ผู้สูงอายุ คือผู้ที่มีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป ซึ่งในผู้ป่วยกลุ่มนี้ยังจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงหรือมีโอกาสที่จะได้รับอันตรายจากการใช้ยาได้มากกว่าบุคคลทั่วไป เนื่องจากการทำงานของอวัยวะต่างๆ เสื่อมประสิทธิภาพไปตามวัยที่มากขึ้น ประกอบกับมักเป็นโรคเรื้อรัง ส่วนใหญ่จึงมีการใช้ยาหลายชนิด และเป็นการใช้อย่างต่อเนื่อง และเพิ่ม ความเสี่ยงต่อการเกิดอาการข้างเคียงที่มากขึ้น และอันตรกิริยาระหว่างยากับยา (drug-drug interaction) เพิ่มขึ้นอีกด้วย

                   ความเปลี่ยนแปลงของร่างกายผู้สูงอายุเมื่ออายุมากขึ้น ทำให้ผลลัพธ์ของการใช้ยาในผู้สูงอายุมีความแตกต่างจากผู้ป่วยกลุ่มอื่น เช่น
                  1. การดูดซึมของยาบางชนิดลดลงหรือยาบางชนิดเพิ่มขึ้น
                  2. การไหลเวียนเลือดที่ทางเดินอาหารจะน้อยกว่าเดิม รวมทั้งน้ำย่อยในทางเดินอาหารก็ลดน้อยลงด้วยเช่นกัน แต่สัดส่วนของเนื้อเยื่อไขมันจะเพิ่มขึ้น เป็นผลให้ยาบางชนิดจับกับเนื้อเยื่อไขมันอยู่ในร่างกายนานขึ้น และมีฤทธิ์นานกว่าเดิม
                  3. ผู้สูงอายุจะมีการเสื่อมถอยของอวัยวะต่างๆ ตับมีขนาดเล็กลง เลือดที่ไปตับน้อยลง ปริมาณและความสามารถของเอ็นไซม์ในตับในการเปลี่ยนสภาพยาลดน้อยลง จำนวนหน่วยกรองในไตน้อยลง และเลือดที่มายังไตน้อยลง เป็นผลให้ยาถูกกำจัดออกทางตับและไต ได้น้อยลง และยามีระดับในเลือดสูงและอยู่นานกว่าในคนทั่วไป ดังนั้นการใช้ยาในผู้ป่วยสูงอายุ จึงต้องมีการปรับขนาดยาให้เหมาะสมตามสภาพร่างกายของแต่ละบุคคล ภายใต้การดูแลของแพทย์ และเภสัชกรเพื่อความปลอดภัยสูงสุด

ตัวอย่างปัญหาการใช้ยาที่อาจพบในผู้สูงอายุ

1. กินยารักษาหลายโรค ผู้สูงอายุหลายคน มักจะมีโรคประจำตัวหลายโรค จำเป็นต้องไปพบแพทย์หลายคนตามอาการที่เป็น โดยไม่ได้ดูภาพรวมให้ว่า ยาทั้งหมดที่ได้รับมาจะมีปฏิกิริยาต่อกันหรือยาตีกันหรือไม่ ซึ่งอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงจากยา หรืออาจทำให้การรักษาโรคไม่ได้ผลเท่าที่ควร

2. กินยาผิด จากปัญหาทางด้านสายตา ตาพร่ามัวมองอะไรไม่ชัดเจน หรือเป็นโรคที่เกี่ยวกับตา อาจทำให้การอ่านฉลากยาที่มีตัวหนังสือขนาดเล็ก จนเป็นเหตุให้หยิบยาผิด เกิดอาการทรุดและต้องนำตัวส่งโรงพยาบาลได้

3. ความบกพร่องในการรับรู้ ความจำ การประมวลผล และการตัดสินใจ อาจทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงสูงต่อการใช้ยาที่ผิด

4. ลืมกินยา กินยาไม่ตรงเวลา ปัญหาด้านความจำที่ถดถอย ผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะมีปัญหาเรื่องความจำเสื่อมตามวัย หลงลืมได้ง่าย หรือจำไม่ได้เลยว่าต้องกินยา ทำให้มีโอกาสที่จะลืมกินยา กินยาไม่ตรงเวลา เมื่อลืมกินยาตามช่วงเวลาที่แพทย์สั่ง ผู้สูงอายุก็จะไปรวมกินเป็นมื้อเดียวกันในรอบมื้อถัดไปแทน ซึ่งเป็นการกินยาที่ผิดวิธี

5. ผู้สูงอายุมักไม่กินยาตามแพทย์สั่ง หรือไม่ใช้ยาตามข้อมูลในฉลากยา ซึ่งพบทั้งกินยาเกินปริมาณ กินยาผิดเวลา หรือรวบเป็นมื้อเดียวกัน จะส่งผลต่อการออกฤทธิ์และประสิทธิภาพของยา ทำให้การรักษาโรคไม่ได้ผล และเป็นอันตรายต่อผู้สูงอายุ

6. มีความกลัว หรือความเชื่อบางอย่าง จนทำให้เลือกใช้ยา ไม่ใช้ยาตามแพทย์สั่ง เช่น กินยาเยอะกลัวมีผลต่อไต จึงหยุดยาเองหรือเลือกรับประทานยาแค่บางรายการ

