ลักษณะที่สำคัญประการหนึ่งของการวิจัยในชั้นเรียนก็คือ เป็นการวิจัยที่ไม่เน้นรูปแบบของการวิจัยที่เป็นทางการมากนัก แต่ถ้าครูมีความสามารถที่จะทำการวิจัยในชั้นเรียนโดยยึดรูปแบบอย่างเป็นทางการก็สามารถทำได้ (กรมวิชาการ , 2550)
จากภาพวงจรกระบวนการวิจัยในชั้นเรียนข้างต้น จะเห็นได้ว่าการวิจัยในชั้นเรียนมีกระบวนการที่ไม่มีความซับซ้อนยุ่งยากมากมายเหมือนกับการวิจัยโดยทั่วไป กล่าวคือประกอบด้วยขั้นตอนที่สำคัญ 4 ขั้นตอน คือ กำหนดปัญหา วางแผนแก้ปัญหา ดำเนินการแก้ปัญหา และสรุปและสะท้อนผล โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การวิจัยในชั้นเรียนมีกระบวนการที่ต่อเนื่องและเป็นระบบมีเป้าหมายสำคัญอยู่ที่การพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ของครู กระบวนการวิจัยในชั้นเรียนที่จะนำเสนอต่อไปนี้ เป็นกระบวนการที่อยู่ภายใต้ศักยภาพของครูผู้สอนที่จะกระทำได้ ซึ่งควรประกอบด้วยขั้นตอนต่าง ๆ ซึ่งเขียนเป็นวงจรได้ ดังนี้
มีรายละเอียดดังนี้
ขั้นตอนที่ 1 ปัญหาและสาเหตุของปัญหา
การกำหนดปัญหาและสาเหตุของปัญหา เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการวางแผนแก้ปัญหาในชั้นเรียน เป็นศึกษา/วิเคราะห์นักเรียนเป็นรายบุคคล ศึกษา/วิเคราะห์ในการจัดการเรียนรู้ของครู ศึกษา/วิเคราะห์ในการใช้สื่อการสอนของครู แล้ววิเคราะห์ว่าปัญหานั้นมีสาเหตุมาจากอะไร และจะสามารถปรับปรุง เปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขกระบวนการจัดการเรียนรู้ ซึ่งครูสามารถสำรวจได้จากกิจกรรมการเรียนการสอน การสำรวจพฤติกรรมของนักเรียน การสังเกตของครู และข้อมูลจากการประเมินของผู้เกี่ยวข้อง ซึ่งจะทำให้ครูพบปัญหาที่น่าเชื่อถือและแก้ปัญหาได้ตรงจุด
ขั้นตอนที่ 2 กำหนดวิธีการแก้ปัญหา
เป็นขั้นตอนสำหรับกำหนดวัตถุประสงค์ กำหนดวิธีการ/นวัตกรรม และวางแผนเพื่อลงมือปฏิบัติ (Action) ในการค้นหาคำตอบหรือพัฒนานวัตกรรม และการแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงสภาพการปฏิบัติงานที่เป็นปัญหา โดยจะต้องศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง เช่น เอกสารที่วิชาการ ผลงานวิจัย หนังสือแนวคิดทฤษฏีต่าง ๆ ตลอดจนประสบการณ์ของครูเอง ซึ่งจะทำให้ทราบว่าปัญหาที่คล้ายกับปัญหาของเรามีใครศึกษาไว้บ้าง ใช้วิธีการใดในการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหาเป็นอย่างไร จะทำให้สามารถเลือกแนวทางในการพัฒนาวิธีการหรือนวัตกรรมได้ถูกต้องและชัดเจนขึ้น โดยการใช้วิธีสอนแบบใหม่ หรือการใช้นวัตกรรมเข้ามาช่วยในการจัดกระบวนการเรียนรู้ของครู รวมถึงการพัฒนาวิธีการหรือนวัตกรรมที่ได้ แล้วดำเนินการหาคุณภาพของวิธีการหรือนวัตกรรมนั้น
ขั้นตอนที่ 3 นำวิธีการหรือนวัตกรรมไปใช้
ขั้นตอนนี้จะเป็นการนำวิธีการหรือนวัตกรรมที่สร้างขึ้นไปใช้ ในการนำวิธีการหรือนวัตกรรมมาใช้ ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มด้วย นอกเสียจากครูผู้สอนจะวิเคราะห์และค้นพบว่านักเรียนทุกคนมีปัญหาเดียวกัน และมีสาเหตุของปัญหาอย่างเดียวกัน ครูก็หาวิธีการหรือนวัตกรรมมาใช้กับนักเรียนทุกคนเหมือนกัน
ขั้นตอนที่ 4 สรุปผลการวิจัยและสะท้อนผล
เมื่อเก็บรวบรวมข้อมูลได้แล้วนำข้อมูลมาวิเคราะห์โดยเลือกใช้สถิติที่เหมาะสมกับข้อมูลที่รวบรวมได้ แล้วสรุปผลการวิเคราะห์ข้อมูล ถ้ายังไม่สามารถแก้ปัญหาได้ตามที่ต้องการ ก็จะต้องทำการปรับปรุงแก้ไข และพัฒนาวิธีการหรือนวัตกรรมใหม่ จนสามารถแก้ปัญหาได้ตามที่ต้องการ
ขั้นตอนที่ 5 แลกเปลี่ยนเรียนรู้และเผยแพร่
ครูผู้สอนเห็นว่าแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น เมื่อนำวิธีการหรือนวัตกรรมที่ค้นพบไปใช้ แล้วสามารถแก้ปัญหาได้ตามที่ต้องการ ให้ครูผู้สอนทำการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และเผยแพร่กับเพื่อนครูทั้งในและนอกโรงเรียนต่อไป
1.1 การระบุปัญหา
