ความสำเร็จในช่วงแรกของไอน์สไตน์ในการอธิบายปริศนาของดวงพุธยังไม่ได้ทำให้เขาเป็นซุป'ตาร์ จริงๆแล้วเขาได้รับเกียรติในไม่กี่ปีให้หลัง จากการยืนยันการทำนายด้วยสัมพัทธภาพทั่วไปที่หนักแน่นอีกอันหนึ่ง นั่นก็คือ วัตถุขนาดยักษ์เช่นดวงอาทิตย์จะบิด space-time จนพอที่จะทำให้แสงที่ผ่าน วิ่งข้ามเป็นเส้นโค้งได้ งานของไอน์สไตน์ได้จุดประกายความสนใจของนักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษ Arthur Eddington, ที่คว้าโอกาสครั้งใหญ่ ในการทดสอบการหักเหของแสงลักษณะนี้ ในวันที่ 29 พ.ค. 1919, จะเกิดสุริยุปราคา ซึ่งจะบดบังแสงจ้าของดวงอาทิตย์ในตอนที่กำลังเคลื่อนผ่านกลุ่มดาวฉากหลังที่สว่างที่เรียกว่ากระจุกดาวไฮแอดส์
ถ้าไอน์สไตน์พูดถูก การปรากฏของดวงอาทิตย์จะเบี่ยงเบนแสงของดาวเหล่านี้ โดยเลื่อนตำแหน่งมันไปเล็กน้อย
Eddington เตรียมเดินทางไปสองที่ (ที่หนึ่งคือ Sobral, Brazil กับที่ Principe, เกาะนอกชายฝั่งตะวันตกของแอฟริกา) เพื่อดูการเบี่ยงเบนของแสงดาวจากกระจุกดาวไฮแอดส์ เมื่อเงาคราสบดบังทั่วแอฟริกาตะวันตกและบราซิล และแน่นอนการเลื่อนตำแหน่งนิดๆ ของแสงดาวที่ถูกทำนายไว้ล่วงหน้า ก็ปรากฏขึ้น
ข่าวการค้นพบนี้ถูกพาดหัวหน้าหนึ่งไปทั่วโลก London Times ฉบับวันที่ 7 พ.ย. ประกาศว่า : “ปฏิวัติวงการวิทยาศาสตร์/ทฤษฎีใหม่ของจักรวาล/โยนแนวคิดแบบนิวตันทิ้งไปได้เลย” ไอน์สไตน์กลายเป็นชื่อที่ทุกบ้านรู้จัก ซึ่งเป็นเรื่องน่าทึ่งมากสำหรับนักฟิสิกส์
“เลนส์ความโน้มถ่วง” ที่เกิดจากการเบี่ยงเบนของแสงผ่าน space-time ที่บิดงอกลายเป็นเครื่องมือจำเป็นในการศึกษาจักรวาล
คลัสเตอร์กาแลคซีที่บังอยู่ข้างหน้าก็สามารถ เบี่ยงเบนและขยายแสงของแกแลคซีเกิดใหม่ที่อยู่เบื้องหลังในระยะไกลได้เช่นกัน ซึ่งช่วยให้นักจักรวาลวิทยาเห็นภาพเหตุการณ์สำคัญๆ ในช่วงเริ่มแรกของจักรวาลได้
ตอนต่อไป : ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป [3]
ซีรีย์นี้มีทั้งหมด 6 ตอน โปรดติดตามตอนต่อไป