวอพยพกลับมามากขึ้นเรื่อยๆ
อาณานิคมของอังกฤษ: หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 อังกฤษได้เข้ามาปกครองดินแดนปาเลสไตน์ (เป็นอาณานิคม) ในช่วงนี้มีการออกคำประกาศบัลฟอร์ (Balfour Declaration) ในปี 1917 ซึ่งเป็นคำมั่นของอังกฤษที่จะสนับสนุนให้ชาวยิวมีบ้านเกิดของตัวเองในปาเลสไตน์ ทำให้ชาวยิวอพยพมามากขึ้น และเกิดความขัดแย้งกับชาวอาหรับที่อาศัยอยู่ในพื้นที่อยู่แล้ว
ปี 1948: การก่อตั้งรัฐอิสราเอลและ "ความหายนะ" ของปาเลสไตน์
สงครามประกาศอิสรภาพ: เมื่ออังกฤษถอนตัวออกไปในปี 1948 สหประชาชาติ (UN) ได้เสนอแผนแบ่งปาเลสไตน์ออกเป็นสองรัฐ คือ รัฐยิวและรัฐอาหรับ แต่แผนนี้ถูกชาวอาหรับปฏิเสธทันที
การก่อตั้งอิสราเอล: ในวันที่ 14 พฤษภาคม 1948 ชาวยิวประกาศก่อตั้งรัฐอิสราเอล ทำให้ประเทศอาหรับโดยรอบรวมตัวกันบุกโจมตีอิสราเอลทันที แต่ในที่สุดอิสราเอลก็สามารถเอาชนะได้และขยายอาณาเขตได้มากกว่าที่ UN กำหนดไว้
"อัลนัคบา" (Al-Nakba): ชาวปาเลสไตน์เรียกเหตุการณ์นี้ว่า "อัลนัคบา" หรือ "ความหายนะ" เพราะมีชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนต้องอพยพออกจากบ้านของตัวเองและกลายเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศใกล้เคียง
ช่วงปี 1949 - 1967: ความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น
การยึดครอง: หลังจากสงครามปี 1948 ดินแดนที่เหลือของปาเลสไตน์ถูกยึดครองโดยอียิปต์ (ฉนวนกาซา) และจอร์แดน (เวสต์แบงก์)
สงคราม 6 วัน (Six-Day War) ปี 1967: อิสราเอลเปิดฉากโจมตีอียิปต์ ซีเรีย และจอร์แดน ในเวลาเพียง 6 วัน อิสราเอลสามารถยึดครองฉนวนกาซา, คาบสมุทรไซนาย, ที่ราบสูงโกลัน และเวสต์แบงก์ได้ทั้งหมด เหตุการณ์นี้ทำให้อิสราเอลกลายเป็น "ชาติผู้ยึดครอง" ตามสายตาของประชาคมโลก
ช่วงปี 1967 - ปัจจุบัน: การยึดครองและการต่อสู้เพื่อเอกราช
การตั้งถิ่นฐานของชาวยิว: อิสราเอลเริ่มสร้างชุมชนของชาวยิว (settlements) ในพื้นที่เวสต์แบงก์และฉนวนกาซาที่ยึดครองมาได้ การกระทำนี้ถูกมองว่าผิดกฎหมายระหว่างประเทศและเป็นอุปสรรคต่อการตั้งรัฐปาเลสไตน์
การลุกฮือของชาวปาเลสไตน์ (Intifada): ชาวปาเลสไตน์ในพื้นที่ยึดครองเริ่มลุกฮือขึ้นต่อต้านการยึดครองของอิสราเอล มีการปะทะกันอย่างรุนแรงหลายครั้ง
ข้อตกลงออสโล (Oslo Accords): ในช่วงปี 1990 มีความพยายามที่จะสร้างสันติภาพ เกิดข้อตกลงที่เรียกว่า "ข้อตกลงออสโล" ซึ่งนำไปสู่การก่อตั้ง "องค์การบริหารปาเลสไตน์" (Palestinian Authority) เพื่อดูแลพื้นที่บางส่วน แต่ข้อตกลงนี้ก็ไม่ได้นำไปสู่สันติภาพที่แท้จริง
การแบ่งแยกและกลุ่มติดอาวุธ: ปัจจุบันชาวปาเลสไตน์แตกออกเป็นสองฝ่ายหลักคือ ฟัตห์ (Fatah) ซึ่งปกครองในเวสต์แบงก์ และ ฮามาส (Hamas) ซึ่งปกครองในฉนวนกาซา ฮามาสเป็นกลุ่มติดอาวุธที่อิสราเอลและหลายประเทศถือว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย
การปะทะกันล่าสุด: ยังคงมีการปะทะกันเป็นระยะๆ เช่น การโจมตีด้วยจรวดจากฉนวนกาซาและการโจมตีทางอากาศของอิสราเอล รวมถึงความตึงเครียดในเมืองเยรูซาเลม ซึ่งเป็นเมืองศักดิ์สิทธิ์ของทั้งสองฝ่าย
สรุปแก่นของปัญหา:
ความขัดแย้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องศาสนา แต่เป็นเรื่องของที่ดินและอัตลักษณ์
อิสราเอล: ต้องการรักษาดินแดนของตัวเองและรับประกันความปลอดภัยของประเทศ
ปาเลสไตน์: ต้องการมีรัฐอิสระของตัวเองบนดินแดนที่เคยเป็นของบรรพบุรุษของพวกเขา
ปัญหาหลักๆ ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขคือ:
การตั้งถิ่นฐานของชาวยิว: อิสราเอลยังคงสร้างชุมชนในเวสต์แบงก์
ชะตากรรมของผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์: ชาวปาเลสไตน์หลายล้านคนยังคงเป็นผู้ลี้ภัยในต่างประเทศ
สถานะของกรุงเยรูซาเลม: ทั้งสองฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิ์ในเมืองนี้
พรมแดนในอนาคต: ไม่มีการตกลงที่ชัดเจนว่าพรมแดนของรัฐอิสราเอลและรัฐปาเลสไตน์ควรจะเป็นอย่างไร
หวังว่าสรุปแบบย่อนี้จะช่วยให้เข้าใจภาพรวมของความขัดแย้งที่ซับซ้อนนี้ได้ดีขึ้นนะ
ภูมิหลัง: สหภาพโซเวียตล่มสลาย
ปี 1991: สหภาพโซเวียตล่มสลายลง ประเทศต่าง ๆ ที่เคยอยู่ภายใต้การปกครองของโซเวียตก็แยกตัวออกมาเป็นประเทศเอกราช รวมถึง ยูเครน ด้วย ซึ่งในตอนนี้เองยูเครนก็ได้กลายเป็นประเทศที่มีเอกราชอย่างสมบูรณ์