ในบริบทต่าง ๆ ของชั้นเรียน ครูจะพบปัญหาจำนวนมากและไม่มีวันหมด ดังนั้น ถ้าหากครูยังทำหน้าที่ครู ครูก็จะพบปัญหาที่ต้องทำการแก้ไขด้วยการวิจัยอยู่ตลอดเวลา สภาพที่จัดว่าเป็นปัญหา คือสภาพที่เกิดขึ้นมาโดยไม่สอดคล้องกับสภาพที่ควรจะเป็น หรือสภาพที่ต้องการ หรือช่องว่างระหว่างสภาพที่ควรจะเป็นกับสภาพที่เป็นอยู่ หรือความแตกต่างระหว่างความคาดหวังกับความจริง เช่น ครูมีความคาดหวังว่านักเรียนจะได้คะแนนเฉลี่ยในรายสมรรถภาพการแก้โจทย์ปัญหาไม่น้อยกว่า ร้อยละ 70 แต่นักเรียนได้คะแนนเฉลี่ยเพียงร้อยละ 40 เท่านั้น เป็นต้น
การระบุปัญหา เป็นก้าวแรกที่สำคัญของการวิจัยในชั้นเรียน ถ้าสามารถระบุปัญหาได้ชัดเจน และสามารถระบุสาเหตุของปัญหาได้ถูกต้องสิ่งอื่น ๆ ที่จะเกิดขึ้นตามมาในกระบวนการวิจัยในชั้นเรียนก็จะเป็นเรื่องง่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธีการ หรือนวัตกรรมที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหา ซึ่งที่จริงก็คือการแก้ปัญหาที่สาเหตุนั้นเอง
การระบุปัญหาให้แคบและชัดเจนจะช่วยให้สามารถระบุสาเหตุได้ชัดเจนด้วย เช่น
- นักเรียนเขียนบรรยายภาพตามความคิดของตนเองไม่ได้
- นักเรียนแก้ปัญหาโจทย์ปัญหาด้วยตนเองไม่ได้
- นักเรียนใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารไม่ได้
- นักเรียนเขียนเรียงความไม่ได้
- นักเรียนไม่สามารถหาผลคูณของจำนวนที่มากกว่าสามหลักกับจำนวนมากกว่าสามหลักได้
- นักเรียนขาดทักษะการอ่าน โดยเฉพาะหลักการอ่านจับใจความสำคัญ
- นักเรียนขาดทักษะกระบวนการคิดสร้างสรรค์เชิงศิลปะ
- นักเรียนขาดทักษะการวิเคราะห์ข่าวประจำวัน
- นักเรียนอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้
1.2 การหาสาเหตุของปัญหา
เมื่อผู้วิจัยได้วิเคราะห์ปัญหา เพื่อได้มาซึ่งปัญหาที่จะนำมาใช้ในการทาวิจัยในชั้นเรียน ในลำดับต่อมา ผู้วิจัยควรมีการวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุของปัญหาจะทำให้การแก้ไขปัญหาได้อย่างตรงจุด มีความถูกต้องแม่นยำ สำหรับการทำงานวิจัยในชั้นเรียนก็เช่นเดียวกัน เมื่อค้นพบปัญหาที่ต้องแก้ไขแล้วครูก็ต้องวิเคราะห์หาสาเหตุที่ทาให้เกิดปัญหานั้น ๆ ให้ได้ เพื่อที่จะนำข้อมูลที่ได้ไปใช้สำหรับการสร้างวิธีการที่จะนำมาใช้ในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น ซึ่งวิธีการที่สามารถแก้ปัญหาได้ตรงตามสาเหตุที่แท้จริงของปัญหาจะทำให้มีประสิทธิภาพที่สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้ ตลอดจนสามารถพัฒนาคุณภาพของนักเรียนไปสู่มาตรฐานที่คาดหวังไว้ได้ สำหรับวิธีการในการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาการเรียนการสอนอาจกระทำได้โดยใช้วิธีการเช่นเดียวกับการวิเคราะห์หาปัญหาการเรียนการสอน คือ การใช้ผลการเรียนของผู้เรียนในภาคการศึกษาก่อนที่มีรายละเอียดเกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ในแต่ละจุดประสงค์ในแต่ละเนื้อหาการเรียนรู้ของราย วิชา การใช้วิธีระดมสมอง (brain storming) ของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนการสอน การใช้ข้อมูลจากแบบสอบถามเกี่ยวกับความรู้สึกของผู้ที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนใช้การสังเกต สัมภาษณ์เกี่ยวกับพฤติกรรมนักเรียนของครูผู้สอน เป็นต้น อย่างไรก็ตามมีข้อสังเกตสำคัญเกี่ยวกับการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาอยู่ 3 ประการคือ (ฤตินันท์ สมุทร์ทัย,2551)
1. เนื่องจากกระบวนการเรียนการสอนมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกันหลายอย่าง ดังนั้นปัญหาที่พบในชั้นเรียนอาจเกิดจากสาเหตุต่าง ๆ กัน หลายสาเหตุ แต่ส่งผลต่อปัญหาการเรียนการสอนปัญหาเดียวกัน ครูจำเป็นต้องวิเคราะห์ให้ครบถ้วนว่าปัญหานั้นมีสาเหตุมาจากสิ่งใดบ้าง ทั้งนี้ควรพิจารณาให้ครบทุกปัจจัยของกระบวนการเรียนการสอน เช่น เป็นสาเหตุจากครูหรือเป็นสาเหตุจากนักเรียน หรือเป็นสาเหตุจากเนื้อหาวิชาหรือเป็นสาเหตุจากบรรยากาศในการเรียนรู้ ดังตัวอย่าง
2. ในการจัดการเรียนการสอนในสภาพจริงนั้น จะเห็นได้ว่าสาเหตุของปัญหาการเรียนการสอนแต่ละปัญหา จะมีหลายสาเหตุที่เกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดการสับสนในการแยกแยะ ดังนั้นวิธีการที่จะช่วยจัดระบบและมองเห็นความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน โดยทั่วไปวิธีที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย คือวิธีการวิเคราะห์แบบความสัมพันธ์การเขียนแผนผังความคิด (mind mapping) ดังตัวอย่างแผนภาพที่ 7-10
