2 07-12-63

5 แท็คติค

สำหรับแวดวงบอล เมื่อเวลาผ่านไปพัฒนาการสิ่งต่างๆก็จะเริ่มเปลี่ยนไป รวมทั้งปรับปรุงขึ้นไม่ว่าจะเกิดเรื่องตัวนักฟุตบอล, ที่ปรึกษา, คณะทำงานสตาฟฟ์ผู้ฝึกสอน และก็โดยเฉพาะกลยุทธ์เล่น และกลอุบายที่แต่ละกลุ่มต้องหาทางดัดแปลงเพื่อเอาชนะคู่ปรปักษ์ในแต่ละเกมที่ลงสู่สนาม


ในตอนนี้ วิธีการ หรือที่พวกเรารู้จักกันว่า “แท็คติค” ถูกสร้างสรรค์โดยผู้จัดการทีมฟุตบอลสมัยใหม่ ซึ่งพวกเขาแก้ไขได้อย่างเหมาะควรกับช่วงจนถึงสามารถนำปลูกฝังให้กับผู้ร่วมทีมแปลงเป็นสไตล์การเล่นที่เป็นเอกลักษณ์ไปแล้ว แล้วก็นี่เป็น 5 อุบาย ที่กำลังจะแปลงเป็นที่นิยมเยอะที่สุดในยุคนี้

1.สร้างจังหวะทำคะแนนจากบอลจังหวะ 2


“ไม่มีผู้เพลย์เมคเกอร์ใครกันแน่จะทำเป็นดีไปกว่าเคาน์เตอร์เพรซซิ่งอีกแล้ว” พบร์เก้น คล็อปป์ กุนซือ หงส์แดง เคยกล่าวเอาไว้ โดยผู้ฝึกสอนชาวเยอรมันพาพรรคพวก “ลิเวอร์พูล” บรรลุผลสำเร็จครอบครองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, แชมป์ยูฟ่า ซุเปอร์ คัพ, แชมป์ชมรมโลก ด้วยการปลูกฝังสไตล์ “เกเก้นเพรซซิ่ง” และไม่ได้ใช้นักฟุตบอลผู้นำกองทัพเลข 10 ในกลุ่มเลย


คล็อปป์ ไม่มีกองกลางตัวประดิษฐ์เกมระดับท็อปอย่าง เควิน เดอ บรอยน์ หรือ ปอล ป็อกบา แม้กระนั้นเขาใช้มิดฟิลด์จอมขยันอย่าง จอร์แดน เฮนเดอร์สัน, จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม , เจมส์ ไม่ลเนอร์ รวมทั้ง อเล็กซ์ อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน รอสร้างสมดุล รวมทั้งขับดินแดนกึ่งกลาง เว็ปพนันบอลออนไลน์


นายใหญ่ “ลิเวอร์พูล” จะใช้ โรกางร์โต้ ฟีร์ไม่โน่ หัวหอกชาวบราซิล รับบทบาทในฐานะ False9 ชดเชยการขาดหายไปของเพลย์เมคเกอร์ และก็ใช้ปีกความเร็วสูงอีกทั้ง 2 ฝั่งอย่าง ซาดิโอ มาเน่ แล้วก็ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ รอทะลวงแนวรับคู่ปรปักษ์ และก็จบสกอร์


เคล็ดวิธีของ คล็อปป์ ที่เขาใช้เป็น ให้สมาชิกช่วยเหลือกันบีบพื้นที่ในดินแดนคู่แข่งขันเพื่อคอยเก็บตกบอลจังหวะ 2 หลังจากนั้น “ลิเวอร์พูล” จะใช้ช่องทางที่คู่ต้อสู่ทำผิดพลาดจู่โจมในทันที ซึ่งหลายทีมในลีกอื่นๆเริ่มจะใช้แนวทางลักษณะนี้กันบ้างแล้ว

2. ใช้เซ็นเตอร์ฮาล์ฟเป็นตัวเปิดเกมรุกตอบโต้กลับไว


การยืนแนวรับ 4 คน เปลี่ยนเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับหลายๆสมาคม ซึ่งมันต่างจากอดีตที่บางครั้งบางคราวมจะยืนด้วยระบบแนวรับ 3 คน โดยอาจมี สต๊อปเปอร์ 2 คน ปฏิบัติหน้าที่เป็นตัวชน และก็มี ลิเบอโร่ ยืนแขวนเป็นปราการหลังตัวในที่สุดรอตัวอ่านเกม แล้วก็เก็บบอลจังหวะ 2 รวมทั้งพาบอลไปขึ้นเกมรุกด้วยตัวเอง


อย่างไรก็ดี เดี๋ยวนี้ คู่ขาเซ็นเตอร์ฮาล์ฟที่ยืนคู่กัน ชอบมี 1 ราย ที่สะดุดตาสำหรับเพื่อการเปิดเกมรุก การส่งบอล แล้วก็ถือครองบอลด้วยเท้า อาทิเช่น แนวรับ อย่าง หนวดเคราร์ด ปิเก้, ราฟาเอล วาราน, เวอร์จิล ฟาน ไดจค์, แฮร์รี่ แมคแกว่งไกวร์, อายเมริค ลาปอร์เต้ ซึ่งสามารถใช้ความถนัดของพวกเขาสำหรับการเปิดเกมตอบโต้กลับเร็วได้


บรรดาปราการหลังที่กล่าวมา ชอบใช้ความสามารถจากการมีไว้ในครอบครองบอลที่แน่ๆของตนเองเก็บบอลไว้เพื่อรอเวลาให้ผู้เล่นแนวรุกที่มีความรวดเร็วรอวิ่งหาช่องรอบๆกรอบจุดโทษคู่ปรับ แล้วต่อจากนั้น พวกเขาบางทีก็อาจจะพาบอลขึ้นมา หรือชุบมือเปิบเปิดบอลไปยังวัตถุประสงค์เพื่อสร้างจังหวะลุ้นประตูให้กับกลุ่ม

3. ใช้ฟูลแบ็คทั้งยัง 2 ฝั่ง เป็นเพลย์เมคเกอร์รอทำเกม


ในอดีตฟูลแบ็คเป็นตำแหน่งที่หลายๆคนอาจไม่ให้ความเอาใจใส่มากเท่าไรนัก แม้กระนั้นในแวดวงบอลปัจจุบันนี้ นักฟุตบอลในตำแหน่งดังที่กล่าวถึงมาแล้วถูกเปลี่ยนหน้าที่ และก็ปรับปรุงไปอย่างเร็วจนถึงเปลี่ยนมาเป็นข้อสำคัญของกลุ่ม


อาร์เซน่อล สมัยใหม่ ภายใต้การควบคุมกลุ่มของ ไม่เคล อาร์เตต้า ผู้ฝึกสอนชาวประเทศสเปน ได้ปลุกปั้น บูกาโย่ ซาก้า ตัวเติมเกมรุกจากฝั่งซ้ายดาวรุ่งคนอังกฤษให้มาแจ้งกำเนิดในตำแหน่งแบ็คซ้ายจอมฝ่าที่มีหน้าที่เพิ่มเติมเกมรุกได้อย่างสุดสนุก แล้วก็มีส่วนสำคัญทางเกมขอบเส้นของ “ไอ้ปืนใหญ่” เป็นอย่างมาก


อาร์เตต้า ใช้ 2 แผงหน้าอย่าง ปิเครื่องปรับอากาศ-เอเมอริค โอบาเมยอง แล้วก็ อเล็กซ็องด์ ลากาแซ็ตต์ สลับกันออกมาเล่นขอบเส้น และก็ตัดเข้าไปอยู่ภายในกรอบจุดโทษของคู่ต่อสู่ ซึ่งโน่นจะเป็นราวกับการเปิดพื้นที่ว่างให้กับ ซาก้า เพิ่มเกมรุกได้อย่างอิสระ แล้วก็มีตอนที่จะประดิษฐ์เกมอย่างมาก


เวลาเดียวกัน ในช่วงฤดูกาลนี้ บาเยิร์น มิวนิค ก็มี อัลฟอนโซ่ เดวี่ส์ แบ็คซ้ายดาวรุ่งชาวแคนาดา แจ้งเกิดมาเล่นกับกลุ่มชุดใหญ่ได้อย่างเต็มกำลังกับหน้าที่ฟูลแบ็คที่รอประดิษฐ์เกม และก็ในอนาคตอันใกล้พัฒนาการของผู้เล่นในตำแหน่งแบ็คคงจะได้รับการพัฒนาขึ้นกว่านี้อีก

. ใช้กองกลางสลับตำแหน่งกับฟูลแบ็คเพิ่มความมากมายหลาย


เมื่อใช้ฟูลแบ็คปฏิบัติหน้าที่เพลย์เมคเกอร์แล้ว มันก็หลบหลีกมิได้เลยผู้เล่นในตำแหน่งกองกลางต้องรอไปคุมพื้นที่ว่างถูกจุดนั้นแทน ในกลุ่ม อาร์เซน่อล นั้น กรานิต ชาก้า มิดฟิลด์ชาวประเทศสวิตเซอร์แลนด์ จะรอปฏิบัติหน้าที่ดังที่กล่าวมาแล้ว ขณะที่ หงส์แดง จะมี ฟาบินโญ่ ห้องเครื่องชาวบราซิลรอขยับไปปิดพื้นที่ของ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ และก็ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน


ยุคเก่า เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ จะเป็นผู้เล่นหลักที่รอปิดพื้นที่ว่างเมื่อเวลาฟูลแบ็คเพิ่มเติมเกมรุก แต่ว่าขณะนี้หลายๆกลุ่มใช้มิดฟิลด์ตัวรับเป็นคนหน้าที่ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นแล้ว รวมทั้งกองกลางตัวรับยังจำต้องปฏิบัติภารกิจวิ่งหาพื้นที่ว่างรับ-จ่ายบอล ควบคุมจังหวะเกม และก็รอกระจัดกระจายบอลไปยังจุดที่เป็นต่อทุกพื้นที่บนสนาม


ตอนนี้เปลี่ยนเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเราได้มองเห็น บรรดามิดฟิลด์จะสลับไปยืนแทนตำแหน่งของฟูลแบ็ค พวกเขาต่างรู้เรื่องในเกม เกื้อหนุนกันและกันอย่างดีเยี่ยม โดยการเปลี่ยนตำแหน่งดังกล่าวข้างต้นยังเป็นเหตุให้กลุ่มอาจจะองค์ประกอบที่เข้มแข็งเอาไว้ เพิ่มตัวเลือกในเกมรุกเยอะขึ้น และไม่เสียสมดุล

5. แปลงหน้าที่มิดฟิลด์สไตล์ผู้นำกองทัพเลข 10


ตอนนี้นักฟุตบอลผู้นำกองทัพเลข 10 เบาๆหายไปจากโลกบอลเต็มแก่แล้ว เนื่องจากว่าสภาพร่างกาย และก็ความแข็งแกร่งเปลี่ยนมาเป็นหัวใจสำคัญในเกมการแข่งขันชิงชัย ซึ่ง เพลย์เมคเกอร์ อย่าง เมซุต โอสิล หรือ มาริโอ เกิตเซ่ ชอบถูกแทนที่ด้วยกองกลางหมายสไตล์เลข 8 ที่เปี่ยมไปด้วยกำลัง


กุนซือสมัยใหม่หลายต่อผู้คนจำนวนไม่ใช้น้อย ศึกษาและทำการค้นพบว่า กองกลางแบบบ็อกซ์ ทู บ็อกซ์ มีความรู้และความเข้าใจพอเพียงสำหรับการประดิษฐ์เกม และก็หาจังหวะจบสกอร์ได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งยังมีปีกอีกทั้ง 2 ฝั่งที่รอช่วยเหลือเกมรุกทางขอบเส้น รวมทั้งบางทีอาจสลับตำแหน่งเข้ามาทำเกมกึ่งกลางสนามมากขึ้นเรื่อยๆ


ที่ ท็อตแนม ฮอทสเปอร์ เมาริสิโอ โปเช็ตตำหนิโน่ สมัยก่อนที่ปรึกษาชาวอาร์เจนไตน์ จัดแจงเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของ คริสเตียน อิริคบวงสรวง เพลย์เมคเกอร์กลุ่มชาติเดนมาร์ก ให้ขยับไปเล่นในตำแหน่งตัวรุกฝั่งขวา โดยมี ซอง ฮึง ไม่น ศูนย์หน้าชาวประเทศเกาหลีใต้ เป็นตัวขอบเส้นฝั่งซ้าย รวมทั้ง เดเล่ อัลลี่ เป็นราวกับตัวฟรีหรือแนวรุกตัวที่ 2 รอเกื้อหนุนอยู่ด้านหลัง แฮร์รี่ เคน หัวหอกกลุ่มชาติอังกฤษ


ช่วงเวลาเดียวกัน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ภายใต้การนำกองทัพของ เป็ป กวาร์ดิโอล่า ยอดเทรเนอร์ชาวประเทศสเปน ก็เลือกจะปรับหน้าที่ ดาบิด สิลบา และก็ เควิน เดอ บรอยน์ ถอยลงมาเล่นลดน้อยลงในหน้าที่เลข 8 ซึ่งรอใช้สมองประดิษฐ์บัญชาการเกมรุกจากกึ่งกลางสนาม รวมทั้งดูอย่างกับว่า จะสำเร็จเนื่องจากว่า “เรือใบสีฟ้า” มีความมากมายหลากหลายในจังหวะเข้าทำแบบที่คู่แข่งขันไม่คาดฝันอยู่เป็นประจำ