I. เราต้องต้อนรับ, ประสบการณ์, และรับสุขพระคริสต์เป็นกษัตริย์ของเรา:
1. จุดสูงสุดในประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณของเราคือการมีท้องฟ้าที่แจ่มใสพร้อมด้วยพระที่นั่งซึ่งอยู่เหนือท้องฟ้านั้น — ยอค.1:22, 26–28:
(1) คริสเตียนอย่างเราจะมีท้องฟ้าแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับมโนธรรมของเรา; มโนธรรมของเราเชื่อมโยงกับท้องฟ้าของเรา — รม.9:1; 2กธ.1:12.
(2) เมื่อไม่มีสิ่งใดขวางกั้นระหว่างเรากับองค์พระผู้เป็นเจ้า อีกทั้งไม่มีสิ่งใดขวางกั้นระหว่างเรากับผู้อื่น ท้องฟ้าของเราก็จะใสดุจแก้วผลึก และเราจะไม่เพียงมีมโนธรรมที่ดีเท่านั้น แต่มีมโนธรรมที่บริสุทธิ์หมดจดด้วย — กจ.24:16; 1ตธ.1:5, 19; 3:9; 2ตธ.1:3; เทียบ มธ.5:8; สภษ.22:11; 2ตธ.2:22.
2. พระที่นั่งเป็นศูนย์กลางของจักรวาล และเป็นการสถิตอยู่ที่ทำการปกครองขององค์พระผู้เป็นเจ้า; แท้จริงแล้วพระที่นั่งที่อยู่ในวิญญาณของเราก็คือตัวของพระคริสต์เอง — ยซย.22:23; ฮร.4:16; รม.5:21; วว.22:1:
(1) ถ้าเรามีท้องฟ้าที่แจ่มใส พระที่นั่งก็จะอยู่ที่นั่น และเราก็จะอยู่ภายใต้การปกครองและการครอบครองของพระที่นั่งอย่างปกติวิสัย; การที่พระเจ้าทรงมีพระที่นั่งอยู่ภายในเราหมายความว่าพระองค์ทรงมีฐานะที่จะครอบครองอยู่ภายในเรา — เทียบ ดนอ.4:17, 25–26; 5:18–31; ยซย.6:1–8.
(2) การมีพระที่นั่งอยู่เหนือท้องฟ้าที่แจ่มใสคือการยอมให้พระเจ้ามีฐานะที่สูงสุดและโดดเด่นที่สุดในชีวิตคริสเตียนของเรา; ในประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณของเรา การบรรลุถึงจุดที่เรามีพระที่นั่งอยู่เหนือท้องฟ้าที่แจ่มใสนั้น หมายความว่าเรานอบน้อมต่ออำนาจและการบริหารปกครองของพระเจ้าในทุกสิ่งอย่างสิ้นเชิง.
3. ในยะเอศเคล 1:26 “ลักษณะของพระที่นั่ง” นั้น “มีรูปลักษณ์ที่ปรากฏเหมือนไพลิน”; ไพลินเป็นหินที่มีสีน้ำเงิน และสีน้ำเงินเป็นสีของท้องฟ้า ซึ่งบ่งชี้ถึงสถานการณ์, บรรยากาศ, และสภาวะฝ่ายสวรรค์แห่งการสถิตอยู่ที่ทำการปกครองของพระเจ้า — อซด.24:10.
4. พระเจ้าทรงปรารถนาที่จะให้พระองค์เองปรากฏเป็นที่ประจักษ์ผ่านมนุษย์และครอบครองผ่านมนุษย์; พระองค์ทรงประสงค์ให้มนุษย์สำแดงพระองค์และใช้อำนาจของพระองค์; การช่วยให้รอดที่ครบสมบูรณ์ของพระเจ้ามีเพื่อให้เราได้รับความรอดในชีวิตและเป็นกษัตริย์ในชีวิตโดยพระคุณที่เปี่ยมล้นและของประทานแห่งความชอบธรรมที่เปี่ยมล้น — ยนซ.1:26; วว.11:15; 3:21; 22:3–5; รม.5:17, 21.
