การรับสุขที่มีต่อพระคริสต์
และการเติบโตจนสุกงอมในชีวิตของเรา
I. ถ้าว่าตามประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณ ยาโคบและโยเซฟก็คือบุคคลเดียวกัน; โยเซฟเป็นตัวแทนถึงด้านแห่งการครอบครองของอิสราเอลที่สุกงอม ซึ่งก็คือการก่อรูปของพระคริสต์ซึ่งอยู่ในนิสัยที่สุกงอมของยาโคบ; ในฐานะวิสุทธิชนที่สุกงอมที่ถูกก่อรูปด้วยพระคริสต์ซึ่งเป็นผู้ที่ครบสมบูรณ์ ยาโคบได้ครอบครองผ่านโยเซฟ — ยนซ.41:39–44; ฮร.6:1ก; ฆต.6:8; 5:22–23:
1. ด้านแห่งการครอบครองซึ่งมีโยเซฟเป็นแบบเล็งก็คือพระคริสต์ที่ถูกก่อรูปเข้าสู่ตัวเรา — 4:19.
2. โยเซฟ “คนช่างฝัน” (ยนซ.37:19) ได้ฝันว่าตามมุมมองของพระเจ้านั้น พลไพร่ของพระองค์เป็นฟ่อนข้าวที่เต็มไปด้วยชีวิต และเป็นดวงสว่างในฟ้าสวรรค์ที่เต็มไปด้วยแสงสว่าง (ข้อ 5–11); ความฝันสองครั้งของโยเซฟ (ข้อ 7, 9) ล้วนมาจากพระเจ้า ซึ่งเปิดเผยแก่เขาถึงมุมมองอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเกี่ยวกับนิสัย, ฐานะ, การใช้งาน, และเป้าหมายที่มีต่อพลไพร่ของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก:
(1) เราต้องใช้ “กล้องส่องทางไกลอันศักดิ์สิทธิ์” เพื่อจะมองทะลุกาลเวลาและจะได้เห็นกรุงเยรูซาเล็มใหม่ ซึ่งในที่นั้นจะมีแต่ฟ่อนข้าวที่เต็มไปด้วยชีวิตและดวงดาวที่เต็มไปด้วยความสว่าง; ดังนั้น ด้านแห่งการครอบครองของชีวิตที่สุกงอมจึงไม่เคยพูดถึงวิสุทธิชนทั้งหลายหรือคริสตจักรในด้านลบเลย — เทียบ 38:27–30; มธ.7:1–5; 1ปต.3:8–9.
(2) ความฝันของโยเซฟเป็นสิ่งที่ควบคุมและชี้นำการประพฤติของเขา; เขาประพฤติตัวอย่างล้ำเลิศและอัศจรรย์เพราะเขาถูกชี้นำจากนิมิตที่เขาเห็นในความฝัน (เทียบ กจ.26:19); พี่ชายของเขาบันดาลโทสะ (ยนซ.37:18–31) และปล่อยตัวไปตามราคะตัณหา (38:15–18) แต่โยเซฟสยบโทสะของเขาและพิชิตราคะตัณหาของเขา (39:7–23) เขาประพฤติตนอย่างฟ่อนข้าวที่เต็มด้วยชีวิตและยังปฏิบัติตนดุจดาวบนฟ้าสวรรค์ที่ฉายส่องอยู่ในความมืด.
3. การดำเนินชีวิตที่อยู่ภายใต้นิมิตฝ่ายสวรรค์ของโยเซฟคือการดำเนินชีวิตของอาณาจักรแห่งสวรรค์ทั้งหลายที่ได้บรรยายไว้ในมัดธายบทที่ 5—7; โดยการดำเนินชีวิตเช่นนี้ เขาก็ได้รับการตระเตรียมอย่างครบบริบูรณ์ที่จะเป็นกษัตริย์ครอบครอง; ถ้าพิจารณาตามรัฐธรรมนูญแห่งอาณาจักรฝ่ายสวรรค์ที่ได้เปิดเผยไว้ในบทเหล่านี้ของมัดธาย โทสะของเราจะต้องถูกสยบและราคะตัณหาของเราก็ต้องถูกพิชิต (5:21–32).
4. ด้านแห่งการครอบครองของชีวิตที่สุกงอมคือชีวิตที่รับสุขการสถิตอยู่ขององค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่เสมอ (กจ.7:9); ที่ใดมีการสถิตอยู่ของพระองค์ ที่นั่นก็มีอำนาจ มีฤทธิ์เดชแห่งการปกครอง (ยนซ.39:2–5, 21–23):
(1) ในการสถิตอยู่ขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น พระองค์ทรงทำให้โยเซฟเจริญ รุ่งเรือง; ขณะที่ผู้อื่นปฏิบัติไม่ดีต่อเขา โยเซฟกลับได้รับสุขความรุ่งเรืองที่มาถึงตัวเขาภายใต้อำนาจสิทธิ์ขาดขององค์พระผู้เป็นเจ้า.
