ติดตาม Taweekit Radio เวลา 08.00-20.00 น. ทุกวัน
จากหนังสือ สะบายดีบุรีรัมย์ ISSUE 28 : APRIL 2016
เส้นทางชีวิต ของ...คุณพ่อทวี โรจนสินวิไล
เจ้าของอาณาจักรค้าปลีก ในเครือทวีกิจกรุ๊ป
กว่า 40 ปีมาแล้ว ที่พวกเราชาวจังหวัดบุรีรัมย์ได้รู้จักกับห้างสรรพสินค้าที่มีชื่อว่า “ทวีกิจ” เรียกได้ว่าเป็นห้างสรรพสินค้าแห่งแรกในภาคอีสานเลยก็ว่าได้ วันนี้ คอลัมน์ ค.คน บุรีรัมย์ ได้รับเกียรติจาก “คุณทวี โรจนสินวิไล” เจ้าของห้าง ผู้บุกเบิก ก่อตั้งทวีกิจทุกสาขา และครอบครัว ได้กรุณาให้สัมภาษณ์ เชื่อว่าจากบทสัมภาษณ์ของท่านในครั้งนี้ จะทำให้ผู้อ่านทุกท่านรู้สึกซาบซึ้ง อิ่มเอมใจ สุขใจ และโล่งใจตามไป ราวกับกำลังอ่านนวนิยายเรื่องหนึ่งเลยทีเดียว ต่างกันที่ ทุกฉาก ทุกตอน ที่ท่านกำลังติดตามอ่านอยู่นี้คือ “เรื่องจริง”
ช่วยแนะนำตัวพร้อมเล่าเรื่องความหลังครั้งสมัยยังเป็นเด็กให้ฟังหน่อยค่ะ
ผมชื่อทวี โรจนสินวิไล ผมเกิดมาจากครอบครวที่ยากจนมาก ไม่มีอะไรเลย แม้กระทั่งบ้านของตัวเองก็ไม่มี ต้องไปเช่าเขาอยู่ตรงหลังสถานีรถไฟ เป็นบ้านไม้อยู่ใกล้ๆ กับสี่แยกหอนาฬิกา เป็นห้องแถวไม้แบบชั้นเดียว หลังคาสังกะสีขึ้นสนิม ผมไม่ได้นึกเสียใจเลย ที่เกิดมาในครอบครัวยากจน แต่ที่เสียใจอย่างหนึ่งคือผมไม่มีพ่อตั้งแต่ผมยังเล็ก ๆ คุณพ่อผมเสียตั้งแต่ผมอายุเพียง 3 ขวบ ผมจำไม่ค่อยได้เหมือนกัน จำได้เพียงราง ๆ ว่าคุณพ่อเป็นคนดีมาก มากจนไม่รู้จะเทียบยังไงดี เพราะว่าถ้าคุณพ่อไม่ใจบุญมากเกินไป ปัจจุบันท่านก็อาจยังคงมีชีวิตอยู่ เพราะท่านไปช่วยสุนัขที่มันกัดกัน แต่ตัวที่ท่านไปช่วยมันเป็นโรคพิษสุนัขบ้า แล้วท่านก็โดนมันกัด สมัยก่อนไม่มีการฉีดยากันโรคพิษสุนัขบ้า จนในที่สุดคุณพ่อผมก็เสียชีวิต
ผมมีพี่น้อง 2 คน คุณแม่ของผมเป็นคุณแม่ที่ดีมาก เรายากจนแต่แม่ไม่เคยยอมให้ใครดูถูก ท่านต่อสู้ชีวิต เป็นแบบอย่างที่ดีของพวกผม รวมทั้งหลาน ๆ ด้วย ท่านทำหน้าที่ทั้งพ่อและแม่ ตอนเด็ก ๆ ผมได้เรียนหนังสือแค่ชั้น ป. 3 ผมก็ต้องออกมาช่วยคุณแม่ทำงานขายของชำ ขายพวกกะปิ ปลาทู ปลาร้า ยาเส้นต่างๆ พอผมอายุ 18 ปี แม่ก็ให้รับช่วงเป็นคนดูแลร้านต่อ วันแรกที่มารับหน้าที่นี้ต่อจากแม่ คืนนั้นผมนอนไม่หลับเลย ตื่นเต้น (หัวเราะ) ไม่รู้จะทำยังไง ทำแล้วจะดีกว่าตอนคุณแม่ทำหรือเปล่า แต่ในที่สุดผมก็ทำได้