II. เราต้องต้อนรับ, ประสบการณ์, และรับสุขพระคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา:
1. เราต้องเป็นผู้ที่ไม่เพียงดำเนินชีวิตเพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่ดำเนินชีวิตต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า — 2กธ.5:9, 14–15:
(1) การที่ความรักของพระคริสต์ได้บังคับเราอยู่นั้นหมายความว่า ความรักนี้ จำกัดเราด้วยการบังคับและจำกัดเราให้อยู่ในเส้นทางเดียวและเป้าหมายเดียว เหมือนกับอยู่บนถนนแคบที่มีกำแพงขนาบอยู่; อัครทูตถูกบังคับจากความรักของพระคริสต์อย่างนี้ เพื่อจะมิได้เป็นอยู่ต่อตัวเองอีก แต่จะเป็นอยู่ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า — ข้อ 14–15.
(2) การมีชีวิตเป็นอยู่ต่อตัวเองหมายความว่า เราอยู่ภายใต้การควบคุม, การชี้นำ, และการกำกับของตนเอง และเราก็คำนึงถึงจุดหมายและเป้าหมายของเราเองเท่านั้น; แต่เหล่าอัครทูตมุ่งมั่นตั้งใจว่าจะทำตัวให้เป็นที่พอพระทัยขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการเป็นอยู่ต่อพระองค์ — ข้อ 9, 14–15; กซ.1:10; ฮร.11:5–6.
(3) ความรักของพระคริสต์บังคับเราให้มีชีวิตเป็นอยู่ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า; การมีชีวิตเป็นอยู่ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหมายความว่า เราอยู่ภายใต้การควบคุม, การชี้นำ, และการกำกับขององค์พระผู้เป็นเจ้าโดยสิ้นเชิง และเราต้องการที่จะทำให้ข้อเรียกร้องของพระองค์สำเร็จเป็นจริง, สนองความปรารถนาของพระองค์, และทำให้สิ่งที่พระองค์ทรงมุ่งหมายสำเร็จครบถ้วน.
(4) เปาโลแสวงหาที่จะเป็นที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการดำเนินชีวิตต่อพระองค์ในทุกด้านในชีวิตประจำวันของเขา ไม่ใช่โดยการทำการงาน; ทำนองเดียวกัน วันนี้เราไม่ควรแสวงหาที่จะทำให้ตัวเองพอใจ แต่แสวงหาที่จะเป็นที่พอพระทัยองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการดำเนินชีวิตต่อพระองค์; ทุกสิ่งที่เรากระทำจะต้องกระทำต่อพระองค์.
2. “ด้วยว่าถ้าเราทั้งหลายมีชีวิตอยู่ ก็มีชีวิตอยู่ต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และถ้าเราตายก็ตายต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า. เหตุฉะนั้นไม่ว่าเรามีชีวิตอยู่หรือตายก็ตาม เราก็เป็นคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า. เพราะเหตุนี้เอง พระคริสต์จึงได้ทรงวายพระชนม์และได้ทรงคืนพระชนม์อีก เพื่อจะได้ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า...” — รม.14:8–9:
(1) พระคริสต์ทรงตรึงตายบนกางเขนเพื่อไถ่เราทางด้านหลักกฎหมาย และพระองค์ทรงมีชีวิตเป็นอยู่อีกครั้งหนึ่งในการเป็นขึ้นด้วยการเป็นอยู่ในเรา เพื่อช่วยเราให้รอดทางด้านอินทรียภาพ เพื่อพระองค์จะทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้อาศัยอยู่ภายในของเรา, เป็นพระวิญญาณองค์พระผู้เป็นเจ้าที่อยู่ในวิญญาณของเรา ซึ่งเป็นผู้ที่ทำการปกครองอยู่ภายในเรา.