ความสัมพันธ์ที่ซับซ้อน: แม้จะแยกประเทศกันแล้ว แต่ยูเครนก็ยังมีความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และเศรษฐกิจที่ใกล้ชิดกับรัสเซียมาโดยตลอด โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกของยูเครนที่มีประชากรส่วนใหญ่พูดภาษารัสเซีย
ปี 2014: วิกฤตการณ์ไครเมียและสงครามในดอนบัส
การประท้วงยูโรไมดาน (Euromaidan): ในปลายปี 2013 ยูเครนเกิดการประท้วงใหญ่ขึ้นเมื่อประธานาธิบดีในขณะนั้นซึ่งมีแนวคิด นิยมรัสเซีย ปฏิเสธที่จะลงนามในข้อตกลงกับสหภาพยุโรป ทำให้ชาวอูเครนจำนวนมากที่ไม่พอใจและต้องการใกล้ชิดกับยุโรปมากขึ้นออกมาประท้วงจนเกิดการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลครั้งใหญ่
การผนวกไครเมีย: รัสเซียมองว่าการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลนี้เป็น "รัฐประหาร" และไม่ยอมรับ ในปี 2014 รัสเซียจึงส่งทหารเข้ายึด คาบสมุทรไครเมีย ซึ่งเป็นดินแดนของยูเครนที่มีฐานทัพเรือรัสเซียตั้งอยู่ แล้วจัดการลงประชามติเพื่อผนวกไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย
สงครามในดอนบัส: หลังจากนั้น กลุ่มกบฏที่นิยมรัสเซียในภูมิภาค ดอนบัส ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของยูเครนก็ประกาศตนเป็นรัฐอิสระและเริ่มทำสงครามกับรัฐบาลยูเครน รัสเซียให้การสนับสนุนกลุ่มกบฏเหล่านี้ทั้งทางอาวุธและกำลังพล
ปี 2022: การรุกรานเต็มรูปแบบ
ความขัดแย้งที่ทวีความรุนแรง: ในช่วงปลายปี 2021 รัสเซียเริ่มระดมทหารจำนวนมหาศาลไปประชิดชายแดนยูเครน โดยอ้างว่ายูเครนกำลังเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของรัสเซีย โดยเฉพาะการที่ยูเครนแสดงความต้องการที่จะเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ซึ่งรัสเซียมองว่าเป็นการขยายอำนาจของชาติตะวันตกมาประชิดพรมแดนของตนเอง
การรุกราน: วันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022 รัสเซียได้เปิดฉากการรุกรานยูเครนเต็มรูปแบบ อ้างว่าเป็น "ปฏิบัติการทางทหารพิเศษ" เพื่อ "ปลดปล่อย" ยูเครนจากรัฐบาลที่ฝักใฝ่ตะวันตก
การต่อต้าน: กองทัพยูเครนและประชาชนได้ลุกขึ้นต่อต้านการรุกรานอย่างกล้าหาญ ทำให้การรุกของรัสเซียเป็นไปอย่างยากลำบาก
การคว่ำบาตรจากนานาชาติ: ประเทศตะวันตกและพันธมิตรตอบโต้การกระทำของรัสเซียด้วยการ คว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ อย่างรุนแรงและส่งความช่วยเหลือทางทหารให้กับยูเครน
ปัจจุบัน: สงครามที่ยังคงดำเนินอยู่
การยืดเยื้อ: สงครามยังคงดำเนินมาอย่างยาวนานและไม่มีทีท่าว่าจะยุติลงได้ง่าย ๆ การสู้รบส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ทางภาคตะวันออกและใต้ของยูเครน
ผลกระทบ: สงครามครั้งนี้ไม่เพียงส่งผลกระทบต่อยูเครนและรัสเซียเท่านั้น แต่ยังสร้างวิกฤตเศรษฐกิจ พลังงาน และอาหารไปทั่วโลกอีกด้วย
ยุคก่อนปี 1979: ความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
ปี 1948: เมื่ออิสราเอลก่อตั้งขึ้น อิหร่าน เป็นหนึ่งในประเทศมุสลิมไม่กี่ประเทศที่ยอมรับอิสราเอลอย่างเป็นทางการในช่วงแรก ๆ
ยุคราชวงศ์ปาห์ลาวี: ในช่วงที่อิหร่านปกครองโดยราชวงศ์ปาห์ลาวี (ก่อนการปฏิวัติอิสลาม) ทั้งสองประเทศมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างลับ ๆ เนื่องจากทั้งคู่ต่างมองว่าตนเองเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกา และมี "ศัตรูร่วม" คือประเทศอาหรับบางประเทศในภูมิภาค
ปี 1979: การปฏิวัติอิสลามและจุดเปลี่ยน
การปฏิวัติอิสลาม: ในปี 1979 เกิดการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน นำโดยอยาตุลลอฮ์ โคมัยนี ซึ่งเปลี่ยนการปกครองของอิหร่านจากระบอบกษัตริย์เป็นสาธารณรัฐอิสลาม
นโยบายใหม่: รัฐบาลใหม่ของอิหร่านมีนโยบายที่แข็งกร้าวต่อสหรัฐฯ และอิสราเอล โดยมองอิสราเอลว่าเป็น "ปีศาจร้ายเล็ก" (Little Satan) และสหรัฐฯ เป็น "ปีศาจร้ายใหญ่" (Great Satan) และแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการสนับสนุนปาเลสไตน์
การตัดความสัมพันธ์: อิหร่านประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลอย่างสมบูรณ์ และเริ่มต้นให้การสนับสนุนทางการเงินและอาวุธแก่กลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ต่าง ๆ ที่ต่อต้านอิสราเอล
ทศวรรษ 1980s - 2000s: สงครามตัวแทนและความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น
