I. เราต้องเข้าสู่การเลี้ยงดูที่อัศจรรย์ของพระคริสต์ในการปฏิบัติฝ่ายสวรรค์ของพระองค์ โดยการรับสุขพระคริสต์และนำพระคริสต์ไปหล่อเลี้ยง เพื่อเลี้ยงดูคริสตจักรของพระเจ้าในฐานะทาสของพระเจ้ามาทำให้ความฝันของพระเจ้า ซึ่งก็คือพระประสงค์ที่นิรันดร์ของพระเจ้าสำเร็จเป็นจริง — กจ.20:19–20, 28, 31; รม.1:1; ฆต.6:17; มก.9:7–8; อฟ.3:11:
1. ความฝันของพระเจ้าคือความฝันแห่งพระประสงค์ที่นิรันดร์ของพระองค์เพื่อจะได้มาซึ่งความเที่ยงแท้แห่งเบ็ธเอล, บ้านของพระเจ้า, ที่อาศัยในกันและกันของพระเจ้ากับมนุษย์; สิ่งเดียวที่พระเจ้าทรงกำลังกระทำอยู่ในจักรวาลนี้ก็คือ พระองค์ทรงกำลังก่อสร้างที่ประทับที่นิรันดร์ของพระองค์เพื่อการสำแดงที่นิรันดร์ของพระองค์ — ยนซ.28:11–12, 16–19ก; มธ.16:18; ยฮ.14:23; 15:5; วว.21:3, 22.
2. พระคริสต์ในฐานะองค์ผู้ทาสพระผู้ช่วยไม่ได้เสด็จมาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่เพื่อจะปรนนิบัติ; ในฐานะผู้เลี้ยงใหญ่ของฝูงแกะ พระองค์ทรงปรนนิบัติเราในอดีต, พระองค์ยังคงปรนนิบัติเราอยู่ในปัจจุบันนี้, และพระองค์จะทรงปรนนิบัติเราในอนาคตด้วย — มก.10:45; ลก.22:26–27; 12:37; ฮร.13:20; วว.7:17; ยนซ.48:15.
3. เมื่อใดที่เรามีความต้องการ เราสามารถมายังองค์พระผู้เป็นเจ้าและยอมให้พระองค์ปรนนิบัติเรา เพื่อพระองค์จะสามารถปรนนิบัติผู้อื่นผ่านเราได้; ในฐานะพระวิญญาณผู้ประทานชีวิต องค์ผู้ทาสพระผู้ช่วยทรงเลี้ยงดูผู้อื่นผ่านเราโดยการแจกจ่ายตัวของพระองค์เองเป็นชีวิตแก่เรา เพื่อเราจะสามารถกลายเป็นช่องทางให้พระองค์แจกจ่ายตัวของพระองค์เองเป็นชีวิตเข้าสู่ผู้อื่นได้ — มธ.26:13; ยฮ.13:12–17; 1ยฮ.3:16; ยฮ.10:10; 1กธ.15:45ข; 2กธ.3:6.
4. การปรนนิบัติที่เรามีต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าในกาลเวลานั้นมีเพื่อตระเตรียมการปรนนิบัติที่เรามีต่อพระองค์ในยุคหน้าและในโลกนิรันดร์ — มธ.25:21; วว.22:3:
(1) การใช้งานของเราที่มีต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้านั้นเป็นผลมาจากการที่เราผสมกลมกลืนกับพระองค์; ขนาดของพระเจ้าในเราคือขนาดแห่งการใช้งานของเราต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์ — กซ.2:19; ฮร.13:20; ฟป.2:13; 3:8–9.
(2) เป้าหมายเพียงอย่างเดียวของพระเจ้าที่อยู่ในกาลเวลาคือการแจกจ่ายตัวของพระองค์เองเข้าสู่เราวันแล้ววันเล่า เพื่อเราจะได้ผสมกลมกลืนกับพระองค์อย่างครบบริบูรณ์; การปรนนิบัติทุกอย่างของเราคือเรื่องของการที่พระเจ้าเสด็จเข้าสู่เราและเสด็จออกจากเรา — ยฮ.7:37–39; 2กธ.3:2–3, 6, 16–18.