(2) เนื่องจากเราได้ถูกซื้อมาด้วยราคาแห่งพระโลหิตอันล้ำค่าของพระคริสต์ “เราก็เป็นคนขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (ข้อ 8) และเราควรยกชูพระองค์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าตลอดเวลา ให้พระองค์เป็นอันดับที่หนึ่งในชีวิตของเราและในการงานของเรา; เราคือผู้ที่ตรากตรำในองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อการงานขององค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งก็คือการงานแห่งการปฏิบัตินั้น เพื่อการก่อสร้างพระกายอินทรีย์ของพระคริสต์ — 1กธ.6:19–20; 15:58; 16:10; อฟ.4:11–12.
3. “ด้วยว่าเราไม่ได้ประกาศตัวเราเอง แต่ได้ประกาศพระคริสต์เยซูว่าเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และได้ประกาศตัวเราเองว่าเป็นทาสของท่านทั้งหลาย เพราะเห็นแก่พระเยซู” (2กธ.4:5); ท่ามกลางผู้เชื่อทั้งหลายไม่ควรมีองค์พระผู้เป็นเจ้าอื่นใดเว้นแต่พระคริสต์เท่านั้น; ทุกคนควรเป็นผู้ปรนนิบัติ กระทั่งเป็นทาส (1ปต.5:3; มธ.20:26–27; 23:10–11).
III. เราต้องต้อนรับ, ประสบการณ์, และรับสุขพระคริสต์เป็นประมุขเรา:
1. การที่เราถูกรวบรวมไว้ภายใต้ประมุขหนึ่งเดียวในพระคริสต์นั้น” ได้ช่วยเราให้รอดจากกองซากปรักหักพังแห่งจักรวาลที่อยู่ในความตายและความมืด ซึ่งเกิดขึ้นจากการกบฏของทูตสวรรค์และการกบฏของมนุษย์; ผู้เชื่อทั้งหลายมีส่วนในการถูกรวบรวมไว้ภายใต้ประมุขหนึ่งเดียวของพระคริสต์ได้โดยการยอมถูกรวบรวมไว้ภายใต้ประมุขหนึ่งเดียวในการดำเนินชีวิตคริสตจักร ซึ่งก็คือโดยการเติบโตในชีวิต และโดยการดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้ความสว่างของพระคริสต์ — อฟ.1:10; ยฮ.1:4; วว.21:23–25; อฟ.5:8–9.
2. การยึดพระคริสต์เป็นประมุขนั้นไม่เพียงเป็นการต้อนรับพระองค์เป็นอำนาจหนึ่งเดียวของเราเท่านั้น แต่ยังเป็นการคงอยู่ในการเชื่อมต่ออย่างใกล้ชิดสนิทสนมกับพระองค์ เพื่อการหล่อเลี้ยงแห่งชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ของพระองค์จะถูกแจกจ่ายเข้าสู่ตัวเรา มาทำให้เราเติบโตด้วยการจำเริญเพิ่มพูนของพระเจ้า คือการเติบโตเข้าสู่พระองค์ในทุกสิ่งและมีการใช้งานออกมาจากพระองค์ เพื่อทั้งพระกายจะทำให้พระกายเติบโตจนก่อสร้างตนเองขึ้นในความรัก — กซ.2:19; อฟ.4:15–16.
