I. ความหมายของการอธิษฐานคือการดูดซับพระเจ้า; เรายิ่งติดต่อกับพระเจ้า เราก็ยิ่งดูดซับพระองค์ และเมื่อเรายิ่งดูดซับพระองค์ เราก็ยิ่งรับสุขพระองค์เป็นความสว่างของเราและความรอดของเรา:
1. ในบทเพลงสรรเสริญ 27:1 ดาวิดกล่าวว่า “พระยะโฮวาทรงเป็นความสว่างของข้าพเจ้าและความรอดของข้าพเจ้า”; การที่พระเจ้าทรงเป็นความสว่างของเราและความรอดของเราย่อมแสดงว่าตัวของพระเจ้าเองคือสิ่งที่เราต้องการ; สิ่งที่พระเจ้าประทานให้เราก็คือตัวของพระองค์เอง; ความสว่างคือพระเจ้า, ความรอดคือพระเจ้า, ฤทิ์เดชคือพระเจ้า (1กธ.1:24), และพระคุณก็คือพระเจ้า (ยฮ.1:16–17; 1ปต.5:10; 1กธ.15:10; เทียบ ฆต.2:20); ทุกความต้องการฝ่ายวิญญาณที่เรามีอยู่นั้นก็คือตัวของพระเจ้าเอง.
2. ดาวิดติดต่อและดูดซับพระเจ้าโดยการเพ่งพินิจพระองค์ผู้เป็นความสง่างาม (บพส.27:4); เมื่อเขาได้ติดต่อพระเจ้าเพื่อดูดซับพระเจ้า ภายในเขาก็ได้รับการส่องสว่างและได้รับความรอด:
(1) การเพ่งพินิจพระเจ้าผู้เป็นความสง่างามของเราคือกุญแจที่ยิ่งใหญ่และเคล็ดลับที่ยิ่งใหญ่ในการมีประสบการณ์ต่อพระเจ้าเพื่อพระทัยปรารถนาของพระองค์ — 2กธ.3:16–18.
(2) โดยการแจกจ่ายอันศักดิ์สิทธิ์ผ่านการชำระของน้ำแห่งชีวิตในพระคำของพระคริสต์ พระองค์ก็ทรงทำให้เราผู้เป็นพระนิเวศน์แห่งความสง่างามของพระองค์นั้นงดงามเพื่อจะเป็นเจ้าสาวที่งดงามของพระองค์เพื่อพระองค์จะได้รับมาซึ่งความงดงาม — ยซย.60:7, 9, 13, 19, 21; 59:21; อฟ.5:26–27; วว.19:7.
3. มีบทเพลงหนึ่งกล่าวว่า “ตามสภาพข้า” (บทเพลงที่ 724); กรณีนี้หมายความว่าเราเป็นอย่างไร เราก็ควรมาหาพระเจ้าตามที่เราเป็น โดยไม่ต้องพยายามปรับปรุงหรือเปลี่ยนสภาพของเรา; เราต้อนรับพระคริสต์เช่นนี้ และเราก็ควรดำเนินชีวิตอยู่ในพระคริสต์เช่นนี้ด้วย — กซ.2:6–7ก.
4. การอธิษฐานคือการมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าตามสภาพที่เราเป็น; เมื่อเรามาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า เราควรวางสภาพทางภายในของเราไว้ต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์และทูลพระองค์ว่าเรายังบกพร่องในทุกเรื่อง; แม้เราจะอ่อนแอ, สับสน, เศร้าโศก, และไม่มีอะไรจะพูด เราก็ยังสามารถมาหาพระเจ้าได้; ไม่ว่าสภาพทางภายในของเราจะเป็นอย่างไร เราก็ควรจะนำสภาพเช่นนั้นมาหาพระเจ้า.
5. แทนที่จะคำนึงถึงสภาพของเรา เราควรเข้าสู่การสถิตอยู่ของพระเจ้าเพื่อติดต่อกับพระองค์ โดยการมองที่พระองค์, เพ่งพินิจพระองค์, สรรเสริญพระองค์, ขอบพระคุณพระองค์, นมัสการพระองค์, และดูดซับพระองค์; เช่นนี้เราจะรับสุขความอุดมสมบูรณ์ของพระเจ้า, ลิ้มรสความหวานชื่นของพระองค์, ต้อนรับพระองค์เป็นความสว่างและฤทธิ์เดช, และภายในก็มีสันติสุข, สว่างไสว, เข้มแข็ง, และมีฤทธิ์เดชเพิ่มขึ้น; เมื่อนั้นเราก็ได้เรียนรู้บทเรียนของการเชื่อมต่อกับพระองค์ไว้ตลอดเวลาในขณะที่เรานำพระคำไปหล่อเลี้ยงแก่วิสุทธิชนทั้งหลาย — 1ปต.4:10–11; 2กธ.2:17; 13:3.
II. โกโลซาย 2:6–7 เปิดเผยว่าพระคริสต์ในฐานะแผ่นดินงามทรงเป็นดินที่อุดมสมบูรณ์ที่เราได้หยั่งรากอยู่ในพระองค์แล้ว เพื่อเราจะได้เติบโตด้วยองค์ประกอบต่างๆ ซึ่งเราได้ดูดซับจากดิน — เทียบ 1กธ.3:6, 9; กซ.2:19:
1. โดยการทำงานร่วมกับพระเจ้า เปาโลได้ปลูกผู้เชื่อทั้งหลายเป็นพืชที่มีชีวิตเข้าสู่พระคริสต์ผู้เป็นดิน; พระเจ้าทรงวางเราทั้งหลายซึ่งเป็นพืชที่มีชีวิตไว้ในพระคริสต์ผู้เป็นดิน (1กธ.1:30; รม.6:4–5) เพื่อเราจะได้เติบโตขึ้นในพระคริสต์ผู้เป็นชีวิต (อฟ.4:15–16) และถูกเปลี่ยนแปลงในชีวิตให้กลายเป็นวัสดุที่ล้ำค่าสำหรับการก่อสร้างของพระเจ้า (1กธ.3:12).
2. ถ้าพิจารณาตามแผนการบริหารของพระเจ้า ผู้ที่เชื่อพึ่งในองค์พระผู้เป็นเจ้าย่อมเป็นเหมือนต้นไม้ที่ปลูกไว้ริมน้ำซึ่งเป็นเครื่องหมายเล็งถึงพระเจ้าในฐานะต้นน้ำของน้ำที่มีชีวิต (ยรม.2:13; 17:7–8); ต้นไม้เติบโตอยู่ริมแม่น้ำโดยการดูดซับความอุดมสมบูรณ์ทั้งสิ้นของน้ำ; นี่คือรูปภาพของแผนการบริหารของพระเจ้าซึ่งถูกกระทำให้สำเร็จลุล่วงโดยการแจกจ่ายอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ (เทียบ ยซย.57:20–21 พร้อมคำอธิบาย 1 ในข้อ 20; 55:7; 12:1–6; ยฮ.4:10, 14; 7:37–38; 1กธ.12:13).
3. ถ้าจะต้อนรับการแจกจ่ายอันศักดิ์สิทธิ์ ต้นไม้อย่างเราก็ต้องดูดซับพระเจ้าเป็นน้ำ (เทียบ 3:6); ความอุดมสมบูรณ์ของพระเจ้าผู้ทำการหล่อเลี้ยงถูกแจกจ่ายเข้าสู่เราผู้เป็นต้นไม้ เพื่อจะก่อรูปเราด้วยสภาพพระเจ้าของพระเจ้าและทำให้เราเติบโตด้วยการจำเริญเพิ่มพูนของพระเจ้า (กซ.2:19); เช่นนี้เรากับพระเจ้าจึงกลายเป็นหนึ่งโดยมีองค์ประกอบ, ธาตุแท้, การก่อรูป, และลักษณะที่ปรากฏที่เหมือนกัน (วว.4:3; 21:11).
4. ถ้าพืชไม่ได้ดูดซับสารอาหารจากดิน พืชย่อมไม่อาจเติบโตได้; ทำนองเดียวกัน ถ้าเราไม่ต้อนรับสิ่งที่ออกมาจากพระคริสต์ผู้เป็นศีรษะ พระกายก็ย่อมไม่อาจเติบโตได้; ดังนั้นการยึดประมุขไว้จึงเทียบเท่ากับการหยั่งรากอยู่ในพระคริสต์ผู้เป็นดิน; การยึดประมุขไว้คือการคงอยู่ในพระคริสต์ โดยเชื่อมต่อกับพระองค์อย่างใกล้ชิดโดยไม่มีฉนวนกั้นระหว่างเรากับพระองค์ — กซ.2:19.
5. การเติบโตของพระกายขึ้นอยู่กับการจำเริญเพิ่มพูนของพระเจ้า ซึ่งก็คือการที่พระเจ้าถูกเพิ่มเติม, เพิ่มพูนขึ้นภายในเรา; การก่อสร้างของพระเจ้าจึง “เติบโตขึ้นจนกลายเป็นพระวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า” และในพระองค์นั้นเราก็ “กำลังถูกก่อสร้างขึ้นเป็นที่ประทับของพระเจ้าในวิญญาณด้วย” โดยการดูดซับความอุดมสมบูรณ์ของพระคริสต์; การก่อสร้างบ้านของพระเจ้านั้น จริงๆแล้วกระทำโดยการเติบโตในชีวิตของผู้เชื่อทั้งหลาย — อฟ.2:21–22.
6. การเติบโตของปัจเจกชนได้กลายเป็นการเติบโตแห่งกลุ่มชน; ถ้าอวัยวะทุกอวัยวะมีการเติบโตของแต่ละปัจเจกชน ทั้งพระกายก็จะถูกก่อสร้างขึ้นอย่างเป็นกลุ่มชน — บทเพลงที่ 298 และ 606.
7. โกโลซาย 2:7 นำเอาการหยั่งรากและการถูกก่อสร้างมาไว้ในข้อเดียวกัน; ทั้งนี้ก็เพราะการหยั่งรากมีเพื่อการเติบโต และการเติบโตก็คือการก่อสร้างที่แท้จริง (อฟ.4:15–16; 1กธ.3:6, 9); ทางเดียวที่จะหยั่งรากอยู่ในพระคริสต์อย่างลึกซึ้งก็คือการติดต่อกับพระองค์ผู้เป็นดินเพื่อจะดูดซับน้ำที่อยู่ในพระคำทุกวัน (อฟ.5:26); เช่นนี้เราจึงจะ “หยั่งรากสู่เบื้องล่างและเกิดผลโดยงอกสู่เบื้องบน” (ยซย.37:31).
8. เราต้องใช้เวลามาดูดซับพระคริสต์ทุกวันโดยการมีเวลาเข้าเฝ้าพระองค์เป็นการส่วนตัวตามลำพัง (มธ.6:6; 14:22–23; มก.1:35) เพื่อเราจะดำเนินชีวิตอยู่ในพระคริสต์และดำเนินชีวิตออกซึ่งพระคริสต์อย่างปกติวิสัยเพื่อการสำแดงแห่งกลุ่มชนของพระคริสต์ (กซ.2:6–7):
(1) สิ่งที่จำเป็นต่อเราในแต่ละวันคือการแบ่งเวลาออกมาอธิษฐานให้มากพอ ซึ่งจะทำให้เราดูดซับความอุดมสมบูรณ์ของพระเจ้าของเราได้มากขึ้น; ในเวลาเช้า แม้วิสุทธิชนหลายคนก็อาจใช้เวลาเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้า แต่พวกเขาอาจไม่ได้ดูดซับความอุดมสมบูรณ์ของพระองค์มากนัก เพราะพวกเขาเร่งรีบเกินไป; ถ้าเร่งรีบ เราก็ไม่สามารถดูดซับความอุดมสมบูรณ์ของพระคริสต์เข้าสู่เรามาเป็นการบำรุงเลี้ยงของเราได้ — เทียบ บพส.119:48, 97.
(2) เราต้องใช้เวลาเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นการส่วนตัวตามลำพังเพื่อจะดูดซับพระองค์; เราต้องฝึกฝนวิญญาณของเราในการใช้เวลาอยู่ในวิญญาณของเราให้มากขึ้นเพื่อชื่นชมองค์พระผู้เป็นเจ้า, สรรเสริญพระองค์, ขอบพระคุณพระองค์, และสนทนากับพระองค์อย่างอิสระ; เช่นนี้พระเจ้าจึงจะประทานการเติบโตให้เราได้ในขณะที่เรารับสุขพระองค์เป็นงานเลี้ยงของเรา — มธ.22:4; วว.3:20.
(3) การมีพระเจ้าเพิ่มเข้าสู่เราโดยการต้อนรับพระองค์เป็นการบำรุงเลี้ยงที่ใหม่ และการรับสุขที่สดใหม่ของเราผ่านพระคำแห่งวิญญาณ, ชีวิต, ความชื่นบาน, และความยินดีของพระองค์ (ยฮ.6:57, 63; ยรม.15:16) คือการเติบโตที่พระองค์ประทานให้ (ยฮซ.1:8–9; บพส.119:15, 48).
(4) ถ้าเราใช้เวลาอย่างมากในการเข้าเฝ้าองค์พระผู้เป็นเจ้าเป็นการส่วนตัวตามลำพังทุกวันเพื่อจะดูดซับพระเจ้า ความรอดแห่งสีพระพักตร์ของพระองค์ก็จะกลายเป็นความรอดแห่งสีหน้าของเรา — 42:5, 11.
III. ความหมายของการอธิษฐานยังมีเพื่อให้เราพูดเพื่อสำแดงพระเจ้าด้วย; ในบทเพลงสรรเสริญ 27:4 ดาวิดกล่าวว่าเขาไม่เพียงปรารถนาที่จะเพ่งพินิจความสง่างามของพระยะโฮวาเท่านั้น แต่ยังปรารถนาที่จะ “ทูลถามอยู่ในพระวิหารของพระองค์ด้วย”; การทูลถามคือการให้พระเจ้าตรัสอยู่ภายในเราเพื่อให้ถ้อยคำที่เราทูลต่อพระองค์ในการอธิษฐานจะเป็นการตรัสของพระเจ้าที่อยู่ภายในเรา เป็นการพูดที่สำแดงพระเจ้าออกมา:
1. การอธิษฐานที่แท้จริงคือการที่เรามาหาพระเจ้า, ให้พระเจ้าตรัสอยู่ภายในเรา, และพูดเพื่อสำแดงสิ่งที่พระเจ้าตรัสแก่เรากลับคืนสู่พระองค์ — “เมื่อพระองค์ตรัสว่า ‘จงแสวงหาใบหน้าของเรา’ ใจของข้าพเจ้าก็ทูลพระองค์ว่า ‘โอ พระยะโฮวา ข้าพเจ้าจะแสวงหาพระพักตร์ของพระองค์’” (ข้อ 8).
2. โยฮัน 15:7 กล่าวว่า “ถ้าท่านทั้งหลายอาศัยอยู่ในเรา และถ้อยคำของเราอาศัยอยู่ในท่านแล้ว ท่านจะขอสิ่งใดซึ่งท่านปรารถนาก็จะสำเร็จตามที่ท่านขอ”; ข้อนี้มีประเด็นสำคัญอยู่สามประเด็น:
(1) เราต้องอาศัยอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งก็คือการคงอยู่ในการสามัคคีธรรมกับพระองค์.
(2) ถ้อยคำขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องอาศัยอยู่ในเรา; เมื่อเราอาศัยอยู่ในองค์พระผู้เป็นเจ้าและสามัคคีธรรมกับพระองค์อยู่เสมอ พระองค์ย่อมตรัสอยู่ภายในเรา.
(3) การที่เราทูลขอองค์พระผู้เป็นเจ้าก็มาจากการตรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่อยู่ภายในเรา; ถ้าเราอยู่ในการสามัคคีธรรมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะตรัสอยู่ภายในเรา จากนั้นเราก็จะมีถ้อยคำที่จะใช้ทูลขอต่อพระองค์ นั่นก็คือการอธิษฐานต่อพระองค์.
3. เมื่อเราสัมผัส, ติดต่อ, และดูดซับพระเจ้าจริงๆ พระองค์จะตรัสอยู่ภายในเรา; จากนั้นเราก็อธิษฐานตามการตรัสของพระองค์ที่อยู่ภายใน; การอธิษฐานคือการไปเฝ้าพระเจ้า, พบพระองค์, เข้าใกล้พระองค์, ไปมาหาสู่กับพระองค์, และดูดซับพระองค์เพื่อให้พระองค์สามารถตรัสกับเราทางภายใน; เมื่อเราอธิษฐานต่อพระองค์ด้วยถ้อยคำที่พระองค์ให้แก่เรา การอธิษฐานของเราก็ได้พูดเพื่อสำแดงพระเจ้า.
4. ในการติดต่อกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เราต้องเรียนรู้หลักการดังต่อไปนี้:
(1) เราไม่ควรชี้นำองค์พระผู้เป็นเจ้าในการอธิษฐานของเรา (เทียบ 2:4); แต่เราควรถามเหมือนเซาโลแห่งเมืองตาระโซว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าควรทำอย่างไร?” ไม่ใช่พูดว่า “ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า นี่คือสิ่งที่ข้าพเจ้าจะทำ” (กจ.22:10).
(2) ขณะที่เราเข้าใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้าและติดต่อกับพระองค์ พระองค์จะทรงทำให้เรามองเห็นความต้องการของเราและชี้ให้เห็นปัญหา, ความผิด, รอยเปื้อน, และความบาปของเรา; หนทางที่เราจะรับน้ำแห่งชีวิตคือการสารภาพความบาปของเราต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า — ยฮ.4:15–18.
(3) ขณะที่เราเข้าใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อติดต่อกับพระองค์ เราควรแสวงหาตัวขององค์พระผู้เป็นเจ้าในฐานะที่เป็นเรื่องฝ่ายวิญญาณซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา ไม่ใช่เรื่องฝ่ายกายภาพที่ประจักษ์แก่ตา — 6:27, 31–33; 2กธ.4:18; ฮร.11:27.
(4) ความเห็นของมนุษย์มีแต่ขัดขวางฤทธิ์เดชขององค์พระผู้เป็นเจ้า ดังนั้นจึงต้องรอให้เราอ่อนแอจนหมดหวัง, ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง, และตายสนิทก่อน องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงจะทรงสำแดงพระองค์ให้ประจักษ์อยู่ภายในเราและแก่เราในฐานะฤทธิ์เดชแห่งการเป็นขึ้นได้ — ยฮ.11:3, 5–6, 17, 21, 25–26, 32–35, 38, 41–44; 2กธ.1:8–9.
(5) ขณะที่เราเข้าใกล้องค์พระผู้เป็นเจ้า เราต้องยอมให้พระองค์กระทำสิ่งที่พระองค์ทรงตั้งใจในตัวเรา — ยฮ.13:6–9; ลก.1:37–38.
(6) กระทั่งในเวลาที่เราเย็นชาและเฉยเมยต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือตกต่ำไปอยู่ในฝ่ายโลก พระองค์ก็ยังสำแดงพระองค์ให้ปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อเรา; เราอาจล้มเหลวและเปลี่ยนแปรไป แต่องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ทรงล้มเหลวหรือเปลี่ยนไปเลย — ยฮ.21:1–25; ยซย.49:15–16; ยรม.31:3.
5. การอธิษฐานทูลถามเป็นการถวายเกียรติแด่พระเจ้า; ดาวิดรู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร เพราะเขาทูลถามพระยะโฮวาเป็นประจำ (1ซมอ.23:2, 4; 30:8; 2ซมอ.2:1; 5:19, 23); หลังจากที่พระเจ้าตรัสแก่ดาวิดผ่านนาธานผู้เผยพระวจนะแล้ว ดาวิดก็ “ไปนั่งลงต่อเบื้องพระพักตร์พระยะโฮวา” (7:18) และทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าให้ “ทรงกระทำดังที่พระองค์ได้ตรัสไว้” (ข้อ 25ข); จากนั้นเขาก็ทูลต่อองค์พระผู้เป็นเจ้าว่า เนื่องจากการตรัสของพระองค์ “ผู้รับใช้ของพระองค์จึงมีใจกล้าวิงวอนต่อพระองค์ด้วยคำอธิษฐานนี้” (ข้อ 27).
IV. การอธิษฐานที่ดีที่สุดคือการอธิษฐานต่อพระเจ้าในฐานะสหาย; อับราฮามเป็นสหายของพระเจ้า; ในเยเนซิศบทที่ 18 พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์ทรงถ่อมพระองค์เพื่อมาเป็นสหายของอับราฮาม:
1. หลังจากที่เขาได้รับพิธีสุหนัตและเรี่ยวแรงตามธรรมชาติของเขาถูกทำให้สิ้นสุดแล้ว อับราฮามก็ดำเนินชีวิตอยู่ในการสามัคคีธรรมที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับพระเจ้าและกลายเป็นสหายของพระเจ้า — 13:3–4, 18; 17:1–16; 2คนก.20:7; ยซย.41:8; ยก.2:23.
2. การทูลขอแทนที่สง่าราศีที่อับราฮามได้ทูลต่อพระเจ้านั้นเป็นการสนทนาที่ใกล้ชิดสนิทสนมอย่างมนุษย์ระหว่างเพื่อนสองคน เป็นการพูดคุยอย่างใกล้ชิดสนิทสนมตามการเปิดเผยพระทัยปรารถนาของพระเจ้า — ยนซ.18:1–33.
3. กระทั่งก่อนการกลายเป็นเนื้อหนัง (ยฮ.1:14) พระยะโฮวาในฐานะพระคริสต์ก็ทรงปรากฏต่ออับราฮามในรูปลักษณ์ของมนุษย์ โดยมีร่างกายของมนุษย์ และไปมาหาสู่กับเขาในระดับของมนุษย์แล้ว (ยนซ.13:18; 18:1–22); ขณะที่อับราฮามรับสุขการสามัคคีธรรมกับพระเจ้าอย่างหวานชื่น เขาก็ได้รับการเปิดเผยจากพระองค์เกี่ยวกับการบังเกิดยิศฮาคและการทำลายเมืองซะโดม.
4. การบังเกิดยิศฮาคมีความเกี่ยวข้องกับการเสด็จมาของพระคริสต์ในฐานะพระคุณ ส่วนการทำลายเมืองซะโดมมีความเกี่ยวข้องกับการพิพากษาที่พระเจ้าทรงมีต่อความบาป; กรณีนี้หมายความว่าพระคริสต์ต้องเข้ามา และความบาปจะต้องออกไป.
5. พระเจ้าทรงเปิดเผยให้อับราฮามรู้ถึงจุดมุ่งหมายของพระองค์ในการทำลายเมืองซะโดม เนื่องจากพระองค์ทรงเสาะหาผู้ทูลขอแทนที่จะมาทูลขอแทนโลต (ข้อ 16–22; 19:1; เทียบ ฮร.7:25; ยซย.59:16; ยอค.22:30); พระเจ้าทรงต้องการช่วยโลตให้รอดเพื่อจะปกป้องลำดับวงศ์ของพระคริสต์ที่ต้องผ่านมาทางนางรูธผู้เป็นชาวโมอาบและเป็นลูกหลานของโลต (ยนซ.19:37; นรธ.1:4; มธ.1:5).
6. ดังนั้นขณะที่พระเจ้าทรงสามัคคีธรรมกับอับราฮามอย่างใกล้ชิดสนิทสนม พระเจ้าจึงทรงเปิดเผยพระทัยปรารถนาของพระองค์อย่างลับลึกโดยไม่ได้เอ่ยถึงชื่อของโลตเลย; การทูลขอแทนที่ถูกต้องไม่ได้ริเริ่มจากมนุษย์ แต่โดยการเปิดเผยของพระเจ้า ดังนั้นจึงเป็นการพูดเพื่อสำแดงความปรารถนาของพระเจ้าและทำให้น้ำพระทัยของพระเจ้าสำเร็จลุล่วง — ยนซ.18:17, 20–23; 19:27–29; บพส.27:4–8; ฮร.4:16; 7:25; ยก.5:17.
7. ถ้าดูอย่างผิวเผินก็คล้ายกับว่าอับราฮามทูลขอแทนเพื่อเมืองซะโดม แต่จริงๆ แล้วเขาทูลขอแทนโลตในความหมายที่เป็นนัย (ยนซ.14:12; 18:23; 19:1, 27–29) ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเราควรทูลขอแทนเพื่อพลไพร่ของพระเจ้าที่ซัดเซเข้าไปอยู่ฝ่ายโลก.
8. ในขณะที่อับราฮามทูลขอแทนโลต เขาไม่ได้อ้อนวอนพระเจ้าตามความรักและพระคุณของพระองค์; เขาท้าทายพระเจ้าตามวิถีทางที่ชอบธรรมของพระองค์; ความชอบธรรมของพระเจ้าย่อมผูกมัดพระองค์ยิ่งกว่าความรักและพระคุณของพระองค์มาก — 18:23–25; รม.1:17.
9. การทูลขอแทนคือการสนทนากับพระเจ้าอย่างใกล้ชิดสนิทสนมตามจุดมุ่งหมายที่อยู่ภายในแห่งพระทัยของพระองค์; เราต้องเรียนรู้ที่จะรั้งรออยู่ในการสถิตอยู่ของพระเจ้าเพื่อเรื่องนี้ — ยนซ.18:25–32.
10. การทูลขอแทนของอับราฮามไม่ได้สิ้นสุดลงด้วยการพูดของอับราฮาม แต่ด้วยการตรัสของพระเจ้า ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการทูลขอแทนที่แท้จริงคือการตรัสของพระเจ้าที่อยู่ในการพูดของเรา — ข้อ 33; ยฮ.15:7; รม.8:26–27.
11. ในขณะที่เราสามัคคีธรรมกับพระเจ้าอย่างใกล้ชิดสนิทสนม เราก็ได้ต้อนรับการเปิดเผยว่าทุกสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ล้วนเป็นไปได้เมื่อมีพระคริสต์ — ยนซ.18:10–15; 21:1–8; ลก.18:27.
V. ในระหว่างที่เราอธิษฐานในด้านแรก เราได้เข้าสู่การสามัคคีธรรมกับพระเจ้าผู้จะทรงชโลมเราด้วยภาระของพระองค์ที่มีเพื่อการงานและเปิดเผยจุดมุ่งหมายของพระองค์ต่อเรา; จากนั้นการอธิษฐานของเราในด้านที่สองก็คือการทูลถามองค์พระผู้เป็นเจ้าโดยการวิงวอนต่อพระองค์เกี่ยวกับน้ำพระทัยของพระองค์และภาระของพระองค์ที่มีเพื่อการงาน; จากนั้นเราก็ทำให้จุดประสงค์ของการอธิษฐานสำเร็จลุล่วงโดยการร่วมมือกับพระเจ้าเพื่อจะร่วมงานกับพระเจ้า — ยซย.62:6–7; 45:11; ยอค.22:30; ดนอ.9:2–4; 1ซมอ.12:23; 1กธ.3:9; 2กธ.6:1ก.