การวิจัยในชั้นเรียนใช้เครื่องมือ 2 ลักษณะ คือ
1. เครื่องมือที่ใช้ในการแก้ปัญหา/พัฒนา เป็นเครื่องมือหรือวิธีการที่ผู้วิจัยสร้างหรือกำหนดขึ้นเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียน ซึ่งเรานิยมเรียกว่า “นวัตกรรม” สื่อการเรียนรู้กับนวัตกรรมมีข้อแตกต่างกัน คือ
นวัตกรรม หมายถึง กิจกรรม กระบวนการ เครื่องมือ สื่อ วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ทั้งที่มีรูปแบบใหม่ ๆ หรือของเก่าที่ได้รับการปรับปรุงแก้ไขให้มีคุณภาพดีขึ้น ซึ่งผู้สอนยังไม่เคยนำมาให้ผู้เรียนใช้ประกอบกิจกรรมการเรียนรู้ เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ ทักษะ และเจตคติตามวัตถุประสงค์การเรียนรู้ที่กำหนดไว้
สื่อการเรียนรู้ หมายถึง วิธีการหรือกระบวนการ วัสดุของจริง เครื่องมือที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในการเรียนการสอน ซึ่งมีสาระที่เป็นประโยชน์ต่อประสบการณ์การเรียนรู้สำหรับนำไปใช้ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เป็นไปตามหลักสูตรกำหนด
ในการกำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการแก้ปัญหา/พัฒนา ครูผู้วิจัยจะต้องวิเคราะห์ผู้เรียนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายในการพัฒนา หรือวินิจฉัยข้อบกพร่องของผู้เรียนเป็นรายบุคคล หรือรายกลุ่ม เพื่อหา จุดบกพร่องที่เป็นปัญหาหรือจุดที่ต้องพัฒนาว่ามีข้อบกพร่องอะไรบ้าง อย่างไร เพื่อประโยชน์ต่อการนำไปสร้างเครื่องมือ (นวัตกรรม) ในการแก้ปัญหา
นวัตกรรมการเรียนการสอนอาจจำแนกได้หลายประเภทแตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีการจำแนกประเภท ได้แก่
1. จำแนกตามประโยชน์ผู้ใช้โดยตรง แบ่งเป็น 2 ประเภท นวัตกรรมการเรียนการสอนสำหรับครูและนวัตกรรมสำหรับนักเรียน
2. จำแนกตามลักษณะของนวัตกรรม แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ นวัตกรรมการเรียนการสอน ประเภทเทคนิควิธีการสอนและประเภทสื่อ
3. จำแนกตามจุดเน้นของนวัตกรรม แบ่งเป็น 3 ประเภท คือ นวัตกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผลผลิต เน้นเทคนิคกระบวนการและเน้นผลผลิตและเทคนิคกระบวนการ
อย่างไรก็ตาม วิธีการจำแนกประเภทของนวัตกรรมการเรียนการสอนที่เข้าใจได้ง่ายสะดวกต่อการคิดค้น พัฒนาหรือสร้างนวัตกรรม ได้แก่ การจำแนกตามลักษณะของนวัตกรรม ซึ่งแบ่งเป็น 2 ประเภท ตามรายละเอียด ดังนี้
1. ประเภทสื่อการเรียนการสอน เช่น บทเรียนสำเร็จรูป ชุดการสอน ชุดสื่อประสม บทเรียนโมดุล วิดีทัศน์ สไลด์ประกอบเสียง แผ่นโปร่งใส เกม เพลง ใบงาน บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน หนังสืออ่านเพิ่มเติม หนังสือส่งเสริมการอ่าน ชุดฝึกปฏิบัติ
2. ประเภทเทคนิควิธีการ หรือกิจกรรม เช่น การสอนบทบาทสมมุติ การสอนแบบศูนย์การเรียน การเรียนเพื่อความรอบรู้ การสอนแบบร่วมมือ การสอนแบบสืบสวนสอบสวน การสอนแบบโครงงาน การสอนแบบเน้นกระบวนการสร้างนิสัย การสอนแบบแก้ปัญหา การสอนแบบใช้ปัญหาเป็นฐาน การสอนเน้นกระบวนการกลุ่ม การสอนแบบ 4 MAT การสอนแบบกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ การสอนแบบกรณีศึกษา การสอนที่เน้นกระบวนการปฏิบัติ การสอนที่เน้นทักษะปฏิบัติ การสอนแบบแยกส่วน
2. เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือเครื่องมือวัดผลการเรียนรู้ หมายถึง เครื่องมือที่ใช้วัดพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้านความรู้ ทักษะ เจตคติ ตามวัตถุประสงค์ การเรียนรู้ที่ผู้สอนกำหนดไว้ ทั้งก่อนดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ ขณะดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ และหลังดำเนินกิจกรรมการเรียนรู้ ซึ่งได้แก่ แบบทดสอบ แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ์ แบบสังเกต แบบประเมิน เป็นต้น
เครื่องมือประเภทนี้ ใช้เพื่อมุ่งหาคำตอบว่าผู้เรียนมีความก้าวหน้าในด้านความรู้ ทักษะ กระบวนการ คุณภาพและค่านิยมที่พึงประสงค์ได้อย่างไร
คุณครูคงจำได้แล้วว่า เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยนั้น เราแบ่งง่าย ๆ ออกเป็น 2 ประเภท คือ เครื่องมือที่ใช้แก้ปัญหา/พัฒนา หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า นวัตกรรมและเครื่องมืออีกประเภทหนึ่งที่คุณครูจะต้องคิดถึงตลอดก็คือ เครื่องมือที่ใช้ในการวัดผลการเรียนรู้ หรือเครื่องมือที่ใช้ในเก็บรวบรวมข้อมูล ทำนองว่า มีเครื่องมือมาแก้ปัญหา แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่านักเรียนของเราดีขึ้นหรือไม่ นั่นก็คือต้องมีเครื่องมือมาวัดผลการเรียนรู้นั่นเอง