5. พระคริสต์ในฐานะคนต้นเรือนที่อยู่ในพระนิเวศน์ของพระเจ้าทรงกระทำให้เราเป็นคนต้นเรือนที่ทำการแจกจ่ายข้อลับลึกของพระเจ้าและพระคุณต่างๆ ของพระเจ้า เพื่อทำให้แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระองค์สำเร็จลุล่วง ซึ่งก็คือการบริหารปกครองครอบครัวของพระองค์ — 1กธ.4:1; อฟ.3:2; 1ปต.4:10; ยซย.22:15–22.
II. การเลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้าคือการเฝ้าดูแลจิตของวิสุทธิชน, เป็นหนึ่งกับองค์พระผู้เป็นเจ้าในฐานะผู้เลี้ยงและผู้ดูแลแห่งจิตของพวกเขา ในการที่ทรงใส่ใจต่อความผาสุกในแต่ละส่วนทางภายในของเขา และในการที่ทรงสอดส่องดูแลสภาวะของตัวตนที่แท้จริงของเขา — ยฮ.21:15–17; 1ปต.2:25; 5:1–6; ฮร.13:17:
1. เพื่อเห็นแก่ฝูงแกะ เหล่าผู้อาวุโสจำต้องรับสุของค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นพระคุณและหลักความจริงทุกวัน เพื่อพวกเขาจะกลายเป็นผู้แจกจ่ายพระคุณและหลักความจริง — อฟ.3:2; 4:29; 1ตธ.3:2ข; 5:17; 2ตธ.2:24–26; ตต.1:9.
2. เพื่อเห็นแก่ฝูงแกะ เหล่าผู้อาวุโสจำต้องซื้อน้ำมันทุกวัน (มธ.25:3–4, 9) จ่ายราคาเพื่อได้รับพระวิญญาณนั้นมากขึ้น โดยการซื้อหลักความจริงแห่งแผนการบริหารของพระเจ้า (สภษ.23:23), ซื้อทองคำที่หลอมให้บริสุทธิ์ด้วยไฟเพื่อพวกเขาจะเป็นผู้ที่อุดมสมบูรณ์ต่อพระเจ้า, ซื้อเสื้อผ้าชุดขาวเพื่อพวกเขาจะถูกตกแต่งตัวด้วยพระคริสต์โดยการดำเนินชีวิตออกซึ่งพระคริสต์, และซื้อยาทาตาซึ่งก็คือพระวิญญาณที่ทำการชโลมเพื่อเยียวยารักษาการตาบอดของพวกเขา (วว.3:18).
3. เหล่าผู้ร่วมงานและผู้อาวุโสที่เห็นแก่ฝูงแกะจำต้องเป็นทาสที่สัตย์ซื่อและฉลาด ดูแลทรัพย์สมบัติขององค์พระผู้เป็นเจ้าและนำของประทานฝ่ายวิญญาณของพวกเขาไปลงทุนโดยการนำอาหารแห่งพระคำของพระเจ้า ซึ่งก็คือกิตติคุณที่ครบบริบูรณ์แห่งแผนการบริหารของพระเจ้าไปให้แก่คนบาป, ผู้เชื่อ, และคริสตจักรทั้งหลาย — รม.1:1; มธ.24:45–47; 25:22–23.
III. เหล่าผู้อาวุโสไม่ควรเป็นเจ้านายที่ใช้อำนาจอยู่เหนือฝูงแกะของพระเจ้า ซึ่งเป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้า; คริสตจักรทั้งหลายเป็นทรัพย์สมบัติของพระเจ้าที่ได้มอบหมายให้แก่ผู้อาวุโสเป็นทุนทรัพย์เพื่อให้เขาไปดูแลตามการมอบหมายของพระเจ้า — 1ปต.5:3–4:
1. การเป็นเจ้านายที่ใช้อำนาจอยู่เหนือผู้อื่นคือการใช้อำนาจบังคับบัญชาผู้ที่อยู่ใต้อำนาจ (มธ.20:25); ในท่ามกลางผู้เชื่อนั้น เราทุกคนล้วนเป็นพี่น้องกัน และมีเพียงพระคริสต์เท่านั้นที่เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา, เจ้านายของเรา, และเจ้าของรวงข้าว (23:8, 10; ลก.10:2).