สงครามตัวแทน (Proxy Wars): เนื่องจากทั้งสองประเทศไม่ได้สู้รบกันโดยตรง อิหร่านจึงใช้วิธีสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธในภูมิภาคเพื่อต่อต้านอิสราเอล เช่น
กลุ่มฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) ในเลบานอน: อิหร่านให้การสนับสนุนกลุ่มนี้อย่างเต็มที่ ซึ่งได้กลายเป็นศัตรูตัวฉกาจของอิสราเอลทางพรมแดนตอนเหนือ
กลุ่มฮามาส (Hamas) ในฉนวนกาซา: อิหร่านให้การสนับสนุนทางการเงินและอาวุธแก่กลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มที่อิสราเอลและชาติตะวันตกมองว่าเป็นองค์กรก่อการร้าย
โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่าน: ในช่วงต้นยุค 2000 อิสราเอลเริ่มแสดงความกังวลอย่างมากต่อโครงการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของอิหร่าน อิสราเอลมองว่าการที่อิหร่านมีอาวุธนิวเคลียร์จะเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการอยู่รอดของประเทศ จึงพยายามทุกวิถีทางเพื่อหยุดยั้งโครงการนี้
ปัจจุบัน: สงครามเงาและการปะทะโดยตรง
สงครามเงา (Shadow War): ทั้งสองประเทศทำสงครามลับ ๆ ใส่กันมาหลายปี โดยอิสราเอลถูกกล่าวหาว่าโจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่านและลอบสังหารนักวิทยาศาสตร์ชาวอิหร่านหลายคน ขณะที่อิหร่านถูกกล่าวหาว่าโจมตีเรือขนส่งของอิสราเอล
ความตึงเครียดในซีเรีย: อิหร่านส่งทหารและที่ปรึกษาทางทหารเข้าไปในซีเรียเพื่อสนับสนุนรัฐบาลของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด อิสราเอลมองว่าการประจำการของกองกำลังอิหร่านใกล้พรมแดนเป็นภัยคุกคาม และได้โจมตีเป้าหมายของอิหร่านในซีเรียหลายครั้ง
การโจมตีโดยตรง (Direct Attacks): ในเดือนเมษายน 2024 สถานการณ์ความขัดแย้งได้ทวีความรุนแรงขึ้นเมื่ออิสราเอลโจมตีสถานทูตของอิหร่านในซีเรีย และอิหร่านตอบโต้ด้วยการยิงโดรนและขีปนาวุธโจมตีอิสราเอลโดยตรงเป็นครั้งแรก
แก่นของปัญหา:
ความขัดแย้งนี้ไม่ได้มีสาเหตุมาจากสงครามในอดีตโดยตรง แต่เกิดจากผลประโยชน์ทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิง
อิสราเอล: ต้องการรักษาความมั่นคงและอิทธิพลในภูมิภาค และมองว่าโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านและการสนับสนุนกลุ่มติดอาวุธเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อการอยู่รอดของประเทศ
อิหร่าน: ต้องการขยายอิทธิพลของตนเองในตะวันออกกลาง และมองว่าการต่อต้านอิสราเอลเป็นส่วนหนึ่งของอุดมการณ์การต่อสู้เพื่อปลดปล่อยปาเลสไตน์และต่อต้านอำนาจของชาติตะวันตก
ความสัมพันธ์ระหว่างอิสราเอลและอิหร่านจึงเป็นเรื่องของ การชิงอำนาจ และ การคานอำนาจ ที่ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวงต่อเสถียรภาพของภูมิภาคทั้งหมด
ยุคก่อนศตวรรษที่ 20: ความขัดแย้งเรื่องอาณาเขตและอิทธิพล
อาณาจักรโบราณ: ความสัมพันธ์ระหว่างสองอาณาจักรเริ่มขึ้นตั้งแต่ยุคโบราณ ทั้งอาณาจักรขอม (เขมร) และอาณาจักรไทยต่างก็พยายามขยายอำนาจและอิทธิพลเข้าหากัน ซึ่งในอดีตกัมพูชาเคยเป็นอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่และมีอำนาจมาก่อน
ยุคล่าอาณานิคม: ในช่วงศตวรรษที่ 19 ฝรั่งเศสเข้ามาปกครองกัมพูชาเป็นอาณานิคม และได้ทำสนธิสัญญากับสยาม (ประเทศไทยในขณะนั้น) เพื่อกำหนดเส้นเขตแดนใหม่ ส่งผลให้ดินแดนบางส่วนที่เคยเป็นของกัมพูชาถูกผนวกรวมเข้ากับสยามตามสนธิสัญญาดังกล่าว
ศตวรรษที่ 20: ปัญหาเรื่องปราสาทเขาพระวิหาร
ปี 1962: คำตัดสินของศาลโลก: ปัญหาความขัดแย้งเรื่องเขตแดนที่สำคัญที่สุดคือกรณี ปราสาทเขาพระวิหาร ซึ่งตั้งอยู่บนเทือกเขาพรมแดน ไทยและกัมพูชาต่างก็อ้างสิทธิ์ในตัวปราสาทนี้ จนในที่สุดศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ได้ตัดสินว่าตัวปราสาทเป็นของ กัมพูชา แต่ทางขึ้นหลักของปราสาทอยู่ในเขตแดนไทย ทำให้เกิดความไม่พอใจในหมู่คนไทยเป็นอย่างมาก
ยุคปัจจุบัน: ความตึงเครียดที่กลับมาอีกครั้ง
ปี 2008: การขึ้นทะเบียนมรดกโลก: กัมพูชาพยายามผลักดันให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งองค์การยูเนสโกก็ได้ขึ้นทะเบียนให้ในปี 2008 ทำให้เกิดความไม่พอใจในไทยเนื่องจากไทยมองว่าพื้นที่บริเวณโดยรอบปราสาทยังคงเป็นพื้นที่พิพาท