เมื่อกำหนดเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัยได้แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการลงมือสร้างเครื่องมือ ซึ่งจะนำเสนอการสร้างเครื่องมือที่เป็นนวัตกรรมและการสร้างเครื่องมือวัดผลการเรียนรู้ / เก็บรวบรวมข้อมูล
ในที่นี้ จะพูดถึงเฉพาะนวัตกรรมที่คุณครูคุ้นเคยและพอจะรู้จักกันดีอยู่แล้ว เช่น แผนการจัดการเรียนรู้ บทเรียนสำเร็จรูป คู่มือครู ชุดการสอน เอกสารประกอบการสอน เอกสารประกอบการเรียน แบบฝึกทักษะ บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
1. แผนการจัดการเรียนรู้
แผนการจัดการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อครูมืออาชีพ ครูผู้สอนทุกคนต้องจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ก่อนการสอนแต่ละครั้ง เพราะแผนการจัดการเรียนรู้จะช่วยให้ครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้บรรลุผลตามจุดหมายที่หลักสูตรกำหนด แผนการจัดการเรียนรู้ที่ดีควรมีกิจกรรม และกระบวนการสอนที่สอดคล้องกับผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง และมาตรฐานการเรียนรู้ ซึ่งกระบวนการสอนมีหลากหลายวิธี เช่น กระบวนการสอนแบบแก้ปัญหา กระบวนการสอนแบบวิทยาศาสตร์ กระบวนการสอนที่เน้นกระบวนการทำงาน กระบวนการสอนที่การสร้างนิสัย กระบวนการกลุ่ม เป็นต้น
องค์ประกอบของแผนการจัดการเรียนรู้ มี 3 ส่วน คือ
ส่วนที่ 1 การวิเคราะห์หลักสูตรและวิเคราะห์นักเรียน
ส่วนที่ 2 องค์ความรู้ในการจัดการเรียนรู้ กระบวนการเรียนรู้
ส่วนที่ 3 รายละเอียดของแผนการจัดการเรียนรู้
- มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง
- จุดประสงค์การเรียนรู้
- เนื้อหาสาระ
- กิจกรรมการเรียนรู้
- การวัดผล ประเมินผล
- รายละเอียด เนื้อหา วิธีการ แบบฟอร์มต่าง ๆ
สำหรับภาคผนวกนั้น ควรอยู่ท้ายแผนการสอนแต่ละแผน เพื่อใช้สนับสนุนแผนการสอนให้มีความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น
หน่วยการเรียนรู้ที่………….
แผนการเรียนรู้ที่ ………….…..………… ชั้น……….….…..ภาคเรียนที่……ปีการศึกษา ……...
สาระการเรียนรู้…….………………………..……………..……… เวลา…………..…ชั่วโมง
1. สาระที่ : .................................................................................................................................
2. มาตรฐานการเรียนรู้ที่ : ……………………………………………………………………
3. มาตรฐานการเรียนรู้สาระอื่นที่เกี่ยวข้อง (ภายในกลุ่มสาระหรือ ข้ามกลุ่มสาระ) .........................................................................................................................................................
.........................................................................................................................................................
4. หน่วยการเรียนรู้ / สาระการเรียนรู้ : .......................................................................................
5. จุดประสงค์การเรียนรู้ .............................................................................................................
..........................................................................................................................................................
6. กิจกรรมการเรียนรู้
..........................................................................................................................................................
7. สื่อการเรียนรู้/แหล่งการเรียนรู้ .................................................................................................
..........................................................................................................................................................
8. การวัดและประเมินผล
1) วิธีการประเมินและพฤติกรรมที่ต้องประเมิน .............................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
2) เครื่องมือการประเมิน ................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
3) เกณฑ์การให้คะแนน ...................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
9. ข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษาหรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย (ตรวจสอบ/นิเทศ/
เสนอแนะ/รับรอง)
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
(ลงชื่อ)…………………………………..
(….………………………………)
ตำแหน่ง ……………………………………………….