(2) ในการสถิตอยู่ขององค์พระผู้เป็นเจ้านั้น โยเซฟยังรับพระกรุณาคุณให้ได้รับพระพรขององค์พระผู้เป็นเจ้าเสมอไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ใด; ขณะที่โยเซฟได้รับสุขความรุ่งเรืองอยู่นั้น ทั้งตัวเขาและผู้ที่เกี่ยวข้องกับเขายังได้รับพระพรอีกด้วย — ข้อ 4–5, 22–23.
5. แม้ความฝันของเขาเองจะยังไม่สำเร็จเป็นจริง แต่โยเซฟก็มีความเชื่อและความกล้าที่จะแก้ฝันของเพื่อนสองคนที่อยู่ในคุกด้วยกันกับเขา (40:8); ในที่สุดโยเซฟก็ถูกปล่อยตัวจากคุกโดยทางอ้อม โดยการที่เขาพูดแก้ฝันให้กับพนักงานเชิญจอกเสวย (41:9–13) และเขาก็ถูกนำขึ้นสู่พระที่นั่งโดยตรง โดยการที่เขาพูดแก้ฝันให้แก่ฟาโรห์อย่างกล้าหาญ (ข้อ 14–46); ทั้งการปลดปล่อยและอำนาจล้วนเป็นสิ่งที่เขาได้รับมาโดยการพูดของเขา:
(1) แอนดรูว์ เมอร์เรย์เคยกล่าวไว้ว่า ผู้ปฏิบัติในด้านพระคำที่ดีควรพูดพระคำได้มากกว่าสิ่งที่เขาเคยมีประสบการณ์; นี่หมายความว่าเราควรพูดตามนิมิตมากกว่าที่จะพูดตามการสำเร็จเป็นจริงแห่งนิมิต.
(2) แม้นิมิตของเราจะยังไม่สำเร็จเป็นจริง เราก็ยังควรนำนิมิตเหล่านั้นไปพูดกับคนอื่น; เมื่อถึงเวลา นิมิตของเราก็จะสำเร็จเป็นจริง; ในที่สุดความฝันของโยเซฟก็สำเร็จเป็นจริงโดยการที่เขาแก้ฝันให้กับความฝันของพนักงานเชิญจอกเสวย.
(3) เราไม่ควรพูดตามความรู้สึกของเรา แต่ควรพูดตามนิมิตฝ่ายสวรรค์; เราคือผู้ที่มองเห็นนิมิต มองเห็นแผนการบริหารที่นิรันดร์ของพระเจ้า ดังนั้นเราจึงควรพูดตามความเด็ดขาดแห่งหลักความจริงแห่งแผนการบริหารของพระองค์ — กจ.26:16–19.
6. ถ้าเราดำเนินชีวิตออกซึ่งพระคริสต์ ไม่ว่าเราอยู่ที่ใดเราก็จะนำมาซึ่งชีวิตหรือไม่ก็ความตาย (2กธ.2:14–16); โยเซฟนำการฟื้นสภาพมายังพนักงานเชิญจอกเสวย; เขานำการประหารมายังพนักงานเครื่องเสวย (ยนซ.41:12–13).
7. ถ้าเราแสวงหาองค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์ก็จะทรงขังเราไว้ใน “คุกใต้ดิน”; ถ้าปราศจากคุกใต้ดิน เราก็ไม่อาจขึ้นไปครองบัลลังก์ได้; เราอย่าได้ “แหกคุก”; เราต้องคงอยู่ที่นั่นจนกว่าเราจะจบการศึกษาและได้รับมงกุฎ — อฟ.3:1; 4:1; ยก.1:12.