การปะทะด้วยอาวุธ: ในช่วงปี 2008-2011 เกิดเหตุปะทะกันด้วยอาวุธตามแนวชายแดนบริเวณรอบปราสาทหลายครั้ง ทำให้ทั้งสองฝ่ายมีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
ปี 2011: การขอคำตีความใหม่: กัมพูชายื่นเรื่องต่อศาลโลกให้ตีความคำพิพากษาเดิมอีกครั้งเกี่ยวกับพื้นที่โดยรอบปราสาทเขาพระวิหาร
ปี 2013: คำตัดสินครั้งใหม่ของศาลโลก: ศาลโลกมีคำตัดสินว่าพื้นที่โดยรอบปราสาทเป็นของกัมพูชา ทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมากขึ้น แต่หลังจากนั้นรัฐบาลของทั้งสองประเทศก็พยายามเจรจากันอย่างต่อเนื่องเพื่อลดความขัดแย้งลง
แก่นของปัญหา:
ความขัดแย้งนี้ไม่ได้มาจากสงครามในอดีตเท่านั้น แต่มาจาก ความรู้สึกชาตินิยม และ ปัญหาเรื่องการปักปันเขตแดน ที่ยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะในบริเวณที่ทับซ้อนกัน
ไทย: มองว่าบางพื้นที่ตามแนวชายแดนควรเป็นของตนเองตามความเข้าใจของชาวบ้านและประวัติศาสตร์ที่สืบทอดกันมา
กัมพูชา: อ้างสิทธิ์ตามแผนที่และเอกสารที่ทำขึ้นในยุคอาณานิคมของฝรั่งเศส
ปัจจุบัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศดีขึ้นมาก มีการเจรจาทางการค้าและการท่องเที่ยวร่วมกัน แต่ปัญหาเรื่องเส้นเขตแดนยังคงเป็นประเด็นที่ต้องแก้ไขในอนาคต
ยุคก่อนปี 1949: สงครามกลางเมืองจีน
สาธารณรัฐจีน: ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 หลังจากสิ้นสุดราชวงศ์สุดท้ายของจีน ได้มีการก่อตั้ง สาธารณรัฐจีน ขึ้นมา แต่ต่อมาก็เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างพรรคชาตินิยม (ก๊กมินตั๋ง) และพรรคคอมมิวนิสต์
การพ่ายแพ้ของชาตินิยม: ในปี 1949 พรรคคอมมิวนิสต์ได้รับชัยชนะในการรบ พรรคชาตินิยมที่พ่ายแพ้จึงอพยพหนีไปตั้งหลักที่เกาะไต้หวัน และยังคงเรียกตัวเองว่า "สาธารณรัฐจีน"
กำเนิดสองจีน: หลังจากนั้น จีนแผ่นดินใหญ่ได้สถาปนา "สาธารณรัฐประชาชนจีน" ส่วนพรรคชาตินิยมยังคงปกครองไต้หวันในฐานะ "สาธารณรัฐจีน" ทำให้เกิดสถานการณ์ "จีนสองแห่ง" ขึ้น
ปี 1949 - ปัจจุบัน: สถานะทางการเมืองที่ซับซ้อน
นโยบาย "จีนเดียว": รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่ยึดมั่นในนโยบายที่ว่ามีเพียง "จีนเดียว" ในโลก และไต้หวันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของจีนที่ต้องรวมชาติกันให้ได้ในอนาคต หากไต้หวันประกาศเอกราช จีนก็จะใช้กำลังทหารเข้าจัดการ
ความสัมพันธ์กับนานาชาติ: ในช่วงแรก ๆ หลายประเทศทั่วโลก รวมถึงสหประชาชาติ (UN) ให้การยอมรับไต้หวันในฐานะรัฐบาลที่ชอบธรรมของจีน แต่ต่อมาสถานการณ์ก็เริ่มเปลี่ยนไป
การที่สหประชาชาติยอมรับจีนแผ่นดินใหญ่: ในปี 1971 สหประชาชาติได้ลงมติให้สาธารณรัฐประชาชนจีน (จีนแผ่นดินใหญ่) เข้ามาเป็นสมาชิกแทนไต้หวัน ทำให้นานาชาติค่อย ๆ เปลี่ยนการรับรองทางการทูตจากไต้หวันไปเป็นจีนแผ่นดินใหญ่แทน
การปกครองตนเองของไต้หวัน: แม้จะถูกจำกัดความสัมพันธ์ทางการทูต ไต้หวันก็ยังคงมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย มีกองทัพ และเศรษฐกิจที่เข้มแข็งเป็นของตัวเอง โดยประชาชนส่วนใหญ่ไม่ต้องการถูกปกครองโดยจีนแผ่นดินใหญ่
การคุกคามทางทหาร: จีนยังคงแสดงท่าทีคุกคามไต้หวันด้วยการซ้อมรบทางทะเลและอากาศรอบเกาะอยู่เสมอ เพื่อเป็นการเตือนว่าไต้หวันคือส่วนหนึ่งของจีน
แก่นของปัญหา:
ความขัดแย้งระหว่างจีนและไต้หวันไม่ได้เป็นสงครามที่ปะทุขึ้นมาอย่างเปิดเผย แต่เป็นความตึงเครียดทางการเมืองที่ยืดเยื้อมานานหลายสิบปี
จีนแผ่นดินใหญ่: มองว่าการรวมชาติกับไต้หวันเป็นภารกิจทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญและเป็นอำนาจอธิปไตยของตนเอง
ไต้หวัน: มองว่าตนเองมีสิทธิ์ในการปกครองตนเองอย่างอิสระและเป็นประชาธิปไตย และไม่ยอมรับการที่จีนแผ่นดินใหญ่จะเข้ามาปกครอง
ปัญหาหลักจึงอยู่ที่การที่งสองฝ่ายมี "ความจริง" ทางการเมืองที่ไม่ตรงกัน คือจีนมองว่าไต้หวันเป็นมณฑลหนึ่งที่หลงทาง ส่วนไต้หวันมองว่าตนเองเป็นรัฐอิสระที่มีสิทธิ์กำหนดอนาคตของตัวเอง
ยุคก่อนปี 1945: เกาหลีเป็นหนึ่งเดียว
การปกครองของญี่ปุ่น: ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เกาหลีถูกญี่ปุ่นเข้ายึดครองและปกครองเป็นเวลาหลายสิบปี จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงในปี 1945 ญี่ปุ่นจึงได้ถอนตัวออกจากคาบสมุทรเกาหลี