ภาพสมาชิกครอบครัวโรจนสินวิไล
ใจจริงแล้ว ผมไม่ชอบร้านขายพวกกะปิ ปลาทู แต่เมื่อมาทำแล้วก็ค่อย ๆ ปรับไปจนกลายเป็นสรรพสินค้าเล็ก ๆ โดยเรามีนโยบายคือการ “ขายถูก” ภาษาจีนเขาใช้คำว่า “เปาะหลีตอเชียว” ซึ่งหมายถึง เราเอากำไรต่อชิ้นน้อย ๆ แต่เราขายปริมาณเยอะๆ มันก็ได้กำไรเยอะ และผมก็ใช้นโยบายนี้มาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไรก็ตาม เราจะไม่มีการฉกฉวยโอกาส ไม่กักตุนสินค้า ซื้อมาถูกก็ขายถูก ต่อมาผมก็เริ่มสั่งเสื้อมาขาย ได้กำไรตัวละ 5 บาท จากนั้นเราก็ขายกางเกง ขายดิบขายดี ลูกค้าบอกปากต่อปากว่าเราขายถูก จนพื้นที่ไม่พอ จึงต้องย้ายมาเปิด 2 คูหา ในปี 2504 ชื่อร้าน “แต้มุยฮวด”
ความใฝ่ฝันของคุณทวีตั้งแต่เด็ก ๆ คืออะไรคะ
ผมเป็นคนมีความใฝ่ฝัน เป็นคนชอบทอฝัน แล้วหากความฝันของผม ได้กลายเป็นความจริงขึ้นมา ผมก็จะเป็นสุขอย่างยิ่ง ถึงแม้ว่าผมจะได้เรียนมาน้อยก็ตาม ผมได้อ่านหนังสือ ว่าที่ต่างประเทศมีห้างสรรพสินค้าที่ขายสินค้าหลากหลาย ผมจึงใฝ่ฝันไว้ว่า สักวันหนึ่งอยากจะสร้างห้างสรรพสินค้าแห่งแรกในภาคอีสานขึ้นมา ซึ่งในช่วงนั้น ภาคอีสานไม่ว่าจะเป็นขอนแก่น โคราช อุดรหรืออุบล ก็ไม่มีห้างสรรพสินค้าเลย มีแต่ที่เป็นตึกแถว ขายของ ขายเสื้อ ขายผ้า
จุดเริ่มต้นของการทำห้างทวีกิจ
ผมป็นคนประหยัด ใช้เงินไม่เป็น แต่หาเงินเป็น ประหยัดจนกระทั่งแม้แต่รถก็ไม่กล้าซื้อ (หัวเราะ) จนกระทั่งเก็บเงินได้ก้อนหนึ่ง ก็เลยคิดขยับขยาย จนในที่สุด คุณแม่ผมก็ได้ไปหาที่ตรงทวีกิจ 1 (ตรงข้ามธนาคารกรุงศรีอยุธยา) อย่างที่ผมได้บอกไปว่าตอนนั้นในแถบอีสานบ้านเราไม่เคยมีห้าง เราสร้างเป็นคนแรก ซึ่งก็ไปได้แบบมาจากห้างเซ็นทรัลสีลม ลงมือสร้างเอง คุมเอง ไม่ได้กู้ธนาคารเลย ขุดชั้นใต้ดินด้วย เริ่มสร้างตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2516 จนถึงวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ.2517 ใช้เวลาทั้งหมด 1 ปี ตอนนั้นเราโฆษณาว่าห้างสรรพสินค้าแห่งแรกของภาคอีสาน แต่ไม่ได้ติดแอร์ คือเราทำธุรกิจ เราทำเป็นขั้น ๆ ไป ตอนแรกเราก็สร้างแค่ครึ่งเดียวก่อน เพราะเราไม่อยากจะกู้เงิน แล้วอีกครึ่งหนึ่ง เมื่อมีเงินเราค่อยสร้างต่อทำต่อให้เสร็จ
ตอนห้างเปิดใหม่ ๆ กลัวมั้ยคะ ว่าจะไปไม่รอด