นอกจากนั้นยังมีเทคนิคการวิเคราะห์สาเหตุแบบผังก้างปลา (fish bone) หรือเรียกเป็นทางการว่าแผนผังสาเหตุและผล (cause and effect diagram) ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมใช้กันมาก เพราะสามารถวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาค่อนข้างชัดเจนในเชิงเหตุผลและง่ายต่อการวิเคราะห์หาสาเหตุย่อยได้อย่างละเอียด ในการใช้ผังก้างปลาวิเคราะห์ปัญหาและสาเหตุของปัญหานั้น ตามหลักการสากลนิยมจะต้องเขียนหัวปลาไปไว้ทางขวามือของผู้เขียนเสมอและลูกศรจะต้องชี้ให้ถูกทางอย่างชัดเจน โดยยึดหลักการดังนี้ (พินันทร์ คงคาเพชร , 2551)
1) หัวปลา จะเป็นข้อความที่กล่าวถึงปัญหาที่ผู้สอนได้ทำการสารวจ วิเคราะห์อย่างชัดเจนแล้วว่าเป็นปัญหาที่แท้จริง ไม่ใช้เป็นเพียงอาการของปัญหา เช่น ปัญหาที่แท้จริง คือ นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาคณิตศาสตร์อยู่ในเกณฑ์ต่ำ แต่ผู้เรียนอาจแสดงอาการของปัญหาออกมาหลากหลายพฤติกรรม เช่น ผู้สอนอาจสังเกตเห็นว่าผู้เรียนไม่เข้าชั้นเรียน เกิดความเบื่อหน่าย แสดงอาการง่วงเหงาหาวนอน เกียจคร้าน เป็นต้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผู้สอนจะต้องพยายามพิจารณาวิเคราะห์ให้ลึกซึ้งว่าถ้ามีอาการของปัญหาอย่างนี้แล้วจะส่งผลให้ผู้เรียนเป็นอย่างไรที่เกี่ยวข้องกับการเรียนรู้หรือพฤติกรรมที่ถาวรติดตัวผู้เรียนในท้ายที่สุดจึงจะเขียนเป็นข้อความปัญหาได้
2) ก้างปลา แบ่งออกเป็น 2 ลักษณะ คือ
2.1 ก้างใหญ่ ใช้สัญลักษณ์เป็นลูกศรใหญ่แทนปัจจัยหลัก โดยหัวลูกศรจะชี้เข้าหากระดูกสันหลังของปลา โดยก้างแต่ละก้างจะแสดงให้เห็นว่ามีสาเหตุใหญ่กี่สาเหตุที่ส่งผลให้เกิดปัญหานั้นๆ ได้ เช่น ปัญหาด้านผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียน อาจเกิดจากสาเหตุใหญ่ๆ เช่น ครู นักเรียน สื่ออุปกรณ์การเรียนรู้โรงเรียน สิ่งแวดล้อมของโรงเรียน เป็นต้น ซึ่งสาเหตุใหญ่ของปัญหาที่เกิดขึ้นหรือพบในผู้เรียนนั้น ก็คือ สาเหตุใหญ่ที่เกิดจากตัวครูเป็นอันดับแรก เพราะครูอยู่ในส่วนของกระบวนการที่สำคัญเป็นอันดับแรกนั่นเอง
2.2 ก้างย่อย แทนสาเหตุรองและสาเหตุย่อย ซึ่งแบ่งได้หลายระดับตามเหตุ และผลที่นามาวิเคราะห์ จึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ผู้เขียนผังก้างปลาวิเคราะห์ปัญหาได้ละเอียดชัดเจนเพียงใด เช่น ในกรณีการทำวิจัยในชั้นเรียนนี้เกี่ยวกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน และได้วิเคราะห์ว่าครูเป็นสาเหตุใหญ่สำคัญลำดับแรกที่ต้องพิจารณา หลังจากนั้นต้องมาวิเคราะห์ในลาดับถัดมาว่าสาเหตุย่อย ๆ ที่เกิดจากครูมีอะไรบ้าง มีสักกี่สาเหตุก่อนนำมาเขียนไว้ทั้งหมดอย่างชัดเจน และเมื่อครูจะเลือกสาเหตุมาแก้ปัญหาได้นั้น ครูจะต้องพยายามสร้างหรือพัฒนาสื่อการจัดการเรียนรู้เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนาตัวผู้เรียน และเมื่อแก้สาเหตุของปัญหาที่ครูได้ตรงจุด อาการของปัญหาที่พบจากผู้เรียนอาจถูกแก้ไขให้หมดไปได้โดยอัตโนมัติโดยทั่วไปการเลือกสาเหตุของปัญหานิยมเขียนวงกลมรอบหัวลูกศรที่แสดงสาเหตุย่อยที่จะนามาแก้ปัญหา ดังตัวอย่าง
ตัวอย่างการวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาการเรียนการสอนแบบผังก้างปลา
การวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาแบบผังก้างปลา (The Fish Bone) ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมใช้กันมาก เพราะสามารถวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาค่อนข้างชัดเจนในเชิงเหตุผลและง่ายต่อการวิเคราะห์หาสาเหตุย่อย (พินันทร์ คงคาเพชร, 2550)
