กลายเป็นประเด็นที่คนพูดถึงกันหนักพอตัว หลังจากที่เขาตัดสินใจส่ง บรูโน่ แฟร์นันด์ส, สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด ลงเป็นตัวจริงร่วมกัน ทั้งที่ในขุมกำลังของเขายังมีกองกลางชั้นยอดอย่าง ปอล ป็อกบา กับ ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค ให้เลือกใช้ ประเด็นที่ โซลชา ดร็อปทั้ง ป็อกบา
และ ฟาน เดอ เบ็ค นั้น ทำให้ส่วนหนึ่งมองว่าเขาตัดสินใจพลาด เพราะทั้งคู่มีศักยภาพดีเกินกว่าจะออกสตาร์ตด้วยการอยู่ที่ข้างสนาม โดยเฉพาะ ฟาน เดอ เบ็ค ที่เพิ่งย้ายมาอยู่กับทีมด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ ดูบอลสด รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ในการเล่นที่น่าประทับใจในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม อีกกลุ่มหนึ่งก็มองว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว เพราะใน 3 เกมหลังสุดที่ โซลชา ใช้ทั้ง บรูโน่, แม็คโทมิเนย์ และ เฟร็ด เป็นกองกลางตัวจริงนั้น ผลงานของทีมคือชนะ นิวคาสเซิ่ล 4-1, คว้าชัยเหนือ ปารีส แซงต์-แชร์กแมง 2-1 และเสมอ เชลซี 0-0 ต่างกับก่อนหน้านั้นที่นอกจากจะแพ้ 2 เกมจากทั้งหมด 5 นัดแล้วนั้น ทีมของกุนซือชาวนอร์เวย์ ยังเสียประตูเป็นว่าเล่นถึง 11 ลูก ทั้งนี้ หากวิเคราะห์ตามสถิติแล้วนั้นมันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ โซลชา ทำอาจจะสมเหตุสมผล
เพราะนอกจาก แมนฯ ยูไนเต็ด จะมีผลการแข่งขันที่ดีขึ้น การมีทั้ง เฟร็ด และ แม็คโทมิเนย์
อยู่ช่วยข้างหลังมันส่งผลให้ บรูโน่ โชว์ฟอร์มได้ดีกว่าตอนที่ขาดทั้งคู่ด้วย นับตั้งแต่ที่ บรูโน่ ย้ายมาอยู่กับ แมนฯ ยูไนเต็ด เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมา เขาได้ลงเป็นตัวจริงร่วมกับทั้ง แม็คโทมิเยน์ และ เฟร็ด ในลีกไป 4 ครั้ง
ซึ่งในจำนวนนั้นดาวเตะชาวโปรตุกีสมีค่าเฉลี่ยการสร้างโอกาสทำประตูจากจังหวะโอเพ่นเพลย์ได้ถึง 3 หน ในทางตรงกันข้าม จากเกมลีก 15 นัดที่ บรูโน่ ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงโดยที่ไม่มีทั้งคู่อยู่เคียงข้างตั้งแต่ต้นเกมนั้น (นับรวมทั้งเวลาที่ทั้งคู่ไม่ได้เป็นตัวจริง หรือมีแค่คนใดคนหนึ่งระหว่าง แม็คโทมิเนย์ กับ เฟร็ด ได้เป็นตัวจริงพร้อมกับ บรูโน่) อดีตแข้ง สปอร์ติ้ง ลิสบอน สามารถสร้างประตูจากจังหวะโอเพ่นเพลย์ได้แค่ 1.7 ครั้งต่อเกม เรียกได้ว่าน้อยกว่าเกือบ 1 เท่าเลย ยิ่งไปกว่านั้น เวลาที่มี เฟร็ด กับ แม็คโทมิเนย์ คอยช่วยตั้งแต่วินาทีแรก บรูโน่ ยังสามารถผ่านบอลเข้าไปในกรอบเขตโทษของคู่แข่งได้ถึง 14 ครั้งต่อเกม ขณะที่พอไม่มีอีก 2 คนเป็นตัวจริงพร้อมกับเขานั้นเจ้าตัวทำผลงานในด้านนี้ได้แค่ 9.2 หนต่อเกมเท่านั้น
แถมตอนที่ทั้งคู่ลงเป็นตัวจริงพร้อมกับเขา บรูโน่ ยังเล่นเกมบุกได้อย่างเต็มที่จนมีค่าเฉลี่ยการเลี้ยงบอลผ่านคู่แข่ง 2.8 ครั้งต่อเกม ต่างกับการทำได้เพียง 1.6 ครั้งต่อนัดตอนไร้เงาของคู่ซี้สกอตต์-บราซิเลียน แบบแทบจะคนละโลก