วันที่…………เดือน………………………………พ.ศ. …………
การบันทึกผลหลังสอน
1. ผลการสอน……………………………………………………………………………
2. ปัญหา/อุปสรรค………………………………………………………………………
3. ข้อเสนอแนะ/แนวทางแก้ไข…………………………………………………………
(ลงชื่อ)…………………………………..ผู้สอน
(…………………………………………)
วันที่……………เดือน………………………………
อาจเขียนได้หลายแนวทาง แต่ที่ทำกันมากมี 2 แบบ คือแบบเส้นตรงและแบบสาขาหรือแบบกิ่ง
บทเรียนสำเร็จรูป เป็นสื่อสำหรับนักเรียนเรียนด้วยตนเอง อาจให้ศึกษาเป็นรายบุคคล รายกลุ่ม เสริมการเรียนในชั้น ตอบนสนองเด็กที่เรียนเร็ว ใช้ซ่อมเสริมเด็กที่เรียนช้าหรือใช้เสริมเฉพาะจุดประสงค์ที่เด็กขาดความรู้ ความเข้าใจ
ใช้หลักการแนวคิดทฤษฎีการเรียนของ Bloom ที่เน้นการเรียนเพื่อรู้แจ้ง (Mastery Learning) แต่ละบทเรียนสนองจุดประสงค์เฉพาะเรื่อง ให้เด็กได้ฝึกและทราบคำตอบเป็นขั้นเป็นตอนตามทฤษฎีการเสริมแรงของ Skinner
ส่วนประกอบ
- ทบทวน / นิยามศัพท์
- จุดประสงค์
- ศึกษาสถานการณ์ทีละสถานการณ์ แต่ละสถานการณ์ให้เด็กได้ศึกษาได้ตอบคำถามให้เกิดความคิดรวบยอด เข้าใจกฎเกณฑ์หลักการ นำกฎเกณฑ์หลักการไปใช้แก้ปัญหา - บทสรุป
- แบบทดสอบท้ายบท
3. คู่มือครู
คู่มือครู คือ เอกสารแนะนำวิธีปฏิบัติในกิจกรรมหรืออุปกรณ์เฉพาะอย่าง มี 2 ลักษณะ คือ เป็นคู่มือที่มีลักษณะใกล้เคียงกับแผนการสอน เช่น คู่มือการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกลุ่มสร้างเสริมลักษณะนิสัยและเป็นคู่มือที่สร้างขึ้นคู่กับวัตกรรมต่าง ๆ เช่น คู่มือการใช้อุปกรณ์ทดลองเรื่องการสังเคราะห์แสง คู่มือการใช้แบบฝึกทักษะคิดเลขเร็ว เป็นต้น
โดยปกติ คู่มือครูมีแนวการเขียนได้หลากหลาย เกณฑ์คุณภาพคู่มือครูอยู่ที่ผู้อ่าน ศึกษาแล้วสามารถปฏิบัติได้ครบถ้วนตามกระบวนการ และบรรลุวัตถุประสงค์ได้ดี สิ่งที่ปรากฏในคู่มือควรมีรายละเอียด ดังนี้
- วัตถุประสงค์ของการใช้คู่มือ
- จุดประสงค์ในหลักสูตรที่คู่กับการปฏิบัติในคู่มือครู
- ขั้นตอน / กระบวนการปฏิบัติ
- บทบาทครู / กิจกรรมนักเรียน
4. เอกสารประกอบการสอน
เอกสารประกอบการสอน เป็นสื่อสำหรับครู เน้นการเรียบเรียงเนื้อหาสาระเพื่อให้มีรายละเอียดชัดเจน จัดลำดับเรื่องเหมาะสม มีข้อมูลความจริงในสังคมและท้องถิ่นประกอบ มักจัดทำกับวิชาที่มีเนื้อหาลึกซึ้งยากต่อการค้นคว้า
ส่วนประกอบ มีดังนี้
- คำนำ
- เกี่ยวกับหลักสูตร
- แนวการจัดการเรียนรู้
- จำนวน / ตอน / หน่วย
แต่ละบทกล่าวถึง จำนวนคาบ สาระสำคัญ จุดประสงค์การเรียน เนื้อหา กระบวนการจัดการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ การวัดประเมินผล เอกสารอ้างอิง เอกสารอ่านประกอบ แบบทดสอบ แบบประเมิน
5. เอกสารประกอบการเรียน
เอกสารประกอบการเรียน เป็นสื่อที่พัฒนามาจากการแจกแผ่นปลิว (Sheet) ประกอบการเรียนของนักเรียน อาจใช้ประกอบคำอธิบายของครู ใช้สำหรับทำกิจกรรมท้ายบทเรียนและใช้เป็นการบ้านช่วยให้วิชาที่เรียนยากเป็นของเรียนง่ายขึ้นสำหรับนักเรียน มีหลักการสร้างโดยจัดลำดับประสบการณ์เป็นขั้นตอนจากง่ายไปหายาก เกี่ยวข้องกับชีวิตจริง และได้ฝึกปฏิบัติ
ส่วนประกอบ ควรมีดังนี้
- คำนำ
- เกี่ยวกับหลักสูตร
- หน่วยการเรียนรู้ต่าง ๆ แต่ละหน่วย กล่าวถึง สาระสำคัญ จุดประสงค์ ประสบการณ์การเรียนรู้ (เนื้อหา) สรุปท้ายหน่วย การวัดประเมินผล แบบทดสอบ แบบประเมินเอกสารอ้างอิง
6. ชุดการสอน
ชุดการสอนเป็นการจัดประสบการณ์เรียนรู้ให้กับผู้เรียนอย่างมีระบบ โดยสื่อประเภทต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับเนื้อหาและกิจกรรมมาช่วยในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้เรียนให้บรรลุจุดหมาย
ชุดการสอน มีส่วนประกอบที่สำคัญ ได้แก่
- คู่มือครู
- บทเรียนโมดูลหลายโมดูล
- แบบฝึก
- อุปกรณ์โสตทัศนศึกษา
- แบบทดสอบ
ส่วนประกอบ คล้ายบทเรียนสำเร็จรูปแต่หลักการเรียนรู้ของเด็กควรมีลำดับความรู้จากของจริง รูปภาพ และสัญลักษณ์ การใช้สื่อผสมจะช่วยให้การเรียนมีประสิทธิภาพมากขึ้น
7. แบบฝึกทักษะ
