ความเครียด (Stress) เป็นอาการที่เกิดได้กับทุกวัย เมื่อมีความเครียดเกิดขึ้น มนุษย์จะพยายามตอบสนองต่อความเครียดด้วยการปรับตัว โดยการปรับตัวของแต่ละบุคคลก็จะมีความแตกต่างกันขึ้นกับการเรียนรู้จากประสบการณ์เดิมและความเข้มแข็งทางจิตใจ ได้แก่ การสู้ การเผชิญปัญหาและการหลีกหนี ซึ่งการปรับตัวของบุคคลจะแสดงออกในรูปแบบของอารมณ์และพฤติกรรมที่แตกต่างกันเพื่อลดความไม่สบายใจให้เกิดความสมดุลจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

                   บุคคลที่ไม่สามารถปรับตัวต่อความเครียดได้ก็จะเกิดความเครียดเรื้อรังซึ่งส่งผลเสียต่อร่างกาย และจิตใจ โดยจะมีอาการนอนไม่หลับ ปวดศีรษะ ปวดไหล่หรือปวดตามร่างกาย มีอารมณ์หงุดหงิด วิตกกังวลและอารมณ์ซึมเศร้า อีกทั้งยังส่งผลต่อสัมพันธภาพกับบุคคลในครอบครัวหรือบุคคลอื่น ประสิทธิภาพการดำเนินชีวิตและการทำงานลดลง                                                                          

ความเครียดแบ่งเป็น 2  ระยะเวลา

                   1. ความเครียดระยะสั้นหรือฉับพลัน เช่น การสูญเสียคนรัก ทะเลาะกับเพื่อน การหย่าร้าง หรือการผิดหวังสิ่งที่คาดหวัง

                   2. ความเครียดเรื้อรังและสะสมที่ต้องเผชิญกับสภาวะกดดันอย่างมากเกิดขึ้นเป็นระยะเวลายาวนานและไม่สามารถจัดการได้ ได้แก่ ปัญหาเศรษฐกิจ การเงิน การเจ็บป่วยเรื้อรัง ความขัดแย้งภายในครอบครัว

                   ความเครียดมีทั้งประโยชน์และโทษ แต่ความเครียดที่เป็นโทษนั้นเป็นความเครียดที่เกินความ จำเป็น โดยความเครียดที่เป็นโทษจะเป็นอุปสรรคและอันตรายต่อชีวิตมนุษย์ เมื่ออยู่ในสภาวะความเครียดร่างกายจะเตรียมพร้อมว่าจะ “สู้” หรือ “หนี” โดยร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงดังนี้      

                      1) หัวใจเต้นแรงและเร็วขึ้น เพื่อสูบฉีดเลือดนำอ๊อกซิเจนและสารอาหารต่างๆ ไปเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกายพร้อมกับขจัดของเสียออกจากกระแสเลือดอย่างเร็ว                                    

                      2) การหายใจดี เร็วขึ้นแต่เป็นการหายใจตื้นๆ                         

                      3) มีการขับอดรีนาลีนและฮอร์โมนอื่น ๆ เข้าสู่กระแสเลือด

                      4) ม่านตาขยายเพื่อให้ได้รับแสงมากขึ้น

                      5) กล้ามเนื้อหดเกร็งเพื่อเตรียมการเคลื่อนไหว เตรียมสู้หรือหนี

                      6) เส้นเลือดบริเวณอวัยวะย่อยอาหารหดตัว

                      7) เหงื่อออก เพราะมีการเผาผลาญอาหารมากขึ้นทำให้อุณหภูมิของร่างกายเพิ่มขึ้นเมื่อวิกฤตการณ์ผ่านพ้นไปร่างกายจะกลับสู่สภาวะปกติ แต่ความเครียดที่เป็นอันตรายก็คือ ความเครียดที่เกิดขึ้นมากเกินความจำเป็น เมื่อเกิดแล้วยังคงอยู่และเป็นประจำไม่ลดหรือหายไป