2. เหล่าผู้อาวุโสในคริสตจักรเพียงแต่นำพาเท่านั้น (ไม่ใช่เป็นนาย) โดยการกลายเป็นแบบอย่างแก่ฝูงแกะ นำหน้าในการปรนนิบัติและใส่ใจต่อคริสตจักร เพื่อผู้เชื่อทั้งหลายจะได้ติดตาม — 1ปต.5:3; 1ธซ.5:12–13; 1ตธ.4:12; 5:17.
3. เราไม่ควรบอกวิสุทธิชนว่าพวกเขาควรจะอาศัยอยู่ที่ไหน, ทำอะไร, หรือไปที่ใด โดยไม่ชี้นำให้เขาไปอธิษฐานเพื่อให้เกียรติพระคริสต์ผู้เป็นประมุขของพระกาย:
(1) เรื่องที่ตัวท่านเป็นผู้ตัดสินใจแทนผู้อื่นล้วนแต่เป็นการลบหลู่พระคริสต์ผู้เป็นประมุขของพระกาย; ไม่ควรมีใครในท่ามกลางเราที่บอกผู้อื่นว่าพวกเขาควรไปที่ใด; นี่ช่างเป็นการดูหมิ่นองค์พระผู้เป็นเจ้ายิ่งนัก! — กซ.2:19; อฟ.4:15–16.
(2) หากท่านบอกผู้อื่นว่าพวกเขาต้องย้ายไปที่ไหน ท่านก็ต้องกลับใจและขอให้พวกเขาอภัยแก่ท่าน เพราะท่านได้ให้คำชี้แนะว่าพวกเขาควรทำอะไร; การทำเช่นนี้เป็นการช่วงชิงฐานะขององค์พระผู้เป็นเจ้าและยกตัวท่านเองขึ้นเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า.
(3) ในทุกการเคลื่อนไหวที่ท่านกระทำในการฟื้นฟูขององค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านต้องไปหาตัวขององค์พระผู้เป็นเจ้าเองโดยตรงและอธิษฐาน; ท่านต้องมีความเชื่อมั่นว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นผู้ที่ใช้ท่านออกไป; ทุกสิ่งจะต้องถูกนำไปยังเบื้องพระพักตร์ขององค์พระผู้เป็นเจ้า และทุกคนจำต้องอธิษฐานจนกว่าเขาจะมีความชัดเจนต่อการนำพาขององค์พระผู้เป็นเจ้า — มก.1:35–38; 2กธ.2:12–14.
4. เรายังต้องตรวจสอบด้วยว่า การนำพาที่เราได้รับจากองค์พระผู้เป็นเจ้านั้นสอดคล้องกับความรู้สึกของพระกายหรือไม่ — กจ.13:1–4ก; 21:4, 11:
(1) หลังจากที่ได้อธิษฐานอย่างมาก หากผู้นำพามีภาระต่อเรื่องหนึ่งอย่างแท้จริง พวกเขาก็ควรส่งต่อภาระของเขาไปยังวิสุทธิชนผ่านการสามัคคีธรรม และขอให้วิสุทธิชนนำไปอธิษฐาน; ในที่สุดวิสุทธิชนก็จะได้รับการนำพาที่เป็นส่วนตัวจากองค์พระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาก็จะไปเคลื่อนไหวตามนั้น.
(2) ถ้าท่านย้ายไปยังสถานที่แห่งหนึ่งโดยปราศจากการอธิษฐานและสามัคคีธรรม เมื่อมีบททดสอบ, ความทุกข์ยาก, และการข่มเหงมาถึง ท่านก็จะถูกทำให้สั่นคลอน; ถ้าท่านมีการอธิษฐานและสามัคคีธรรม ท่านก็จะมีความเชื่อมั่นว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงใช้ท่านมาที่นี่ และท่านก็จะไม่เสียใจต่อการย้ายไปของท่านเลยไม่ว่าสถานการณ์ทางภายนอกจะเป็นเช่นไร.
5. เราต้องระมัดระวังเกี่ยวกับการชี้นำหรือการควบคุมวิสุทธิชนที่เป็นอนชุนเกี่ยวกับการสมรสของพวกเขา — มธ.19:5–6:
(1) ในชีวิตคริสตจักร สิ่งเดียวที่เราสามารถกระทำเกี่ยวกับการสมรสของอนุชนคือการนำชีวิตไปหล่อเลี้ยงให้แก่พวกเขา; เราต้องช่วยเหลือให้พวกเขาเฝ้าหวังในการนำพาขององค์พระผู้เป็นเจ้า, เรียนรู้ว่าจะดำเนินตามพระวิญญาณนั้นอย่างไร, และช่วยเหลือพวกเขาไม่ให้ปล่อยตัวไปตามราคะตัณหาหรือมีรสชาติหรือการเลือกสรรของตัวเอง — ยนซ.2:21–24; 24:64–67; 49:31.
(2) เราไม่ควรพยายามที่จะชักนำพวกเขาให้สมรสหรือจับคู่ให้พวกเขา; มีเพียงองค์พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าใครคือคู่ที่เหมาะสมสำหรับอีกคนหนึ่ง; เราไม่รู้.
(3) เราอย่าได้ควบคุม และยิ่งไปกว่านั้นอย่าได้ชักนำหรือบ่งชี้ว่าพี่น้องชายหรือพี่น้องหญิงคนไหนดีที่สุดสำหรับพวกเขา; ถ้าเราปล่อยเรื่องนี้ให้กับองค์พระผู้เป็นเจ้า และอธิษฐานเผื่อผู้ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ เราก็จะช่วยคริสตจักรพ้นจากปัญหามากมาย.
(4) ในด้านหนึ่ง เราไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายพวกเขา; ในอีกด้านหนึ่ง เราก็ต้องช่วยเหลือพวกเขาในด้านศีลธรรม, ในด้านชีวิต, ในการดำเนินชีวิต, ในการดูแลถึงอนาคต, เกี่ยวกับบิดามารดาของพวกเขา, และกระทั่งในการอธิษฐานและแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า ให้ผู้ที่พวกเขาจะสมรสด้วยนั้นไม่ได้มาจากการเลือกสรรของตัวเอง.
IV. เราต้องดูแลวิสุทธิชนในทุกเรื่องและทุกวิถีทางเพื่อแจกจ่ายพระคริสต์เข้าสู่พวกเขา:
1. เหล่าผู้อาวุโสต้องนำพระคริสต์ไปหล่อเลี้ยงเพื่อตอบสนองต่อความต้องการของคนทุกประเภท ติดต่อและเยี่ยมเยียนพวกเขาอย่างสม่ำเสมอ และเชิญพวกเขาไปรับประทานอาหารที่บ้าน — 1ตธ.5:1–2; 2คนก.1:10; กซ.1:28–29; ยด.12; ยฮ.12:1–11.
2. เราต้องติดต่อวิสุทธิชนและนำพระคริสต์ผู้เป็นชีวิตที่จัดการกับความบาปไปหล่อเลี้ยงให้แก่พวกเขา; ชีวิตของพระคริสต์คือชีวิตที่จัดการกับความบาป — ลวต.10:17:
(1) หากเราจะนำพระคริสต์ไปหล่อเลี้ยงแก่ผู้ที่ทำบาป เราก็ต้องเชื่อพึ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้าว่าเราจะมีพระคุณพร้อมด้วยพระวิญญาณนั้นที่จะทำให้ใจที่แข็งกระด้างของเขาอ่อนลง — รม.2:4; ตต.3:3–4; เทียบ ฮร.3:13.
(2) เราไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงความอ่อนแอ, ความผิด, หรือความบาปของเขา เพราะชีวิตของพระคริสต์ที่หล่อเลี้ยงเข้าสู่เขานั้นจะเยียวยารักษาเขา, ฆ่าเชื้อโรค, ขจัดไปซึ่งปัญหา, และก่อตั้งความเป็นหนึ่งของพระวิญญาณนั้นอย่างมั่นคงและยืนนาน.
(3) เราต้องพยายามจนถึงที่สุดที่จะฟื้นฟูวิสุทธิชนที่ตกต่ำ; แม้ต้องใช้เวลาถึงแปดเดือนหรือหนึ่งปีในการได้ตัววิสุทธิชนที่ทำบาปคนหรือสองคน นั่นก็เป็นเรื่องที่สุดยอดมากแล้ว — ฆต.6:1–2; 1ยฮ.5:16ก.
(4) นี่เป็นการแบกรับความผิดบาปของพลไพร่ของพระเจ้าและการแก้ปัญหาให้กับพลไพร่ของพระเจ้า; นอกจากนั้น การปรนนิบัติโดยพระวิญญาณนั้นและในความรักเช่นนี้จะรักษาไว้ซึ่งความเป็นหนึ่งของพระวิญญาณนั้นในชีวิตคริสตจักร — กซ.3:12–15.
