1. ความรู้เกี่ยวกับวัสดุ
วัสดุ คือ สิ่งที่นำ มาทำ เป็นสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ ซึ่งสิ่งของแต่ละอย่างทำ จากวัสดุหลากหลายประเภท ในสมัยก่อนเราใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติ เช่น หิน กิ่งไม้ ใบไม้ หนังสัตว์มาทำ สิ่งของเครื่องใช้ เช่น อาวุธ เครื่องนุ่งห่ม ภาชนะใส่อาหาร ต่อมามีการพัฒนาวัสดุจากธรรมชาติมาใช้งานจนกระทั่งสามารถสังเคราะห์วัสดุใหม่ขึ้นมา เช่น กระดาษ ไม้อัด เส้นใยยาง พลาสติก โลหะ วัสดุผสม
ประเภทของวัสดุ แบ่งได้ 2 ประเภท
1.1 โลหะ (metals)
คือ วัสดุที่ได้จากการถลุงสินแร่ต่าง ๆ โลหะส่วนใหญ่ผ่านกระบวนการปรับปรุงสมบัติให้ดีขึ้นก่อนนำ มาใช้งาน โลหะเป็นวัสดุ
ที่นำ มาใช้ประโยชน์อย่างกว้างขวาง เนื่องจากมีสมบัติที่ดีมากมาย เช่น เป็นตัวนำ ความร้อนและนำ ไฟฟ้าได้ดี มีความแข็งแรงสูง
มีความคงทนถาวร ไม่เสื่อมสลายหรือเปลี่ยนแปลงสภาพง่าย เป็นวัสดุทึบแสง ทนทานต่อการกัดกร่อน มีความสวยงาม ผิวของ
โลหะสามารถขัดให้เป็นเงาวาว สามารถตีเป็นแผ่นบางหรือดึงให้เป็นเส้นลวดได้
โลหะที่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบหลัก เช่น เหล็กกล้า เหล็กหล่อ ใช้ทำ ชิ้นส่วนอะไหล่ อุปกรณ์ เครื่องมือช่าง ลวด กรรไกร ชิ้นส่วนเครื่องจักร
โลหะที่ไม่มีเหล็กเป็นส่วนประกอบ ดังนั้นจึงไม่ดูดติดกับแม่เหล็กและไม่เกิดสนิม เช่น ทองแดงอะลูมิเนียม สังกะสี ซึ่งต่างก็มีสมบัติเด่นที่แตกต่างกัน ทองแดงนำ ความร้อนและนำ ไฟฟ้าได้ดี จึงนำ มาทำ สายไฟ อะลูมิเนียมน้ำ หนักเบา เปลี่ยนรูปร่างได้ง่าย นำ มาทำ กรอบประตู ฟอยล์ห่ออาหาร ส่วนประกอบของเครื่องบิน สังกะสีทนทานต่อการกัดกร่อนจากสภาพอากาศ จึงนำ มาเคลือบโลหะเพื่อป้องกันสนิม เช่น แผ่นเหล็กเคลือบสังกะสีใช้มุงหลังคา
1.2 อโลหะ (non metals)
เป็นวัสดุที่มีสมบัติเป็นฉนวนไฟฟ้า (ยกเว้นแกรไฟต์) ฉนวนความร้อน มีอัตราการยืดตัวต่ำ ไม่สามารถตีแผ่นบางได้ ซึ่งปัจจุบันวัสดุประเภทอโลหะถูกนำมาใช้มากที่สุดและมีบทบาทในภาคอุตสาหกรรม โดยอโลหะแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
1. ไม้ (Wood)
คือ วัสดุธรรมชาติที่ได้มาจากลำต้นของต้นไม้ สามารถนำ มาใช้ประโยชน์ได้หลากหลายเนื่องจากมีสมบัติที่ดีหลายด้าน เช่นมีความแข็งแรง ทนทาน ไม่เป็นสนิม มีผิวเรียบ มีกลิ่นและลวดลายที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว แต่มีข้อเสียคือ
ถ้าใช้ไปนาน ๆอาจเกิดการโก่งตัว
หรือผุได้
เป็นวัสดุที่ได้จากการรีดน้ำยางจากต้นยางพารา แล้วนำมาผ่านกระบวนการทำเป็นแผ่นยาง และสามารถนำมาแปรรูปใช้ประโยชน์ได้อย่างมากมายเนื่องจากยางเป็นวัสดุที่มีความยืดหนุ่ย กันน้ำได้ดี ไม่นำความร้อน และไม่นำไฟฟ้า
เป็นวัสดุที่ได้จากการทอเส้นใยของผ้าไหม ฝ้าย หรือขนสัตว์บางชนิดเพื่อนำมาใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม เนื่องจากผ้าเป็นวัสดุที่มีความอ่อนนุ่ม มีน้ำหนักเบา ดูดซับน้ำได้ดี แต่ไม่กันน้ำ
