ตั้งแต่ปีค.ศ. 1948 มีการประกาศใช้“ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน” ก็ได้มีการศึกษาและอธิบายความหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิมนุษยชนอย่างลึกซึ้งขึ้น และพัฒนามาเป็นกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ สิ่งเหล่านี้ล้วนก่อให้เกิดความเข้าใจในพันธกรณีของรัฐในมิติสิทธิมนุษยชนทั้งการเคารพ (respect) การคุ้มครอง(protect) และการทำ ให้สิทธิเป็นจริง(fulfill) ซึ่งได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และแนวนโยบายแห่งรัฐ
เป็นที่ทราบกันดีว่ามนุษย์เป็นสัตว์สังคม แต่อะไรที่ทำ ให้มนุษย์ต่างจากสัตว์ชนิดอื่นๆ คำ ตอบ คือ “ความสามารถในการใช้เหตุผล” ศักยภาพดังกล่าวทำ ให้มนุษย์มีความเชื่อในความยุติธรรมอยู่ในตัวเป็นสิ่งที่เรายอมรับ และการที่มนุษย์สามารถใช้เสรีภาพเพื่อเลือกสิ่งต่างๆ อย่างเป็นเหตุผลได้เป็นเพราะธรรมชาติมอบสิทธิที่ไม่อาจพรากไปได้/ไม่สามารถถ่ายโอนกันได้ (inalienable) บางประการให้กับมนุษย์เราเรียกสิทธิเหล่านี้ว่า สิทธิธรรมชาติ
บางครั้งมนุษย์มีความรู้สึกโกรธโลภ อยากมีอำนาจ เกลียด อิจฉา รู้สึกตัวเองเหนือผู้อื่น ฯลฯ เป็นเหตุจูงใจให้กระทำ การที่ส่งผลกระทบต่อประโยชน์ของบุคคลอื่นหรือของสังคม ดังนั้นจึงจำเป้นต้องจำกัดสิทธิธรรมชาติของมนุษย์ด้วย "กฎหมาย" เป็นเหตุให้เกิดแนวคิดเรื่องหลัก "นิติธรรม"
“บุคคลทั้งหลายต่างเป็นมนุษย์ที่มีเกียรติหรือศักดิ์ศรีที่ควรแก่การเคารพ”
เหตุการณ์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว หรือที่รู้จักกันในชื่อ โฮโลคอสต์ เกิดขึ้นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1941-1945) โดยพรรคนาซีของเยอรมนี ภายใต้การนำของ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ทำการสังหารชาวยิวไปกว่า 6 ล้านคนอย่างเป็นระบบและโหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ ด้วยการส่งพวกเขาไปยังค่ายกักกันและค่ายมรณะเพื่อใช้แรงงานและสังหารหมู่ด้วยแก๊สพิษ
เหตุการณ์อันน่าสยดสยองนี้ทำให้โลกตระหนักถึงความจำเป็นที่จะต้องมีกฎหมายและกลไกสากลเพื่อคุ้มครองศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์และสิทธิขั้นพื้นฐานของทุกคนไม่ให้ถูกละเมิดอีกต่อไป จึงนำไปสู่การก่อตั้งองค์การสหประชาชาติ (UN) และการร่าง ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights) ในปี ค.ศ. 1948 เพื่อเป็นมาตรฐานสากลด้านสิทธิมนุษยชนสำหรับทุกชาติและเป็นหลักการพื้นฐานที่ปกป้องสิทธิของมนุษย์ทุกคนโดยไม่เลือกปฏิบัติ