V. ในการสามัคคีธรรมซึ่งกันและกันของเหล่าผู้อาวุโส พวกเขาจะต้องถูกจำกัดในการพูดของพวกเขา — ยฮ.6:63; กจ.6:10:
1. ผู้ที่ปกคลุมความบาป, ข้อบกพร่อง, และข้อด้อยของผู้อื่นย่อมรับสุข, ได้รับ, และต้อนรับพระพร แต่ผู้ที่เปิดโปงย่อมนำมาซึ่งการสาปแช่ง — สภษ.10:12; ยก.5:19–20; ยนซ.9:21–27.
2. เหล่าผู้อาวุโสต้องตระหนักว่าในการเลี้ยงดูของพวกเขานั้น พวกเขาจำต้องปกคลุมความบาปของผู้อื่น ไม่คำนวณนับความผิดของผู้อื่น — 1กธ.13:5–7.
3. ความรักปกคลุมทุกสิ่ง ไม่เพียงแต่สิ่งที่ดีเท่านั้น แต่รวมถึงสิ่งที่ไม่ดีด้วย; ใครก็ตามที่เปิดโปงข้อบกพร่อง, ข้อด้อย, และความบาปของอวัยวะในคริสตจักรย่อมไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้อาวุโส — เทียบ มธ.24:49.
4. เหล่าผู้อาวุโสไม่ควรพูดคำพูดว่าร้าย (การพูดว่าร้ายคือการตำหนิหรือวิพากษ์วิจารณ์อย่างหยาบคายด้วยคำพูดที่เหยียดหยาม; การกล่าวหาด้วยคำพูดที่เหยียดหยาม); ผู้ที่รับเอาคำพูดว่าร้ายเข้ามาก็แบกความรับผิดชอบเหมือนกับผู้ที่พูดว่าร้าย; ถ้าคริสตจักรจะคงไว้ซึ่งความเป็นหนึ่งได้ พี่น้องชายหญิงทั้งหลายก็ต้องต้านทานต่อคำพูดว่าร้าย — 1กธ.6:10; เทียบ อฤธ.6:6; ลวต.5:3.
5. การสำนึกต่อบาปมาจากการรู้จักพระเจ้า; ทำนองเดียวกัน การสำนึกต่อคำพูดว่าร้ายก็มาจากการรู้จักพระกาย; คำพูดว่าร้ายนั้นต่อต้านพยานของพระกาย — 1กธ.1:10.
6. พระเจ้าจะไม่ทรงมอบอำนาจให้กับคนเหล่านั้นที่วิพากษ์วิจารณ์ผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยเด็ดขาด; ด้านหนึ่ง เหล่าผู้อาวุโสควรมีสายตาที่ชัดเจนต่อผู้คนพร้อมด้วยการแยกแยะอย่างมาก ในอีกด้านหนึ่ง พวกเขาก็ควรตาบอดฝ่ายวิญญาณ — อฟ.4:29–32.
VI. การบำรุงรักษาอย่างอินทรียภาพของคันประทีปทองคำคือการปฏิบัติฝ่ายสวรรค์ของพระคริสต์ที่คอยทะนุถนอมคริสตจักรทั้งหลายในสภาพมนุษย์ของพระองค์และบำรุงเลี้ยงคริสตจักรทั้งหลายในสภาพพระเจ้าของพระองค์ เพื่อก่อกำเนิดผู้มีชัยชนะผ่านการเลี้ยงดูทางอินทรียภาพของพระองค์ — วว.1:13; 2:7; ยฮ.10:11, 14; 1ปต.2:25; 5:4; ฮร.13:20.
VII. เป้าหมายของการเลี้ยงดูที่อัศจรรย์ของพระคริสต์ในการปฏิบัติฝ่ายสวรรค์ของพระองค์คือการก่อสร้างกรุงเยรูซาเล็มใหม่เพื่อทำให้แผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้าสำเร็จสมบูรณ์; เราจะรับสุขพระเมษโปดกผู้ทรงอยู่ท่ามกลางพระที่นั่ง พระองค์จะทรงเลี้ยงดูเราและนำเราไปถึงน้ำพุของน้ำแห่งชีวิตตลอดไปตราบชั่วนิรันดร์ — วว.7:13–17.