II. โยเซฟเป็นกิ่งใหญ่ที่บังเกิดผลมาก (ยนซ.49:22) นี่เป็นแบบเล็งถึงพระคริสต์ผู้เป็นกิ่งไม้ (ยซย.11:1–2) ที่ทำให้พระเจ้าแผ่กิ่งก้านออกไปโดยอาศัยผู้เชื่อที่เป็นกิ่งของพระองค์ (ยฮ.15:1, 5); ใน ยนซ.49:22 บ่อน้ำพุเป็นเครื่องหมายเล็งถึงพระเจ้าผู้เป็นแหล่งกำเนิดแห่งการเกิดผลมาก (บพส.36:9; ยรม.2:13) และกิ่งพาดข้ามกำแพงเป็นเครื่องหมายเล็งถึงผู้เชื่อของพระคริสต์ในฐานะที่เป็นกิ่งของพระองค์ ได้ทำให้พระคริสต์แผ่ขยายออกไป โดยอยู่เหนือข้อจำกัดต่างๆ และสำแดงพระคริสต์ใหญ่ขึ้นในสภาวะแวดล้อมทุกอย่าง (ฟป.1:20; 4:22; ฟม.10):
1. ในการได้รับสง่าราศีและของประทานขณะที่เขาได้ขึ้นครองบัลลังก์นั้น โยเซฟก็เป็นแบบเล็งถึงพระคริสต์ผู้ได้รับสง่าราศี (ฮร.2:9) และของประทาน (บพส.68:18; กจ.2:33) ในการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์ (ยนซ.41:42):
(1) แหวน, อาภรณ์, และสร้อยทองคำเป็นภาพบรรยายถึงของประทานที่พระคริสต์ทรงได้รับในขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ซึ่งเป็นของประทานที่พระองค์ทรงมอบให้คริสตจักร — ข้อ 42:
ก. แหวนตราเป็นเครื่องหมายเล็งถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ซึ่งเป็นตราประทับที่อยู่ภายในและอยู่บนตัวของผู้เชื่อทั้งหลายของพระคริสต์ — กจ.2:33; อฟ.1:13; 4:30; เทียบ ลก.15:22.
ข. อาภรณ์เป็นเครื่องหมายเล็งถึงพระคริสต์ในฐานะความชอบธรรมในด้านทัศนะภายนอกของเราเพื่อให้เราได้รับการโปรดให้ชอบธรรมต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า (1กธ.1:30; เทียบ บพส.45:9, 13; ลก.15:22) และในฐานะความชอบธรรมในด้านทัศนะภายในของเราที่เราได้ดำเนินชีวิตออกมา เพื่อเราจะได้มีคุณสมบัติที่จะมีส่วนร่วมในการสมรสของพระเมษโปดก (ฟป.3:9; บพส.45:14; วว.19:7–9).
ค. สร้อยทองคำเป็นเครื่องหมายเล็งถึงความงดงามของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ประทานให้เพราะการเชื่อฟังได้สำแดงออกในความนอบน้อม (เทียบ กจ.5:32); คอที่ถูกสวมด้วยสร้อยเป็นเครื่องหมายเล็งถึงความตั้งใจที่ถูกพิชิตและสยบให้เชื่อฟังพระบัญชาของพระเจ้า (ยนซ.41:42; เทียบ พพร. 1:10; สภษ.1:8–9).
(2) เมื่อดูตามลำดับของประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณ เราได้รับการประทับตราหมายของพระวิญญาณเพื่อจะได้รับความรอดก่อน; จากนั้นเราก็ได้รับอาภรณ์แห่งความชอบธรรมและเริ่มดำเนินชีวิตพระคริสต์ (ฆต.2:20; ฟป.1:20–21ก); ถ้าเราจะดำเนินชีวิตพระคริสต์ คอของเราจะต้องถูกสวมด้วยสร้อย นั่นก็คือความตั้งใจของเราต้องถูกพิชิตและสยบโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์.
2. หลังจากที่ได้เป็นขึ้นมาจากคุกแห่งความตายและถูกนำเข้าสู่ฐานะแห่งการเสด็จสู่สวรรค์แล้ว โยเซฟก็ได้สมรสกับอาฮะนัธผู้เป็นภาพบรรยายถึงคริสตจักรซึ่งถูกเลือกออกมาจากโลกของชาวต่างชาติในเวลาที่พระคริสต์ถูกบุตรหลานชาวอิสราเอลละทิ้ง (ยนซ.41:45); โยเซฟเรียกชื่อบุตรหัวปีของเขาว่ามะนาเซ (แปลว่า “ทำให้ลืม”) และเรียกบุตรคนที่สองว่าเอ็ฟรายิม (แปลว่า “บังเกิดผลสองเท่า”); โยเซฟประกาศว่า “พระเจ้าทรงโปรดให้ข้าพเจ้าลืมเสียซึ่งบรรดาความยากลำบากและทั้งครอบครัวของบิดา” และ “พระเจ้าทรงโปรดให้ข้าพเจ้าบังเกิดทวีขึ้น[สองเท่า]ในดินแดนที่ข้าพเจ้าทนทุกข์นั้น” (ข้อ 51–52).
III. บทบันทึกเกี่ยวกับชีวิตของโยเซฟเป็นการเปิดเผยถึงการปกครองของพระวิญญาณนั้น เพราะการปกครองของพระวิญญาณนั้นก็คือด้านการครอบครองของวิสุทธิชนที่สุกงอม; การปกครองของพระวิญญาณนั้น (การดำเนินชีวิตที่ครอบครองเป็นกษัตริย์ในชีวิตโดยอยู่ภายใต้การเหนี่ยวรั้งและการจำกัดของชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์อยู่ในความเที่ยงแท้แห่งอาณาจักรของพระเจ้า) ย่อมสูงส่งกว่าด้านอื่นๆ ของพระวิญญาณนั้น — รม.5:17, 21; 14:17–18; เทียบ 2กธ.3:17–18; 2ตธ.4:22; วว.4:1–3:
1. แม้โยเซฟจะเต็มไปด้วยความรู้สึกของมนุษย์และอารมณ์ที่อ่อนไหวต่อพี่น้องของเขา แต่เขารักษาตัวเองพร้อมด้วยความรู้สึกทั้งมวลของตนไว้ภายใต้การปกครองของพระวิญญาณนั้น; เขาปฏิบัติต่อพวกพี่ชายของเขาอย่างมีสติสัมปชัญญะ, มีปัญญา, และรู้จักแยกแยะ โดยอบรมสั่งสอนพวกพี่ชายตามความต้องการที่มีต่อพวกเขา ให้พวกเขาได้รับการสำเร็จและถูกก่อสร้างขึ้นเพื่อพวกเขาจะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันเป็นพลไพร่แห่งกลุ่มชน ซึ่งเป็นพยานของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก; ชีวิตที่ได้สำแดงออกมาในเรื่องราวของโยเซฟก็คือชีวิตแห่งการเป็นขึ้น ซึ่งก็คือชีวิตของพระเจ้า — ยนซ.42:9, 24; 43:30–31; 45:1–2, 24.
2. การที่โยเซฟดำเนินชีวิตอยู่ภายใต้การจำกัดของพระเจ้า ซึ่งเป็นภาพบรรยายถึงการดำเนินชีวิตมนุษย์ของพระคริสต์ ได้สำแดงความสุกงอมและความครบสมบูรณ์ของชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ให้ปรากฏ และนำมาซึ่งอาณาจักรของพระเจ้า — ยฮ.5:19, 30ข; 7:16, 18; 14:10; มธ.8:9–10.
3. ในการที่โยเซฟปฏิบัติต่อพวกพี่น้องของเขานั้น เราจะเห็นว่าเขาดำเนินชีวิตที่สงบ, มีสติสัมปชัญญะ, และรู้จักแยกแยะ พร้อมด้วยความรักที่มีต่อพี่น้องของเขา — เป็นชีวิตที่ปฏิเสธตัวเองซึ่งเป็นภาคปฏิบัติของการดำเนินชีวิตแห่งอาณาจักร — ยนซ.45:24; มธ.16:24; 2คนก.1:10; ยซย.30:15ก; ฟป.1:9; 1ตธ.5:1–2; 1ธซ.3:12; 4:9; 2ธซ.1:3; รม.12:10; 1ยฮ.4:9; ฮร.13:1.
4. ผู้ที่มีฤทธิ์อำนาจมากที่สุดคือผู้มีกำลังในการที่จะไม่ทำในสิ่งที่ตนสามารถกระทำได้ — นี่คือการปฏิเสธตัวเองที่แท้จริงและการแบกกางเขนที่แท้จริง — มธ.16:24; เทียบ 26:53; 2กธ.2:12-16.
5. โยเซฟตระหนักว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้ที่ใช้เขาไปยังอียิปต์; ในยนซ.50:20 เขากล่าวแก่พี่ชายของเขาว่า “แต่ก่อนพวกท่านได้คิดทำร้ายแก่เราจริง แต่ฝ่ายพระเจ้าทรงดำริให้เกิดผลดี” (ยนซ.45:5, 7; 50:19–21; เทียบ 41:51–52); นี่คือความเที่ยงแท้ของถ้อยคำที่เปาโลกล่าวไว้ในโรม 8:28–29; โยเซฟยอมรับทุกสิ่งที่พวกพี่ชายกระทำกับเขาเพราะสิ่งเหล่านั้นล้วนมาจากพระเจ้า และเขายังปลอบโยนผู้ที่กระทำผิดต่อเขา (ยนซ.45:5–8; 50:15–21); โยเซฟช่างมีพระคุณและมีวิญญาณที่ล้ำเลิศยิ่งนัก!
IV. เนื่องจากโยเซฟทนทุกข์และปฏิเสธตัวเอง เขาจึงได้รับความอุดมสมบูรณ์ของการหล่อเลี้ยงแห่งชีวิต (บทเพลงที่ 465); ในการที่จะได้รับอาหารจากโยเซฟซึ่งเป็นแบบเล็งถึงพระคริสต์นั้น พลไพร่ต้องจ่ายราคาสี่อย่าง: เงินทอง, สัตว์ใช้, ที่ดิน, และตัวของพวกเขาเอง — 47:14–23; เทียบ วว.3:18:
1. เงินทองเป็นตัวแทนของความสะดวกสบาย, สัตว์ใช้เป็นเครื่องหมายเล็งถึงสื่อกลางในการดำรงชีวิตของเรา, และที่ดินเป็นตัวแทนของทรัพยากรของเรา; ถ้าเราอยากได้รับการหล่อเลี้ยงแห่งชีวิตจากองค์พระผู้เป็นเจ้าซึ่งเป็นผู้แจกจ่าย เราจะต้องถวายความสะดวกสบาย, สื่อกลางในการดำรงชีวิต, และทรัพยากรของเราแด่พระองค์; เรายิ่งถวายแด่พระองค์มาก เราก็ยิ่งได้รับการหล่อเลี้ยงแห่งชีวิตจากพระองค์มาก.
2. ในที่สุด ถ้าจะได้รับส่วนที่ดีที่สุดจากองค์พระผู้เป็นเจ้า ซึ่งรวมถึงอาหารเพื่อความอิ่มหนำและเมล็ดพันธุ์เพื่อจะก่อกำเนิดบางสิ่งสำหรับผู้อื่น (ยนซ.47:23) เราก็ต้องมอบตัวเราเอง มอบทุกส่วนของตัวเราให้กับพระองค์ด้วย (ลวต.1:4).
3. เมื่อเราจ่ายราคาที่สูงสุดโดยการมอบทุกส่วนของตัวเราให้กับพระองค์ เราก็จะรับสุขส่วนที่ดีที่สุดในการรับสุขพระคริสต์.
V. พระพรแห่งจักรวาลที่โยเซฟได้รับมาจะสำเร็จสุดยอดในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่; ในฟ้าสวรรค์ใหม่และแผ่นดินโลกใหม่นั้น ทุกสิ่งล้วนใหม่ กลายเป็นพระพรต่อพระคริสต์และผู้เชื่อของพระองค์ — ยนซ.49:25–26; พบญ.33:13–16; วว.21:5:
1. การเปลี่ยนแปลงคือเปลี่ยนไปโดยระบบสิ่งใหม่ทดแทนสิ่งเก่าด้วยสภาพใหม่ของชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์, การสุกงอมคือการถูกเติมเต็มด้วยสภาพใหม่ของชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์ที่มาเปลี่ยนแปลงเรา, และการอวยพรคือการไหลล้นของชีวิต; ในบั้นปลายชีวิตของยาโคบพร้อมด้วยโยเซฟก็คือชีวิตแห่งการอวยพรซึ่งเป็นจุดสูงสุดแห่งการฉายส่องของเขา — สภษ.4:18; ฮร.11:21; ยนซ.47:7; 48:15–16.
2. มีแต่พระเจ้าที่ใหม่; ทุกสิ่งที่ห่างเหินจากพระเจ้าย่อมเก่าแก่ แต่ทุกสิ่งที่ได้กลับคืนสู่พระเจ้าล้วนเป็นสิ่งใหม่ (2กธ.5:17); การถูกเปลี่ยนใหม่คือการกลับคืนสู่พระเจ้า และมีบางสิ่งของพระเจ้าถูกใส่ไว้ในตัวเราเพื่อเราจะถูกผสมกลมกลืนกับพระเจ้าและเป็นหนึ่งกับพระเจ้าเพื่อการดำเนินชีวิตแห่งพระกาย (4:16; รม.12:1–2).
3. เคล็ดลับของการได้รับพระเจ้ามาเป็นพระพรแห่งสภาพใหม่ของเราคือการนำทุกสิ่งมาหาพระเจ้าและยอมให้พระองค์เข้าสู่ในทุกสิ่ง; พระพรแห่งจักรวาลที่โยเซฟได้รับมานั้นหมายความว่าพระพรมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง; คำสรรเสริญของเราจะหันทุกสิ่งของการสาปแช่งแห่งการตกต่ำมาเป็นพระพร — อฟ.5:20; 1ธซ.5:16–18.