วัสดุที่สร้างขึ้นมาใหม่จากการผสมกันของวัสดุหรือสารตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไป ด้วยกระบวนการทางเคมีในห้องทดลอง เช่น หลอม กดขึ้นรูป อบด้วยความร้อน ซึ่งวัสดุที่สร้างขึ้นใหม่นี้จะมีคุณสมบัติที่เปลี่ยนไปจากเดิม มีแรงยึดเหนี่ยวระว่างโมเลกุลแน่นกว่าเดิม เช่น
2. พลาสติก (plastic) คือ วัสดุสังเคราะห์ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลผลิตที่ได้จากการกลั่นน้ำ มันดิบ ปัจจุบันมีการใช้พลาสติกกันมากเนื่องจากพลาสติกมีหลายชนิด ทำ ให้พลาสติกมีสมบัติที่หลากหลาย เช่น บางชนิดมีลักษณะอ่อนนิ่ม บางชนิดจะแข็งมาก บางชนิดทนความร้อนได้น้อยแต่บางชนิดทนความร้อนได้มาก บางชนิดหลอมละลายนำ มาใช้ใหม่ได้ บางชนิดไม่สามารถหลอมแล้วนำ มาใช้ใหม่ได้แต่มีสมบัติโดยรวมที่เหมือนกัน เช่น น้ำ หนักเบา เป็นฉนวนไฟฟ้า สามารถทำ ให้เป็นสีต่าง ๆ ได้ ไม่เป็นสนิม
พลาสติกแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
พลาสติกทนความร้อนสูง แข็งแรง แต่ไม่สามารถหลอมแล้วนำ มาใช้ใหม่ได้ พลาสติกชนิดนี้ เช่น เมลามีน พอลิยูรีเทน ตัวอย่างการใช้งาน เช่น จานชาม สายไฟ ปลั๊กไฟ โฟมกันกระแทก รองเท้า
เทอร์โมพลาสติกเมื่อได้รับความร้อนจะอ่อนตัวและเปลี่ยนรูปร่างได้ สามารถหลอมแล้วนำ กลับมาใช้ใหม่ได้ ทนต่อแรงดึงได้สูง พลาสติก
ชนิดนี้ เช่น พอลิเอทิลีน พอลิสไตรีน พอลิไวนิลคลอไรด์ (พีวีซี) ใช้งานหลายหลาย เช่น ถุงใส่ของ ช้อน ขวดน้ำ กะละมัง ถังขยะ
3. เซรามิก (Ceramic) คือ เครื่องปั้นดินเผาหรือเครื่องเคลือบดินเผา ที่ใช้วัตถุดิบชนิดตระกูลดินเหนียวเป็นหลัก ทำเป็นรูปทรงต่างๆ ผ่านกระบวนการผลิตที่ใช้อุณหภูมิสูง เซรามิกเป็นวัสดุที่มีความแข็งแต่เปราะ ทนต่อความร้อน ทนต่อการกัดกร่อน เป็นฉนวนไฟฟ้าและฉนวนความร้อน
4. แก้ว (Glass) เป็นวัสดุที่เกิดจากการหลอมของส่วนผสมของสารอินทรีย์ ส่วนใหญ่มักเป็นซิลิกา (Silica) เมื่ออยู่ในที่อุณหภูมิสูงจะหลอมจนเป็นน้ำ แก้วอยู่ในสถานะเป็นของเหลวแล้วถูกนำไปผ่านกระบวนการขึ้นรูปและทำให้เย็นตัวอย่างรวดเร็ว เนื้อแก้วบริสุทธิ์นั้น จะโปร่งใส ผิวเรียบ มีความแข็ง ทนต่อการขีดข่วน กัดกร่อนและความร้อน ทำให้แก้วมีประโยชน์ต่อการใช้งานอย่างกว้างขวาง
2. เครื่องกลและเครื่องมือในการสร้างชิ้นงาน
เครื่องกล เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้ทำงานสะดวกขึ้น โดยอาจจะช่วยผ่อนแรง หรือ ไม่ช่วยผ่อนแรงก็ได้ ซึ่งเราสามารถพบเห็นเครื่องกลได้ทั่วไปในชีวิตประจำวัน โดยประโยชน์หลักของเครื่องกล คือ
1. บางชนิดช่วยผ่อนแรงได้ ทำให้สามารถทำงานเดียวกันโดยใช้แรงน้อยกว่าได้
2. ช่วยอำนวยความสะดวกในการเปลี่ยนทิศทางการเคลื่อนที่
โดยเฉพาะการยกวัตถุขึ้นที่สูง
เครื่องกลอย่างง่ายมี 5 ประเภท ประกอบด้วย รอก คาน ล้อและเพลาพื้นเอียง ลิ่ม
2.2 คาน (Lever) คือ เครื่องกลชนิดหนึ่งที่ใช้ดีด-งัดวัตถุให้เคลื่อนที่รอบจุดหมุน(จุดFulcrum)มีลักษณะแข็งเป็นแท่งยาว เช่นท่อนไม้หรือโลหะยาว คานอาจจะตรงหรือโค้งงอก็ได้ การทํางานของคานใช้หลักของโมเมนต์
คานจำแนกได้เป็น 3 ประเภท หรือ 3 อันดับ ดังนี้
