ประเด็นท้าทาย
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ABL (Activity Based Learning) ร่วมกับสื่อประสม
ประเด็นท้าทาย
การพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็นของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ด้วยการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ ABL (Activity Based Learning) ร่วมกับสื่อประสม
สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
สภาพการจัดการเรียนรู้เรื่องความน่าจะเป็น ของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ที่ผ่านมานักเรียนพบว่านักเรียนมีปัญหาเกี่ยวกับความน่าจะเป็น โดยเฉพาะปัญหาเกี่ยวกับการทดลองสุ่ม ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้ การเขียนผลลัพธ์ทั้งหมดของการทดลองสุ่ม และหาผลลัพธ์เหตุการณ์ที่สนใจการทดลองสุ่ม ซึ่งทางคณะครูมองว่านักเรียนส่วนใหญ่ทำแบบฝึกหัดยังไม่ถูก ทำผิดพลาดและเกิดมโนทัศน์ที่คลาดเคลื่อน เกี่ยวกับการให้เหตุผล ไม่สามารถแก้ปัญหาเกี่ยวกับความน่าจะเป็นได้ จากปัญหาการเรียนการสอนและจากการสำรวจผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเกี่ยวกับ เรื่องความน่าจะเป็น ยังเป็นปัญหาอยู่มากสมควรได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน ซึ่งสาเหตุอาจมาจากตัวนักเรียน หรือครูยังขาดเทคนิคการสอนที่จะไปช่วยส่งเสริมให้นักเรียนเรียนรู้ได้ เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น คณิตศาสตร์เป็นวิชานามธรรมยากแก่การทำความเข้าใจ ครูจึงต้องพยายามช่วยให้ นักเรียนเกิดความรู้ความเข้าใจ เพื่อที่จะช่วยให้นักเรียนแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ได้ ครูจึงควรส่งเสริมให้นักเรียนได้ฝึกพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหา โดยการแก้ปัญหาจะต้องมีการ วางแผน ด้วยกระบวนการและวิธีการที่หลากหลาย เชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่เปิดโอกาส ให้นักเรียนได้ฝึกคิดด้วยตนเอง โดยจัดกิจกรรมหรือสถานการณ์ที่น่าสนใจ ซึ่งเทคนิคการสอน รูปแบบหนึ่งที่ครูสามารถนำมาใช้ในการสอน เพื่อพัฒนาความสามารถในการแก้ปัญหาที่ต้องอาศัย ความสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ของนักเรียนเป็นหลักคือ การเรียนรู้แบบ Active Learning
การจัดการเรียนรูแบบ (Active Learning) เป็นการจัดการเรียนรูที่ผู้เรียน มีส่วนร่วมในการเรียนดำเนินกิจกรรมต่างๆ ในการเรียนให้เกิดการเรียนรู้อย่างมีความหมาย ผู้เรียนลักษณะนี้จะเป็นผู้เรียนที่เรียนรูวิธีการเรียน (Learning how to learn)เป็นผู้เรียนที่กระตือรือร้นและมีทักษะที่สามารถเลือกรับข้อมูล
วิเคราะห์ข้อมูลได้อย่างมีระบบ (ปราวีณยา สุวรรณณัฐโชติ. 2551 : 1) ผู้เรียนไดลงมือปฏิบัติและสร้างความรูจากสิ่งที่ปฏิบัติในระหว่างการเรียนการสอน สามารถสร้างความหมายไดด้วยถ้อยคำของผู้เรียนเอง ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรูใหม่กับความรูเดิมที่มีจากการปฏิบัติ (ทวีวัฒน์ วัฒนกุลเจริญ. 2559 : ออนไลน์)
เป็นการเรียนรูที่ผู้เรียนต้องปฏิบัติ และศึกษาความรูด้วยตนเอง โดยการลงมือทำและคิดในสิ่งที่กำลังทำ
จากข้อมูลหรือกิจกรรมการเรียนการสอนที่ ไดรับผ่านทางการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียน
การฟังเปิดโอกาสให้ผู้เรียนไดแสดงความสามารถของ ตนเองออกมาอย่างเต็มที่ช่วยให้ผู้เรียนเรียนรูคณิตศาสตร์ไดอย่างมีความหมายเข้าใจได้อย่างกว้างขวาง ลึกซึ้ง และจดจำไดนานมากขึ้น (สัญญา ภัทรากร. 2552 : 155 – 156) หลังจากที่กล่าวการจัดการเรียนรู้ที่มีความสอดคล้องและสามารถพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นคือการจัดการเรียนรู้ แบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning: ABL)
การจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning: ABL) เป็นการจัดการเรียนรู้ผ่านกิจกรรมต่างๆ ไม่เน้นให้ผู้เรียนท่องจำ แต่ให้ผู้เรียนลงมือปฏิบัติจริงและมีบทบาทในการ ค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง โดยเน้นให้ผู้เรียนรู้จักคิดวิเคราะห์และเรียนรู้จากกิจกรรมที่ได้ทำจริง (Learning by doing) โดยเปิดโอกาส ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการสร้างองค์ความรู้ การสร้าง ปฏิสัมพันธ์ และการร่วมมือกัน เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ความรับผิดชอบร่วมกัน มีวินัยในการทำงาน และแบ่งหน้าที่ความรับผิดชอบร่วมกัน โดยผู้สอนจะเป็น ผู้อำนวยความสะดวกในการจัดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้ปฏิบัติด้วยตนเอง สุทัศ เอกา (2557) การจัดการเรียนรู้แบบกิจกรรมเป็นฐาน (Activity Based Learning: ABL) เป็นการปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้แบบเดิมที่เป็นแบบตั้งรับ (Passive Learning) เรียนรู้โดยการอ่าน ท่องจำ การฟังบรรยายเพียงอย่างเดียวโดยที่ผู้เรียนไม่มี โอกาสได้มีส่วนร่วมใน การเรียนรู้ด้วยกิจกรรมอื่นในขณะที่ครูสอน มาเป็นกระบวนการเรียนรู้เชิงรุก ( Active Learning) ที่ผู้เรียนมีบทบาทในการแสวงหาความรู้และเรียนรู้อย่างมีปฏิสัมพันธ์จนเกิด ความรู้ ความ เข้าใจ นำไปประยุกต์ใช้ สามารถวิเคราะห์ สังเคราะห์ ประเมินค่า หรือ สร้างสรรค์สิ่ง ต่างๆ และพัฒนาตนเอง เต็มความสามารถ ให้ฝึกทักษะการสื่อสาร การนำเสนอผลงานทางการ เรียนรู้ในสถานการณ์จำลอง ทั้งมีการฝึกปฏิบัติในสภาพจริง มีการเชื่อมโยงกับสถานการณ์ต่างๆ จะ ทำให้ผลการเรียนรู้เกิดขึ้นถึง 90% (สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาสุรินทร์เขต 3,2558:14-15)เป็นที่ทราบกันดีว่าไม่มีวิธีการสอนใดที่จะดีที่สุดและสามารถใช้ได้เหมาะสมกับผู้เรียน เหมือนกันทุกคนเพราะนักเรียนแต่ละคนจะมีวิธีการเรียนรู้ที่แตกต่างกันเฉพาะตัวผู้เรียนแต่ละคน (Learning Style) และแต่ละคนจะเรียนรู้ได้ดีเมื่ออยู่ในสิ่งแวดล้อมที่แตกต่างกัน จึงเป็นภาระที่สำคัญ ของครูผู้สอนที่จะทำให้ผู้เรียนแต่ละคนเกิดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ การใช้สื่อการเรียนการสอนหลายชนิดในการสอนแต่ละคาบโดยให้สัมพันธ์กัน เป็นไปอย่างมีระบบในรูปของสื่อประสมจะเป็นผลดีกว่าการใช้สื่ออย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าวของ ยุพิน พิพิธกุลและอรพรรณ ตันบรรจบ(2530:17-18) ที่กล่าวไว้ว่าครูจะใช้สื่ออย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียวไม่ได้ ครูต้องนำสื่อการสอนหลายๆอย่างมาประกอบกัน อันได้แก่ สื่อประสม เพราะสื่อประสมจะช่วยให้ผู้เรียนที่มีความสามารถในการเรียนรู้ช้าสามารถเรียนรู้ได้เร็วขึ้นและจำทำให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ดีกว่าใช้สื่ออย่างใดอย่างหนึ่งเพียงอย่างเดียว
ผู้สอนจึงมีความสนใจใช้กระบวนการการจัดการเรียนรูแบบ (Activity Based Learning: ABL) ร่วมกับสื่อประสม มาใช้ในการสอนในเรื่อง ความน่าจะเป็น สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 เพื่อยกระดับผลสัมฤทธิ์ในรายวิชา ให้นักเรียนมีความรูและความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องความน่าจะเป็น นอกจากนี้ผู้เรียนยังจะไดความเพลิดเพลิน เกิดแรงจูงใจที่จะเรียนวิชาคณิตศาสตร์ ส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์การเรียนรูวิชาคณิตศาสตร์ที่สูงขึ้นและสามารถนำ ความรูที่ไดรับไปปรับใช้ให้เกิดประโยชนต่อการดำเนินชีวิต เพื่อพัฒนาตนเองและสังคมต่อไป
วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
2.1 วิเคราะห์ตัวชี้วัดที่เกี่ยวข้องกับเรื่องพื้นที่ผิวและปริมาตรในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช 2561)
2.2 ปรับปรุงหน่วยการเรียนรู้เรื่องความน่าจะเป็น โดยการวิเคราะห์เนื้อหาและกำหนด เนื้อหาเพื่อความเหมาะสมในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Activity Based Learning: ABL ดังนี้
- การทดลองสุ่ม ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้
- การเขียนผลลัพธ์ทั้งหมดของการทดลองสุ่ม
- หาผลลัพธ์เหตุการณ์ที่สนใจการทดลองสุ่ม
2.3 เขียนแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เรื่องความน่าจะเป็น ตามเนื้อหาที่กำหนดในหน่วยการเรียนรู้ โดยเน้นกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Activity Based Learning: ABL ที่ให้ผู้เรียนได้ค้นพบองค์ความรู้ ด้วยตนเอง แผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้นั้นรองรับสภาพการจัดการเรียนรู้ทั้งในสถานการณ์ปกติ และ สถานการณ์ที่มีข้อจำกัด
2.4 สร้างสื่อการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับการจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Activity Based Learning: ABL โดยเป็นสื่อประสมที่ทำให้นักเรียนสามารถค้นพบองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง
2.5 ประเมินผลสัมฤทธิ์ก่อนเรียนเรื่องความน่าจะเป็น ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่องความน่าจะเป็น
2.6 จัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ข้างต้น โดยมีผู้บริหาร หัวหน้า กลุ่มสาระ หรือครูในกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ร่วมสังเกตการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ในห้องเรียน และสะท้อน ผลการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เกิดขึ้น เพื่อนำผลไปใช้ในการปรับปรุงแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และ สื่อการเรียนรู้
2.7 ประเมินผลสัมฤทธิ์หลังเรียนเรื่องความน่าจะเป็น ของนักเรียนชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยแบบทดสอบหลังเรียน เรื่องความน่าจะเป็น
2.8 ปรับปรุงหรือพัฒนาแผนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และสื่อการเรียนรู้ให้มีคุณภาพมากขึ้น ตามผลการสะท้อนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ และผลการประเมินผลสัมฤทธิ์หลังเรียน
ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดหวัง
3.1 เชิงปริมาณ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนคณิตศาสตร์ เรื่องความน่าจะเป็นของนักเรียน
ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ผ่านเกณฑ์ที่กำหนดจำนวนร้อยละ 60 ขึ้นไปจากจำนวน นักเรียนทั้งหมดที่ได้เรียนโดยใช้กิจกรรมการเรียนรู้แบบ Activity Based Learning: ABL ร่วมกับสื่อประสม
3.2 เชิงคุณภาพ นักเรียนสามารถสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง และนำองค์ความรู้มาใช้แก้ปัญหาในสถานการณ์ ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน
ภาพการดำเนินกิจกรรมการเรียนการสอนตามประเด็นท้าทาย