3. ฤทธิ์เดชที่ยิ่งใหญ่อันเหนือล้ำของพระเจ้า ซึ่งบัดนี้ถูกส่งถ่ายเข้าสู่เรานั้นก็คือตัวของพระคริสต์ผู้ล้ำเลิศเองผู้เป็นฤทธิ์เดชสี่ชั้นของพระเจ้าตรีเอกภาพ (1กธ.1:24); คริสตจักรที่ปกติ, แท้จริง, ถูกต้อง, และจริงแท้นั้นออกมาจากฤทธิ์เดชสี่ชั้นที่ยิ่งใหญ่นี้ — ฤทธิ์เดชแห่งการเป็นขึ้น, ฤทธิ์เดชแห่งการเสด็จขึ้นสู่ที่สูงล้ำ, ฤทธิ์เดชแห่งการปราบสิ่งสารพัดให้ยอมสยบ, และฤทธิ์เดชในการรวบรวมสิ่งสารพัดไว้ภายใต้ประมุขหนึ่งเดียว — เพื่อการก่อสร้างคริสตจักรอันเป็นพระกายของพระองค์ (อฟ.1:19–23):
(1) วลีที่ว่า “ต่อคริสตจักร” บ่งชี้ว่า ฤทธิ์เดชของพระเจ้าซึ่งครอบคลุมทุกสิ่งที่พระเจ้าตรีเอกภาพได้ทรงผ่านนั้นล้วนถูกใส่ไว้ในเราเพียงครั้งเดียวก็สำเร็จเป็นนิตย์ และยังคงถูกส่งถ่ายเข้าสู่ภายในตัวเราอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย เพื่อให้เราได้รับสุขพระคริสต์อย่างอุดมสมบูรณ์และดำเนินชีวิตคริสตจักรอย่างถูกต้อง มีความเที่ยงแท้แห่งพระกายของพระคริสต์.
(2) การส่งถ่ายของพระคริสต์ผู้ล้ำเลิศคือการถ่ายเทสิ่งที่พระเจ้าตรีเอกภาพได้กระทำสำเร็จ, บรรลุถึง, และได้รับมาเข้าสู่คริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระคริสต์; นี่ไม่เพียงเพื่อก่อกำเนิดคริสตจักรเท่านั้น แต่เพื่อการเติบโต, การก่อตั้ง, และการก่อสร้างคริสตจักรด้วย.
4. เราต้องทูลขอให้พระบิดาเพิ่มกำลังเข้าสู่มนุษย์ภายในของเรา เพื่อพระคริสต์จะได้ประทับครองเรือนอยู่ในใจของเราโดยความเชื่อ ด้วยฤทธิ์เดชที่ทำให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากท่ามกลางคนตาย, ฤทธิ์เดชที่ทำให้พระคริสต์ประทับอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าในสวรรค์ทั้งหลาย, ฤทธิ์เดชที่ทำให้สิ่งสารพัดสยบอยู่ใต้พระบาทของพระองค์, และฤทธิ์เดชที่ทำให้พระองค์เป็นประมุขเหนือสิ่งสารพัดต่อคริสตจักร — 3:16–17; 1:19–23.
5. เกี่ยวกับคริสตจักรในฐานะพระกายของพระคริสต์นั้น พระเจ้าสามารถกระทำสำเร็จซึ่งสิ่งสารพัดอย่างล้นเหลือเหนือกว่าที่เราจะขอหรือคิดได้ ตามฤทธิ์เดชสี่ชั้นที่ดำเนินการอยู่ภายในเรา เพื่อพระเจ้าจะได้รับสง่าราศีในคริสตจักร — 3:20–21.
IV. เราต้องต้อนรับ, ประสบการณ์, และรับสุขพระคริสต์เป็นสามีเรา:
1. โรแมนซ์ในบทเพลงไพเราะได้บรรยายว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะต้องเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นส่วนบุคคล — 1:4ก:
(1) เราต้องติดตามแบบอย่างของอับราฮามผู้เป็นสหายของพระเจ้าที่เป็นอยู่เพื่อความปรารถนาของพระเจ้า (2คนก.20:7; ยซย.41:8; ยก.2:23; ยนซ.18:1–33) และแบบอย่างของโมเซผู้เป็นสหายของพระเจ้าที่เป็นอยู่เพื่อสิทธิประโยชน์ของพระเจ้า (อซด.33:11).
(2) เราต้องติดตามแบบอย่างของดาวิดและอาซาฟผู้แสวงหาพระพักตร์ที่ส่องสว่างของพระเจ้าในพระนิเวศน์ของพระเจ้าและเพื่อพระนิเวศน์ของพระเจ้า — บพส.27:4, 8; 80:3, 7, 14–19.
(3) เราต้องติดตามแบบอย่างขององค์พระเยซูเจ้าผู้ดำเนินชีวิตอยู่ในการสถิตอยู่ของพระเจ้าตลอดเวลา — กจ.10:38ค; ยฮ.8:29; 16:32.
(4) เราต้องติดตามแบบอย่างของเปโตรผู้ที่ได้รับการฟื้นสภาพความรักที่มีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า เพื่อเขาจะได้เลี้ยงดูฝูงแกะขององค์พระผู้เป็นเจ้าและติดตามองค์พระผู้เป็นเจ้าจนพลีชีพ โดยไม่เชื่อพึ่งในกำลังตามธรรมชาติของเขาเองเลยแม้แต่น้อย — 21:15–19; มก.16:7.
(5) เราต้องติดตามแบบอย่างของเปาโลผู้ถูกความรักของพระคริสต์บังคับไว้ เพื่อจะดำเนินชีวิตอยู่ในตัวตนของพระคริสต์ในฐานะราชทูตของพระคริสต์ มาทำให้พระคริสต์พอพระทัย — 2กธ.2:10; 5:9, 14, 20.
2. โรแมนซ์ในบทเพลงไพเราะได้บรรยายว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะต้องเป็นความสัมพันธ์ในความรักอันลึกซึ้ง — 1:1–2:
(1) องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอาศัยอยู่ในเรานั้นทรงเป็นพระบิดาของเรา และพระคุณเป็นมารดาของเรา — รม.8:15–16; ฆต.4:24–26; ยซย.66:12–13.
(2) องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอาศัยอยู่ในเรานั้นทรงเป็นสามีของเรา (มธ.9:15; 2กธ.11:2–3) และพี่ชายของเรา (ยฮ.20:17; รม.8:29).
(3) องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอาศัยอยู่ในเรานั้นทรงเป็นสหายของเรา (มธ.11:19; ยฮ.15:12–17) และที่ปรึกษาของเรา (ยซย.9:6).
(4) องค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงอาศัยอยู่ในเรานั้นทรงเป็นผู้ว่าความแทนเรา (1ยฮ.2:1), ผู้ช่วยของเรา (ยฮ.14:16; 16:7, 13), และผู้เลี้ยงของเรา (บพส.23:1; 1ปต.2:25).
3. โรแมนซ์ในบทเพลงไพเราะได้บรรยายว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะต้องเป็นความสัมพันธ์ที่เป็นส่วนตัว — 1:3–4:
(1) เราต้องติดต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าและใช้เวลากับพระองค์อย่างเป็นส่วนตัวด้วยวิธีที่ลับลี้, แน่ชัด, และมีประสิทธิผล โดยเปิดทั้งตัวเราต่อพระองค์ ให้พระองค์มาฉายส่องและซึมซาบ เพื่อเราจะได้ทอแสงด้วยพระเจ้าและส่องสว่างพระเจ้าออกมา — มธ.6:6; อซด.33:11; 2กธ.3:16–18; ยซย.60:1, 5ก; มธ.14:22–23; มก.1:35; ลก.5:16; 6:12; 9:28.
(2) เราต้องประสบการณ์และรับสุขพระคริสต์เป็นที่ซ่อนของเรา, ที่อาศัยของเรา, และเคล็ดลับแห่งการรู้จักพอของเรา — บพส.90:1; 91:1; 31:20; 18:1–5; ฟป.4:7–13.
(3) เราต้องทูลขอคำปรึกษาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับปัญหาทุกอย่างที่เราเผชิญ; เราต้องนำทุกเรื่องมายังองค์พระผู้เป็นเจ้า และพิจารณา, ตรวจสอบ, และตัดสินเรื่องต่างๆ ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์และอยู่ในการสามัคคีธรรมกับพระองค์ — เทียบ ยฮซ.9:14.
(4) ในแง่นี้ ผู้เชื่อทุกคนต้องเป็นผู้ที่อ่อนแอจนถึงขั้นที่เขาไม่มีความคิดเห็นของตัวเอง, ไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเอง, หรือทำสิ่งต่างๆ ที่เขากำลังเผชิญโดยไม่ติดต่อกับองค์พระผู้เป็นเจ้าและปรึกษาพระองค์ ยอมให้พระองค์ตัดสินใจแทน; นี่คือการดำเนินชีวิตที่หวานชื่นที่สุดของคริสเตียน — 2กธ.12:9–10.
(5) เราไม่มีทางเลือกอื่น เว้นแต่มาสามัคคีธรรมกับพระเจ้าในทุกเรื่อง, ปรึกษาพระองค์ในทุกเรื่อง, และยอมให้พระองค์มาจัดการกับทุกเรื่อง, ให้พระองค์ตรัสในทุกเรื่อง, และตัดสินใจในทุกเรื่อง; การที่คริสเตียนคนหนึ่งได้พึ่งพิงอีกผู้หนึ่ง — พระเจ้า — ในทุกเรื่องทุกเวลานั้นช่างมีสง่าราศียิ่งนัก — ฟป.4:5–7; สภษ.3:5–6; 2กธ.1:8–9.
4. โรแมนซ์ในบทเพลงไพเราะได้บรรยายว่าความสัมพันธ์ระหว่างเรากับองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นจะต้องเป็นความสัมพันธ์ฝ่ายวิญญาณ — 1:4ข:
(1) การที่พระคริสต์ทรงเยี่ยมเยียนเรานั้นเป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระวิญญาณผู้ประทานชีวิตที่อยู่ในวิญญาณของเรา; วิญญาณของเราเป็นที่บริสุทธิ์สุด, เป็นห้องชั้นในของพระคริสต์ผู้เป็นพระวิญญาณในฐานะเจ้านายเหนือเจ้านายและกษัตริย์เหนือกษัตริย์ — 1กธ.15:45ข; รม.8:16; 1กธ.6:17; 2ตธ.4:22; วว.17:14; 19:16.
(2) ในหนังสือเอเฟโซ เปาโลแสดงให้เห็นว่าถ้าจะติดต่อพระคริสต์และรับสุขพระคริสต์เพื่อพระกายของพระคริสต์ เราก็ต้องฝึกฝนวิญญาณของเรา — 1:17; 2:22; 3:5, 16; 4:23; 5:18; 6:18.
(3) ในหนังสือโรม เปาโลเน้นย้ำว่าทุกสิ่งที่เราเป็น (2:29; 8:5–6, 9), ทุกสิ่งที่เรามี (ข้อ 10, 16), และทุกสิ่งที่เรากระทำต่อพระเจ้า (1:9; 7:6; 8:4, 13; 12:11) ล้วนต้องอยู่ในวิญญาณของเรา.
(4) พระบิดากำลังเสาะหาผู้นมัสการที่แท้จริง คือผู้ที่ฝึกฝนวิญญาณของเขามาติดต่อพระเจ้าพระวิญญาณโดยการดื่มน้ำที่มีชีวิต; การดื่มน้ำที่มีชีวิตคือการนมัสการพระเจ้าที่แท้จริง — ยฮ.4:23–24, 10, 14; 7:37–38; ยซย.12:1–6.
(5) เราต้องก่อตั้งความเคยชินในการฝึกฝนวิญญาณของเราตลอดเวลา โดยการอธิษฐานในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อรักษาตัวเราไว้ในความรักของพระเจ้า (พระบิดา), คอยท่าพระเมตตาแห่งองค์พระเยซูคริสต์เจ้า (พระบุตรในการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์—2ตธ.1:16–18) จวบถึงชีวิตนิรันดร์ (กลายเป็นการสรุปรวมแห่งชีวิตนิรันดร์—กรุงเยรูซาเล็มใหม่) — ยด.19–21.
V. การต้อนรับ, ประสบการณ์, และรับสุขพระคริสต์เป็นกษัตริย์, องค์พระผู้เป็นเจ้า, ประมุข, และสามีของเรานั้นมีเพื่อการก่อสร้างคริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระคริสต์เพื่อจะสำเร็จสุดยอดเป็นกรุงเยรูซาเล็มใหม่ — มธ.16:18; อฟ.4:11–12, 16; วว.19:7; 21:2.