ผลของความเครียด

                   1. ผลต่อสุขภาพ เป็นอาการเจ็บป่วยทางด้านร่างกาย ได้แก่ การปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยจะแสดงออกถึงความผิดปกติของหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคกระเพาะ กรดไหลย้อน หรืออาการท้องผูกท้องเสียบ่อยๆ นอนไม่หลับ หอบหืด และเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ

                   2. ผลต่อสุขภาพใจ เป็นอาการที่เกิดหลังจากทางร่างกายโดยจะมีอาการหวาดระแวง วิตกกังวล กลัวอย่างไร้เหตุผล อารมณ์ไม่มั่นคง หงุดหงิดง่าย ควบคุมอารมณ์ไม่ได้และนำไปสู่อารมณ์ซึมเศร้าและทำร้ายตนเอง

                   3. ผลต่อสังคมสิ่งแวดล้อม เมื่อความเครียดส่งผลต่อร่างกายและจิตใจแล้วก็ย่อมส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานหรือการดำเนินชีวิต ทำให้สัมพันธภาพกับบุคคลอื่นและคนในครอบครัวไม่ดีนัก รู้สึกไม่ไว้วางใจ รู้สึกไม่ปลอดภัย จากสิ่งรอบตัว

                   อย่างที่กล่าวไปข้างต้นแล้วว่าความเครียดเกิดได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย ไม่ว่าจะเป็นเด็ก หนุ่มสาววัยทำงาน หรือผู้สูงอายุต่างก็มีความเครียดเกิดขึ้นได้ ซึ่งในแต่ละช่วงวัยก็จะมีความเครียดแตกต่างกันออกไปตามบริบทของบุคคล สำหรับผู้สูงอายุเป็นช่วงที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงของโลกซึ่งเรากำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ดังนั้นความเครียดสำหรับผู้สูงอายุก็ถือว่าเป็นหัวใจสำคัญในคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ

การต้องเผชิญกับความเครียดสำหรับผู้สูงอายุมาจากประเด็นดังต่อไปนี้

                   1. ความรู้สึกอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว ไม่ได้รับการเอาใจใส่เท่าที่ควร ขาดการมีลูกหลานห้อมล้อม ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงลักษณะครอบครัว การดิ้นรนเลี้ยงชีพของบุตรหลานในครอบครัว

                   2. ความรู้สึกน้อยใจ รู้สึกด้อยค่าและกระทบกระเทือนทางใจ จากพฤติกรรมของลูกหลานและบุคคลใกล้ชิด ประกอบกับเป็นวัยที่ต้องเกษียณอายุ จึงทำให้รู้สึกว่าตนเองไม่มีคุณค่า ขาดรายได้ ขาดทุนสำรอง

                   3. สภาพร่างกายที่เสื่อมถดถอย ทรุดโทรม หรือมีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ไม่สามารถดูแลตนเองได้ทั้งจากสภาพเศรษฐกิจและภัยสังคม

                   ดังนั้นผู้สูงอายุจึงเป็นช่วงวัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมากทั้งด้านสภาพร่างกาย สุขภาวะของการเจ็บป่วยและการเงินเศรษฐกิจ ซึ่งผู้สูงอายุจะมีความกังวลใจมากกว่าวัยอื่นในเรื่องของคุณภาพชีวิตที่ตนรู้สึกไม่มั่นคงไม่ปลอดภัย เป็นวัยที่ต้องพึ่งพาอาศัยจากบุคคลในครอบครัวและสังคม โดยส่งผลให้มีอารมณ์อ่อนไหวต่อความรู้สึกด้อยค่าและรู้สึกเป็นภาระต่อบุตรหลาน ซึ่งความรู้สึกดังกล่าวจะเป็นความรู้สึกกังวลใจ คิดมาก นอนไม่หลับ และหมกมุ่นกับความรู้สึกไม่ดีเป็นระยะเวลายาวนานจึงทำให้เกิดความเครียดเรื้อรัง ส่งผลต่อพฤติกรรมต่อต้านบุตรหลาน นอนไม่หลับ เศร้าและไม่อยากมีชีวิตอยู่ต่อ