3. เมื่อวิเคราะห์พบแล้วว่าปัญหานั้น ๆ เกิดจากสาเหตุอะไรบ้าง งานลำดับต่อไปของครูก็คือแสวงหาแนวทางหรือวิธีการมาแก้ไขปัญหาโดยมุ่งแก้ที่สาเหตุนั้น ๆ ซึ่งครูผู้ทำวิจัยมักจะกังวลว่า สาเหตุที่นำมาแก้ไขเป็นสาเหตุเล็ก ๆ เพียงนิดเดียวหรือมุ่งแก้เพียงสาเหตุเดียว หรือสองสามสาเหตุ ซึ่งไม่ครอบคลุมสาเหตุทั้งหมด หากครูคิดเช่นนี้ก็ขออย่างได้กังวลใจ เพราะการหาวิธีการมาแก้ปัญหานั้นคงไม่ครอบคลุมสาเหตุของปัญหาทั้งหมด แต่ครูผู้วิจัยควรเลือกแก้ไขตรงสาเหตุที่มีความสำคัญ และอยู่ในวิสัยที่ครูสามารถจะดำเนินการได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะละเลยกับสาเหตุอื่น ๆ ของปัญหา เมื่อได้ทำการวิจัยเพื่อแก้ปัญหาในประเด็นที่เลือกและได้ผลมาแล้วก็สามารถจะดาเนินการแก้ไขสาเหตุอื่นของปัญหานั้นต่อเนื่องกันไป
การวิเคราะห์ปัญหาการเรียนการสอน ถือเป็นขั้นตอนแรกและเป็นขั้นตอนที่สำคัญมากของการทำวิจัยในชั้นเรียน หากครูผู้สอนไม่ทำการวิเคราะห์ปัญหาการเรียนการสอน หรือวิเคราะห์แล้วไม่ได้ปัญหาที่แท้จริง อาจทำให้การดาเนินงานในขั้นตอนถัด ๆ ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนการสอน การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ พัฒนาสื่อการสอน การวัดและประเมินผลการเรียน ฯลฯ เกิดการสูญเปล่าโดยสิ้นเชิง แต่ในทางกลับกันหากครูผู้สอนได้การวิเคราะห์ปัญหาการเรียนการสอนอย่างจริงจังจนทราบปัญหาที่แท้จริง การดำเนินงานในขั้นต่อ ๆ ก็มีโอกาสประสบความสำเร็จอย่างสูง เพราะการแก้ปัญหาการเรียนการสอนหรือการพัฒนาการเรียนการสอนก็จะตรงจุดหรือตรงตามเป้าหมายที่ควรจะเป็น
การแก้ปัญหาการเรียนการสอนใด ๆ จำเป็นต้องวิเคราะห์ให้ได้ก่อนว่า สิ่งใดคือปัญหา และสิ่งใดคือสาเหตุของปัญหา เพราะสิ่งที่เราจะแก้ไขคือตัวปัญหาโดยจะต้องหาวิธีการหรือนวัตกรรมมาแก้ที่สาเหตุของปัญหา สาหรับวิธีการในการวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหาการเรียนการสอนอาจกระทำได้โดยใช้วิธีการเช่นเดียวกับการวิเคราะห์หาปัญหาการเรียนการสอน โดยใช้การเขียนผังความคิด (mind mapping) เพื่อการที่จะช่วยจัดระบบและมองเห็นความสัมพันธ์ได้อย่างชัดเจน หรืออาจใช้เทคนิคการวิเคราะห์สาเหตุแบบผังก้างปลา ซึ่งเป็นเทคนิคที่นิยมใช้กันมาก เพราะสามารถวิเคราะห์สาเหตุของปัญหาค่อนข้างชัดเจนในเชิงเหตุผลและง่ายต่อการวิเคราะห์หาสาเหตุย่อยได้อย่างละเอียด
เมื่อครูผู้สอนระบุปัญหาและสาเหตุเรียบร้อยแล้ว การกำหนดแนวทางเลือกในการแก้ปัญหา เพื่อนำมาใช้เป็นข้อมูลพื้นฐาน สำหรับการวางแผนปรับกระบวนการเรียนรู้ พัฒนาสื่อการเรียนรู้ให้มีความเหมาะสมกับผู้เรียนแต่ละคน หรือกลุ่มผู้เรียนที่ครูผู้สอนต้องการพัฒนาตามกระบวนการเรียนรู้ให้เป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ทั้งนี้ ในการแก้ปัญหาหรือพัฒนาผู้เรียนในเกิดการเรียนรู้ ครูผู้สอนจะต้องศึกษาหลักการ ทฤษฎี (ความรู้) ที่เกี่ยวข้อง แล้วนำมาใช้ในการพัฒนากระบวนการจัดการเรียนรู้ นำมาพัฒนาสื่อการสอนที่เหมาะสมกับผู้เรียน ในบริบทชั้นเรียนที่ครูผู้สอนพบปัญหา
2.1 ระบุปัญหา ขั้นนี้เป็นขั้นที่ครูผู้สอน จะต้องทำความเข้าใจกับปัญหาที่เกิดขึ้นกับกระบวนการจัดการเรียนรู้ หรือผู้เรียน โดยการศึกษาข้อมูลจากตนเองและผู้อื่น ซึ่งได้มาโดยใช้วิธีการตั้งคำถาม อาทิ อะไรคือสิ่งที่เห็นว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้คิดว่ามีปัญหาเกิดขึ้น
2.2 เมื่อสำรวจพบปัญหาที่เกิดขึ้นจากการจัดกระบวนการเรียนรู้ ในขั้นนี้จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องได้รับข้อมูลนำเข้าจากบุคคลอื่น ได้แก่ ผู้บริหารโรงเรียน เพื่อนครู และจากนักเรียน
2.3 กำหนดทางเลือกของปัญหา ครูผู้สอนจะต้องแจกแจงทางเลือกต่าง ๆ สำหรับวิธีการที่จะใช้แก้ปัญหา ในขั้นนี้ควรให้บุคคลอื่นเข้ามามีส่วนร่วมให้ระดมสมองเพื่อหาทางแก้ไขปัญหาเพื่อให้ได้ทางเลือกหลาย ๆ ทาง แล้วนำมาคัดกรองเพื่อหาแนวคิดที่ดีที่สุด จำแนกสาเหตุของปัญหาคือการคิดเชิงระบบ(systems thinking)
2.4 เลือกวิธีการแก้ปัญหา ในการคัดเลือกวิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการจัดกระบวนการเรียนรู้ แล้ววางแผนนำทางเลือกในการแก้ปัญหาที่เป็นวิธีที่ดีที่สุดไปปฏิบัติ หรือจัดทำแผนปฏิบัติการ
ชื่อเรื่องงานวิจัยนับเป็นจุดแรกที่จะดึงดูดความสนใจของผู้อ่าน และทำให้ผู้อ่านเกิดความเข้าใจในปัญหารวมทั้งวิธีการดำเนินการวิจัยของผู้วิจัยอีกด้วย ดังนั้นการตั้งชื่อเรื่องวิจัยจึงต้องเขียนให้ชัดเจนเข้าใจง่าย ไม่เขียนอย่างคลุมเครือ ด้วยเหตุนี้ผู้วิจัยจึงต้องระมัดระวังในการตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้เหมาะสม ซึ่งมีหลักเกณฑ์และองค์ประกอบ ดังนี้