7. ผู้สูงอายุมีโอกาสซื้อยากินเอง หรือบางรายเชื่อคำโฆษณาเรื่องอาหารเสริม สมุนไพร จึงหายาหลายชนิดมากินเอง โดยไม่ปรึกษาแพทย์ การรับประทานยาเกินความจำเป็นมักจะส่งผลต่อร่างกายผู้สูงอายุที่มีความเสื่อมถอย อาจทำให้ตับและไตยิ่งมีโอกาสเสื่อมเร็ว นอกจากนี้เมื่อใช้ร่วมกับยาที่แพทย์สั่ง อาจทำให้เกิดผลไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาหรือเกิดปฏิกิริยาก่อกันได้

8. เก็บรักษายาไม่ถูกต้อง บางครั้งผู้สูงอายุไม่รู้ว่ายาประเภทไหนควรเก็บให้พ้นแสง ยาประเภทไหนควรเก็บที่อุณหภูมิห้องหรือในตู้เย็น ส่งผลอาจทำให้ยาเสื่อมคุณภาพได้

9. การไม่มาตามนัดหรือไม่มีการติดตามการรักษา หรือติดตามการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย


คำแนะนำในการใช้ยาในผู้ป่วยสูงอายุ

1. อ่านฉลากยาทุกครั้งที่ได้รับยาชุดใหม่ เพราะแพทย์อาจปรับเปลี่ยนวิธีการใช้ยาได้

2. ใช้ยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด

3. ไม่ปรับเพิ่มหรือลดขนาดยาเอง

4. ยาก่อนอาหารควรรับประทานก่อนอาหารอย่างน้อย 30 นาที ส่วนยาหลังอาหารสามารถรับประทานหลังอาหารได้ทันทีโดยไม่แตกต่างจากการรับประทานหลังอาหาร 15 นาที

5. ยาเบาหวานชนิดก่อนอาหาร ควรรับประทานก่อนอาหาร 15-30 นาที หากเว้นนานกว่านั้นอาจเสี่ยงต่อภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เช่น หัวใจเต้นเร็ว เวียนศีรษะ ปวดศีรษะ ฉุนเฉียวง่าย กังวล สายตาพร่า เหงื่อออกมาก หิวบ่อย อ่อนเพลีย ตัวสั่น ถ้าเป็นมาก อาจไม่รู้สึกตัวหรือมีอาการชักได้

6. โดยทั่วไปหากลืมรับประทานยาจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร เนื่องจากยาบางชนิดให้รับประทานทันทีที่นึกได้ ยาบางชนิดอาจต้องรอรับประทานมื้อถัดไป

7. ยาลดความดันโลหิตในเลือดควรรับประทานทันทีหลังตื่นนอน หากผู้ป่วยรับประทานอาหารเช้าในช่วงสายสามารถรับประทานยาลดความดันโลหิตในเลือดได้เลยโดยไม่ต้องรอทานหลังอาหารเช้า

8. เข้ารับการตรวจติดตามการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูการตอบสนองของยา และติดตามการทำงานของตับ ไต เพื่อปรับขนาดยาให้เหมาะสม

9. ไม่ซื้อยารับประทานเอง เนื่องจากอาจเกิดปัญหายาตีกันกับยาที่รับประทานอยู่เดิม จนอาจเกิดผลเสียรุนแรง

10. หากมีการใช้ อาหารเสริม หรือยาสมุนไพรต่างๆ ควรแจ้งให้แพทย์ทราบและใช้ตามคำแนะนำของแพทย์และเภสัชกรอย่างเคร่งครัด เนื่องจากอาจมีผลต่อภาวะของโรค หรือมีผลต่อยาที่ใช้ประจำ

11. ยาแก้ปวด NSAIDs อาจเสี่ยงต่อการเกิดความดันโลหิตสูงขึ้นหรือไตวายได้ ดังนั้นจึงควรเพิ่มความระมัดระวังในการใช้ยากลุ่มนี้ในผู้สูงอายุที่มีประวัติความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือโรคไต

12. ระวังพลัดตกหกล้มจากยาที่มีฤทธิ์ง่วงซึม พิเศษ ได้แก่ ยานอนหลับ ยาแก้แพ้ ยาคลายเครียด และยาคลายกล้ามเนื้อ อาจทำให้ เวียนศีรษะ ง่วงซึม สับสน และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเดินเซ ทรงตัวไม่อยู่และหกล้มได้ง่ายขึ้น

13. ผู้สูงอายุมักมีการเสื่อมลงของการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย ที่สำคัญคือ ระบบประสาทและสมอง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการใช้ยาของผู้สูงอายุได้ไม่มากก็น้อย อาจพิจารณาเครื่องมือเพื่อช่วยให้ผู้ป่วยสามารถใช้ยาได้ง่ายและถูกต้องมากยิ่งขึ้น เช่น ตลับใส่ยา แผ่นปฏิทินช่วยเตือนความจำ ตั้งนาฬิกาปลุกเตือนรับประทานยา

14. ในกรณีที่ผู้สูงอายุมีภาวะหลงลืมง่ายหรือมีปัญหาทางด้านสายตา ไม่เข้าใจความหมายของฉลากยา, ฉลากยาภาพ อาจเป็นภาพที่ระบุ เรื่องเวลาหรือรูปของเม็ดยาที่ผู้ป่วยต้องรับประทานในแต่ละมื้อ เขียนด้วยตัวหนังสือที่ขนาดใหญ่และมีความชัดเจนเป็นพิเศษและสีตัวหนังสือต้องตัดกับพื้นหลัง อย่างชัดเจนเพื่อให้ผู้สูงอายุสามารถใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้เกิดความรู้ความเข้าใจและ ความจำเกี่ยวกับการใช้ยา