การแบ่งแยก: หลังจากญี่ปุ่นถอนตัวไป สหภาพโซเวียตและสหรัฐอเมริกาได้ตกลงกันที่จะแบ่งคาบสมุทรเกาหลีออกเป็นสองส่วนชั่วคราว โดยมีเส้นแบ่งที่ละติจูด 38 องศาเหนือ 🇺🇸 โซเวียตเข้าควบคุมทางเหนือ ส่วนสหรัฐฯ เข้าควบคุมทางใต้
ปี 1948: กำเนิดสองรัฐ
ระบอบคอมมิวนิสต์: ทางเหนือของเส้นแบ่งได้รับการสนับสนุนจากโซเวียต และก่อตั้งเป็น สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนเกาหลี (เกาหลีเหนือ) โดยมี คิม อิล-ซุง เป็นผู้นำ
ระบอบประชาธิปไตย: ทางใต้ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ และก่อตั้งเป็น สาธารณรัฐเกาหลี (เกาหลีใต้) โดยมี อี ซึง-มัน เป็นผู้นำ
ความขัดแย้งที่เริ่มก่อตัว: ทั้งสองฝ่ายต่างก็อ้างสิทธิ์ในการปกครองคาบสมุทรเกาหลีทั้งหมด ทำให้ความตึงเครียดเพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว
ปี 1950 - 1953: สงครามเกาหลี
การบุกรุก: ในปี 1950 เกาหลีเหนือเปิดฉากบุกเกาหลีใต้โดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้เกาหลีใต้เกือบจะพ่ายแพ้
การเข้าร่วมของนานาชาติ: สหประชาชาติ (นำโดยสหรัฐฯ) ได้ส่งกองกำลังเข้าไปช่วยเหลือเกาหลีใต้ ขณะที่จีนส่งกำลังทหารจำนวนมหาศาลเข้าไปช่วยเกาหลีเหนือ ทำให้สงครามขยายวงกว้าง
การสงบศึก: สงครามยุติลงในปี 1953 ด้วยการลงนามใน ข้อตกลงสงบศึก ไม่ใช่สนธิสัญญาสันติภาพ นั่นหมายความว่าทั้งสองประเทศยังคงอยู่ในภาวะสงครามทางเทคนิคมาจนถึงทุกวันนี้
ปัจจุบัน: ความตึงเครียดที่ยังคงอยู่
โครงการนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ: ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา เกาหลีเหนือได้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอิสระภาพเกาหลีใต้และนานาชาติมองว่าเป็นภัยคุกคามร้ายแรง
เขตปลอดทหาร (DMZ): พรมแดนระหว่างสองประเทศยังคงเป็นหนึ่งในพรมแดนที่มีการตรึงกำลังทหารหนาแน่นที่สุดในโลก
ความพยายามในการสร้างสันติภาพ: แม้จะมีความตึงเครียด แต่ก็มีความพยายามในการเจรจาสันติภาพและจัดการประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำของทั้งสองประเทศเป็นระยะๆ
การไม่รวมชาติ: ปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่ในเกาหลีใต้ไม่ได้ต้องการรวมชาติกับเกาหลีเหนือในระยะเวลาอันใกล้นี้ เนื่องจากความแตกต่างอย่างมากทางเศรษฐกิจและสังคมที่ยากจะแก้ไขได้
แก่นของปัญหา:
ความขัดแย้งนี้เกิดจาก การแบ่งแยกที่เกิดจากสงครามเย็น และความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงของ ระบบการเมือง
เกาหลีเหนือ: เป็นระบอฟเผด็จการเบ็ดเสร็จ มีนโยบายโดดเดี่ยวตัวเองและพึ่งพาตนเอง
เกาหลีใต้: เป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีเศรษฐกิจที่เจริญก้าวหน้า
ปัญหาหลักจึงไม่ใช่แค่เรื่องของอาณาเขต แต่เป็นเรื่องของความแตกต่างทางอุดมการณ์และการเมืองที่ทำให้ทั้งสองฝ่ายไม่สามารถรวมกันได้
ยุคก่อนปี 1948: การอยู่ร่วมกันในยุคอาณานิคม
อาณาจักรเมียนมาโบราณ: ในอดีต ดินแดนที่ปัจจุบันคือเมียนมาประกอบไปด้วยอาณาจักรและรัฐของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ที่มีอำนาจและดินแดนเป็นของตัวเอง เช่น ชาวพม่า มอญ ฉาน และคะฉิ่น
การรวมประเทศภายใต้อาณานิคมอังกฤษ: ในช่วงศตวรรษที่ 19 อังกฤษได้เข้ามายึดครองเมียนมาและผนวกรวมดินแดนของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ เข้ามาเป็นอาณานิคมเดียว โดยปกครองพื้นที่ของชาวพม่ากับชนกลุ่มน้อยแยกจากกัน วิธีการปกครองแบบนี้สร้างความรู้สึกแปลกแยกให้กับกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย และเป็นจุดเริ่มต้นของความตึงเครียด
ปี 1948: การได้รับเอกราชและความขัดแย้งที่ปะทุขึ้น
สัญญาปางหลวง: ก่อนที่เมียนมาจะได้รับเอกราชจากอังกฤษ ผู้นำของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้ลงนามใน สัญญาปางหลวง ร่วมกับนายพลอองซาน ผู้นำในการต่อสู้เพื่อเอกราช โดยมีข้อตกลงว่าชนกลุ่มน้อยจะมีสิทธิ์ในการแยกตัวเป็นอิสระหลังจากเมียนมาได้เอกราชไปแล้ว 10 ปี
การลอบสังหารนายพลอองซาน: หลังจากสัญญาถูกลงนามไม่นาน นายพลอองซานก็ถูกลอบสังหาร ทำให้ชนกลุ่มน้อยขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาลกลาง
สงครามกลางเมืองเริ่มขึ้น: เมื่อเมียนมาได้รับเอกราชในปี 1948 รัฐบาลกลางส่วนใหญ่เป็นชาวพม่า และไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้ ทำให้ชนกลุ่มน้อยหลายกลุ่มรู้สึกว่าถูกหักหลังและเริ่มจับอาวุธขึ้นต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิและปกป้องตนเอง