3.1 หลักเกณฑ์การตั้งชื่อเรื่องการวิจัย
3.1.1 ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้สั้น โดยใช้คำที่เฉพาะเจาะจง หรือสื่อความหมายเฉพาะเรื่องและควรเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย กะทัดรัด แต่ชื่อเรื่องก็ไม่ควรจะสั้นเกินไปจนทำให้ขาดความหมาย
ทางวิชาการ
3.1.2 ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยให้ตรงกับประเด็นของปัญหา เมื่อผู้อ่านอ่านแล้วจะได้ทราบว่าเป็นการวิจัยเกี่ยวกับปัญหาอะไรได้ทันที อย่างตั้งชื่อเรื่องวิจัยที่ทำให้ผู้อ่านตีความได้หลายทิศทาง
และอย่าพยายามทำให้ผู้อ่านเห็นว่าเป็นเรื่องที่มีความสำคัญมากเกินความเป็นจริง
3.1.3 ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยโดยการใช้คำที่บ่งบอกให้ทราบถึงประเภทของการวิจัย ซึ่งจะ
ทำให้ชื่อเรื่องชัดเจน และเข้าใจง่ายขึ้น เช่น
1) การวิจัยเชิงสำรวจ มักใช้คำว่า การสำรวจ หรือการศึกษาในชื่อเรื่องวิจัยหรืออาจระบุตัวแปรเลยก็ได้ เช่น การศึกษาพฤติกรรมของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ของโรงเรียนบ้านธารน้ำใส เป็นต้น
2) การวิจัยเชิงศึกษาเปรียบเทียบ การตั้งชื่อเรื่องวิจัยในลักษณะนี้ มักจะใช้คำว่า การศึกษา เปรียบเทียบ หรือการเปรียบเทียบ นำหน้า เช่น การเปรียบเทียบความสามารถในการอ่านของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 โดยใช้วิธีสอนแบบแจกลูกคำและการสอนแบบมุ่งประสบการณ์ทางภาษา ของโรงเรียนบ้านใหม่ (วันครู 2503)
3) การวิจัยเชิงสหสัมพันธ์ การวิจัยประเภทนี้จะใช้คำว่า การศึกษาความสัมพันธ์ หรือความสัมพันธ์ นำหน้าชื่อเรื่องวิจัย เช่น ความสัมพันธ์ระหว่างความขัดแย้งกับพ่อแม่และการปรับตัวของวัยรุ่น เป็นต้น
4) การวิจัยเชิงการศึกษาพัฒนาการ การวิจัยประเภทนี้มักใช้คำว่า การศึกษาพัฒนาการหรือพัฒนาการ นำหน้าชื่อเรื่องวิจัย เช่น การศึกษาพัฒนาการด้านการเขียนของเด็กก่อนวัยเรียนในโรงเรียนบ้านศรีท่าน้ำ
5) การวิจัยเชิงทดลอง การตั้งชื่อเรื่องวิจัยประเภทนี้อาจตั้งชื่อได้แตกต่างกันออกไปตามลักษณะของการทดลอง เช่น อาจใช้คำว่า การทดลอง การวิเคราะห์ การสังเคราะห์ การศึกษา การเปรียบเทียบ ฯลฯ นำหน้า หรือาจจะไม่ใช้คำเหล่านี้นำหน้าก็ได้ เช่น การทดลองเพาะเลี้ยงกุ้งก้ามกรามในจังหวัดกระบี่ การวิเคราะห์หาปริมาณของกรดอะมิโนที่จำเป็นในปลายรากข้าวโพดหลังจากแช่ในสารละลายน้ำตาลชนิดต่าง ๆ การสังเคราะห์กรดไขมันจากอะเซติลโคเอ การศึกษาองค์ประกอบต่าง ๆ ในยางมะละกอ การเปรียบเทียบการสอนอ่านโดยวิธีใช้ไม่ใช้การฟังประกอบ การสกัดสารอินดิเคเตอร์จากดอกอัญชัน ฯลฯ
3.1.4 ควรตั้งชื่อเรื่องวิจัยที่ประกอบด้วยข้อความเรียงที่สละสลวยได้ใจความสมบูรณ์
เป็นชื่อเรื่องที่ระบุให้ทราบตั้งแต่จุดมุ่งหมายของการวิจัย ตัวแปร และกลุ่มตัวอย่างที่จะศึกษาวิจัยด้วย เช่น การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างคะแนนการสอบและเจตคติที่มีต่อวิชาคณิตศาสตร์ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
3.2 องค์ประกอบชื่อเรื่องการวิจัย
การตั้งชื่อเรื่องวิจัยในชั้นเรียนนั้น มีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ ตัวแปรที่ศึกษา กลุ่มเป้าหมาย วิธีการวิจัย รายละเอียด ดังนี้
3.2.1 ตัวแปรที่ศึกษา
1) ตัวแปรต้น หรือ ตัวแปรอิสระ (Independent variable) หมายถึง สิ่งหรือการกระทำใด ๆ ก็ตามที่ทำให้สิ่งที่เกี่ยวข้องหรือสัมพันธ์อยู่ด้วยเปลี่ยนแปลงไป เมื่อเปลี่ยนแปลงค่าของสิ่งนั้น เช่น การเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์การเรียนภาษาไทยระหว่างกลุ่มที่สอนโดยใช้สื่อประสมประกอบการสอน กับกลุ่มที่ไม่ได้ใช้สื่อประสมประกอบการสอน ตัวแปรอิสระ คือ วิธีการสอน ซึ่งมี 2 ระดับการสอนโดยใช้สื่อประสมประกอบการสอนกับการสอน โดยไม่ได้ใช้สื่อประกอบการสอน
2) ตัวแปรตาม (Dependent variable) หมายถึง สิ่งหรือผลการกระทำใดก็ตามที่เปลี่ยนแปลงไปเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงค่าของตัวแปรอิสระ เช่น จากตัวอย่างในข้อ 1 ผลสัมฤทธิ์ในการเรียนภาษาไทยเป็นตัวแปรตาม (บุญเรียง, 2545 : 10-11)