คานอันดับที่ 1 เป็นคานที่มีจุด (F) อยู่ระหว่างแรงความพยายาม (E) และแรงความต้านทาน (W) เช่น กรรไกรตัดผ้า กรรไกรตัดเล็บ คีมตัดลวด เรือแจว ไม้กระดก เป็นต้น
คานอันดับที่ 3 เป็นคานที่มีแรงความพยายาม (E) อยู่ระหว่างแรงความต้านทาน (W) และจุดหมุน (F) เช่น ตะเกียบ คีมคีบถ่าน แหนบ เป็นต้น
เป็นเครื่องกลที่ช่วยผ่อนแรงประกอบด้วยวัตถุทรงกระบอก 2 อันติดกัน
อันใหญ่เรียกว่าล้อ อันเล็กเรียกว่าเพลา
ใช้เชือก 2 เส้น พันรอบล้อเส้นหนึ่ง อีกเส้นหนึ่งพันรอบเพลา โดยพันไปคนละทาง ปลายข้างหนึ่งของเชือกที่พันรอบเพลาผูกติดกับวัตถุ ปลายข้างหนึ่งของเชือกที่พันรอบล้อใช้สำหรับออกแรงดึง
เป็นเครื่องมือกลพื้นฐานชนิดหนึ่งที่ใช้ผ่อนแรง อาจอยู่ในรูปแบบเป็นไม้กระดานยาวเรียบ ใช้พาดบนที่สูง หรือพื้นผิวระหว่างพื้นต่างระดับ เคลื่อนที่วัตถุด้วยการลากหรือผลัก ช่วยอำนวยความสะดวกและช่วยผ่อนแรงในการย้ายสิ่งของขึ้น หรือลงจากยานพาหนะ
เป็นเครื่องมือกลพื้นฐาน ซึ่งโดยหลักการคือการใช้พื้นเอียงในการแยกของสองสิ่งออกจากกัน การให้แรงในแนวตั้งฉากกับส่วนหัว จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแรงตั้งฉากไปเป็นแรงในแนวตั้งฉากกับพื้นเอียง
3. เครื่องมือในการสร้างชิ้นงาน มีดังนี้
เครื่องมือวัด
เครื่องมือตัด
เครื่องมือสำหรับเจาะ
เครื่องมือสำหรับ
ยึดติด
4. เสียงและอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดเสียง
เสียง เป็นคลื่นเชิงกลที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของวัตถุ เมื่อวัตถุสั่นสะเทือน ก็จะทำให้เกิดการอัดตัวและขยายตัวของคลื่นเสียง และถูกส่งผ่านตัวกลาง เช่น อากาศ ไปยังหู แต่เสียงสามารถเดินทางผ่านสสารในสถานะก๊าซ ของเหลว และของแข็งก็ได้ แต่ไม่สามารถเดินทางผ่านสุญญากาศได้
เมื่อการสั่นสะเทือนนั้นมาถึงหู มันจะถูกแปลงเป็นพัลส์ประสาท ซึ่งจะถูกส่งไปยังสมอง ทำให้เรารับรู้และจำแนกเสียงต่าง ๆ ได้
ปัจจัยที่มีผลต่ออัตราเร็วของเสียง
ความหนาแน่นของตัวกลาง
2. อุณหภูมิ
4. ไฟฟ้า และอุปกรณ์ที่ทำให้เกิดแสง
ไฟฟ้า คือ พลังงานรูปหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับการแยกตัวออกมา หรือการ เคลื่อนที่ของอิเล็กตรอน หรือโปรตอน หรืออนุภาคอื่นที่มีสมบัติแสดงอํานาจคล้ายคลึงกับอิเล็กตรอนหรือโปรตอน ใช้ประโยชน์ ก่อให้เกิดพลังงานอื่น เช่น ความร้อน แสงสว่าง การเคลื่อนที่
วงจรไฟฟ้าประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ 3 ส่วน คือ
1. แหล่งกำเนิดไฟฟ้า หมายถึง แหล่งจ่ายแรงดันไฟฟ้าไปยังวงจรไฟฟ้า เช่นแบตเตอรี่
2. ตัวนำไฟฟ้า หมายถึง สายไฟฟ้าหรือสื่อที่จะเป็นตัวนำให้กระแสไฟฟ้าไหลผ่านไปยังเครื่องใช้ไฟฟ้า ซึ่งต่อระหว่างแหล่งกำเนิดกับเครื่องใช้ไฟฟ้า
3. เครื่องใช้ไฟฟ้า หมายถึง เครื่องใช้ที่สามารถเปลี่ยนพลังงานไฟฟ้าให้เป็นพลังงานรูปอื่น ซึ่งจะเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า โหลด
อ้างอิงจากหนังสือเรียน รายวิชาขั้นพื้นฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เทคโนโลยี (การออกแบบเทคโนโลยี) ม.2