ตอนแรก ๆ ใคร ๆ ก็พูดกัน ว่าจะไปได้เหรอ เพราะว่าห้างอย่างนี้ ราคาขายมาตรฐานอย่างนี้ ขายได้เหรอ แต่ในที่สุดเราก็ทำได้ เพราะเรามีความจริงใจกับลูกค้า เราขายของราคาถูก ไม่ได้ขายแพง หลังจากนั้น ประมาณ 3-4 ปี ก็กลายเป็นว่ามันยังเล็กเกินไป เราจึงขยายด้านหลังต่อ แต่ในที่สุดมันก็ไม่พออีก เพราะที่จอดรถของเรามีไม่เพียงพอ เลยต้องขยายสาขาไปยังทวีกิจพลาซ่า 2 หน้าอำเภอ ช่วงนั้นบริเวณหน้าอำเภอเงียบมาก คนที่ผมรู้จักเขาพนันกันเลย ว่าเราไปไม่รอดแน่ๆ แต่ผมก็มีเหตุผลที่เลือกพื้นที่ตรงนั้น เพราะมันอยู่ใกล้กับราชภัฏ ซึ่งมีนักศึกษามากมาย แล้วในที่สุดเราก็ไปรอด ซึ่งสาขาที่ 2 เปิดในปี 2529
พอสาขาหน้าอำเภอเต็ม เราก็เริ่มมีความคิดขยับขยายไปต่างอำเภอ จึงไปเปิดที่นางรอง แล้วก็ประสบความสำเร็จ ปี 2535 เปิดทวีกิจสระบรี ปี 2540 เปิดวีมาร์ท ซูเปอร์เซ็นเตอร์ที่นวนคร และบุรีรัมย์
ภาพถ่ายทวีกิจพลาซ่า เมื่อปี 2534
ภาพถ่ายทวีกิจพลาซ่า เมื่อปี 2534
ขยายออกไปเยอะขนาดนั้น มีปัญหามั้ยคะ
ตอนนั้น รู้สึกผิดพลาดอย่างมากที่ขยายสาขามากเกินไป พวกเราคงรู้จักวีมาร์ทใช่มั้ยครับ วีมาร์ทเนี่ย เกิดเมื่อประมาณวันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2540 ช่วงนั้นธุรกิจค้าปลีกประเภทซูเปอร์เซ็นเตอร์กำลังมาแรง ผมได้ไอเดียมาจากห้าง Wall Mart ที่อเมริกา เขามีวอล์ลมาร์ท เราก็มีวีมาร์ท (หัวเราะ) แต่ตอนนั้นเศรษฐกิจกำลังตกต่ำ อยู่ในช่วงที่เขาเรียกกันว่า “วิกฤตต้มยำกุ้ง” เมื่อเราสร้างวีมาร์ท มันก็เลยมีปัญหา บางประเทศเวลาเศรษฐกิจไม่ดี เขาลดดอกเบี้ย แต่ประเทศไทย เวลาเศรษฐกิจไม่ดี กลับไปเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ถามว่าแล้วเราจะอยู่ได้ยังไง และตอนนั้น เรากู้เงินมาทำ เพราะว่าเราเปิดหลายสาขา ทั้งนวนคร ทั้งสระบุรี ยังมีอีกหลายที่ มันมากเกินไป แล้วเราก็ไปกู้เงิน เมื่อผ่านการอนุมัติวงเงิน ก็เป็นช่วงที่รัฐบาลสั่งปิด 54 ไฟแนนซ์ เงินที่อนุมัติก็ยังอยู่ในไฟแนนซ์ ยังเบิกไม่ได้ พอไฟแนนซ์ถูกปิดไป จึงทำให้มีปัญหาติดขัดหมุนเงินไม่ทัน ผมจึงปรึกษากับครอบครัวว่า จะทำอย่างไร ก็ได้ข้อสรุปว่า เราจำเป็นต้องปิดวีมาร์ททั้ง 2 สาขา เพื่อห้ามเลือด จึงเหลือเพียงทวีกิจหน้าอำเภอ และทวีกิจสระบุรี จึงทำให้ “วีมาร์ท” ถูกปิดตัวลงเมื่อววันที่ 13 เดือนเมษายน พ.