แบบฝึกทักษะ เป็นแนวการสอนในการฝึกทักษะ เช่น แบบฝึกทักษะคณิตศาสตร์ แบบฝึกทักษะการอ่าน การเขียน แบบฝึกทักษะกีฬา ทักษะการเคลื่อนไหว
ส่วนประกอบ
- สาระสำคัญ
- จุดประสงค์
- แบบฝึก
- แบบประเมินผล
อาจมีคู่มือครูสำหรับการใช้ชุดฝึกทักษะ แต่ละชุดหรือแต่ละบทด้วย
8. บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน เป็นบทเรียนโปรแกรมชนิดหนึ่ง ซึ่งใช้รวมกับคอมพิวเตอร์ ปัจจุบันนิยมบันทึกลงในซีดีรอม (CD-ROM) มีเสียงและภาพเคลื่อนไหวประกอบ รวมทั้งการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างบทเรียนกับผู้เรียน
ความสำคัญ
- มีความเป็นกันเองกับผู้เรียน ใช้ง่าย สะดวก ดึงดูดความสนใจของผู้เรียนได้ดี
- สามารถเก็บข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียน เวลาเรียนที่ใช้ เพื่อประโยชน์ในการซ่อมเสริม
- เนื้อหาในบทเรียนถูกต้อง ทันสมัย
1. การสอนที่เน้นกระบวนการ
กระทรวงศึกษาธิการ ได้สนับสนุนให้มีการพิจารณานำกระบวนการเรียนรู้แบบต่าง ๆ ไปใช้ในการเรียนการสอน โดยเสนอแนะกระบวนการที่ครูควรใช้ 12 กระบวนการดังนี้ (ทิศนา, 2548 : 308-309)
1) ทักษะกระบวนการ (9 ขั้น)
2) กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด
3) กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ
4) กระบวนการแก้ปัญหา
5) กระบวนการสร้างความตระหนัก
6) กระบวนการปฏิบัติ
7) กระบวนการคณิตศาสตร์
8) กระบวนการกลุ่ม
9) กระบวนการเรียนภาษา
10) กระบวนการสร้างเจตคติ
11) กระบวนการสร้างค่านิยม
12) กระบวนการเรียนความรู้ความเข้าใจ
การสอนที่เน้นกระบวนการ หมายถึง
1) การสอนที่สอนให้ผู้เรียนสามารถทำตามขั้นตอนได้และรับรู้ขั้นตอนทั้งหมดจนสามารถนำไปใช้ได้จริงในสถานการณ์ใหม่ ๆ
2) การสอนที่สอนให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนจนเกิดทักษะ สามารถนำไปใช้ได้อย่างอัตโนมัติ
การสอนกระบวนการจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้เงื่อนไขดังนี้
1) ครูมีความเข้าใจและใช้กระบวนการนั้นอยู่
2) ครูนำผู้เรียนผ่านขั้นตอนต่าง ๆ ของกระบวนการทีละขั้นอย่างเข้าใจครบถ้วนครบวงจร
3) ผู้เรียนเข้าใจและรับรู้ขั้นตอนของกระบวนการนั้น
4) ผู้เรียนนำกระบวนการนั้นไปใช้ในสถานการณ์ใหม่ได้
5) ผู้เรียนใช้กระบวนการนั้นในชีวิตประจำวันจนเป็นนิสัย
2. รูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ (Cooperative learning)
รูปแบบการเรียนการสอนที่ส่งเสริมการเรียนรู้แบบร่วมมือ มีหลายรูปแบบซึ่งแต่ละรูปแบบจะมีวิธีการดำเนินการหลักๆ ซึ่งได้แก่ การจัดกลุ่ม การศึกษาเนื้อหาสาระ การทดสอบ การคิดคะเน และระบบการให้รางวัล แตกต่างกันออกไปเพื่อสนองวัตถุประสงค์เฉพาะ แต่ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใด ต่างก็ใช้หลักการเดียวกัน คือหลักการเรียนรู้แบบร่วมมือ 5 ประการ และมีวัตถุประสงค์มุ่งตรงไปในทิศทางเดียวกัน คือเพื่อช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ศึกษาอย่างมากที่สุดโดยอาศัยการร่วมมือกัน ช่วยเหลือกัน และแลกเปลี่ยนความรู้กันระหว่างกลุ่มผู้เรียนด้วยกัน ความแตกต่างของรูปแบบแต่ละรูปแบบอยู่ที่เทคนิคในการศึกษาเนื้อหาสาระ และวิธีการเสริมแรงและการให้รางวัลเป็นประการสำคัญ ขอนำเสนอรูปแบบการเรียนรู้แบบร่วมมือ 6 รูปแบบ ดังนี้ (ทิศนา, 2548: 265-269)
1) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบจิ๊กซอร์ (JIGSAW)
2) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ เอส. ที. เอ. ดี. (Student Team – Achievement Division : STAD)
3) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที. เอ. ไอ. (Team – Assisted Individualization : TAI)
4) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ ที.จี.ที. (Team Games Tournament : TGT)
5) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ แอล. ที. (Learning Together : L.T.)
6) กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ จี.ไอ. (Group Investigation : G.I.)
3. การจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา
การจัดการเรียนรู้ด้วยกระบวนการแก้ปัญหา เป็นกระบวนการที่ผู้สอนเน้นให้ผู้เรียนคิดแก้ปัญหาอย่างเป็นกระบวนการ มีขั้นตอน มีเหตุผลด้วยตนเอง โดยมีกระบวนการจัดการเรียนรู้ 6 ขั้นตอน คือ (สุวิทย์ และอรทัย มูลคำ, 2546 : 58-59)
ขั้นที่ 1 การกำหนดปัญหา ผู้สอนเน้นให้ผู้เรียนมองเห็นและเข้าใจปัญหา รวมทั้งการกำหนดขอบเขตของปัญหา ซึ่งผู้สอนอาจใช้เทคนิคต่าง ๆ เช่น การสร้างสถานการณ์ การเล่าเรื่อง เป็นต้น
ขั้นที่ 2 การวางแผนแก้ปัญหา เป็นการคิดหาวิธี วางแผนเพื่อแก้ปัญหา โดยใช้ข้อมูลจากปัญหาที่ได้วิเคราะห์ไว้แล้วในขั้นกำหนดปัญหา
ขั้นที่ 3 ขั้นตั้งสมมุติฐาน เป็นขั้นคาดคะเนคำตอบของปัญหา โดยใช้ความรู้และประสบการณ์ช่วยในการคาดคะเน ปัญหานั้นน่าจะมาจากสาเหตุอะไร หรือวิธีการแก้ปัญหานั้นน่าจะแก้ไขได้โดยวิธีใดบ้าง ซึ่งควรตั้งสมมุติฐานไว้หลายๆ อย่าง
ขั้นที่ 4 ขั้นเก็บรวบรวมข้อมูล เป็นขั้นที่ผู้เรียนศึกษาค้นคว้าหาความรู้จากแหล่งต่างๆ เช่น จากตำรา เอกสาร สัมภาษณ์ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ทำการทดลองแล้วเก็บรวบรวมข้อมูลที่ได้
ขั้นที่ 5 ขั้นวิเคราะห์ข้อมูลและทดสอบสมมุติฐาน เป็นการนำข้อมูลที่รวบรวมได้นั้นมาวิเคราะห์และทดสอบสมมุติฐานที่ตั้งไว้ว่าเป็นไปตามที่กำหนดไว้หรือไม่
ขั้นที่ 6 ขั้นสรุปผล ผู้เรียนประเมินผลวิธีการแก้ปัญหาหรือตัดสินใจเลือกวิธีการที่ได้ผลดีที่สุดในการแก้ปัญหา หรือเป็นลักษณะการสรุปลงไปว่าเชื่อสมมุติฐานใดนั่นเอง
4. การจัดการเรียนรู้โดยใช้โครงงาน (Project Method)
การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน เป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ศึกษาค้นคว้าและลงมือปฏิบัติกิจรรมตามความสนใจ ความถนัด และความสามารถของตนเอง ซึ่งอาศัยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ หรือกระบวนการอื่นๆ ที่เป็นระบบ ไปใช้ในการศึกษาหาคำตอบในเรื่องนั้นๆ ภายใต้คำแนะนำ ปรึกษา และความช่วยเหลือจากผู้สอนหรือผู้เชี่ยวชาญ เริ่มตั้งแต่การเลือกเรื่องหรือหัวข้อที่จะศึกษา การวางแผน การดำเนินงานตามขั้นตอนที่กำหนดตลอดจนการนำเสนอผลงาน ซึ่งในการจัดทำโครงงานนั้นสามารถทำได้ทุกระดับชั้น อาจเป็นรายบุคคลหรือรายกลุ่ม จะกระทำในเวลาเรียนหรือนอกเวลาเรียนก็ได้ (สุวิทย์ และอรทัย มูลคำ, 2545 : 84-87)
โครงงานแบ่งตามลักษณะกิจกรรมได้ 4 ประเภท คือ 1) โครงงานประเภทสำรวจ โครงงานประเภททดลอง โครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ โครงงานประเภทสร้างทฤษฎี
การจัดการเรียนรู้แบบโครงงาน มีขั้นตอนสำคัญ คือ
1) การเลือกหัวข้อเรื่องหรือปัญหาที่จะศึกษา
2) การวางแผน ประกอบด้วย
2.1) การกำหนดจุดประสงค์
2.2) การตั้งสมมุติฐาน
2.3) การกำหนดวิธีการศึกษา
2.4) การลงมือปฏิบัติ
2.6) การเขียนรายงาน
2.7) การนำเสนอผลงาน
5. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย (Psycho-Motor Domain)
รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้ เป็นรูปแบบที่มุ่งช่วยพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในด้านการปฏิบัติ การกระทำ หรือการแสดงออกต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องใช้หลักการวิธีการ ที่แตกต่างไปจากการพัฒนาทางด้านจิตพิสัยหรือพุทธิพิสัย รูปแบบที่สามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนางานทางด้านนี้ ที่สำคัญ ๆ ซึ่งจะนำเสนอในที่นี้มี 2 รูปแบบดังนี้ (ทิศนา, 2548 : 243-247)
5.1 รูปแบบการเรียนการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน (Instructional Model Based on Simpson’s Processes for Psycho Motor Skill Development)
ก. ทฤษฏี / หลักการ / แนวคิดของรูปแบบ
