1. ประชากร (population)
รัฐทุกรัฐต้องประกอบไปด้วยประชากรที่มีอยู่อาศัย มีแหล่งทำมาหากิน ภายในขอบเขตของดินแดน ที่มีขอบเขต อย่างแน่นอน หากประชากรจะต้องเดินทางร่อนเร่ไปแบบชนเผ่าเร่ร่อน ก็ไม่สามารถถือว่าเป็นรัฐ สำหรับจำนวนประชากรนั้นไม่เป็นปัญหาต่อความเป็นรัฐ อย่างไรก็ตาม จำนวนประชากรของแต่ละรัฐ มีความแตกต่างกันมากมาย เช่น รัฐวาติกัน มีพลเมืองประมาณ 700 ถึง 1,000 คน สหรัฐอเมริกามี ประชากรประมาณ 300 ล้านคน อินเดียมีประชากรประมาณ 800 ล้านคน ขณะที่จีนมีประชากรประมาณ 1,000 ล้านคน
ประชากรประกอบด้วย
1. ประชากรที่อาศัยอยู่ในรัฐนั้น
2. ชนเผ่า หรือชนกลุ่มน้อย เป็นกลุ่มที่มีวัฒนธรรมเป็นของตนเอง แตกต่างจากสังคมส่วนใหญ่ เช่น ประเทศพม่า มีชนเผ่าต่างๆมากมาย เช่น ไทยใหญ่ ปกากะญอ มอญ เป็นต้น
3. คนต่างด้าว ก็คือพวกชาวต่างประเทศที่มาอาศัยอยู่ในประเทศอื่น ได้รับประโยชน์บ้าง แต่ไม่เท่ากับพลเมือง ไม่มีสิทธิ์ทางการเมืองแต่ต้องทำหน้าที่ เช่น เสียภาษีอากร เป็นต้น
4. ทาส ในปัจจุบัน ประชากรกลุ่มนี้ไม่ค่อยปรากฏให้เห็นแล้ว
2. ดินแดน (Territory)
ประชากรต้องอาศัยอยู่ในดินแดน ดินแดนจึงเป็นส่วนประกอบที่สำคัญอีกประการหนึ่ง ของรัฐ แต่ดินแดนที่ถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญของรัฐได้จะต้องมีอาณาเขตที่ชัดเจนแน่นอน คำว่าดินแดนนี้ รวมถึงสิ่งที่เป็นดิน เป็นอากาศเหนือพื้นดิน และส่วนที่ติดกับชายฝั่งทะเล ดินแดนในที่นี้จะต้อง มีการปักปันเขตแดนที่แน่นอน โดยการกำหนดเป็นสนธิสัญญาหรือ อนุสัญญาที่ได้รับการรับรองจาก ประเทศอื่นๆด้วย ในปัจจุบันมีการปักปันเขตแดนตามหลักการ กฎหมายระหว่างประเทศ สำหรับ ประเทศไทยมีเส้นเขตแดนที่ปะติดกันดูเป็นรัฐรูปขวานโบราณ เช่นเดียวกับประชากรก็คือ ดินแดนจะเล็กหรือใหญ่ก็ไม่ใช่สาระของการพิจารณาว่าเป็นรัฐ หรือไม่ เช่น อเมริกามีพื้นที่ประมาณ 9.5 ล้านตารางกิโลเมตร ญี่ปุ่น 3.7 แสนตารางกิโลเมตร พอๆ กับ ประเทศไทย ในขณะที่วาติกันมีเนื้อที่เล็กน้อยเพียง 0.4 ตารางกิโลเมตร ดินแดนที่ เป็นรัฐต้องมีดินแดนที่ เหมาะสมจึงสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้ และสามารถทำให้รัฐมีการพัฒนาได้ จริงจัง
3. รัฐบาล (government)
รัฐบาล คือ องค์การและผู้แทนขององค์การที่ดำเนินงานของรัฐ ซึ่งเป็นผู้ทำหน้าที่ดำเนินงาน ตามหลักการนโยบายสาธารณะ ทั้งนี้เพื่อเป็นไปตามหลักการที่สนองต่อเจตนารมณ์ของ สาธารณชนจึงถือได้ว่าทั้งฝ่ายนิติบัญญัติ บริหาร ตุลาการ และฝ่ายปกครองต่างก็เป็นส่วนของ รัฐบาลทั้งสิ้น การเป็นรัฐบาลนั้นจำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากประชาชนและต้องสนอง ต่อความต้องการส่วนใหญ่ของประชาชนภายในรัฐเพื่อรักษาผลประโยชน์ของประชาชน ป้องกัน การรุกรานจากรัฐอื่น ตลอดจนให้ความยุติธรรมแก่ประชาชน
นอกจากนี้การที่รัฐเป็นองค์การหรือสถาบันทางการเมืองเพื่อจัดการปกครองให้มีระเบียบ แบบแผนจะได้รับความรับรองจากรัฐอื่น เพื่อประโยชน์ในการติดต่อสัมพันธ์ทางการทูต เศรษฐกิจ สังคม และความมั่นคงอย่างเท่าเทียมกัน รัฐบาลจึงมีหน้าที่ในการสร้างและรักษา กฎหมาย ทั้งภายในรัฐและระหว่างรัฐไปด้วยกัน
4. อำนาจอธิปไตย (sovereignty)
องค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของความเป็นรัฐคือ “อํานาจอธิปไตย” ก็คือเป็นที่รวมอำนาจ ที่ผู้ปกครองหรือรัฐบาลได้ใช้เพื่อการบริหารและปกครองประเทศ การที่รัฐมีอำนาจอธิปไตย นี่เอง ทำให้รัฐบาลมีอำนาจในองค์กรใดๆ ทั้งปวงในสังคม ความหมายง่ายๆ ของอำนาจอธิปไตย คือ การเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศหรืออำนาจทางกฎหมายที่มีลักษณะเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ที่จริงคำว่าอำนาจเด็ดขาดของอำนาจอธิปไตยนั้น ถึงแม้ว่าจะมีนักรัฐศาสตร์กล่าวว่าเป็นอำนาจ ที่ไม่จำกัด แต่แท้จริงแล้วก็เป็นอำนาจที่จำกัดอยู่ที่เจตนารมณ์ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของ อำนาจอธิปไตย โดยแท้จริง
อํานาจอธิปไตยแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ
1) อำนาจอธิปไตยภายใน (internal sovereignty) ได้แก่ อำนาจสูงสุดของรัฐบาลที่มีอำนาจ เหนือประชากรทุกคน ตลอดจนประมุขของรัฐ ด้วยอํานาจอธิปไตยภายในนี้เองทำให้รัฐบาล มีอำนาจมากกว่าองค์กรใดๆ หรือบุคคลใดๆ ในรัฐตน ไม่ว่าจะเป็นบรรษัทข้ามชาติ องค์กรระหว่าง ประเทศ หรือผู้ก่อการร้าย
2) อำนาจอธิปไตยภายนอก (external sovereignty) หรืออาจเรียกได้ว่า เป็นเอกราช คือ อำนาจที่เป็นอิสระ ปราศจากการควบคุมจากอำนาจอื่นๆ ที่เหนือกว่าตน อํานาจอธิปไตย ภายนอกนี้คือหลักประกันทางทฤษฎีที่ว่า รัฐทุกรัฐในโลกมีความเท่าเทียมกันโดยแต่ละรัฐมีอำนาจ อธิปไตยเหมือนกันทุกรัฐ
รัฐแต่ละรัฐ มีความแตกต่างกันในด้าน จำนวนประชากร ขนาดดินแดน ทรัพยากร ประวัติศาสตร์ เป็นต้น ทำให้แต่ละรัฐมีรูปแบบของรัฐที่แตกต่างกัน
รูปแบบของรัฐแบ่งตามรัฐบาลของรัฐ
สำหรับหลักเกณฑ์แรกที่นำมาใช้ในการพิจารณาจำแนกรูปแบบของรัฐคือ การศึกษาวิธีการใช้อำนาจอธิปไตย ในแต่ละรัฐ กล่าวคือในกรณีที่รัฐธรรมนูญบัญญัติให้มีรัฐบาลเพียงระดับเดียวในการใช้อำนาจอธิปไตยเราก็จะให้รัฐนั้นอยู่ใน รูปแบบ ของ “รัฐเดี่ยว” แต่ในกรณีรัฐธรรมนูญของรัฐที่บัญญัติ ให้มีอำนาจอธิปไตยแยกการใช้ออกในรูปของรัฐบาล 2 ระดับ คือรัฐบาลท้องถิ่น และรัฐบาลกลาง เราก็จัดว่ารัฐนั้น มีรูปแบบการปกครองแบบ “รัฐรวม”
สาเหตุของการเกิดรัฐเดี่ยวและรัฐรวม
1. ขนาดของพื้นที่และความหลากหลาย รัฐที่เป็นรัฐรวมมักจะมีขนาดใหญ่และมีความแตกต่างทางด้านพื้นที่ ค่อนข้างมาก เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา มีส่วนที่เป็นชนบททำการเกษตรเป็นหลัก ส่วนที่เป็นศูนย์กลางของการเงิน ของโลก และส่วนที่เป็นศูนย์กลางการบินของโลก ประเทศที่มีความแตกต่างทางด้านพื้นที่อย่างหลากหลายเช่นนี้ย่อมต้องมี กฎหมายเฉพาะในการปกครองตนเอง ในขณะที่รัฐเดี่ยวมักจะมีสภาพภูมิศาสตร์คล้ายคลึงกันทั่วทั้งรัฐ มีขนาดเล็ก ประชากรมีความเป็นอยู่คล้ายคลึงกัน ดังนั้นปัญหาต่างๆ แล้วเดี๋ยวจะสามารถดำเนินการให้สัมฤทธิ์ผลได้อย่างดีอยู่แล้ว ไม่จำเป็นจะต้องแบ่งรัฐบาลออกเป็นหน่วยย่อยๆ
2. ประวัติศาสตร์เพื่อให้เกิดรูปแบบรัฐต่างๆ กัน ประเทศอะไรประเทศเคยมีการปกครองของแต่ละรัฐที่แยกจากกัน มาก่อน ในที่สุดแล้วค่อยมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว จึงจะคงเหลือรูปแบบของการปกครองแบบท้องถิ่น ทำให้เกิดรัฐรวม เช่น ประเทศอเมริกา เริ่มจากการมีรัฐทั้งหมด 13 รัฐ ภายหลังรับต่างๆเหล่านั้นเข้ามาทำสัญญากันว่าจะให้แต่ละรัฐอยู่ร่วมกัน ในรูปแบบของสมาพันธรัฐ โดยแต่ละรัฐมีอิสระในการดำเนินการภายในรัฐ แต่ต้องการเข้ามารวมกันเพื่อความเข้มแข็ง และประหยัดงบประมาณ ในขณะที่ประเทศบางประเทศ เช่น อังกฤษ มีรัฐบาลกลางเพียงรัฐบาลเดียวเพราะประเทศ อังกฤษไม่ได้เกิดจากรัฐต่างๆเข้ามาทำสัญญาร่วมกัน แต่เกิดจากอำนาจส่วนกลางคือรัฐบาลที่ลอนดอน แผ่ขยายอำนาจ นานนับร้อยปี
ลักษณะรูปแบบการปกครองแบบรัฐเดี่ยว
ในการปกครองแบบรัฐเดี่ยว ถือว่ารัฐบาลกลางนั้นมีอำนาจสูงสุด และเต็มที่ในการใช้ อำนาจอธิปไตยแต่เพียงผู้เดียว การปกครองระดับท้องถิ่นภายใต้รูปแบบรัฐเดี่ยว ถือว่าเป็น ส่วนหนึ่งหรือเป็นเพียงตัวแทนของรัฐบาลกลางเท่านั้น รัฐบาลแบ่งเขตการปกครองโดยแต่ละ เขตการปกครอง จะส่งตัวแทนหรือข้าราชการ จากส่วนกลางไปประจำเพื่อดูแล หรือดำเนินการ เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายของ รัฐบาล กลางหรือคำสั่งของรัฐบาลกลาง หน่วยการปกครองที่มี อำนาจสูงสุดคือ รัฐบาลกลาง โหลดไฟล์บริหารหรือรัฐบาลเป็นผู้กำหนดนโยบายและกำหนดเป็น แผนงานเพื่อให้ท้องถิ่นในเขตต่างๆ และหน่วยงานต่างๆ รับไปปฏิบัติฝ่ายนิติบัญญัติ หรือรัฐสภา หรือสมาชิกวุฒิสภาเป็นผู้ควบคุมนโยบายและแผนงานต่างๆ การจัด รูปแบบรัฐเป็นแบบรัฐเดี่ยว ย่อมมีเหตุปัจจัยหลายอย่าง คือ
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดรัฐเดี่ยว
1.ประเทศมีอาณาเขตเล็ก
อาณาเขตของประเทศมีไม่กว้างใหญ่ไพศาลรวมทั้งมีสภาพทางภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ ทรัพยากร สภาพความเป็นอยู่ของประชาชนไม่แตกต่างกันมากนัก รัฐบาลสามารถ ใช้วิธีการ แก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในแบบเดียวกันได้ และรัฐบาลมีความสามารถดูแล กิจการบริหารประเทศ ได้อย่างทั่วถึง ฉะนั้นรัฐบาลกลางจึงไม่มีความจำเป็นจะแบ่ง การปกครองออกเป็นหลายรัฐหรือ หลายหน่วยย่อย ๆ ขึ้นดำเนินการเป็นเอกเทศ เพราะนอกจากเป็นการทำให้งานซ้ำซ้อนแล้ว ยังเป็นการสิ้นเปลืองงบประมาณ และใช้บุคลากรมากเกินความจำเป็น ซึ่งไม่ก่อให้เกิดผลดี ต่อการบริหารประเทศ
2. ประเทศมีลักษณะของท้องถิ่นไม่แตกต่างกันนัก
ประชากรมีเผ่าพันธุ์ เชื้อชาติ วัฒนธรรม ความเชื่อทางศาสนาคล้ายคลึงกัน แม้จะมีปัญหา เกิดขึ้นไม่ว่าปัญหาทางเชื้อชาติ ปัญหาทางด้านขนบธรรมเนียมประเพณีหรือปัญหาในเรื่องของ วัฒนธรรมย่อมจะมีลักษณะคล้ายคลึงกัน รัฐบาลกลางสามารถที่จะใช้วิธีการแก้ปัญหาในทำนอง เดียวกัน ได้ทั่วทั้งประเทศ ฉะนั้นจึงไม่จำเป็นที่รัฐจะแบ่งการปกครองออกเป็นหลายรัฐ
3.ประเทศมีประวัติความเป็นมาทางประวัติศาสตร์เกี่ยวข้อง ใกล้ชิดกันหรือเป็นอย่างเดียวกัน
ประวัติความเป็นมาของประชาชนในชาติมีความเป็นมาเหมือนกัน อาจจะมีลักษณะเชื้อชาติ เผ่าพันธุ์เดียวกัน มีภาษาเดียวกัน มีขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมอันเดียวกันหรือ คล้ายคลึงกัน หรืออาจจะเคยร่วมกลุ่มปกครองเป็นกลุ่มเดียวกันมาก่อนอย่าง คนไทยเคยร่วมกัน ปกครองมาก่อนในตอนใต้ของจีนและ ได้อพยพโยกย้ายมาอยู่ดินแดนสยามแห่งนี้ ก็ยังร่วมกัน ปกครองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอยู่เหมือนเดิม แม้ในบางขณะในสมัยกรุงสุโขทัยและ กรุงศรีอยุธยาจะแยกกัน ปกครองกันก็มิได้ถือว่า คนไทยแยกกันปกครองอย่างเด็ดขาดและถือว่า เป็นการแยกการปกครองบางขณะเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ประชาชนจึงมีความผูกพันกันอย่าง แน่นแฟ้น จึงไม่จำเป็นจะแบ่งแยกการปกครองออกเป็นหลายรัฐ
ผลดีของการปกครองแบบรัฐเดี่ยว
ผลดีที่เกิดจากการปกครองรูปแบบนี้ คือ มีความเป็นเอกภาพสูง มีความเป็นปึกแผ่น มั่นคง และประหยัดงบประมาณในการปกครองประเทศ
ลักษณะรูปแบบการปกครองแบบรัฐเดี่ยว
รัฐรวมแบ่งได้เป็นอีก 2 ประเภท ตามสภาพการรวมกันเป็นรัฐ คือ สหพันธรัฐ และสมาพันธรัฐ
ระบบรัฐที่แบ่งการบริหารออกเป็นสองระดับ คือ การบริหารส่วนกลางโดย “รัฐบาลกลาง” กับ บริหารส่วนท้องถิ่น ที่บริหารโดย “รัฐบาลท้องถิ่น” โดยที่ รัฐบาลท้องถิ่นจะมีอำนาจใน กิจการภายในบางประการเท่าทีรัฐบาลกลางมอบให้ แต่ไม่มีอำนาจในกิจการภายนอก ซึ่่งรัฐรวม ที่แบ่งการบริหารออกเป็นสองระดับ เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อภาคท้องถิ่นหรือมลรัฐ ได้มากกว่า “รัฐเดี่ยว” การจัดรูปแบบรัฐนี้ได้กำหนดภาระหน้าที่ของรัฐบาล แต่ละระดับไว้ ต่างกันดังนี้
ปัจจัยที่ก่อให้เกิดรัฐรวม
1. รัฐบาลกลาง ซึ่งถือว่าเป็นรัฐบาลหลักของประเทศมีภาระหน้าที่รับผิดชอบงานและ นโยบายที่สำคัญของประเทศหรือกิจการที่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ส่วนรวมของประเทศ หรือ กิจการที่เกี่ยวกับความมั่นคงปลอดภัยและความเป็น เอกราชของประเทศชาติ เช่น กิจการด้าน การป้องกันประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ กิจการด้านการคลังที่เกี่ยวกับรายได้ รายจ่ายงบประมาณของประเทศ กิจการด้านเศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจในประเทศและเศรษฐกิจ ระหว่างประเทศ และกิจการด้านทหาร เป็นต้น
2. รัฐบาลระดับท้องถิ่น รัฐบาลระดับท้องถิ่นนี้ถือว่าเป็นหน่วยงานการปกครอง ที่แบ่งเบา ภาระหน้าที่ของรัฐบาลกลางไปปฏิบัติจัดบริหารเพื่อสนองความต้องการของประชาชนในแต่ละท้องถิ่นของตน ดังนั้นจึงเป็นภาระหน้าที่ระดับรองลงมาจากรัฐบาลกลาง เช่น ด้านรักษาความ ปลอดภัยในรัฐ จัดบริการแก่ประชาชน จัดสวัสดิการให้แก่ประชาชนในรัฐและรักษาความ สะอาด การจัดเก็บภาษีในท้องถิ่นการไปรษณีย์ กฎหมายเกี่ยวกับคมนาคมขนส่ง การกำหนดอายุ ผู้ใช้สิทธิ์ในกิจกรรมต่างๆ ที่เกี่ยวกับท้องถิ่น นอกจากนี้ยังมีอำนาจในด้านกฎหมายเอกชนต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายทางอาญาหรือแพ่ง เป็นต้น
ฉะนั้นจะเห็นได้ว่าภาระหน้าที่ความรับผิดชอบของรัฐบาลทั้งสองระดับที่กฎหมาย รัฐธรรมนูญได้กำหนดให้รัฐบาลแต่ละระดับไปปฏิบัติจัดทำนั้น เป็นการปฏิบัติอย่างอิสระต่อกัน โดยไม่ก้าวก่ายงานของกันและกัน เว้นแต่จะมีการยินยอมของทั้งสองฝ่ายว่าจะทำอย่างไร ถึงอย่างไรก็ตามแม้ว่ารัฐบาลระดับท้องถิ่นจะทำงานได้อย่างอิสระก็มิได้หมายความว่า อิสระจน ขาดเอกภาพของประเทศนั้น การร่วมมือการทำงานและการร่วมมือทางด้านการปกครองยังต้อง
อาศัยกฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันจึงเป็นการปกครองเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแม้ประเทศนั้น จะมีการแบ่งรัฐบาลระดับท้องถิ่นออกไปเป็นหลายรัฐบาลก็ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญฉบับเดียวกันนั้นปกครองประเทศ การจัดรูปเป็นแบบรัฐรวม เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศอินเดีย ประเทศแคนาดา และประเทศออสเตรเลีย เป็นต้น
ผลดีของการปกครองแบบรัฐเดี่ยว
ผลดีจากการปกครองรูปแบบนี้ คือ ทำให้การปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นไปอย่างทั่วถึง สามารถแก้ไขปัญหาต่างๆได้อย่างรวดเร็ว รวมทั้งลดภาระของรัฐบาลกลางในระดับท้องถิ่น ลงทำให้สามารถดำเนินการเพื่อรักษาเอกราชและความเจริญก้าวหน้าของประเทศได้มากยิ่งขึ้น
รูปแบบของรัฐแบ่งตามประมุขแห่งรัฐ
เราสามารถแบ่งรัฐตามรูปแบบของประมุขแห่งรัฐ คือ รูปแบบการปกครองแบบกษัตริย์ และรูปแบบการปกครอง แบบสาธารณรัฐ คือมีบุคคลที่ได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนมาเป็นประมุขของรัฐ
1. รูปแบบการปกครองแบบระบบกษัตริย์ (Monarchy)
เป็นรูปแบบการปกครองที่เก่าแก่ของมนุษย์ ในปัจจุบันรูปแบบการปกครองนี้อาจจะแบ่ง ได้เป็น 2 ประเภทอีกคือ
ระบอบกษัตริย์แบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (ระบอบเผด็จการ) ผู้ปกครองในระบอบกษัตริย์อาจจะเป็นผู้ใช้อํานาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ในคนๆ เดียวกันหรือไม่อาจจะให้หน่วยงานอื่นรับไปปฏิบัติงานแทน เช่น บูรไน ซาอุฯ
ระบอบกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ (ประชาธิปไตยแบบรัฐสภา) โดยอำนาจที่แท้จริงอยู่ที่คณะรัฐมนตรีและรัฐสภา ดังนั้นถึงแม้ว่าประเทศอังกฤษ นอร์เวย์ สวีเดน เดนมาร์ก เนเธอร์แลนด์ เบลเยียม ไทย และ ญี่ปุ่น จะมีกษัตริย์เป็นประมุขของประเทศ แต่โดยแท้จริงแล้วระบอบการปกครองของประเทศ เหล่านี้ เป็น “ระบอบประชาธิปไตยแบบ รัฐสภา” อำนาจของกษัตริย์ต่างๆ อยู่ในรูปแบบของพิธีการ และพยายามหลีกเลี่ยงอำนาจ ทางการเมือง ระบอบกษัตริย์ในประเทศเหล่านี้ปัจจุบันถูกนำมาใช้ในฐานะเป็นเครื่องหมาย ความสามัคคีของคนในชาติ
2. รูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐ (Reupublic)
รูปแบบการปกครองแบบนี้โดยมากจะอยู่ในรัฐเกิดใหม่ คือประเทศที่ได้รับเอกราชหลัง สงครามโลกครั้งที่ 2 หรือประเทศที่เคยมีระบอบกษัตริย์แต่ยกเลิกไปในภายหลัง ประมุขของรัฐ ที่มีรูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐอาจจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทคือ “ประมุขตามพิธีกรรม” และ “ประมุขที่มีอำนาจบริหาร”
ประมุขตามพิธีกรรม (กึ่งประธานาธิปดี)
ประมุขตามพิธีกรรมจะได้รับเลือกโดยอ้อม ซึ่งเรียกว่า “ประธานาธิบดี” ซึ่งอำนาจนี้ อาจมา จากรัฐสภา หรือจากนายกรัฐมนตรี หรืออาจได้รับเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงก็ได้ แต่ประมุข ในรูปแบบนี้จะไม่มีอำนาจมากนัก โดยมากจะมีนายกรัฐมนตรีอีกตำแหน่งหนึ่ง ที่มีอำนาจเหนือ กว่าประธานาธิบดี เช่น ประเทศสิงคโปร์ อินเดีย อิสราเอล ซึ่งประธานาธิบดี แทบไม่มีบทบาท ทางการเมือง เพราะบทบาทการเมืองอยู่ในมือของนายกรัฐมนตรี เช่น เยอรมนี สิงค์โปร์
ประมุขที่มีอำนาจบริหาร (การปกครองแบบประธานาธิบดี)
ประมุขที่มีอำนาจในการบริหารจะมีบทบาทในการบริหารประเทศมาก เพราะได้รับเลือก จากประชาชนโดยตรง โดยมากจะไม่มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรี (ยกเว้นประเทศฝรั่งเศสที่มีทั้ง ประธานาธิบดีและนายกรัฐมนตรี แต่ประธานาธิบดีมีบทบาทในการบริหาร) ประเทศที่ปกครอง ในรูปแบบนี้ เช่น ประเทศสหรัฐอเมริกา ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เป็นต้น
รูปแบบของรัฐแบ่งขนาดของดินแดน
1. นครรัฐ
มีเมืองเพียงเมืองเดียว ได้แก่ สิงคโปร์ ราชรัฐโมนาโก นครรัฐวาติกัน
2. รัฐประชาชาติ
มีหลายเมือง และมีเมืองหลวงเพียงเมืองเดียว
3. รัฐจักรวรรดินิยม (ปัจจุบันไม่มีแล้ว)
รัฐทีมีอำนาจเหนือรัฐอื่น ลักษณะอาณานิคม ได้แก อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน ญี่ปุ่น โปรตุเกส ฮอลันดา เนเธอร์แลนด์ เป็นต้น ปัจจุบันไม่มีแล้วหลังสงครามโลกครั้งที่ 2