วิธีสังเกตผู้สูงอายุที่มีปัญหาสุขภาพจิต

                   1. พฤติกรรมรับประทานอาหารที่ผิดปกติไปจากเดิม เช่น รับประทานอาหารมากขึ้นหรือน้อยลง เบื่ออาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อในบางราย

                   2. อาการง่วง เซื่องซึม นอนหลับมากกว่าปกติ หรือมีอาการนอนไม่หลับ ฝันร้ายติดต่อกันหลายคืน

                   3. อารมณ์เปลี่ยนแปลงบ่อย เช่น หงุดหงิดง่าย ก้าวร้าว 

                   4. พฤติกรรมเปลี่ยนไป เช่น ซึมลงหรือแจ่มใสมากกว่าปกติ พูดน้อยลงหรือพูดเยอะขึ้น 

                   5. อาการเจ็บป่วยทางกายที่หาสาเหตุไม่พบ เช่น ปวดศีรษะ ปวดเมื่อยตามร่างกาย คลื่นไส้อาเจียนบ่อยครั้ง                                         

แนวทางการผ่อนคลายความเครียดของผู้สูงอายุ

                   1. หาเวลาว่างทำกิจรรมร่วมกันในครอบครัว เช่น รับประทานอาหาร ทำบุญ ท่องเที่ยว ซึ่งจะช่วยให้ผู้สูงอายุรู้สึกอบอุ่นใจ รู้สึกตนเองมีคุณค่าได้รับความสำคัญบุตรหลานและคนในครอบครัว

                   2. ปล่อยวางกับความคาดหวัง เข้าใจยอมรับความเป็นจริงที่เปลี่ยนไป การฝึกคิดอย่างยืดหยุ่นและคิดแง่บวก รวมถึงเรื่องความตายผ่านการควบคุมลมหายใจ                          

                   3. เห็นคุณค่าในตนเอง ภาคภูมิใจและมีความเชื่อมั่นตนเองเกี่ยวกับความสามารถที่มี พยายามช่วยเหลือตนเองในเรื่องง่ายๆ เช่น การทำกิจวัตรประจำวัน งานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เกินกำลังหรือเป็นอันตราย         

                   4. ฝึกระบบความคิด เพื่มความสามารถของผู้สูงอายุด้านความจำ การฝึกการวางแผนและแก้ไขปัญหาเพื่อชะลอความเสื่อมของสมองในด้านต่างๆ เช่น ฝึกการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ลองทำกิจรรมด้วยมือข้างที่ไม่ถนัดหรือกิจกรรมใหม่ๆ ที่ไม่เคยทำ 

                   5. การเข้าสังคม เช่น การรวมกลุ่มกับเพื่อน ๆ หรือกลุ่มวัยเดียวกัน เพื่อพบปะพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ซึ่งจะช่วยให้ผู้สูงอายุได้รู้สึกผ่อนคลาย ลดปัญหาการเก็บตัวหรือแยกตัวออกจากสังคม

                   6. การผ่อนคลายโดยเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการเพื่อส่งเสริมความรู้สึกสนุกสนาน อารมณ์เป็นสุข  จิตใจแจ่มใส กระปรี่กระเปร่า เช่น การเล่นกีฬา ดนตรี ศิลปะ หรืองานอดิเรกที่ชอบ เพื่อผ่อนคลายและลดความเครียด

                   7. การฝึกสมอง เพื่อฝึกด้านความจำผ่านเกม เช่น การเล่นหมากรุก การต่อคำ การคิดเลข และการฝึกจำข้อมูลต่างๆ เช่น วัน เวลา สถานที่ บุคคล หรือหมายเลขโทรศัพท์ของบุคคลในครอบครัวและเบอร์โทรฉุกเฉิน  

                   8. การออกกำลังกาย หันมาดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง คล่องแคล่ว มีกำลังวังชา ตามกำลังที่เหมาะสม ได้แก่ การฝึกกายบริหารวันละ 15-30 นาที เป็นต้น