Simpson กล่าวว่า ทักษะเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการทางกายของผู้เรียน เป็นความสามารถในการประสานการทำงานของกล้ามเนื้อหรือร่างกาย ในการทำงานที่มีความซับซ้อนและต้องอาศัยความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วน การทำงานดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากการสั่งงานของสมอง ซึ่งต้องปฏิสัมพันธ์กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทักษะปฏิบัตินี้สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน ซึ่งหากได้รับการฝึกฝนที่ดีแล้ว จะเกิดความถูกต้อง ความคล่องแคล่ว ความเชี่ยวชาญชำนาญการ และความคงทนผลของพฤติกรรมหรือการกระทำสามารถสังเกตได้จากความรวดเร็ว ความแม่นยำ ความแรงหรือความราบรื่นในการจัดการ
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือทำงานที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวหรือการประสานงานของกล้ามเนื้อทั้งหลายได้อย่างดี มีความถูกต้อง และมีความชำนาญ
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ขั้นการรับรู้ (Perception) เป็นขั้นการให้ผู้เรียนรับรู้ในสิ่งที่จะทำ โดยการให้ผู้เรียนสังเกตการทำงานนั้นอย่างตั้งใจ
ขั้นที่ 2 ขั้นการเตรียมความพร้อม (Readiness) เป็นขั้นการปรับตัวให้พร้อมเพื่อการทำงานหรือแสดงพฤติกรรมนั้น ทั้งทางด้านร่างกาย จิตใจและอารมณ์ โดยการปรับตัวให้พร้อมที่จะทำการเคลื่อนไหวหรือแสดงทักษะนั้น ๆ และมีจิตใจและสภาวะอารมณ์ที่ดีต่อการที่จะทำหรือแสดงทักษะนั้น ๆ
ขั้นที่ 3 ขั้นการสนองตอบภายใต้การควบคุม (Guided response) เป็นขั้นที่ให้โอกาสแก่ผู้เรียนในการตอบสนองต่อสิ่งที่รับรู้ ซึ่งอาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนเลียนแบบการกระทำ หรือการแสดงทักษะนั้น หรืออาจใช้วิธีการให้ผู้เรียนลองผิดลองถูก (trial and error) จนกระทั่งสามารถตอบสนองได้อย่างถูกต้อง
ขั้นที่ 4 ขั้นการให้ลงมือกระทำจนกลายเป็นกลไกที่สามารถกระทำได้เอง (Mechanism) เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จในการปฏิบัติและเกิดความเชื่อมั่นในการทำสิ่งนั้น ๆ
ขั้นที่ 5 ขั้นการกระทำอย่างชำนาญ (Complex overt response) เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการกระทำนั้น ๆ จนผู้เรียนสามารถทำได้อย่างคล่องแคล่ว ชำนาญเป็นไปโดยอัตโนมัติ และด้วยความเชื่อมั่นใจตนเอง
ขั้นที่ 6 ขั้นการปรับปรุงและประยุกต์ใช้ เป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนปรับปรุงทักษะหรือการปฏิบัติของตนให้ดียิ่งขึ้น และประยุกต์ใช้ทักษะที่ตนได้รับการพัฒนาในสถานการณ์ต่าง ๆ
ขั้นที่ 7 ขั้นการคิดริเริ่มเมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างชำนาญ และสามารถประยุกต์ใช้ในสถานการณ์ที่หลากหลายแล้ว ผู้ปฏิบัติจะเริ่มเกิดความคิด ใหม่ ๆ ในการกระทำหรือปรับการกระทำนั้นให้เป็นไปตามที่ตนต้องการ
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนสามารถกระทำหรือแสดงออกอย่างคล่องแคล่ว ชำนาญในสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ และความอดทนให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนด้วย
5.2 รูปแบบการเรียนการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์ (Davies’ Instructional Model for Psychomotor Domain)
ก. ทฤษฏี /หลักการ / แนวคิดของรูปแบบ
Davies ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาทักษะปฏิบัติไว้ว่า ทักษะส่วนใหญ่จะประกอบไปด้วยทักษะย่อย ๆ จำนวนมาก การฝึกให้ผู้เรียนสามารถทำทักษะย่อย ๆ เหล่านั้นได้
ก่อนแล้วค่อยเชื่อมโยงต่อกันเป็นทักษะใหญ่ จะช่วยให้ผู้เรียนประสบผลสำเร็จได้ดีและรวดเร็วขึ้น