คำว่า “ตัวแปรต้น” และ “ตัวแปรตาม” มักจะใช้กันบ่อยในการวิจัยเชิงทดลองหรือกึ่งทดลอง เพราะมักจะเป็นเรื่องของการสรุป ความเป็นเหตุเป็นผลต่อกันของสิ่งที่ศึกษา ตัวแปรต้น คือสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนและถือว่าเป็นเหตุของตัวแปรตามซึ่งเป็นผลที่คาดคะเนว่าจะได้รับการทดลอง ตัวอย่างของการศึกษาที่จะแสดงให้เห็นถึงลักษณะของตัวแปรต้นหรือตัวแปรตาม คือ สมมุติว่าครูต้องการทดสอบผลที่เกิดขึ้นกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนจากวิธีการสอน 3 วิธี ได้แก่ วิธี A วิธี B และวิธี C โดยครูอาจจะสอนเด็กแต่ละกลุ่ม ด้วยวิธีสอนในแต่ละวิธีนี้ แล้ววัดดูผลสัมฤทธิ์เพื่อจะนำมาเปรียบเทียบกัน แบบนี้วิธีสอนก็คือ ตัวแปรต้น และผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก็คือ ตัวแปรตาม หรือถ้าผู้วิจัยจะเปรียบเทียบความวิตกกังวลระหว่างนักเรียนชายและนักเรียนหญิง แบบนี้เพศจะถือว่าเป็น ตัวแปรต้น และความวิตกกังวลก็คือ ตัวแปรตาม ดังตารางที่ 1
3.2 กลุ่มเป้าหมาย
กลุ่มเป้าหมายในการวิจัยในชั้นเรียนเน้นที่การปรับปรุงแก้ไขและพัฒนาผู้เรียนเป็นสำคัญ ซึ่งอาจจะเป็นผู้เรียนทุกคน หรือเป็นกลุ่มย่อยที่จำเป็นต้องได้รับการปรับปรุงแก้ไขในเรื่องเดียวกัน หรืออาจเป็นคนเดียวก็ได้ ดังนั้น ครูผู้สอนจึงจำเป็นต้องเริ่มด้วยการวิเคราะห์ผู้เรียนเป็นรายบุคคล แล้วจำแนกผู้เรียนออกเป็นรายคน รายกลุ่มและรายปัญหา จึงจะสามารถกำหนดกลุ่มเป้าหมายในการวิจัยได้ ซึ่งอาจกำหนดได้ดังนี้
วัตถุประสงค์ : เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วนของนักเรียน
กลุ่มเป้าหมาย : นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 10 คน
วัตถุประสงค์ : เพื่อพัฒนาทักษะการอ่านคิดของนักเรียน
กลุ่มเป้าหมาย : นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 40 คน
วัตถุประสงค์ : เพื่อพัฒนาทักษะการเล่นดนตรี สำหรับนักเรียนที่มีปัญหาทางการเรียน (LD)
กลุ่มเป้าหมาย : นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 1 คน
วัตถุประสงค์ : เพื่อพัฒนาทักษะทางด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียน
กลุ่มเป้าหมาย : นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ปีการศึกษา 2555 จำนวน 25 คน
3.3 กำหนดวิธีการวิจัย
ครูผู้สอนเมื่อทราบปัญหาที่เกิดขึ้น ทราบสาเหตุของปัญหา และสามารถกาวิธีการต่าง ๆ มาแก้ปัญหานั้นให้หมดไป ปัญหาดังกล่าวจะหมดไปด้วย วิธีการหรือนวัตกรรมที่ครูสามารถนำมาใช้ในการขจัดสาเหตุนั้น แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท ดังนี้
3.3.1 เทคนิควิธีการหรือกระบวนการ เช่น การสำรวจ การทดลอง การเปรียบเทียบ การหาความสัมพันธ์ กระบวนการสร้างความตระหนัก กระบวนการสร้างเจตคติ กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการสร้างทักษะการคิดคำนวณ กระบวนการแก้โจทย์ปัญหา เป็นต้น
3.3.2 สื่อการสอน เช่น บทเรียนสำเร็จรูป คอมพิวเตอร์ช่วยสอน ชุดการเรียน เอกสารประกอบการเรียน แบบฝึกทักษะ เกม บัตรการเรียนรู้ เพลง เป็นต้น
การนำวิธีการหรือนวัตกรรมใด ๆ มาใช้ ควรพิจารณาถึงความเหมาะสมกับนักเรียนแต่ละคนหรือแต่ละกลุ่มด้วย นอกเสียจากครูจะวิเคราะห์และค้นพบว่านักเรียนทุกคนมีปัญหาเดียวกัน และมีสาเหตุของปัญหาอย่างเดียวกัน ครูก็หาวิธีการหรือนวัตกรรมมาใช้กับนักเรียนทุกคนเหมือนกัน ซึ่งกรณีเช่นนี้มักไม่เกิดขึ้น การกำหนดวิธีการหรือนวัตกรรม จึงมีความจำเป็นในการแก้ปัญหาในชั้นเรียน
ตัวอย่างการกำหนดชื่อเรื่องการวิจัย
1. การเปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างนักเรียนที่ใช้แบบฝึกทักษะกระบวนการแก้โจทย์ปัญหา กับนักเรียนที่เรียนตามปกติ
ตัวแปรต้น คือ แบบฝึกทักษะกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วน
ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วน
กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
วิธีการวิจัย คือ การเปรียบเทียบ