ศ.2541 หลังจากเปิดบริการได้เพียง 6 เดือนเท่านั้น ผมยังจำวันที่ปิดวีมาร์ทได้ไม่มีวันลืม ผมติดป้ายบอกลูกค้าว่า “ปิดปรับปรุง” ลูกค้ามาบอกว่า “ยังสวยอยู่เลย จะปิดปรับปรุงทำไม” ผมฟังแล้วน้ำตาตกใน สัญญากับลูกค้า และตั้งใจกับตัวเองว่า “สักวันหนึ่งเราต้องเปิดห้างนี้ขึ้นมาใหม่ให้ได้”
ช่วงนั้นมีข่าวลือว่าคุณทวีถึงกับกินยาเพื่อฆ่าตัวตาย เรื่องนี้เป็นมาอย่างไรคะ
(หัวเราะ) ตอนนั้นพอเราปิดวีมาร์ท มีปัญหาเรื่องเงิน คนในตลาดก็เลยพากันลือว่าเฮียทวีกิจเครียดมาก รับไม่ได้ กินยาตายแล้ว แต่อันที่จริงผมไม่ได้ทำครับ ผมไม่ได้หนีปัญหา แต่ผมกลับเดินเข้าไปสู้กับปัญหา ทำสมาธิด้วย ตอนที่มีปัญหาก็ไปกราบพระ เอากำลังใจจากหลวงพ่อ คือผมก็ยังเชื่อมั่นว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้ หากเรามีแรงบันดาลใจ ทุกอย่างเป็นไปได้หมด
แล้วแก้ปัญหาอย่างไรคะ
ช่วงนั้นลำบากมาก ทุกคนในครอบครัวกลุ้มใจหมด หาทางออกไม่ได้ ไม่รู้จะทำยังไง อยู่มาคืนหนึ่ง นอนคิดไปคิดมาจนเผลอหลับไป เหมือนกับในสมาธิ มองเห็นที่ไหนสักที่ เขากางเต็นท์ขายของ จัดรายการให้ลูกค้ามาซื้อ มองเห็นลูกค้ามากมาย แล้วเราก็สะดุ้งตื่น พอตื่นขึ้นมาก็มานั่งคิดว่า เอ...มันก็เป็นไปได้นะ ทำไมเราไม่เอาของที่เรามีอยู่แล้วมาแปรเป็นเงิน แทนที่จะไปหากู้เงินนอกระบบ ดอกเบี้ยสูง ๆ รุ่งเช้าจึงได้ปรึกษาบุตรสาว (คุณศิรินันท์) ที่เป็นคนดูแลเรื่องจัดซื้อ จึงตัดสินใจไปจัดรายการขายสินค้าที่อำเภอกระสังใกล้ ๆ กับตลาด ไปกางเต็นท์ ไปแห่รถ และก็เอาของไปขาย ลูกค้าพากันแห่มาซื้อแบบมืดฟ้ามัวดินเลย เพราะว่าสินค้าของเราถูกกว่า เจ้าอื่น ๆ ลูกค้าก็เลยมาซื้อที่เรา หลังจากนั้น เราก็จัดงานแฟร์ไปเรื่อย ๆ แต่ก็เริ่มคิดว่า ถ้าจัดแบบนี้ไปเรื่อย ๆ สินค้าก็จะช้ำเสียหาย เราจึงไปเช่าที่ที่กระสัง เปิดทวีกิจสาขาเล็กเป็นที่แรก หลังจากนั้นเราก็ค่อย ๆ ขยายไปที่สตึก และอีกหลาย ๆ ที่ จนในที่สุด สถานการณ์ทุกอย่างก็ดีขึ้น เราสามารถชำระหนี้ชัพพลายเออร์ทุกบริษัทได้ทั้งหมด
แล้วในวันที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2545 เราก็ได้ฤกษ์กลับมาเปิด “วีมาร์ท” อีกครั้ง โดยได้เปลี่ยนชื่อเป็น “ทวีกิจ ซูเปอร์เซ็นเตอร์ (taweekit Supercenter)” ตอนแรกที่จะเปิด ลูก ๆ ของผมไม่มีใครเห็นด้วยเลย ที่จะเปิดวีมาร์ทขึ้นมาใหม่ ในครอบครัวทั้งหมดเจ็ดคน มีแค่ผมคนเดียวที่จะเปิด แล้วก็มีผู้ช่วยอีกคนหนึ่งชื่อสุวรรณที่เห็นด้วย ตัวผมเองรู้ดีว่าถ้าไม่เปิดก็มีแต่ดับ ถ้าเราเปิดแล้วมันสำเร็จขึ้นมา เราก็มีโอกาสรอด ตอนนั้นผมไม่มีเงิน เชลฟ์วางสินค้าก็โดนยึดไปหมด ผมใช้วิธีเครดิตไม้อัดและเหล็กมา โดยให้ผู้ช่วยของผมออกแบบ แล้วสั่งช่างผลิตเชลฟ์สินค้าขึ้นมาเองทั้งหมด ใช้มา 13 ปี เพิ่งจะปลี่ยนใหม่ ผมขอขอบคุณซัพพลายเออร์ทุกบริษัทที่ให้ความสนับสนุนส่งสินค้าให้เราขายอย่างเต็มที่
ในส่วนของการขยายสาขาขนาดเล็ก เราได้ขยายไปตามอำเภอ และตำบลต่าง ๆ ทั้งในจังหวัดบุรีรัมย์และจังหวัดใกล้เคียง ถึงวันนี้รวมแล้ว 125 สาขา ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจดังเดิม ที่ว่า “ทวีกิจนำความประหยัดและความสุขไปสู่ชุมชน”
ที่สำคัญ ผมต้องขอขอบคุณวิกฤตปี 2540 สิ่งที่ไม่ดีกลับกลายเป็นสิ่งที่ดี หากไม่มีวิกฤตครั้งนั้น ผมคงไม่ได้เปิดสาขาได้ถึง 125 สาขาในวันนี้
ทราบว่าที่นี่มีนโยบายไม่ขายเหล้า เบียร์ และบุหรี่
(คุณเพียงใจ-บุตรสาว) แต่ก่อนเราก็ขายนะคะ แต่ของเหล่านี้มันเป็นอบายมุข เป็นหนึ่งในมิจฉาชีวะ เรารู้ว่ามันไม่ดี ตอนแรก ๆ เราก็ยังไม่เลิกขาย เพราะยอดขายมันเยอะมาก แต่พอเราได้เห็นถึงโทษภัยของมัน ประกอบกับได้ฟังธรรมจากหลวงพ่อมาอีกทางหนึ่ง เราจึงจัดอบรมพนักงาน นิมนต์พระอาจารย์มาบรรยายธรรม มีอยู่ตอนหนึ่งพระอาจารย์แจกกระดาษให้พนักงานเขียนความทุกข์ที่สุดในชีวิตของตัวเอง พอเอามาประมวลดูแล้ว ก็เห็นว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของความทุกข์ของพนักงานเรามาจากเหล้า และบุหรี่ เช่น บางคนเขียนว่า “หนูรักพ่อมากเลย พ่อเป็นคนดี แต่พอพ่อกินเหล้าก็ไปทะเลาะกับแม่” บางคนออกมาพูดหน้าห้อง แล้วก็ร้องไห้ เพราะพ่อป่วยหนัก อยู่ห้อง ICU สาเหตุเกิดจากการสูบบุหรี่ เราเลยคุยกันทั้งบ้าน และตกลงกันว่าเราจะเลิกขายของพวกนี้ เลิกแบบหักดิบ เราจึงจัดงาน “เทเหล้า เผาบุหรี่” ขึ้น ในปี พ.ศ. 2546
การเลิกขายสินค้าประเภทแอลกอฮอล์ และบุหรี่ ส่งผลกระทบอะไรต่อยอดขายของห้างมั้ยคะ
(คุณดรุณี-บุตรสาว) พอเราจัดงานเทเหล้าเผาบุหรี่ขึ้นก็ตรงกับกระแสของ สสส. (สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ) ที่กำลังรณรงค์เรื่องนี้พอดี ทั้งสื่อช่อง 7 ช่อง 3 สะเก็ดข่าวก็มาถ่ายทำ แล้วเราก็กลายเป็นกรณีศึกษาของ สสส. ไปด้วย พอเราไม่ขายของพวกนี้ ตอนแรก ๆ ลูกค้าก็ไม่เข้าใจ เพราะคิดว่ามาห้างต้องได้ของครบ และลูกน้องก็ไม่เห็นด้วย เพราะเหมือนกับตัดยอดขายไปเป็นล้านต่อเดือน แต่เราก็เลือกที่จะทำและสื่อถึงลูกค้าว่า “ทวีกิจไม่ขายเหล้า เบียร์ บุหรี่ เพราะเราห่วงใยคุณและทุกคนในครอบครัว” ซึ่งภายหลังลูกค้าก็เข้าใจ และได้รับกระแสชื่นชมจากสังคมอีกด้วย
ในปี 2557 ทวีกิจครบรอบ 40 ปี ด้วยความที่คุณพ่อทวีได้เรียนแค่ชั้นประถม 3 ไม่มีโอกาสได้เรียนหนังสือต่อ จึงได้เกิดความตั้งใจ และริเริ่มโครงการ “ต้นกล้าคุณธรรม” เพื่อสนับสนุนทุนการศึกษาให้กับน้อง ๆ เด็กนักเรียนที่ขาดแคลน ซึ่งจัดต่อเนื่องทุกปี ปีละ 2 ครั้ง ล่าสุด เมื่อวันเด็กที่ผ่านมา ทวีกิจได้มอบทุนการศึกษาไปแล้วรวมกว่า 500 ทุน และในช่วงเทศกาลวันเด็ก ทวีกิจได้ร่วมกับโรงภาพยนตร์ MVP นำภาพยนตร์ศีลธรรมมฉายให้ชมฟรี ซึ่งมีน้อง ๆ นักเรียนเข้าชมกว่า 6,000 คน หลาย ๆ คนได้เขียนความรู้สึกว่าประทับใจภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง และจะตั้งใจเป็นลูกที่ดีของคุณพ่อคุณแม่ จะไม่ทำให้ท่านเสียใจ ฯลฯ ทวีกิจขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ให้กับชุมชน และสังคมต่อไป
ทักทายลูกค้าเก่าแก่ในห้างทวีกิจ
คุณพ่อทวีกับความภาคภูมิใจในวันนี้
อยากจะฝากอะไรถึงผู้อ่าน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุก ๆ คนคะ
จริง ๆ แล้วธุรกิจที่ผมทำอยู่คือสิ่งที่ผมชอบ ผมรัก ถ้าเรารัก มันก็มีความสุข ผมบอกแล้วว่าผมชอบฝัน ฝัน...แล้วก็สร้างความฝันให้เป็นความจริง ผมอยากจะฝากขอบคุณชาวบุรีรัมย์ทุกท่าน ขอบคุณลูกค้าทุกคน ทุกรุ่นด้วย บางทีเจอลูกค้าเก่าแก่อายุ 60-70 ที่ว่าเป็นลูกค้ากันมาตั้งแต่ตอนเป็นนักเรียน นักศึกษา จนตอนนี้เป็นอาจารย์จนเกษียณไปแล้วก็มี (หัวเราะ)
ผมขอขอบคุณทุกท่านจากใจจริง ๆ ที่ได้ให้ความสนับสนุนและให้โอกาสทวีกิจได้อยู่คู่กับชาวบุรีรัมย์มายาวนานจนถึงวันนี้ และตลอดไป ผมหวังว่าเรื่องราวของผม อาจช่วยเป็นกำลังใจให้กับใคร ๆ หลายคน ที่กำลังสู้ชีวิตอยู่เหมือนกันนะครับ
เครดิต : หนังสือสะบายดีบุรีรัมย์