ข. วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งช่วยพัฒนาความสามารถด้านทักษะปฏิบัติของผู้เรียน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ทักษะที่ประกอบด้วยทักษะย่อยจำนวนมาก
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นที่ 1 ขั้นสาธิตทักษะหรือการกระทำ ขั้นนี้เป็นขั้นที่ให้ผู้เรียนได้เห็นทักษะหรือการกระทำที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ในภาพรวม โดยการสาธิตให้ผู้เรียนดูทั้งหมดตั้งแต่ต้น จนจบ ทักษะหรือการกระทำที่สาธิตให้ผู้เรียนดูนั้น จะต้องเป็นการกระทำในลักษณะที่เป็นธรรมชาติ ไม่ช้าหรือเร็วเกินปกติ ก่อนการสาธิตครูควรให้คำแนะนำแก่ผู้เรียนในการสังเกต ควรชี้แนะจุดสำคัญที่ควรให้ความสนใจเป็นพิเศษในการสังเกต
ขั้นที่ 2 ขั้นสาธิตและให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย เมื่อผู้เรียนได้เห็นภาพรวมของการกระทำหรือทักษะทั้งหมดแล้ว ผู้สอนควรแตกทักษะทั้งหมดให้เป็นทักษะย่อย ๆ หรือแบ่งสิ่งที่กระทำออกเป็นส่วนย่อยๆ และสาธิตส่วนย่อยแต่ละส่วนให้ผู้เรียนสังเกตและทำตามไปทีละส่วนอย่างช้า ๆ
ขั้นที่ 3 ขั้นให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย ผู้เรียนลงมือปฏิบัติทักษะย่อยโดยไม่มีการสาธิตหรือมีแบบอย่างให้ดู หากติดขัดจุดใดผู้สอนควรให้คำชี้แนะ และช่วยแก้ไขจนกระทั่งผู้เรียนทำได้ เมื่อได้แล้วผู้สอนจึงเริ่มสาธิตทักษะย่อยส่วนต่อไป และให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อยนั้นจนทำได้ ทำเช่นนี้เรื่อยไปจนกระทั่งครบทุกส่วน
ขั้นที่ 4 ขั้นให้เทคนิควิธีการ เมื่อผู้เรียนปฏิบัติได้แล้ว ผู้สอนอาจแนะนำเทคนิควิธีการที่จะช่วยให้ผู้เรียนสามารถทำงานนั้นได้ดีขึ้น เช่น ทำได้ประณีตสวยงามขึ้น ทำได้รวดเร็วขึ้น ทำได้ง่ายขึ้น หรือสิ้นเปลืองน้อยลง เป็นต้น
ขั้นที่ 5 ขั้นให้ผู้เรียนเชื่อมโยงทักษะย่อย ๆ เป็นทักษะที่สมบูรณ์ เมื่อผู้เรียนสามารถปฏิบัติแต่ละส่วนได้แล้ว จึงให้ผู้เรียนปฏิบัติทักษะย่อย ๆ ต่อเนื่องกันตั้งแต่ต้นจนจบ และฝึกปฏิบัติหลาย ๆ ครั้งจนกระทั่งสามารถปฏิบัติทักษะที่สมบูรณ์ได้อย่างชำนาญ
ง. ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะสามารถปฏิบัติทักษะได้อย่างดี มีประสิทธิภาพ
1. แบบทดสอบ
แบบทดสอบเป็นชุดของคำถามที่ใช้วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนวิชา
ต่าง ๆ มีทั้งแบบที่เป็นปรนัยและอัตนัยในรูปแบบต่าง ๆ เช่น
1) แบบทดสอบแบบปรนัย
1.1) แบบเลือกตอบ
1.2) แบบเติมคำ / ข้อความ / จำนวน ให้สมบูรณ์
1.3) แบบถูก – ผิด
1.4) แบบจับคู่
1.5) แบบจัดลำดับเหตุการณ์
2) แบบทดสอบแบบอัตนัย ได้แก่ แบบทดสอบที่ให้แสดงวิธีทำหรือเขียนอธิบายการหาคำตอบหรือเขียนบอกเหตุผลในการตัดสินใจในการเลือกคำตอบนั้น ๆ
แบบทดสอบที่คุณครูใช้ในชั้นเรียน เป็นแบบทดสอบประเภทวัดผลสัมฤทธิ์ (Achievement test) นั่นคือ เป็นแบบทดสอบที่ใช้วัดความรู้ความสามารถของบุคคลในด้านวิชาการ ซึ่งเป็นผลจากการเรียนรู้ในเนื้อหาสาระและตามจุดประสงค์ของวิชาหรือเนื้อหาที่สอนนั้น
คุณลักษณะของแบบทดสอบที่ดี
1. ความเที่ยงตรง (Validity) หมายถึง คุณสมบัติของข้อสอบสามารถวัดได้ตรงกับสิ่งที่ต้องการจะวัด (แบบทดสอบบางฉบับจะมีความเชื่อมั่นแต่จะขาดความเที่ยงตรง แต่ถ้ามีความเที่ยงตรงแล้วจะต้องมีความเชื่อมั่น)
2. มีความเชื่อมั่น (Reliability) หมายถึง คุณสมบัติของข้อสอบฉบับนี้สามารถให้คะแนนคงที่ไม่ว่าจะทดสอบกี่ครั้ง ผลที่ได้จะเท่ากันหรือคลาดเคลื่อนเพียงเล็กน้อย
3. ความยุติธรรม หมายถึง การออกข้อสอบให้มากข้อและครอบคลุมหลักสูตร สำหรับผู้ที่มีความพยายามมากและพยายามน้อย
4. ความลึก หมายถึง คำถามนั้นต้องถามให้เหนือความจำ
5. ความจูงใจให้อยากตอบ หมายถึง ลักษณะของข้อสอบชวนให้อยากสอบอีก เช่น มีรูปเล่มดี ข้อความอ่านง่าย ชัดเจน เรียงคำถามจากง่ายไปยาก เป็นต้น