ทศวรรษ 1960s - 2010s: การปกครองของทหารและความรุนแรง
การรัฐประหารของทหาร: ในปี 1962 กองทัพเข้ายึดอำนาจและปกครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ นโยบายของทหารคือการรวมชาติให้เป็นหนึ่งเดียวภายใต้อำนาจของรัฐบาลกลาง ทำให้เกิดการปะทะกับกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์อย่างหนักหน่วง
การละเมิดสิทธิมนุษยชน: กองทัพเมียนมาถูกกล่าวหาว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างรุนแรงต่อชนกลุ่มน้อย ทั้งการเผาหมู่บ้าน การสังหารหมู่ และการบังคับอพยพ ทำให้มีผู้ลี้ภัยจำนวนมากไหลทะลักเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ไทย
เหตุการณ์โรฮิงญา: ในปี 2017 กองทัพเมียนมาได้ปฏิบัติการกวาดล้างชาวมุสลิมโรฮิงญาในรัฐยะไข่อย่างรุนแรง ทำให้ชาวโรฮิงญากว่าเจ็ดแสนคนต้องหนีตายไปยังประเทศบังกลาเทศ ซึ่งสหประชาชาติเรียกว่าเป็นการ "กวาดล้างชาติพันธุ์"
ปัจจุบัน: ความขัดแย้งที่ยังคงดำเนินอยู่
การรัฐประหารปี 2021: หลังจากการรัฐประหารครั้งล่าสุดในปี 2021 กองทัพได้ปราบปรามผู้ต่อต้านอย่างรุนแรง ทำให้ประชาชนจำนวนมากไม่พอใจและเข้าร่วมกับกองกำลังติดอาวุธของชนกลุ่มน้อยเพื่อต่อสู้กับรัฐบาลทหาร
การต่อสู้ที่รุนแรง: ปัจจุบัน การสู้รบระหว่างกองทัพกับกลุ่มติดอาวุธชาติพันธุ์และกองกำลังต่อต้านประชาธิปไตยในเมียนมายังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง ทำให้สถานการณ์ในประเทศยิ่งเลวร้ายลงและมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
แก่นของปัญหา:
ความขัดแย้งนี้เกิดจากปัญหาในเชิง โครงสร้างอำนาจ และ ความไม่เท่าเทียมกัน
การเมือง: ชนกลุ่มน้อยต้องการสิทธิ์ในการปกครองตนเองและมีอำนาจทางการเมืองเท่าเทียมกับชาวพม่า
ชาติพันธุ์: รัฐบาลส่วนกลางต้องการรวมทุกกลุ่มชาติพันธุ์ให้อยู่ภายใต้อำนาจเดียวกัน แต่ชนกลุ่มน้อยต้องการปกป้องอัตลักษณ์และวัฒนธรรมของตนเอง
ความขัดแย้งระหว่างเมียนมากับชนกลุ่มน้อยจึงเป็นเรื่องของการเรียกร้อง เอกราช และ การปกครองตนเอง ที่ยืดเยื้อมานานหลายทศวรรษและยังไม่เห็นหนทางที่จะยุติลงได้ง่ายๆ
ยุคก่อนปี 1979: สังคมที่หลากหลายและมีเสถียรภาพบ้าง
สังคมพหุชาติพันธุ์: อัฟกานิสถานเป็นประเทศที่มีประชากรหลากหลายกลุ่มชาติพันธุ์ เช่น ชาวปาทาน (Pashtun) ซึ่งเป็นกลุ่มหลัก, ชาวทาจิก (Tajik), อุซเบก (Uzbek), และฮาซารา (Hazara) เป็นต้น แต่ละกลุ่มมีวัฒนธรรมและภาษาเป็นของตัวเอง และอาศัยอยู่ในพื้นที่ที่แตกต่างกัน
การปกครองแบบกษัตริย์: อัฟกานิสถานส่วนใหญ่ปกครองด้วยระบอบกษัตริย์มานานหลายศตวรรษ ซึ่งช่วยรักษาสมดุลของอำนาจระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ ได้ในระดับหนึ่ง
การเมืองที่อ่อนแอ: ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 รัฐบาลเริ่มอ่อนแอลง และเกิดการรัฐประหารหลายครั้ง ทำให้ประเทศเข้าสู่ภาวะไม่มั่นคงทางการเมือง
ปี 1979 - 1989: การบุกรุกของโซเวียตและสงครามกลางเมือง
การบุกรุกของโซเวียต: ในปี 1979 สหภาพโซเวียตได้ส่งกองทัพเข้ายึดครองอัฟกานิสถาน เพื่อสนับสนุนรัฐบาลคอมมิวนิสต์ที่อ่อนแอ
การต่อต้านของชนกลุ่มน้อย: กลุ่มชนชาติพันธุ์ต่างๆ ได้รวมตัวกันเป็นกองกำลังต่อต้าน หรือที่เรียกว่า มูจาฮีดีน (Mujahideen) เพื่อต่อสู้กับกองทัพโซเวียต โดยได้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ในช่วงสงครามเย็น
การถอนตัวของโซเวียต: หลังจากสงครามที่ยืดเยื้อและรุนแรง กองทัพโซเวียตได้ถอนตัวออกไปในปี 1989 แต่ไม่ได้ทำให้สันติภาพกลับคืนมา
ปี 1990s: การผงาดขึ้นของกลุ่มตอลิบาน
การต่อสู้แย่งชิงอำนาจ: หลังจากโซเวียตออกไป กลุ่มมูจาฮีดีนที่เคยเป็นพันธมิตรกันก็เริ่มสู้รบกันเองเพื่อแย่งชิงอำนาจ ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองที่รุนแรงและยืดเยื้อ
การกำเนิดของตอลิบาน: กลุ่ม ตอลิบาน (Taliban) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่ส่วนใหญ่ประกอบด้วยชาวปาทานและมีความเชื่อทางศาสนาแบบสุดโต่งได้ผงาดขึ้นมา โดยอ้างว่าจะนำความสงบเรียบร้อยและกฎหมายอิสลาม (ชะรีอะฮ์) มาสู่ประเทศ