2. ผลการใช้แบบฝึกทักษะกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาที่มีต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา เศษส่วนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ตัวแปรอิสระ คือ แบบฝึกทักษะกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วน
ตัวแปรตาม คือ ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วน
กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
วิธีการวิจัย คือ การทดลอง
3. ความสัมพันธ์ของการเสริมแรงในระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนการสอนกับความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
ตัวแปรต้น คือ การเสริมแรงในระหว่างจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ตัวแปรเกณฑ์ คือ ความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วน
กลุ่มเป้าหมาย คือ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
วิธีการวิจัย คือ การหาความสัมพันธ์
การตั้งชื่อเรื่องการทำวิจัยในชั้นเรียนนั้น ครูผู้สอนจะต้องทราบปัญหาและสาเหตุของปัญหา รวมถึงแนวทางแก้ไขปัญหานั้นว่าจะใช้วิธีการสอนใดหรือนวัตกรรมใดมาแก้ปัญหานั้น เพื่อนำไปสู่การตั้งชื่อเรื่องของตนเอง ในการตั้งชื่อเรื่องวิจัยในชั้นเรียนนั้น จะต้องมีส่วนประกอบ 3 ส่วน คือ 1) ตัวแปรที่ศึกษา โดยทั่วไปจะระบุตัวแปรอิสระกับตัวแปรตามในการวิจัยเชิงทดลอง หรือตัวแปรต้นกับตัวแปรเกณฑ์ในการวิจัยเชิงสัมพันธ์ 2) กลุ่มเป้าหมาย ระบุกลุ่มเป้าหมายเป็นใคร 3) วิธีการวิจัย ระบุวิธีการวิจัยว่าใช้วิธีใด เช่น การสำรวจ การทดลอง การเปรียบเทียบหรือการหาความสัมพันธ์ เป็นต้น
4.1 การกำหนดวัตถุประสงค์ของการวิจัย
วัตถุประสงค์ของการวิจัยควรใช้ภาษาที่ชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่วกวน หลีกเลี่ยงการใช้คำซ้ำซ้อน นำไปสู่การตั้งสมมุติฐานและสามารถทำการทดสอบได้ เช่น
งานวิจัย : การเปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ระหว่างนักเรียนที่ใช้แบบฝึกทักษะกระบวนการแก้โจทย์ปัญหากับนักเรียนที่เรียนตามปกติ โรงเรียนบ้านอัยเยอร์เวง
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อเปรียบเทียบความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วนของนักเรียน
2. เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วนของนักเรียน
3. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วน
งานวิจัย : รายงานผลการใช้แบบฝึกทักษะการคูณของจำนวนที่มากกว่าสามหลัก กับจำนวนมากกว่าสามหลักของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านเยาะ
วัตถุประสงค์งานวิจัย :
1. เพื่อพัฒนาความสามารถในหาผลคูณของจำนวนที่มากกว่าสามหลัก กับจำนวนมากกว่าสามหลักของนักเรียน
2. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนต่อการเรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะการคูณของจำนวนที่มากกว่าสามหลัก กับจำนวนมากกว่าสามหลัก
งานวิจัย : การวิจัยและพัฒนาแบบฝึกทักษะกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาที่มีต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหาเศษส่วนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 โรงเรียนบ้านธารมะลิ
วัตถุประสงค์ของการวิจัย
1. เพื่อสร้างและพัฒนาแบบฝึกทักษะกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาที่มีต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา เศษส่วนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
2. เพื่อหาประสิทธิภาพของแบบฝึกทักษะกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาที่มีต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา เศษส่วนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
3. เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียนโดยใช้แบบฝึกทักษะกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาที่มีต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา เศษส่วนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
