มุ้ง เพื่อการป้องกันโรค
Moong (Net) Protocols
Moong (Net) Protocols
โรคกาฬโรคแอฟริกาในม้า ติดต่อผ่านทางแมลงดูดเลือดเป็นหลัก การส่งต่อเชื้อจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อมีแมลงมากัดม้าตัวที่มีเชื้อ แล้วไปกัดม้าตัวอื่นๆ เท่านั้น
ถึงแม้ว่าม้าที่ติดเชื้อนี้ จะสัมผัสกับม้าปกติโดยตรงก็ไม่ได้ทำให้เกิดโรคได้ หากไม่มีแมลงเป็นตัวนำเชื้อไปให้
การป้องกันโรคนี้อย่างได้ผลจึงต้องอาศัยการป้องกันแมลงดูดเลือด มุ้งจึงเป็นคำตอบของการป้องกันโรคนี้นั่นเองครับ
แมลงดูดเลือดที่เป็นพาหะหลักของโรคนี้คือ "ตัวริ้น" ซึ่งมีขนาดเล็กเพียง 1 มิลลิเมตรเท่านั้น มุ้งที่เหมาะสมในการป้องกันแมลงพาหะ จึงต้องเป็นมุ้งที่มีรูขนาดเล็กกว่า 1 มิลลิเมตร (การซื้อขายมุ้งจะเรียกมุ้งที่ตาถี่ขนาดนี้ว่า มุ้ง 32 ตาต่อตารางนิ้ว)
มุ้งฟ้า เป็นมุ้งที่มีความถี่เพียง 20 ตาต่อตารางนิ้ว และไม่สามารถกันแมลงพาหะได้ ทำให้พบว่ายังมีม้าป่วยตายจากการติดมุ้งชนิดนี้อยู่ ไม่ต่างจากการไม่ติดมุ้ง
คำตอบขึ้นกับแต่ละพื้นที่ และความเสี่ยง โดยมีข้อกำหนด และข้อแนะนำดังต่อไปนี้
ม้าควรอยู่ในมุ้ง 24 ชั่วโมง เพื่อป้องกันการติดเชื้อจากแมลงพาหะ ก่อนที่ม้าจะมีภูมิคุ้มกันจากวัคซีน
ไม่ควรปล่อยม้าออกนอกมุ้ง ไม่ควรผูกล่าม ไม่ควรเปิดมุ้ง
พ่นยากำจัดแมลง Cypermethrin ที่มุ้งทุกเย็น และเก็บขี้ม้าออกจากคอกม้าทุกวันเพื่อลดจำนวนแมลง
ให้ใช้มาตรการนี้ทันทีสำหรับฟาร์มที่อยู่ในพื้นที่เตรียมทำวัคซีน หรือพื้นที่ภายในรัศมี 50 กิโลเมตรจากจุดระบาด
ให้คงมาตรการนี้ 30 วัน นับจากวันที่ฉีดวัคซีน จากนั้นใช้มาตรการที่ 2 ต่อไป
Horses must remain under tight netting 24/7 to prevent infection prior to immunity
Spray Cypermethrin solution on net every evening and muck out everyday to control insects
For Vaccination farm from now on (before vaccination), and recommend for every stable within 50 km from outbreak
Continue this measure 30 days from vaccination date (or 40 days after last case in area) then use measure 2
ม้าควรอยู่ในมุ้งระหว่าง 15:00 – 10:00 น. ช่วงเวลาอื่นสามารถพิจารณาทำกิจกรรมได้ตามปกติ
ม้าที่จะออกนอกมุ้งให้พ่นยากำจัดแมลง Etofenprox หรือยาไล่แมลง DEET บนตัวม้า
พ่นยากำจัดแมลง Cypermethrin ที่มุ้งทุกเย็น และเก็บขี้ม้าออกจากคอกม้าทุกวันเพื่อลดจำนวนแมลง
แนะนำให้ใช้มาตรการนี้สำหรับฟาร์มที่อยู่นอกรัศมี 50 กม. จากจุดระบาด หรือพื้นที่ที่ไม่มีม้าตายเพิ่มเติมต่อเนื่องมากกว่า 3 สัปดาห์
ม้าที่ทำวัคซีนแล้ว และใช้มาตรการ 1 ครบ 30 วันแล้ว ควรคงมาตรการ 2 นี้ต่อจนกว่าโรคจะสงบ (เมื่อไม่มีม้าตายจากโรคต่อเนื่องกัน 90 วันในพื้นที่)
Horses must remain under netting from 3pm – 10am
Spray Etofenprox or DEET before bring horse out from the net.
Spray Cypermethrin solution on net every evening and muck out everyday to control insects
Recommend this measure for inactive area (last case >3weeks) or farms outside 50 km radius from the outbreak
Vaccinated horse that complete 30 days of Measure 1 should continue measure 2 until 90 days after last case in area
จากแผนที่จะพบความเหมือนกันของพื้นที่ปากช่อง หัวหิน และราชบุรี ทำให้ความเสี่ยงต่อการระบาดของโรค AHS อยู่ในระดับสูงสุด (จุดที่มีสีม่วงหนาแน่น) ทั้ง 3 พื้นที่ แต่พบว่า โดยปัจจัยรบกวนการแพร่กระจายของโรคที่แตกต่างกันของ 3 พื้นที่จากการเก็บข้อมูลของทางชมรมหมอม้ามีดังนี้
พื้นที่ปากช่อง เป็นที่แรกๆ ของประเทศที่มีการระบาด ทำให้ในช่วงแรกของการระบาด ฟาร์มในพื้นที่ยังไม่ทราบว่าเกิดโรคระบาดนี้ และไม่ได้มีการติดมุ้งเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค ทำให้โรคแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็วเป็นวงกว้าง
พื้นที่ราชบุรี เป็นพื้นที่ที่เกิดโรคภายหลังจากพื้นที่ปากช่องหลายวัน เมื่อพบว่ามีม้าป่วยตายจากโรคทางฟาร์มที่เกิดโรคได้กางมุ้งทันที ทำให้โรคไม่แพร่กระจายไปฟาร์มอื่นๆ
พื้นที่หัวหิน มีฟาร์มม้าหนาแน่นในระยะใกล้กัน ทำให้การแพร่กระจายเกิดได้ง่าย แต่ปริมาณม้าของพื้นที่หัวหินไม่หนาแน่นเท่า 2 พื้นที่ข้างต้น ในพื้นที่มีการกางมุ้งในภายหลังที่เกิดการโรคไปได้สักระยะ ทำให้มีการแพร่กระจายของโรคในระดับหนึ่ง และยังควบคุมให้อยู่ในวงแคบได้
จะเห็นว่าความรวดเร็วในการกางมุ้งเพื่อป้องกันแมลงพาหะ ส่งผลโดยตรงกับอัตราการตายและอัตราการแพร่กระจายโรค ส่งผลให้สามพื้นที่นี้มีจำนวนม้าตาย และมีการแพร่กระจายของโรคที่แตกต่างกัน
จากข้อมูลในพื้นที่พบว่าหลายฟาร์มที่พบม้าตายภายหลังจากกางมุ้งเกิดได้จากหลายปัจจัยได้แก่
ม้าได้รับเชื้อก่อนที่จะกางมุ้ง
มีการนำม้าออกนอกมุ้งในช่วงระหว่างวัน
มุ้งที่ติดตั้งมีรอยรั่ว ไม่สามารถป้องกันแมลงพาหะได้