6. มีความเป็นปรนัย
6.1 ชัดในคำถาม
6.2 ชัดในการให้คะแนน
6.3 ชัดในการแปลคะแนน
7. ความยากง่ายพอเหมาะ หมายถึง ข้อสอบนั้นเหมาะกับความสามารถของผู้สอบ
8. มีอำนาจจำแนก หมายถึง ข้อสอบแต่ละข้อสามารถจำแนกได้ว่าคนตอบถูกเก่งจริงและคนตอบผิดอ่อนจริง
9. มีประสิทธิภาพ หมายถึง แบบทดสอบนั้น ๆ คุ้มค่ากับการลงทุน
2. แบบสอบถาม
แบบสอบถาม เป็นรายการคำถามที่ส่งไปให้คนกลุ่มหนึ่งเป็นผู้ตอบตามความสมัครใจเกี่ยวกับเรื่องที่ต้องการทราบ เพื่อมุ่งเก็บข้อมูลประเภทข้อเท็จจริงแบบสอบถาม ช่วยให้ได้ข้อมูลเกี่ยวกับความจริง ความรู้สึก ความคิดเห็น เจตคติ ค่านิยม ความถนัด ความสามารถ ฯลฯ เป็นตัวช่วยให้การเก็บรวบรวมข้อมูลจำนวนมากได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น
รูปแบบของแบบสอบถาม
1. แบบปิด เป็นการสร้างรายการให้ผู้ตอบเลือกจากตัวเลือกที่กำหนดให้
2. แบบเปิด เป็นการสร้างคำถามชนิดปลายเปิดให้ผู้ตอบแสดงความคิดอย่างเสรี
แบบสอบถาม อาจประกอบด้วยคำถามทั้งแบบปิดและแบบเปิดในฉบับเดียวกัน สร้างได้หลายรูปแบบ เช่น แบบสำรวจ แบบมาตราส่วนประมาณค่า แบบเลือกตอบ เป็นต้น
ขั้นตอนการสร้างแบบสอบถาม
1. วิเคราะห์ลักษณะของข้อมูลที่ต้องการ
2. ศึกษาวิธีการสร้างแบบสอบถาม และกำหนดรูปแบบของแบบสอบถาม
3. เขียนแบบสอบถาม (ฉบับร่าง)
4. ให้ผู้เชี่ยวชาญพิจารณา ปรับปรุงแก้ไขตามที่ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนะ
5. ทดลองใช้และปรับปรุง
6. พิมพ์แบบสอบถามฉบับจริง
เป็นเครื่องมือที่ช่วยบันทึกข้อมูลจากการที่ผู้สังเกตเฝ้าดูสิ่งที่ปรากฏขึ้นอย่างเอาใจใส่และจดบันทึกพฤติกรรมของผู้ถูกสังเกตอย่างมีระบบ สามารถออกแบบได้หลายลักษณะ โดยทั่วไปมักจะออกแบบมาเพื่อใช้เก็บข้อมูลตามลักษณะของข้อมูล คือ ข้อมูล เชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ เช่น แบบบันทึก แบบตรวจสอบรายการ หรือแบบประเมินค่า
เป็นเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในการวิจัยในชั้นเรียนอีกแบบหนึ่ง การสัมภาษณ์ เป็นวิธีการที่ครูพูดคุยซักถามกับนักเรียนอย่างมีจุดมุ่งหมาย เพื่อให้ได้ข้อมูลที่เกี่ยวกับข้อมูลส่วนตัว บุคลิกภาพ เจตคติ ความคิดเห็น ฯลฯ
แบบสัมภาษณ์ มีหลายรูปแบบ แบ่งตามลักษณะเทคนิคการสัมภาษณ์มี 2 ลักษณะ คือ แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง และแบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง
แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้าง จะกำหนดข้อคำถามและตัวเลือกไว้อย่างละเอียด แน่นอน ผู้ที่ถูกสัมภาษณ์จะตอบคำถามชุดเดียวกัน อย่างเดียวกัน ไม่ต้องการรายละเอียดข้อมูลที่เป็นความคิดเห็นมากนัก ข้อดีคือนำข้อมูลมาจัดหมวดหมู่ สรุปได้ง่าย
แบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง จะกำหนดประเด็นข้อคำถามไว้กว้างๆ ไม่มีตัวเลือกสำหรับเลือกตอบ ผู้ถูกสัมภาษณ์สามารถแสดงคิดเห็นหรือตอบได้โดยอิสระ ผู้สัมภาษณ์จะต้องมีความชำนาญสูง สามารถดัดแปลงสถานการณ์ให้เหมาะสมกับวัตถุประสงค์ในขณะสัมภาษณ์ได้ และสามารถใช้เทคนิคทำให้ผู้ถูกสัมภาษณ์เปิดเผยข้อมูลให้ได้มากที่สุดได้
แบบสัมภาษณ์เหมาะที่จะใช้กับนักเรียนที่มีปัญหาในการอ่านและเขียน แต่ข้อจำกัดคือต้องใช้เวลาในการเก็บรวบรวมข้อมูลมาก การวิเคราะห์ข้อมูลค่อนข้างยาก โดยเฉพาะข้อมูลจากการสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง
วิธีการสร้างแบบสัมภาษณ์
1. กำหนดจุดประสงค์ที่จะสัมภาษณ์
2. สร้างข้อคำถามหรือกำหนดรายการสัมภาษณ์ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์
3. กำหนดรูปแบบการสัมภาษณ์
3.1 ให้ตอบอย่างอิสระ (แบบไม่มีโครงสร้าง)
3.2 กำหนดคำตอบให้เลือก (แบบมีโครงสร้าง)
3.3 ผสมผสานทั้ง 2 แบบ
4. กำหนดวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล