ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์พรหมวงษ์ (2520 : 135 - 143) ได้ให้ แนวคิดและหลักปฏิบัติไว้ว่า เมื่อได้ผลิตสื่อหรือชุดการสอนแล้ว ก่อนนำไปใช้จะต้อง นำสื่อหรือชุดการสอนที่ผลิตขึ้นไปทดสอบประสิทธิภาพเพื่อดูว่า สื่อหรือชุดการสอน ทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้นหรือไม่ มีประสิทธิภาพในการช่วยให้กระบวนการเรียน การสอนดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพเพียงใด มีความสัมพันธ์กับผลลัพธ์หรือไม่ และผู้เรียนมีความพึงพอใจต่อการเรียนจากสื่อหรือสื่อหรือชุดการสอนในระดับใด ดังนั้นผู้ผลิตสื่อการสอนจ าเป็นจะต้องน าสื่อหรือชุดการสอนไปหาคุณภาพ เรียกว่า การทดสอบประสิทธิภาพ
ความหมายของการทดสอบประสิทธิภาพ
1.1 ความหมายของประสิทธิภาพ
ประสิทธิภาพ (Efficiency) หมายถึง สภาวะหรือคุณภาพของ สมรรถนะในการดำเนินงาน เพื่อให้งานหรือความสำเร็จโดยใช้เวลา ความพยายาม และค่าใช้จ่ายคุ้มค่าที่สุดตามจุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์โดยกำหนด เป็นอัตราส่วนหรือร้อยละระหว่างปัจจัยนำเข้า
กระบวนการและผลลัพธ์ (Ratio between input, process and output)
ประสิทธิภาพเน้นการดำเนินการที่ถูกต้องหรือกระทำสิ่งใด ๆ อย่างถูก วิธี (Doing the thong right)
คำว่าประสิทธิภาพมักสับสนกับคำว่า ประสิทธิผล (Effectiveness) ซึ่งเป็นคำที่คลุมเครือ ไม่เน้นปริมาณ และมุ่งหวังให้บรรลุวัตถุประสงค์ และเน้น การ ทำสิ่งที่ถูกที่ควร (Doing the right thing) ดังนั้น สองคำนี้จึงมักใช้คู่กัน คือ ประสิทธิภาพและประสิทธิผล
1.2 ความหมายของการทดสอบประสิทธิผล การทดสอบประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอน จึงหมายถึงการหา คุณภาพของสื่อหรือชุดการสอน โดยพิจารณาตามขั้นตอนของการพัฒนาสื่อหรือชุด การสอนแต่ละขั้น ตรงกับภาษาอังกฤษว่า “Developmental Testing”
การทดสอบประสิทธิภาพของชุดหรือสื่อการสอน ตรงกับภาษาอังกฤษ ว่า Developmental Testing
Developmental Testing คือ การทดสอบคุณภาพของการผลิตสื่อ หรือชุดการสอนตามล าดับขั้นเพื่อตรวจสอบคุณภาพของแต่ละองค์ประกอบของ ต้นแบบชิ้นงาน ให้ด าเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับการผลิตสื่อและชุดการสอน การทดสอบประสิทธิภาพ หมายถึง การนำสื่อหรือชุดการสอนไปทดสอบด้วยกระบวนสองขั้นตอน คือ การทดสอบประสิทธิภาพใช้เบื้องต้น (Try Out) ไปและทดสอบประสิทธิภาพสอนจริง (Trial Run) เพื่อหาคุณภาพของสื่อตามขั้นตอนที่กำหนดใน 3 ประเด็น คือ การทำให้ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น การช่วยให้ผู้เรียนผ่านกระบวนการเรียนและทำแบบ ประเมินสุดท้ายได้ดี และการทำให้ผู้เรียนมีความพึงพอใจนำผลที่ได้มาปรับปรุง แก้ไข ก่อนที่จะเผยแพร่เป็นจำนวนมาก (8)
1) การทดสอบประสิทธิภาพใช้เบื้องต้น เป็นการนำสื่อหรือชุดการ สอนที่ผลิตขึ้นเป็นต้นแบบ (Prototype) แล้วไปทดสอบประสิทธิภาพใช้ตาม ขั้นตอนที่กำหนดไว้ในระบบ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอนให้ เท่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ และปรับปรุงจนถึงเกณฑ์
2) การทดสอบประสิทธิภาพสอนจริง หมายถึง การนำสื่อหรือชุด การสอนที่ได้ทดสอบประสิทธิภาพการใช่และปรับปรุงจนได้คุณภาพถึงเกณฑ์แล้ว ของแต่ละหน่วย ทุกหน่วยในแต่ละวิชาไปสอนจริงในชั้นเรียนหรือในสถานการณ์ การเรียนที่แท้จริงในช่วงเวลาหนึ่ง อาทิ 1 ภาคการศึกษาเป็นอย่างน้อย เพื่อ ตรวจสอบคุณภาพเป็นครั้งสุดท้ายก่อนนำไปเผยแพร่และผลิตออกมาเป็นจ านวน มาก
การทดสอบประสิทธิภาพทั้งสองขั้นตอนจะต้องผ่านการวิจัยเชิง วิจัยและพัฒนา (Research and Development- R&D) โดยต้องดำเนินการวิจัย ในขั้นทดสอบประสิทธิภาพเบื้อง และอาจทดสอบประสิทธิภาพซ้ าในขั้นทดสอบ ประสิทธิภาพใช้จริงด้วยก็ได้ เพื่อประกันคุณภาพของสถาบันการศึกษาทางไกล นานาชาต
การทดสอบประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอนมีความจำเป็นด้วย เหตุผล 3 ประการคือ
1. สำหรับหน่วยงานผลิตสื่อหรือชุดการสอน การทดสอบ ประสิทธิภาพช่วยประกันคุณภาพของสื่อหรือชุดการสอนว่าอยู่ในขั้นสูง เหมาะสมที่ จะลงทุนผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก หากไม่มีการทดสอบประสิทธิภาพเสียก่อน แล้ว เมื่อผลิตออกมาใช้ประโยชน์ไม่ได้ดี ก็จะต้องผลิตหรือทำขึ้นใหม่เป็นการ สิ้นเปลืองทั้งเวลา แรงงาน และเงินทอง
2. สำหรับผู้ใช้สื่อหรือชุดการสอน สื่อหรือชุดการสอนที่ผ่านการ ทดสอบประสิทธิภาพจะท าหน้าที่เป็นเครื่องมือช่วยสอนได้ดี ในการสร้างสภาพการ เรียนให้ผู้เรียนได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามที่มุ่งหวัง บางครั้งชุดการสอนต้องช่วย ครูสอน บางครั้งต้องสอนแทนครู (อาทิ ในโรงเรียนครูคนเดียว) ดังนั้น ก่อนนำสื่อหรือ ชุดการสอนไปใช้ ครูจึงควรมั่นใจว่า ชุดการสอนนั้นมีประสิทธิภาพในการช่วยให้ นักเรียนเกิดการเรียนจริง การทดสอบประสิทธิภาพตามลำดับขั้นจะช่วยให้เราได้สื่อ หรือชุดการสอนที่มีคุณค่าทางการสอนจริงตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
3. สำหรับผู้ผลิตสื่อหรือชุดการสอน การทดสอบประสิทธิภาพจะทำให้ผู้ผลิตมั่นใจได้ว่าเนื้อหาสาระที่บรรจุลงในสื่อหรือชุดการสอนมีความเหมาะสม ง่ายต่อการเข้าใจ อันจะช่วยให้ผู้ผลิตมีความช านาญสูงขึ้น เป็นการประหยัด แรงสมอง แรงงาน เวลาและเงินทองในการเตรียมต้นแบบ
1. ความหมายของเกณฑ์ (Criterion) เกณฑ์เป็นขีดก าหนดที่จะ ยอมรับว่าสิ่งใดหรือพฤติกรรมใดมีคุณภาพและหรือปริมาณที่จะรับได้
การตั้งเกณฑ์ ต้องตั้งไว้ครั้งแรกครั้งเดียว เพื่อจะปรับปรุงคุณภาพให้ถึง เกณฑ์ขั้นต่ าที่ตั้งไว้ จะตั้งเกณฑ์การทดสอบประสิทธิภาพไว้ต่างกันไม่ได้ เช่น เมื่อมีการทดสอบประสิทธิภาพแบบเดี่ยว ตั้งเกณฑ์ไว้ 60/60 แบบกลุ่ม ตั้งไว้ 70/70 ส่วนแบบสนาม ตั้งไว้ 80/80 ถือว่าเป็นการตั้งเกณฑ์ที่ไม่ถูกต้อง
อนึ่ง เนื่องจากเกณฑ์ที่ตั้งไว้เป็นเกณฑ์ต่ำสุด ดังนั้นหากต้องหาร ทดสอบคุณภาพของสิ่งใดหรือพฤติกรรมใดได้ผลสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้มีนัยสำคัญที่ ระดับ .05 หรืออนุโลมให้มีความคลาดเคลื่อนต่ำ หรือสูงกว่าประสิทธิภาพที่ตั้งไว้ เกิน 2.5 ก็ให้ปรับเกณฑ์ขึ้นไปอีกขั้น แต่หากได้ค่าต่ำกว่าประสิทธิภาพที่ตั้งไว้ ต้องปรับปรุงและนำไปทดสอบประสิทธิภาพใช้หลายครั้งในภาคสนามจนได้ค่าถึงเกณฑ์ ที่กำหนด
2. ความหมายของเกณฑ์ประสิทธิภาพ หมายถึง ระดับประสิทธิภาพ ของสื่อหรือชุดการสอนที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม เป็นระดับ ที่ผลิตสื่อหรือชุดการสอนจะพึงพอใจ หากสื่อหรือชุดการสอนมีประสิทธิภาพถึง ระดับนั้นแล้ว สื่อหรือชุดการสอนนั้นก็มีคุณค่าที่จะน าไปสอนนักเรียน และคุ้มแก่ การลงทุนผลิต ออกมาเป็นจำนวนมาก
การกำหนดเกณฑ์ประสิทธิภาพกระทำได้ โดยการประเมินผล พฤติกรรมของผู้เรียน 2 ประเภทคือ พฤติกรรมต่อเนื่อง (กระบวนการ) กำหนดค่า ประสิทธิภาพเป็น E1 = Efficiency of Process (ประสิทธิภาพของกระบวนการ) และพฤติกรรมสุดท้าย (ผลลัพธ์) กำหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E2 = Efficiency of Product (ประสิทธิภาพของผลลัพธ์)
2.1 ประเมินพฤติกรรมต่อเนื่อง (Transitional Behavior) คือ ประสิทธิผลต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วยพฤติกรรมย่อยของผู้เรียน เรียกว่า “กระบวนการ” (Process) ที่เกิดจากการประกอบกิจกรรมกลุ่ม ได้แก่ การทำโครงการ หรือทำรายงานเป็นกลุ่มและรายงานบุคคล ได้แก่งานที่มอบหมาย และ กิจกรรมอื่นใดที่ผู้สอนกำหนดไว้
2.2 ประเมินพฤติกรรมสุดท้าย (Terminal Behavior) คือ ประเมินผลลัพธ์ (Product) ของผู้เรียน โดยพิจารณาจากการสอบหลังเรียนและการสอบไล่
ประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอนจะก าหนดเป็นเกณฑ์ ที่ผู้สอน คาดหมายว่าผู้เรียนจะเปลี่ยนพฤติกรรมเป็นที่พึงพอใจ โดยกำหนดให้ผลเฉลี่ย คะแนนการทำงานและการประกอบกิจกรรมของผู้เรียนทั้งหมด ต่อร้อยละของผล การประเมินหลังเรียนทั้งหมด นั่นคือ E1/E2 = ประสิทธิภาพของกระบวนการ/ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์
ตัวอย่าง 80/80 หมายความว่า เมื่อเราเรียนจากสื่อหรือชุดการสอน แล้ว ผู้เรียนจะสามารถทำแบบฝึกปฏิบัติ หรืองานได้ผลเฉลี่ย 80 % และประเมิน หลังเรียนและงานสุดท้ายได้ผลเฉลี่ย 80 %
การที่จะกำหนดเกณฑ์ E1/E2 ให้มีค่าเท่าใดนั้น ให้ผู้สอนเป็นผู้ พิจารณาตามความพอใจ โดยพิจารณาพิสัยการเรียนที่จำแนกเป็นวิทยพิสัย (Cognitive Domain) จิตพิสัย (Affective Domain) และทักษะพิสัย (Skill Domain)
ในขอบข่ายวิทยวิสัย (เดิมเรียกว่า พุทธิพิสัย) เนื้อหาที่เป็นความรู้ ความจ ามักจะตั้งไว้สูงสุดแล้วลดต่ าลงมาคือ 90/90 85/85 80/50
ส่วนเนื้อหาสาระที่เป็นจิตพิสัย จะต้องใช้เวลาไปฝึกฝนและพัฒนา ไม่ สามารถท าให้ถึงเกณฑ์ระดับสูงได้ในห้องเรียน หรือในขณะที่เรียน จึงอนุโลมให้ตั้งไว้ ต่ าลง นั่นคือ 80/80 75/75 แต่ไม่ต่ ากว่า 75/75 เพราะเป็นระดับความพอใจต่ าสุด จึงไม่ควรตั้งเกณฑ์ไว้ต่ ากว่านี้ หากตั้งเกณฑ์ไว้เท่าใด ก็มักได้ผลเท่านั้น ดังจะเห็นได้ จากระบบการสอนของไทยปัจจุบัน (2520) ได้ก าหนดเกณฑ์โดยไม่เขียนเป็นลาย ลักษณ์อักษรไว้ 0/50 นั่นคือ ให้ประสิทธิภาพกระบวนการมีค่า 0 เพราะครูมักไม่มี เกณฑ์เวลาในการให้งานหรือแบบฝึกปฏิบัติแก่นักเรียน ส่วนคะแนนผลลัพธ์ที่ให้ผ่าน คือ 50 % ผลจึงปรากฏว่า คะแนนวิชาต่าง ๆ ของนักเรียนต่ าในทุกวิชา เช่น คะแนนภาษาไทยนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 โดยเฉลี่ยแต่ละปีเพียง 15 % เท่านั้น (2)
วิธีการหาประสิทธิภาพ วิธีการคำนวณหาประสิทธิภาพกระทำได้ 2 วิธี คือ โดยใช้สูตร การคำนวณธรรมดา
ก. โดยใช้สูตร กระทำได้โดยใช้สูตรต่อไปนี้
เมื่อ E1 คือ คะแนนรวมของแบบฝึกปฏิบัติ กิจกรรมหรือ งานที่ท าระหว่างเรียนทั้งที่เป็นกิจกรรมในห้องเรียน นอกห้องเรียนหรือ ออนไลน์
∑ คือ คะแนนรวมของแบบฝึกปฏิบัติกิจกรรมหรืองาน ที่ท าระหว่างเรียนทั้งที่เป็นกิจกรรมในห้องเรียน นอกห้องเรียนหรือ ออนไลน
A คือคะแนนเต็มของแบบฝึกปฏิบัติ ทึกชิ้นรวมกัน
N คือ จำนวนผู้เรียน
สูตรที่ 2
เมื่อ E2 คือ ประสิทธิภาพของผลลัพธ์
∑ F คือ คะแนนรวมของผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียน
B คือ คะแนนเต็มของการประเมินสุดท้ายของแต่ละหน่วย ประกอบด้วยผลการสอบหลังเรียนและคะแนนจากการประเมินงานสุดท้าย
N คือ จำนวนผู้เรียน
ข. โดยใช้วิธีการคำนวณโดยไม่ใช้สูตร
หากจำสูตรไม่ได้หรือไม่อยากใช้สูตร ผู้ผลิตสื่อหรือชุดการสอนก็ สามารถใช้วิธีการคำนวณธรรมดาหาค่า E1 และ E2 ได้ ด้วยวิธีการคำนวณธรรมดา
สำหรับ E1 คือ ค่าประสิทธิภาพของงานและแบบฝึกปฏิบัติ กระทำได้ โดยการนำคะแนนงานทุกชิ้นของนักเรียนในแต่ละกิจกรรม แต่ละคนมารวมกัน แล้ว หาค่าเฉลี่ยและเทียบส่วนโดยเป็นร้อยละ
สำหรับค่า E2 คือ ประสิทธิภาพผลลัพธ์ของการประเมินหลังเรียนของ แต่ละสื่อหรือชุดการสอน กระทำได้ โดยการเอาคะแนนจากการสอบหลังเรียนและ คะแนนจากงานสุดท้ายของนักเรียนทั้งหมดรวมกันหาค่าเฉลี่ยแล้วเทียบส่วนร้อย เพื่อหาค่าร้อยละ
หลังจากคำนวณหาค่า E1 และ E2 ได้แล้ว ผู้หาประสิทธิภาพต้อง ตีความหมายของผลลัพธ์โดยยึดหลักการและแนวทางดังนี้
1.1 ความคลาดเคลื่อนของผลลัพธ์ ให้มีความคลาดเคลื่อนหรือความ แปรปรวนของผลลัพธ์ได้ไม่เกิน .05 (ร้อยละ 5) จากช่วงต่ำไปสูง = 2.5 นั่นให้ ผลลัพธ์ของค่า E1 หรือ E2 ที่ถือว่าเป็นไปตามเกณฑ์มีค่าต่ าหว่าเกณฑ์ไม่เกิน 25 % และสูงกว่าเกณฑ์ที่ตั้งไว้ไม่เกิน 25 %
หากคะแนน E1 หรือ E2 ห่างกันเกิน 5 % แสดงว่ากิจกรรมที่ให้ นักเรียนท ากับการสอบหลังเรียนไม่สมดุลกัน เช่น ค่า E1 มากกว่า E2 แสดงว่างานที่ มอบหมายอาจจะง่ายกว่าการสอน หรือหากค่า E2 มากกว่าค่า E1 แสดงว่า การสอบ ง่ายกว่าหรือไม่สมดุลกับงานที่มอบหมายให้ทำจำเป็นที่จะต้องแก้ไข
หากสื่อหรือชุดการสอนได้รับการออกแบบและพัฒนาอย่างดีมีคุณภาพ ค่า E1 หรือ E2 ที่ค านวณได้จากการทดสอบประสิทธิภาพจะต้องใกล้เคียงกันและ ต่างกันไม่เกิน 5 % ซึ่งเป็นตัวชี้ที่จะยืนยันได้ว่านักเรียนได้มีการเปลี่ยนพฤติกรรม ต่อเนื่องตามลำดับขั้นหรือไม่ก่อนที่จะมีการเปลี่ยนพฤติกรรมขั้นสุดท้าย หรืออีกนัยหนึ่งต้องประกันได้ว่านักเรียนมีความรู้จริง ไม่ใช่ทำกิจกรรมหรือทำสอบได้เพราะ การเดา
การประเมินในอนาคตจะเสนอผลการประเมินเป็นเลขสองตัว คือ E1 คู่ E2 เพราะจะทำให้ผู้อ่านผลการประเมินทราบลักษณะนิสัยของผู้เรียนระหว่างนิสัย ในการทำงานอย่างต่อเนื่อง คงเส้นคงวาหรือไม่ (ดูจาก E1 คือกระบวนการ) กับการ ทำงานสุดท้ายว่ามีคุณภาพมากน้อยเพียงใด (ดูจากค่า E2 คือกระบวนการ) เพื่อ ประโยชน์ของการกลั่นกรองบุคลากรเข้าทำงาน
นักเรียนสองคนคือเกษมและปรีชา เกษมได้ผลลัพธ์ E1/E2 = 78.50/82.50 ส่วนประชาได้ผลลัพธ์ 82.50/78.50 แสดงว่านักเรียนคนแรกคือ เกษม ทำงานและแบบฝึกปฏิบัติ ทั้งปี 78 % และสอบไล่ได้ 83% จะเห็นว่าจะมี ลักษณะนิสัยที่เป็นกระบวนการสู้นักเรียนคนที่สองคือ ปรีชาที่ได้ผลลัพธ์ E1/E2 = 82.50/78.50 ไม่ได้
เมื่อผลิตสื่อหรือชุดการสอนขึ้นเป็นต้นแบบแล้ว ต้องนำสื่อหรือชุดการ สอนไปหาประสิทธิภาพตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. การทดสอบประสิทธิภาพแบบเดี่ยว (1:1) เป็นการทดสอบ ประสิทธิภาพที่ผู้สอน 1 คนทดสอบประสิทธิภาพสื่อ หรือชุดการสอนกับผู้เรียน 1 – 3 คน โดยใช้เด็กอ่อน ปานกลาง และเด็กเก่ง ระหว่างทดสอบประสิทธิภาพให้จับ เวลาในการประกอบกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่า หงุดหงิด ทำหน้าฉงน หรือทำท่าทางไม่เข้าใจหรือไม่ประเมินการเรียนจากกระบวนการ คือ กิจกรรมหรือ ภารกิจและงานที่มอบให้ทำและทดสอบหลังเรียนนำคะแนนมาคำนวณหา ประสิทธิภาพ หากไม่ถึงเกณฑ์ต้องปรับปรุงเนื้อหาสาระ กิจกรรมระหว่างเรียนและ แบบทดสอบหลังเรียนให้ดีขึ้น โดยปกติคะแนนที่ได้จากการทดสอบประสิทธิภาพ แบบเดี่ยวนี้จะได้คะแนนต่ ากว่าเกณฑ์มาก แต่ไม่ต้องวิตกกังวลเมื่อปรับปรุงแล้วจะสูงขึ้นมาก ก่อนนำไปทดสอบประสิทธิภาพแบบสุ่มนั้นนี้ E1/E2 ที่ได้จะมีค่าประมาณ 60/60
2. การทดสอบประสิทธิภาพแบบกลุ่ม (1:10) เป็นการทดสอบ ประสิทธิภาพที่ผู้สอน 1 คนทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนกับผู้เรียน 6 - 10 คน (คละผู้เรียนที่เก่ง ปานกลางกับอ่อน) ระหว่างทดสอบประสิทธิภาพให้จับ เวลาในการประกอบกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่า หงุดหงิด ท าหน้าฉงน หรือท าท่าทางไม่เข้าใจหรือไม่ หลังจากทดสอบประสิทธิภาพให้ประเมินการเรียน จากกระบวนการ คือกิจกรรมหรือภารกิจและงานที่มอบให้ท าและประเมินผลลัพธ์ คือการทดสอบหลังเรียนและงานสุดท้ายที่มอบให้นักเรียนท าส่งก่อนสอบประจำหน่วย ให้น าคะแนนมาค านวณหาประสิทธิภาพ หากไม่ถึงเกณฑ์ต้องปรับปรุงเนื้อหา สาระ กิจกรรมระหว่างเรียนและแบบทดสอบหลังเรียนให้ดีขึ้น คำนวณหา ประสิทธิภาพแล้วปรับปรุง ในคราวนี้คะแนนของผู้เรียนจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อีกเกือบ เท่าเกณฑ์โดยเฉลี่ยจะห่างจากเกณฑ์ประมาณ 10% นั่นคือ E1/E2 ที่ได้จะมี ค่าประมาณ 70/70
3. การทดสอบประสิทธิภาพภาคสนาม (1:100) เป็นการทดสอบ ประสิทธิภาพที่ผู้สอน 1 คน ทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนกับนักเรียนทั้ง ชั้น (ปกติให้ใช้กับผู้เรียน 30 คน แต่ในโรงเรียนขนาดเล็กอนุโลมให้ใช้กับนักเรียน 15 คน ขึ้นไป) ระหว่างทดสอบประสิทธิภาพให้จับเวลาในการประกอบกิจกรรม สังเกตพฤติกรรมของผู้เรียนว่า หงุดหงิด ท าหน้าฉงน หรือท าท่าทางไม่เข้าใจหรือไม่ หลังจากทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามแล้ว ให้ประเมินการเรียนจากกระบวนการ คือกิจกรรมหรือภารกิจและงานที่มอบให้ท าและทดสอบหลังเรียน น าคะแนนมา ค านวณหาประสิทธิภาพ หากไม่ถึงเกณฑ์ต้องปรับปรุงเนื้อหาสาระ กิจกรรมระหว่าง เรียนและแบบทดสอบหลังเรียนให้ดีขึ้น แล้วน าไปทดสอบประสิทธิภาพภาคสนาม ซ้ ากับนักเรียนต่างกลุ่ม อาจทดสอบประสิทธิภาพ 2 – 3 ครั้ง จนได้ค่าประสิทธิภาพ ถึงเกณฑ์ขั้นต่ า ปรกติไม่น่าจะทดสอบประสิทธิภาพเกณฑ์สามครั้ง ด้วยเหตุนี้ ขั้น ทดสอบประสิทธิภาพ ภาคสนามแทนด้วย 1:100
ผลลัพธ์ที่ได้จากการทดสอบประสิทธิภาพภาคสนามควรใกล้เคียงกัน เกณฑ์ที่ตั้งไว้ หากต่ าจากเกณฑ์ไม่เกิน 2.5% ก็ให้ยอมรับว่า สื่อหรือชุดการสอนมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้
หากค่าที่ได้ต่ ากว่าเกณฑ์มากกว่า -2.5 ให้ปรับปรุงและทดสอบ ประสิทธิภาพภาคสนามซ้ า จนกว่าจะถึงเกณฑ์ จะหยุดปรับปรุงแล้วสรุปว่า ชุดการ สอนไม่มีประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้หรือจะลดเกณฑ์ลงเพราะ “ถอดใจ” หรือ ยอมแพ้ไม่ได้
หากสูงกว่าเกณฑ์ไม่เกิน +2.5 ก็ยอมรับส่า สื่อหรือชุดการสอนมี ประสิทธิภาพตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้
หากค่าได้สูงกว่าเกณฑ์เกิน +2.5 ให้ปรับเกณฑ์ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง เช่น ตั้งไว้ 80/80 ก็ให้ปรับขึ้นเป็น 85/85 หรือ 90/90 ตามค่าประสิทธิภาพได้
ตัวอย่าง เมื่อทดสอบหาประสิทธิภาพแล้วได้ 83.5/85.4 ก็แสดงว่าสื่อ หรือชุดการสอนนั้นมีประสิทธิภาพ 83.5/85.4 ก็อาจเลื่อนเกณฑ์ขึ้นมาเป็น 85/85 ได้
สมมุติว่าท่านสอนวิชา สังคมศึกษา เรื่อง ประวัติพระเจ้าตากสิน มหาราช สื่อหรือชุดการสอนหน่วยที่ 2 ทดสอบประสิทธิภาพแบบกลุ่มกับผู้เรียน 6 คน โดยพิจารณาจากงาน 4 ชิ้น และผลการสอบนักเรียน ปรากฏในตารางต่อไปนี้ โปรดค านวณหาประสิทธิภาพ E1/E2 เทียบกับเกณฑ์ที่ตั้งไว้ 85/85 แล้วอภิปรายผล การทดสอบประสิทธิภาพ
ตารางที่ 1 แสดงผลการหาประสิทธิภาพของสื่อการสอนชุดพระเจ้าตากสินมหาราช
การเลือกนักเรียนมาทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน
นักเรียนที่ผู้สอนจะเลือกมาทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน ควรเป็นตัวแทนของนักเรียนที่เราจะนำสื่อหรือชุดการสอนนั้นไปใช้ ดังนั้น จึงควร พิจารณาประเด็นต่อไปนี้
1. สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพแบบเดี่ยว (1:1) เป็นการทดสอบ ประสิทธิภาพ ครู 1 คน ต่อเด็ก 1 -3 คน ให้ทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กอ่อน เสียก่อน ทำการปรับปรุงแล้วนำไปทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กปานกลาง และ นำไปทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กเก่ง อย่างไรก็ตามหากเวลาไม่อ านวยและ สภาพการณ์ไม่เหมาะสม ก็ให้ทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กอ่อนหรือเด็กปานกลาง โดยไม่ต้องทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กเก่งก็ได้ แต่การทดสอบประสิทธิภาพกับเด็ก ทั้งสามระดับจะเป็นการสะท้อนธรรมชาติการเรียนที่แท้จริง ที่เด็กเก่ง กลาง อ่อนจะ ได้ช่วยเหลือกัน เพราะเด็กอ่อนบางคนอาจจะเก่งในเรื่องที่เด็กเก่งทำไม่ได้
2. สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพแบบกลุ่ม (1:10) เป็นการทดสอบ ประสิทธิภาพที่ครู 1 คน ทดสอบประสิทธิภาพกับเด็ก 6 – 12 คน โดยให้ผู้เรียน คละกันทั้งเก่ง ปานกลาง เด็กอ่อนห้ามทดสอบประสิทธิภาพกับเด็กอ่อนล้วน หรือ เก่งล้วน ขณะท าการทดสอบประสิทธิภาพผู้สอนจะต้องจับเวลาด้วยว่า กิจกรรมแต่ ละกลุ่มใช้เวลาเท่าไร ทั้งนี้เพื่อให้ทุกกลุ่มกิจกรรมใช้เวลาใกล้เคียงกัน โยเฉพาะการ สอนแบบศูนย์การเรียนที่กำหนดให้ใช้เวลาเท่ากัน คือ 10 – 15 นาที ส าหรับระดับ มัธยมศึกษา
3. สำหรับการทดสอบประสิทธิภาพภาคสนาม (1:100) เป็นการ ทดสอบประสิทธิภาพที่ใช้ครู 1 คน ดับนักเรียนทั้งชั้นกับนักเรียน 30 -40 คน (หรือ 100 คน ส าหรับสื่อหรือชุดการสอนรายบุคคล) ชั้นเรียนที่เลือกมาทดสอบ ประสิทธิภาพจะต้องมีนักเรียนคละกันทั้งเก่งและอ่อน ไม่ควรเลือกห้องเรียนที่มร เด็กเก่งหรือเด็กอ่อนล้วน
สัดส่วนที่ถูกต้องในการคำนวณจ านวนผู้เรียนที่มีระดับความสามารถ แตกต่างกัน ควรยึดจำนวนจากการแจกแจงปรกติ ที่จำแนกนักเรียนเป็น 5 กลุ่ม คือ นักเรียนเก๋งมาก (เหรียญเพชร) ร้อยละ 1.37 (1 คน) นักเรียนเก่ง (เหรียญเงิน) ร้อย ละ 14.63 (15 คน) นักเรียนปานกลาง (เหรียญเงิน) ร้อยละ 68 (68 คน) นักเรียน อ่อน (เหรียญทองแดง) ร้อยละ 14.63 (15 คน) และนักเรียนอ่อนมาก (เหรียญ ตะกั่ว)ร้อยละ 1.37 (1 คน)
เมื่อยึดการแจกแจงปรกติเป็นเกณฑ์ก าหนดจ านวนนักเรียนที่จะน ามา ทดสอบประสิทธิภาพสื่อและชุดการสอน ก็จะได้นักเรียนเก่งประมาณร้อยละ 16 นักเรียนปานกลางร้อยละ 68 และ นักเรียนอ่อนร้อยละ 16
เนื่องจากการทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน ต้องใช้สถานที่ การจัดกิจกรรมและใช้เวลามากกว่า ดังสถานที่และเวลาส าหรับการทดสอบ ประสิทธิภาพแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม ควรใช้เวลานอกชั้นเรียนหรือแยกนักเรียนมา เรียนต่างหากจากห้องเรียน อาจเป็นห้องประชุมของโรงเรียน โรงอาหารหรือสนาม ใต้ร่มไม้ก็ได้
ส่วนการทดสอบประสิทธิภาพแบบสนามควรใช้ห้องเรียนจริง แต่ นักเรียนที่ใช้ทดสอบประสิทธิภาพต้องสุ่มนักเรียนแต่ละระดับมาจากหลายห้องเรียน ในโรงเรียนเดียวกันหรือต่างโรงเรียน เพื่อให้ได้สัดส่วนจำนวนตามการแจกแจง ปรกต
ในกรณีที่ไม่สามารถหานักเรียนตามสัดส่วนการแจกแจงปรกติได้ ผู้ ทดสอบประสิทธิภาพอาจสุ่มแบบเจาะจง โดยใช้ห้องเรียนใดห้องเรียนหนึ่งทำการ ทดสอบประสิทธิภาพ แต่จะต้องระบุไว้ในข้อจ าหัดของการวิจัยในบทน าและน าไป อภิปรายผลในบทสุดท้าย เพราะค่าประสิทธิภาพที่ได้แม้จะถึงเกณฑ์ที่ก าหนด ก็ถึง อย่างมีเงื่อนไข เพราะกลุ่มตัวอย่างมิได้สะท้อนสัดส่วนที่แท้จริงตามการแจกแจง ปรกติ
ข้อควรคำนึงในการทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน
เพื่อให้การทดสอบประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอนได้ผลคุ้ม มีสิ่ง ที่ผู้ทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนควรคำนึงถึง ดังนี้
1. การเลือกผู้เรียนเข้าร่วมการทดสอบประสิทธิภาพ ควรเลือก นักเรียนที่เป็นตัวแทนของนักเรียนที่ใช้สื่อหรือชุดการสอน ตามแนวทางการสุ่ม ตัวอย่างที่ถูกต้อง
2. การเลือกเวลาและสถานที่ทดสอบประสิทธิภาพ ควรหาสถานที่และ เวลาที่ปราศจากเสียงรบกวน ไม่ร้อนอบอ้าว และควรทดสอบประสิทธิภาพในเวลาที่ นักเรียนไม่หิวกระหาย ไม่รีบร้อยกลับบ้าน หรือไม่ต้องพะวักพะวนไปเข้าเรียนในชั้น อื่น
3. การชี้แจงวัตถุประสงค์และวิธีการ ต้องชี้แจงให้นักเรียนทราบถึง วัตถุประสงค์ของการทดสอบประสิทธิภาพ สื่อหรือชุดการสอนและการจัดห้องเรียน แบบศูนย์การเรียน หากนักเรียนไม้คุ้นเคยกับวิธีการใช้สื่อหรือชุดการสอน
4. การรักษาสถานการณ์ตามความเป็นจริง สำหรับการทดสอบ ประสิทธิภาพการสอนภาคสนามในชั้นเรียนจริง ต้องรักษาสภาพการณ์ให้เหมือนที่ เป็นอยู่ในห้องเรียนทั่วไป เช่น ต้องใช้ครูเพียงคนเดียว ห้ามคนอื่นเข้าไปช่วย ผู้ สังเกตการณ์ต้องอยู่ห่าง ๆ ไม่เข้าไปช่วยเหลือเด็ก ต้องปล่อยให้ครูผู้ทดสอบ ประสิทธิภาพสอนแก้ปัญหาด้วยเอง หากจำเป็นต้องได้รับการช่วยเหลือก็ให้ ครูผู้สอนเป็นผู้บอกให้เข้าไปช่วย มิฉะนั้น การทดสอบประสิทธิภาพการสอนก็ไม่ สะท้อนสถานการณ์จริงที่มีคนสอนเพียงคนเดียว
5. ดำเนินการสอนตามขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการลงแบบเดี่ยว แบบกลุ่ม และภาคสนาม หลังจากชี้แจงให้นักเรียนทราบเกี่ยวกับสื่อ ชุดการสอนและวิธีการ สอนแล้ว ครูจะต้องดำเนินการสอนตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในแต่ละระบบการสอน
5.1 สำหรับการสอนแบบศูนย์การเรียนดำเนินตามขั้นตอน 5 ขั้น คือ
(1) สอบก่อนเรียน
(2) นำเข้าสู่บทเรียน
(3) ให้นักเรียนทำกิจกรรมกลุ่ม
(4) สรุปบทเรียน (ครูสรุปเองหรือให้นักเรียนช่วยกันสรุปก็ได้ ทั้งนี้ ต้องดูตามที่กำหนดไว้ในแผนการสอน)
(5) สอบหลังเรียน
5.2 สำหรับการสอนแบบอิงประสบการณ์ มี 7 ขั้นตอน คือ
(1) ประเมินก่อนเผชิญประสบการณ์
(2) ปฐมนิเทศ
(3) เผชิญประสบการณ์หลัก ประสบการณ์รอง ตามภารกิจ และงานที่กำหนด
(4) รายงานความก้าวหน้าของการเผชิญประสบการหลักและรอง
(5) รายงานผลสุดท้าย
(6) สรุปการเผชิญประสบการณ์
(7) ประเมินปลังเผชิญประสบการณ์
5.3 สำหรับการสอนอิเล็กทรอนิกส์ อาจดำเนินตามขั้นตอน 7 ขั้น คือ
(1) สอบก่อนเรียน
(2) ศึกษาประมวลการสอน แผนกิจกรรมและเส้นทางการเรียน (Course Syllabus, Course Bulletin and Learning Route)
(3) การศึกษาเนื้อหาสาระที่กำหนดให้แบบออนไลน์บนเว็บ หรืออ๊อฟไลน์ ในซีดีหรือตำรา คือจากแหล่งความรู้ที่กำหนดให้
(4) ให้นักเรียนทำกิจกรรมเดี่ยว (Individual Assignment) และกิจกรรมร่วมมือ (Collaborative Group)
(5) ส่งงานที่มอบหมาย (Submission of Assignment)
(6) สรุปบทเรียน (ครูสรุปเองหรือให้นักเรียนช่วยกันสรุปก็ได้ ทั้งนี้ต้องดูตามที่กำหนดไว้ในแผนการสอน)
(7) สอบหลังเรียน
5.4 สำหรับการสอนแบบบรรยาย ดำเนินตามขั้นตอน 5 ขั้น คือ
(1) สอบก่อนเรียน
(2) นำเข้าสู่บทเรียน
(3) ให้นักเรียนทำกิจกรรมกลุ่ม
(4) สรุปบทเรียน (ครูสรุปเองหรือให้นักเรียนช่วยกันสรุปก็ได้ ทั้งนี้ต้องดูตามที่กำหนดไว้ในแผนการสอน)
(5) สอบหลังเรียน
บทบาทของครูขณะกำลังทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน
1. บทบาทของการในขณะทดสอบแบบเดี่ยวและแบบกลุ่ม
ในขณะที่กำลังทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอน ควรควร ปฏิบัติดังนี้
1.1 ต้องคอยสังเกตและบันทึกพฤติกรรมของนักเรียนอย่างใกล้ชิด เพื่อดูว่านักเรียนทำหน้าฉงนเงียบหรือสงสับประการใด
1.2 สังเกตและปฏิสัมพันธ์ (lnteraction Analysis) ของนักเรียน โดยใช้แบบสังเกตปฏิบัติสัมพันธ์ที่มีผู้พัฒนาขึ้นแล้ว เช่น FIanders lnteraction Analysis (FIA), Brown lnteraction Analysl (BIA) ,Chaiyong Interaction Analysis (CIA)
1.3 พยายามรักษาสุขภาพจิต ไม่คาดหวังหรือเครียดกับความ เหน็ดเหนื่อยที่ทุ่มเทในการผลิตชุดการสอน หรือเครียดกับการเกรงว่า ผลการ ทดสอบประสิทธิภาพจะไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่ตั้งไว้เกรงว่า จะไม่ได้รับความร่วมมือ จากนักเรียน
1.4 สร้างบรรยากาศอบอุ่นและเป็นกันเอง ควรต้องเป็นกันเองกับ นักเรียน เวลาสอบก่อนเรียนยิ้มแย้มเเจ่มใส สร้างบรรยากาศที่นักเรียนจะแสดงออก เสรีไม่ทำหน้าเคร่งขรึมจนนักเรียนกลัว
1.5 ต้องชี้แจงว่าการสอบครั้งนี้ไม่มีผลต่อการสอบไล่ปกติของ นักเรียนแต่ประการใด
1.6 ปล่อยให้นักเรียนศึกษาและประกอบกิจกรรมจากสื่อหรือชุด การสอนตามธรรมชาติโดยทันทีว่า ครูไม่ได้สนใจจับผิดนักเรียน ด้วยการทำทีทำงาน หรืออ่านหนังสือ
1.7 หากสังเกตว่านักเรียนคนใดมีปัญหาระหว่างการทดสอบ อย่า ให้ความสนใจเป็นพิเศษ แต่ให้บันทึกพฤติกรรมไว้ พอจ ามาซักถามและพูดคุยกับ นักเรียนในภายหลัง
2. บทบาทของครูภาคสนามกับนักเรียนทั้งชั้น
2.1 ปฏิบัติตามข้อเสนอแนะ ที่นำเสนอทั้ง 7 ข้อ
2.2 ควรต้องพยายามอธิบายประเด็นต่าง ๆ ที่ต้องการจะบอก นักเรียนอย่างชัคเจน
2.3 เมื่อบอกให้นักเรียนลงมือประกอบกิจกรรมเเล้ว ควรต้องหยุด พูดเสียงดัง หากประสงค์จะประกาศอะไรต้องรอจนเปลี่ยนกลุ่ม หรือไปพูดกับ นักเรียนคนนั้นหรือกลุ่มนั้น ด้วยเสียงที่พอได้ยินเฉพาะครูกับนักเรียน ครูต้องไม่พูด มากโดยไม่จ าเป็น
2.4 ขณะที่นักเรียนประกอบกิจกรรม ควรจะต้องเดินไปตามกลุ่ม ต่างๆ เพื่อสังเกตพัฒนาการของนักเรียนดูการทำงานของสมาชิกในกลุ่ม ความเป็น ผู้น าผู้ตามและอาจให้ความช่วยเหลือนักเรียนกลุ่มใดหรือคนใดที่มีปัญหา แต่ไม่ควร ไปนั่งเข้ากลุ่มใดกลุ่มหนึ่งโดยเฉพาะ เพราะจะท าให้นักเรียนอึดอัด เครียด หรือบาง คนอาจแสดงพฤติกรรมเขื่องเพื่ออวดครู
2.5 เมื่อจะให้นักเรียนเปลี่ยนกลุ่ม ครูควรชี้แจงให้นักเรียนเดินช้า ๆ ไม่ต้องรีบเร่ง และให้หัวหน้าเก็บสื่อการสอนใส่ซองไว้ให้เรียบร้อยก่อนเปลี่ยนไป กลุ่มอื่น ๆ ห้ามหยิบชิ้นส่วนใดติดมือไป ยกเว้น “แบบฝึกปฏิบัติ” หรือ “กระดาษค าตอบ” ประจ าตัวของนักเรียนเอง
2.6 การเปลี่ยนกลุ่มกระท าได้3 วิธีคือ (1) เปลี่ยนพร้อมกันทุก กลุ่มหากทำกิจกรรมเสร็จพร้อมกัน (2) กลุ่มใดเสร็จก่อน ให้ไปทำงานในกลุ่มสำรอง (3) หากมี2 กลุ่มทำเสร็จพร้อมกันก็ให้เปลี่ยนกันทันที
2.7 หลังจากการทดสอบประสิทธิภาพสิ้นสุดลง ขอให้แสดงความ ชื่นชมที่นักเรียนให้ความร่วมมือ และประสบความสำเร็จในการเรียนจากสื่อหรือชุค การสอน
2.8 หากทำได้ ให้แจ้งผลการทดสอบหลังเรียนให้นักเรียนทราบ เพื่อให้ประสบการณ์ที่เป็นความสำเร็จ
สิ่งที่ควรปฏิบัติหลังทดลอบประสิทธิภาพ
เมื่อทำการทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนเสร็จแล้ว คู่ผู้สอน และสมาชิกในกลุ่มฝึกปฏิบัติผลิต สื่อหรือชุดการสอน ควรปฏิบัติดังต่อไปนี้
1. นำผลงานและแบบฝึกปฏิบัติของนักเรียนมาตรวจ โดยการให้ คะแนนกิจกรรมทุกชนิดแล้วหาค่าเฉลี่ยและทำเป็นร้อยละ
2. นำผลการสอบหลังเรียนมาหาค่าเฉลี่ยและทำเป็นค่าร้อบละ
3. นำผลการสอบก่อนเรียนและหลังเรียนมาเขียนเเผนภูมิเปรียบเทียบ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการบรรยายผลการสอนและจัดนิทรรศการ(หากมี) ดังตัวอย่าง
4. นำสื่อการสอน ซึ่งมีบัตรคำสั่ง บัตรสรุปเนื้อหา บัตรเนื้อหา บัตร กิจกรรม ภาพชุด ฯลฯ มรปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น
เมื่อทดสอบประสิทธิภาพสื่อหรือชุดการสอนภาคสนามแล้ว เทียบค่า E1/E2 ที่หาได้จากสื่อหรือชุดการสอนกับ E1/E2 ที่ตั้งเกณฑ์ไว้ เพื่อดูว่า เราจะ ยอมรับประสิทธิภาพหรือไม่ การยอมรับประสิทธิภาพให้ถือค่าแปรปรวน 25 – 5 % อาทิ นั่นคือ ประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอนไม่ควรต่ าหว่าเกณฑ์เกิน 5% แต่โดยปรกติเราก าหนดไว้ 2.5 % อาทิ เราตั้งเกณฑ์ประสิทธิภาพไว้ 90/90 เมื่อ ทดสอบประสิทธิภาพแบบ 1:100 แล้ว สื่อหรือชุดการสอนนั้นมีประสิทธิผล 87.5/87.5 เราก็สามารถยอมรับได้ว่าสื่อหรือชุดการสอนนั้นมีประสิทธิภาพ
การยอมรับประสิทธิภาพของสื่อหรือชุดการสอนมี 3 ระดับ คือ (1) สูง กว่าเกณฑ์ (2)เท่าเกณฑ์ (3) ต่ ากว่าเกณฑ์ แต่ยอมรับว่ามีประสิทธิภาพ (โปรดดูบท ที่ 6 ระบบการสอนแผน จุฬา)
การประเมินประสิทธิภาพตามระบบการสอน “แผนจุฬา” ที่ยึด แนวทางประเมินแบบ 3 มิติ คือ
(1) การหาพัฒนาการทางการเรียนคือ ผู้เรียนมีความรู้เพิ่มขึ้น อย่างมีรัยสำคัญ
(2) การหาประสิทธิภาพของกระบวนการควบคู่ผลลัพธ์โดย กำหนดค่าประสิทธิภาพเป็น E1/E2 (Efficience of Process/ Efficience of Producta) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างผลการเรียนที่เป็นกระบวนการและผลการ เรียนที่เป็นผลลัพธ์
(3) การหาความพึงพอใจของครูและผู้เรียน โดยการประเมินคุณภาพของสื่อหรือชุดการสอนที่มีผลต่อความพึงพอใจของผู้สอนและผู้เรียน
1. นักวิชาการรุ่นหลังน าแนวคิดทดสอบประสิทธิภาพที่พัฒนาโดย ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงค์ พรหมวงษ์ เมื่อพุทธศักราช 2516 และได้เผยแพร่อย่าง ต่อมาตั้งแต่พุทธศักราช 2520 มาเป็นของตนเอง โดยเขียนเป็นบทความหรือต ารา แล้วไม่มีการอ้างอิง มีจำนวนมากกว่าร้อยรายการทำให้นิสิตนักศึกษารุ่นหลังไม่ ทราบที่มาของการทดสอบประสิทธิภาพ จึงทำให้มีเป็นจำนวนมากที่อ้างว่าเป็นตน เจ้าของทฤษฎี E1/E2 บางสำนักพิมพ์ได้นำความรู้เรื่องการสอนแบบศูนย์การเรียนของ ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงศ์ พรหมวงศ์ ไปพิมพ์เผยแพร่ ตั้งแต่ พุทธศักราช 2539 และได้มีรายได้มหาศาล โดยไม่อ้างว่า ศาสตราจารย์ ดร.ชัยยงศ์ พรหมวงศ์ เป็นผู้พัฒนาขึ้น
2. นักวิชาการน า E1/E2 ไปเป็นของฝรั่ง เช่น ระบุว่า การหา ประสิทธิภาพ E1/E2 เกิดจากแนวคิด Mastery Learning ของ Bloom
3. นักวิชาการไม่เข้าใจหลักการของการตั้งเกณฑ์ประสิทธิภาพ เช่น เสนอแนะให้ตั้งเกณฑ์ไว้ต่ า (เช่น E1/E2 = 70/70 ) หลังจากตั้งเกณฑ์ไว้ต่ าแล้ว เมื่อ หาค่า E1/E2 ได้ สูงกว่า ก็ประกาศด้วยความภาคภูมิใจว่า สื่อหรือชุดการสอนของตน มีประสิทธิภาพมากกว่าเกณฑ์ ซึ่งที่จริงเป็นเพราะตนเองตั้งเกณฑ์ไว้ต่ าไปแทนที่จะ ปรับเกณฑ์ให้สูงขึ้นอันเป็นผลจากคุณภาพของสื่อหรือชุดการสอน
4. ไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของ E1 และ E2 ทั้งสองค่าควรได้ใกล้เคียงกัน กล่าวคือ แปรปรวนหรือแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยส าคัญที่ระคับ.05 (แตกต่างกันได้ ไม่เกิน+2.5 ของค่า E1 เละ E2 ซึ่งจะมีผลท าให้ค่ากระบวนการ E1 ไม่สูงกว่าค่า ผลลัพธ์E2 เกินร้อยละ 5
5. บางคนเขียนเผยแพร่ในเว็ปว่า ค่า E1 ควรมากกว่า E2 เพราะการท า แบบฝึกหัดหรือกิจกรรมปรกติจะง่ายกว่าการสอบ ถือเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง หากค่า E1 สูงแสดงว่า กิจกรรมที่ให้นักเรียนท าง่ายไป หากค่า E2 สูงก็แสดงว่า ข้อสอบอาจจ่ะง่ายเพราะเป็นการวัดความูร้ความจ ามากกว่า ดังนั้น ครูต้องปรับ กิจกรรมให้ตรงตามระดับพฤติกรรมที่ตั้งไว้ในวัตถุประสงค์
6. บางคนเปลี่ยน E1/E2 เป็น P1/P2 หรืออักษรอื่น แต่สูตรยังคงเดิม บางคนยังคงใช้E1/E2 แต่เปลี่ยนสูตร เช่น เปลี่ยน F เป็นสูตรของ E2 เป็น Y แทนที่ จะใช้F และอ้างสิทธิว่าตนเองคิดขึ้น บางขึ้นใช้ E1 /E2 พัฒนาสูตรขึ้นใหม่ให้ แลดูสลับซับซ้อนขึ้น บางคนน าหา E1 ไปค านวณโดยใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์ ทั้งหมดนี้ก็หาได้พ้นจากการละเมิดลิขสิทธิ์ไปไม่เพราะแนวคิดการประเมินแบบทวิ ผลคือ E1/E2 เป็นระบบความคิดที่ศาสตราจารย์ดร.ชัยยงค์พรหมวงศ์พัฒนาขึ้น
7. นักวิชาการบางคนโยงการหาค่า E1/E2 ว่า น ามาจากค่า standard 90/90 ในความเป็นจริง มาตรฐาน 90/90 เป็นการหาประสิทธิภาพของบทเรียน แบบโปรแกรม (บทเรียนส าเร็จรูป)ที่มีการพัฒนาบทเรียนแบบเป็นกรอบหรือ Frame แนวคิดคือ 90 ตัวแรกหมายถึง บทเรียน 1 Frame ต้องมีนักเรียนท าให้ ถูกต้อง 90 คน ส่วน 90 ตัวหลังนักเรียน 1 คน จะต้องท าบทเรียนได้ถูกต้อง 90 ข้อ เรียกว่า มาตรฐาน 90/90 ผู้ที่คิดระบบการประเมินประสิทธิภาพของบทเรียนแบบึด standard 90/90 คือนักจิตวิทยาชาวอเมริกันที่พัฒนาบทเรียนแบบโปรเเกรม ชี่อ
รองศาสตราจารย์ ดร.เปรื่อง กุมุท เขียนไว้ในหนังสือของท่าน และ อธิบาย 90/9ostandard ว่า “...90 แรกหมายถึง คะแนนเฉลี่บของทั้งกลุ่ม ซึ่ง หมายถึงนักเรียนทุกคน เมื่อสอนครั้งหลังเสร็จให้คะแนนเสร็จ น าคะแนนมาหาค่า ร้อยละเฉลี่ยของกลุ่มจะต้องเป็น 90 หรือสูงกว่า....90 ตัวที่สองแทนคุณสมบัติที่ว่า ร้อยละของนักเรียนทั้งหมด ได้รับผลสัมฤทธิ์ตามความมุ่งหมายแต่ละข้อ และทุกข้อ ของบทเรียนโปรเเกรมนั้น....”
ส่วน E1/E2 เน้นการเรียบเทียบผลการเรียนจากพฤติกรรมต่อเนื่อง คือ กระบวนการกับพฤติกรรมสุดท้ายคือ ผลลัพธ์ดังนั้น แนวคิดของ E1/E2 จึงมีจุดเน้น ต่างกับกัน 90/90 standard หรือ มาตรฐูาน 90/90 ที่เน้นความสัมพันธ์ของ พฤติกรรมสุดท้ายของนักเรียนกับการบรรลวัตถุประสงค์แต่ละข้อและทุกข้อของ บทเรียน แม้จะใช้90/90 80/80 หากไม่เน้นกระบวนการกับผลลัพธ์ ก็จะน าไป แทนค่า E1/E2 ไม่ได้
สุรชัย โกศิยะกุล(2545) ได้เสนอแนวทางการหาประสิทธิภาพของ นวัตกรรมไว้ดังนี้
1. การประเมินโดยผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ชำนาญการที่ยอมรับตรวสอบ ความถูกต้องของเนื้อหา ความเหมาะสมของสื่อ โดยใช้แบบประเมินแล้วหาค่า IOC
การหาประสิทธิภาพของนวัตกรรมก่อนใช้โดยผู้เชี่ยวชาญ แบบประเมิน แผนการสอนภาษาอังกฤษ แบบ 4 MAT ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1
สรุปผลการประเมิน เหมาะสม ไม่เหมาะสม
ลงชื่อ ...........................................................ผู้ประเมิน
2. การหาสัดส่วน โดยกำหนดให้
P1 หมายถึง ร้อยละของนักเรียนที่สอบผ่านแบบทดสอบอิงเกณฑ์ ที่กำหนดจุเผ่านไว้
P2 หมายถึง การกำหนดคะแนนจุดผ่านร้อยละของคะแนนเต็ม
P1 : P2 = 80 : 70
หมายถึง การกำหนดคะแนนจุดผ่านไว้ที่ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม และร้อยละ 80 ของจำนวนนักเรียนที่สอบผ่าน
ครูพิมวนัชผลิอสื่อประเภทแบบฝึกการอ่านจับใจความ สำหรับนักเรียน ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 จ านวน 40 คน เพื่อให้นักเรียนฝึกก่อน เอนักเรียนใช้ แบบฝึกหัดไปได้ระยะหนึ่ง ครูพิมวนัชจึงวัดผลด้วยแบบทดสอบ (แบบทดสอบนี้ ครูพิมวนัช ได้หาประสิทธิภาพที่มีความเที่ยงตรง และเชื่อถือได้) มีคะแนนเต็ม 50 คะแนน และกำหนดเกณฑ์การผ่านไว้ 35 คะแนน เมื่อทดสอบแล้วพบว่า มีนักเรียน 32 คน ที่สอบผ่านเกณฑ์ดังกล่าว วิธีคำนวณ P1 : P2
P1 คือ ร้อยละของจ านวนนักเรียนที่สอบผ่านเกณฑ์
ในที่นี้ P1 (32/40) x 100 = 80
P2 คือ เกณฑฺที่ก าหนดจุดผ่านไว้ (ร้อยละ)
ในที่นี้ P2 (35/50) x 100 = 70
เพราะฉะนั้น P1 : P2 = 80 : 70
แปลความหมาย
ผลการทดลองใช้แบบฝึกหัดการอ่านจับใจความแล้ว มีนักเรียนร้อยละ 80 ของนักเรียนทั้งหมดที่ใช้แบบฝึกการอ่านจับใจความที่ผ่านเกณฑ์คะแนนสอบที่ กำหนดไว้ร้อยละ 70 ของคะแนนเต็ม
3. การหาประสิทิภาพของกระบวนการและประสิทธิภาพของผลลัพธ์ E1:E2 วิธีการนี้เหมาะสมกับนักเรียนกลุ่มค่อนข้างใหญ่ เป็นการหาประสิทิภาพของ นวัตกรรมการเรียนรู้ วิธีการนี้เหมาะสมกับนักเรียนกลุ่มค่อนข้างใหญ่ เป็นการหา ประสิทธิภาพของนวัตกรรมการเรียนรู้ประเภท สื่อการเรียนรู้ เช่น บทเรียน สำเร็จรูป ชุดการสอน แบบฝึก เป็นต้น ซึ่งสามรถคำนวณได้ ดังนี้
เมื่อ ∑ หมายถึง คะแนนรวมของการฝึกปฏิบัติระหว่างเรียน ขณะใช้นวัตกรรม
∑ หมายถึง คะแนนรวมของการทดสอบหลังการใช้นวัตกรรม
A หมายถึง คะแนนเต็มจากการวัดระหว่างเรียน
B หมายถึง คะแนนเต็มของการสอบหลังเรียน
N หมายถึง จ านวนนักเรียน
E1 หมายถึง ประสิทธิภาพของกระบวนการ
E2 หมายถึง ประสิทธิภาพของผลลัพธ์
ดังนั้น E1 : E2 = 80/80 หมายถึง ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยระหว่าง การใช้นวัตกรรมกับหลังการใช้นวัตกรรม เป็น 80/80
เกณฑ์ที่ยอมรับว่าสื่อการสอนมีประสิทธิภาพ คือ
ด้านพุทธิพิสัย E1/E2 มีค่า 80/80 ขึ้นไป
ด้านทักษะปฏิบัติ E1/E2 มีค่า 70/70 ขึ้นไป
ดอยที่ E1/E2 ต้องไม่แตกต่างกันเกินกว่าร้อยละ 5
ครูธิติภัทร ผลิดตสื่อบทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (Computer Assisted Instruction : CAI) ฝึกการอ่านออกเสียง สำหรับนักเรียนชั้น ประถมศึกษาปีที่ 2 จำนวน 5 คน ขณะฝึกปฏิบัติ ครูธิติภัทรทำการประเมิน ภาคปฏิบัติด้วยแบบวัดภาคปฏิบัติ ชุดที่ 1 คะแนนเต็ม 90 คะแนน และทำการวัด เป็นระยะ ๆ 4 ครั้ง หลังจากครูธิติภัทรให้นักเรียนฝึกด้วยใช้สื่อนี้เสร็จเรียบร้อย แล้ว ได้ทำการวัดและประเมินด้วยแบบวัดภาคปฏิบัติ ชุดที่ 2 คะแนนเต็ม 30 คะแนน ซึ่งมีรายละเอียดของข้อมูล ดังนี้
วิธีการค านวณ E1 : E2
แปลความหมาย
E1 : E2 = 86.89/92.00 หมายความว่า ผลที่ได้จากการใช้นวัตกรรม บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) แล้ว พบว่า ร้อยละของคะแนนเฉลี่ยรวม ระหว่างการใช้และหลังหารใช้บทเรียนคอมพิวเตอร์ช่วยสอนเป็น 86.89/92.00
ถ้าทดลองพบว่า สื่อมีประสิทธิภาพไม่ถึงเกณฑ์ที่ต้องทดลองใช้ และ ปรับปรุงจนกระทั่งได้ตามเกณฑ์ที่ก าหนดไว้ ซึ่งในการวิจัยชั้นเรียนอาจทำได้ยาก
4. การหาดัชนีประสิทธิผล จากแนวคิดของ Hofland (อ้างอิงใน บุญ ชม ศรีสะอาด,2544 ,หน้า 158-159) เกณฑ์ดัชนีประสิทธิผลที่ใช้ได้ควรมีค่าตั้งแต่ 0.50 ขึ้นไป (กรมวิชาการ,2545 หน้า 58) ซึ่งทั้งสูตรทั้งกรณีรายบุคคล และทั้งกลุ่ม ดังนี้ (บุญชม ศรีสะอาด, 2544, หน้า 158)
4.1 กรณีรายบุคคล
ตัวอย่าง ผู้เรียน 5 คน สอบก่อนเรียนและหลังเรียน คะแนนเต็ม 10 คะแนน โดยได้รับนวัตกรรม บทเรียนโมดูล ได้ผลการสอยและการคำนวณหาค่า ดัชนีประสิทธิผล ดังตารางข้างล่างนี้
แปลความหมายว่า
ค่าดัชนีประสิทธิผล เท่ากับ 0.62 ซึ่งเกิน 0.50 สรุปว่า นวัตกรรมมีประสิทธิภาพ