ตอลิบานยึดครองอำนาจ: ในปี 1996 ตอลิบานได้ยึดครองกรุงคาบูลและปกครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จ กฎหมายที่บังคับใช้มีความเข้มงวดมาก โดยเฉพาะการจำกัดสิทธิสตรีและชนกลุ่มน้อยที่ไม่ใช่ปาทาน
ปี 2001 - 2021: การแทรกแซงของสหรัฐฯ และการฟื้นตัวของตอลิบาน
การโจมตี 9/11: หลังจากเหตุการณ์การโจมตีสหรัฐฯ ในวันที่ 11 กันยายน 2001 สหรัฐฯ ได้บุกโจมตีอัฟกานิสถาน เพื่อโค่นล้มกลุ่มตอลิบานที่ให้ที่พักพิงกับกลุ่มก่อการร้ายอัลกออิดะห์
การปกครองที่อ่อนแอ: แม้ว่าสหรัฐฯ และพันธมิตรจะสามารถขับไล่ตอลิบานออกจากอำนาจได้ แต่รัฐบาลใหม่ที่ได้รับการสนับสนุนจากนานาชาติกลับอ่อนแอและทุจริต ทำให้ตอลิบานค่อยๆ ฟื้นตัวและเริ่มโจมตีกลับอีกครั้ง
การถอนตัวของสหรัฐฯ: ในปี 2021 สหรัฐฯ ได้ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน ทำให้ตอลิบานเข้ายึดอำนาจได้อีกครั้งในเวลาอันรวดเร็ว
แก่นของปัญหา:
ความขัดแย้งในอัฟกานิสถานเป็นเรื่องของ การชิงอำนาจระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ และ ความแตกต่างทางอุดมการณ์ โดยเฉพาะระหว่างชนชั้นปกครองที่เป็นชาวปาทานกับชนกลุ่มน้อยอื่นๆ
ชนกลุ่มน้อย: ต้องการสิทธิ์ในการปกครองตนเองและมีส่วนร่วมในอำนาจการเมืองอย่างเท่าเทียม
ตอลิบาน: ต้องการปกครองประเทศตามกฎหมายอิสลามแบบเคร่งครัด ซึ่งมักจะจำกัดสิทธิของชนกลุ่มน้อยและผู้ที่เห็นต่าง
ปัญหาที่ยังคงอยู่คือการขาด รัฐบาลกลางที่มั่นคง ซึ่งสามารถสร้างความสามัคคีและปกป้องสิทธิของประชาชนทุกคนในประเทศได้
ยุคก่อนปี 1947: การปกครองของอังกฤษและจุดเริ่มต้นของความแตกแยก
บริติชราช (British Raj): ในช่วงศตวรรษที่ 19 และ 20 ดินแดนที่ปัจจุบันคืออินเดีย ปากีสถาน และบังกลาเทศ ถูกปกครองโดยจักรวรรดิอังกฤษในนาม "บริติชราช" สังคมในพื้นที่นี้มีทั้งชาวฮินดูและชาวมุสลิมอาศัยอยู่ร่วมกันเป็นส่วนใหญ่
แนวคิดการแบ่งแยก: เมื่อกระแสการเรียกร้องเอกราชเริ่มแข็งแกร่งขึ้น ก็เกิดแนวคิดเรื่อง "สองชาติ" (Two-Nation Theory) โดยพรรคมุสลิมลีก (Muslim League) ที่มองว่าชาวฮินดูและชาวมุสลิมไม่สามารถอยู่ร่วมกันในประเทศเดียวได้ เนื่องจากมีศาสนาและวัฒนธรรมที่แตกต่างกันมากเกินไป จึงต้องการแยกประเทศสำหรับชาวมุสลิมโดยเฉพาะ
ปี 1947: การแบ่งแยกและสงครามครั้งแรก
การแบ่งแยกอินเดีย: ในปี 1947 อังกฤษได้ให้เอกราชแก่บริติชราช แต่ก็แบ่งดินแดนออกเป็นสองประเทศตามแนวศาสนา คือ อินเดีย (ส่วนใหญ่เป็นชาวฮินดู) และ ปากีสถาน (ส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม) โดยปากีสถานถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน คือ ปากีสถานตะวันตกและปากีสถานตะวันออก (ปัจจุบันคือบังกลาเทศ) การแบ่งแยกครั้งนี้ทำให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ของผู้คนนับล้าน และเกิดเหตุจลาจลสังหารหมู่ครั้งร้ายแรง
การปะทะที่แคชเมียร์: แคว้นแคชเมียร์ เป็นจุดเริ่มต้นของสงครามครั้งแรก เนื่องจากกษัตริย์ของแคว้นเป็นชาวฮินดูแต่ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม ทำให้ทั้งอินเดียและปากีสถานต่างก็อ้างสิทธิ์ในพื้นที่นี้ และส่งกองทัพเข้าปะทะกัน
ทศวรรษ 1960s - 1990s: สงครามและการเผชิญหน้าที่ยังคงดำเนินอยู่
สงครามปี 1965: เกิดสงครามเต็มรูปแบบครั้งที่สองขึ้นอีกครั้งจากปัญหาแคชเมียร์
สงครามปี 1971 และการแยกตัวของบังกลาเทศ: ปากีสถานตะวันออกรู้สึกว่าถูกรัฐบาลกลางในปากีสถานตะวันตกละเลยและกดขี่ จึงประกาศแยกตัวเป็นอิสระ โดยมีอินเดียให้การสนับสนุน ส่งผลให้เกิดสงครามครั้งที่สาม ซึ่งจบลงด้วยชัยชนะของอินเดีย และการก่อตั้งประเทศ บังกลาเทศ
สงครามคาร์กิล (Kargil War): ในปี 1999 กองทัพของทั้งสองประเทศเผชิญหน้ากันอีกครั้งบริเวณชายแดนในแคชเมียร์
ปัจจุบัน: สงครามตัวแทนและความตึงเครียดที่ยังคงอยู่
ปัญหาแคชเมียร์: ยังคงเป็นประเด็นหลักที่ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองประเทศตึงเครียด อินเดียกล่าวหาปากีสถานว่าให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายที่เข้ามาโจมตีในฝั่งอินเดีย
การครอบครองอาวุธนิวเคลียร์: ทั้งสองประเทศได้พัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ในทศวรรษ 1970-1990 ทำให้ความขัดแย้งทวีความรุนแรงและอันตรายมากขึ้น
การปะทะกันทางชายแดน: แม้จะไม่มีสงครามใหญ่ แต่ยังคงมีการปะทะและยิงกันตามแนวชายแดนอยู่เป็นระยะๆ
แก่นของปัญหา:
ความขัดแย้งนี้เกิดจาก ปัญหาด้านอัตลักษณ์ และ การแบ่งแยกทางศาสนา ที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข
อินเดีย: ยึดมั่นในความเป็นรัฐโลกวิสัย (Secular State) ที่ยอมรับความหลากหลาย แต่ก็มองว่าแคชเมียร์เป็นส่วนหนึ่งที่แยกจากกันไม่ได้
ปากีสถาน: ถูกก่อตั้งขึ้นในฐานะรัฐศาสนาสำหรับชาวมุสลิม และมองว่าแคชเมียร์ที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิมควรเป็นส่วนหนึ่งของปากีสถาน
ปัญหาจึงไม่ใช่แค่เรื่องของพรมแดน แต่เป็นเรื่องของ ความรู้สึกชาตินิยม และ อุดมการณ์ทางศาสนา ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ยุคก่อนปี 2000s: ความสัมพันธ์ที่ขยายตัว
ยุคเริ่มต้น: ในช่วงทศวรรษ 1970s และ 1980s หลังจากความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ กับจีนกลับคืนมา จีนได้เปิดประเทศและเริ่มปฏิรูปเศรษฐกิจแบบตลาด ทำให้การค้าขายระหว่างสองประเทศขยายตัวอย่างรวดเร็ว
การเข้าเป็นสมาชิก WTO: ในปี 2001 จีนได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกของ องค์การการค้าโลก (WTO) ซึ่งทำให้จีนกลายเป็น "โรงงานของโลก" และส่งออกสินค้าจำนวนมหาศาลไปทั่วโลก รวมถึงสหรัฐฯ ด้วย
ทศวรรษ 2010s: ความตึงเครียดที่เริ่มก่อตัว
การขาดดุลการค้า: สหรัฐฯ เริ่มรู้สึกว่าตนเองเสียเปรียบทางการค้าอย่างมาก เพราะนำเข้าสินค้าจากจีนมากกว่าที่ส่งออกไปขายหลายเท่า ทำให้เกิดการขาดดุลการค้าอย่างมหาศาล
การขโมยทรัพย์สินทางปัญญา: สหรัฐฯ กล่าวหาว่าจีนละเมิดกฎการค้าโลก โดยเฉพาะการขโมยเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัทอเมริกัน รวมถึงการบีบให้บริษัทต่างชาติถ่ายโอนเทคโนโลยีให้เพื่อแลกกับการเข้าถึงตลาดจีน
นโยบาย "Made in China 2025": จีนประกาศแผนยุทธศาสตร์ที่จะก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีระดับโลกในอุตสาหกรรมสำคัญๆ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ หุ่นยนต์ และยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งทำให้สหรัฐฯ กังวลว่าอาจจะเสียเปรียบในอนาคต
ปี 2018 - 2020: สงครามการค้าที่ปะทุขึ้น
การขึ้นภาษีนำเข้า: ในปี 2018 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์ โดยอ้างว่าเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ
การตอบโต้ของจีน: จีนไม่ได้ยอมแพ้และตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เช่นเดียวกัน ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนภาษีนำเข้ากันไปมาจนกลายเป็น "สงครามการค้า" ที่กระทบต่อเศรษฐกิจโลก
ผลกระทบ: สงครามการค้าทำให้บริษัทต่างๆ ต้องเผชิญกับต้นทุนที่สูงขึ้น และบางบริษัทต้องย้ายฐานการผลิตออกจากจีนเพื่อหนีภาษี
ปัจจุบัน: การแข่งขันเชิงกลยุทธ์และเทคโนโลยี 🚀
การแข่งขันทางเทคโนโลยี: แม้จะมีการลงนามในข้อตกลงการค้าบางส่วน แต่ความขัดแย้งยังคงไม่จบลง โดยเปลี่ยนจากการสู้รบด้วยภาษีเป็นการแข่งขันเชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะในด้านเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น เซมิคอนดักเตอร์ (ชิปคอมพิวเตอร์)
การจำกัดการส่งออกเทคโนโลยี: สหรัฐฯ ได้ออกมาตรการจำกัดการส่งออกชิปและเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตชิปไปยังจีน โดยมีเป้าหมายเพื่อชะลอการพัฒนาทางเทคโนโลยีของจีนในด้านการทหารและปัญญาประดิษฐ์
ผลกระทบในวงกว้าง: ความตึงเครียดนี้ไม่ได้ส่งผลกระทบแค่สองประเทศ แต่ยังทำให้บริษัทเทคโนโลยีทั่วโลกต้องเลือกข้าง และทำให้ประเทศอื่น ๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายในการจัดหาชิ้นส่วนและเทคโนโลยี
แก่นของปัญหา:
ความขัดแย้งนี้ไม่ได้มาจากปัญหาการค้าเพียงอย่างเดียว แต่เป็นเรื่องของ การชิงความเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีของโลก
สหรัฐฯ: ต้องการรักษาตำแหน่งผู้นำทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยี และมองว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วของจีนเป็นภัยคุกคาม
จีน: ต้องการก้าวขึ้นเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจและเทคโนโลยีอย่างเต็มตัว โดยเฉพาะการพึ่งพาตัวเองให้ได้ในอุตสาหกรรมสำคัญๆ
ความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนจึงเป็นการแข่งขันระยะยาวที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้