4. เพื่อศึกษาความพึงพอใจของนักเรียนที่มีต่อการใช้แบบฝึกทักษะกระบวนการแก้โจทย์ปัญหาที่มีต่อความสามารถในการแก้โจทย์ปัญหา เศษส่วนของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6
4.2 วิธีการหรือนวัตกรรม
ปัญหาใด ๆ ก็ตาม ถ้าเรารู้สาเหตุที่เกิดขึ้นและสามารถหาวิธีการต่าง ๆ มาขจัดสาเหตุนั้นให้หมดไปได้ ปัญหาดังกล่าวก็จะหมดไปด้วย วิธีการหรือนวัตกรรม ที่ครูสามารถนำมาใช้ในการขจัดสาเหตุนั้น แบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ ได้ 2 ประเภท คือ
4.2.1 ประเภทเทคนิควิธีการหรือกระบวนการ เช่น กระบวนการสร้างความตระหนัก กระบวนการสร้างเจตคติ กระบวนการสร้างความคิดรวบยอด กระบวนการปฏิบัติ กระบวนการสร้างทักษะการคิดคำนวณ กระบวนการแก้โจทย์ปัญหา
4.2.2 ประเภทสื่อและเทคโนโลยีการสอน เช่น แบบฝึกทักษะ เอกสารประกอบการเรียน ชุดการสอน เกม เพลง เป็นต้น
การกำหนดวิธีการหรือนวัตกรรมเพื่อนำมาใช้ในการแก้ปัญหาอาจทำได้ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้
5. การกำหนดวิธีการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูล
ข้อมูลที่ครูต้องเก็บรวบรวมและนำมาวิเคราะห์ มักเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสมรรถภาพในด้านต่าง ๆ ของนักเรียน ทั้งในด้านความรู้ ทักษะ เจตคติและคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ในการเก็บรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์ข้อมูลดังกล่าวนี้ ครูมีงานที่ต้องทำ 3 อย่าง คือ
1. กำหนดเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล
2. กำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูล
3. กำหนดวิธีวิเคราะห์ข้อมูล
5.1 กำหนดเครื่องมือเก็บรวบรวมข้อมูล
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัยในชั้นเรียน เป็นเครื่องมือที่ครูจัดทำขึ้นเอง เช่น แบบทดสอบ แบบบันทึกการสังเกต แบบสอบถาม แบบบันทึกผลการปฏิบัติงาน และแบบสัมภาษณ์ เป็นต้น เครื่องมือต่าง ๆ ดังกล่าวนี้เมื่อครูจัดทำขึ้นแล้ว ควรทำการตรวจสอบคุณภาพของเครื่องมือด้วย เพื่อให้ได้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่น่าเชื่อถือได้ โดยทำการตรวจสอบความเที่ยง (reliability) และความตรง (validity) ซึ่งมีวิธีง่าย ๆ ดังนี้
1.1 ทำการตรวจสอบความตรงเชิงเนื้อหา (item content validity) โดยนำเครื่องมือที่จัดทำเสร็จแล้วไปให้เพื่อนครู หรือนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายช่วยพิจารณาว่าสามารถสื่อสารได้ตรงตามที่ต้องการหรือไม่
1.2 ทำการตรวจสอบความเที่ยง (item reliability) โดยนำเครื่องมือชุดเดิมไปให้เพื่อนครูหรือนักเรียนที่ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย ช่วยพิจารณาอีกครั้งในระยะเวลาที่ห่างกันประมาณ 1-2 สัปดาห์
1.3 ทำการตรวจสอบว่าการพิจารณาของเพื่อนครูหรือนักเรียนมีความสอดคล้องกันทั้งสองครั้งหรือไม่ ถ้าข้อสอบ คำถาม รายการที่สังเกตหรือเกณฑ์ประเมินผลการปฏิบัติงาน ข้อใดสอดคล้องกัน ก็ถือว่ามีความเที่ยงและความตรง ถ้าข้อใดไม่สอดคล้องกันก็ถือว่าขาดความเที่ยงและความตรง ควรปรับปรุงแก้ไขหรือเปลี่ยนใหม่ แล้วเริ่มต้นตรวจสอบอีกครั้งตั้งแต่ 1.1 ถึง 1.3 จนกว่าจะได้จำนวนเครื่องมือเพียงพอ
5.2 กำหนดวิธีการรวบรวมข้อมูล
การรวบรวมข้อมูลเพื่อการวิจัยในชั้นเรียนของครูควรเป็นการรวบรวมข้อมูลจากเครื่องมือหลาย ๆ อย่าง เช่น ใช้ทั้งการทดสอบ การสังเกตพฤติกรรม การตรวจผลการปฏิบัติงานและการสอบถาม เป็นต้น และควรรวบรวมข้อมูลจากแหล่งข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง เช่น จากกลุ่มเป้าหมาย เพื่อนครู ผู้ปกครองนักเรียนและเพื่อนของนักเรียน เป็นต้น ทั้งนี้เพื่อให้ข้อมูลที่รวบรวมได้มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด
5.3 กำหนดวิธีวิเคราะห์ข้อมูล
การวิจัยในชั้นเรียนมีจุดเน้นที่เป็นการวิจัยเชิงคุณภาพ ซึ่งมีลักษณะเป็นการบรรยายเกี่ยวกับสิ่งที่ค้นพบ แต่อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่เก็บรวบรวมมาได้จากการวิจัยในชั้นเรียน มักจะมีทั้งข้อมูลเชิงปริมาณและข้อมูลเชิงคุณภาพ ซึ่งการวิเคราะห์ข้อมูลทั้งสองชนิดมีวิธีวิเคราะห์ที่แตกต่างกัน