แนวทางการศึกษาพื้นที่สีเขียว/ต้นไม้
(Approach to Studying Green Spaces and Trees)
(Approach to Studying Green Spaces and Trees)
ตามแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนในระดับโลก (The Sustainable Development Goals)ได้กำหนด เป้าหมายที่ 15: ปกป้อง ฟื้นฟู และสนับสนุนการใช้ระบบนิเวศบนบกอย่างยั่งยืน จัดการป่าไม้อย่างยั่งยืน ต่อสู้กับ การกลายสภาพเป็นทะเลทราย หยุดการเสื่อมโทรมของที่ดินและฟื้นภาพกลับมาใหม่ และหยุดการสูญเสียความ หลากหลายทางชีวภาพ (Protect, restore and promote sustainable use of terrestrial ecosystems, sustainably manage forests, combat desertification, and halt and reverse land degradation and halt biodiversity loss) เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องดำเนินการให้ความตระหนักในทุกประเทศทั่วโลก ซึ่งประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community) ก็ได้กำหนดยุทธศาสตร์ที่ 2 การพัฒนาคุณภาพชีวิตและ การคุ้มครองทางสังคม เพื่อให้ประชาชนได้รับการคุ้มครองทางสังคมมีสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่มั่นคงปลอดภัย โดยมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ยุทธศาสตร์ที่ 5 ด้านการสร้างการเติบโตบนคุณภาพชีวิตที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ยุทธศาสตร์จังหวัด ประเด็นการพัฒนาที่ 3 การบริหารจัดการธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนยุทธศาสตร์การพัฒนาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในเขตจังหวัดนครศรีธรรมราช ยุทธศาสตร์ที่ 2 การบริหาร จัดการทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อมและพลังงาน นโยบายผู้บริหารเทศบาลเมืองทุ่งสง นโยบายการพัฒนาที่ 2 นโยบายด้านการร่วมสร้างเมืองทุ่งสงสู่เมืองสะอาด (2.2)
ดัชนีในการวัดความสมบูรณ์ของธรรมชาติและการดูแลรักษาธรรมชาติในพื้นที่จะวัดได้จาก ความ หลากหลายของสิ่งมีชีวิต ได้แก่ สัตว์ขนาดเล็ก นก ผีเสื้อ แมลง สิ่งมีชีวิตเล็ก ๆอื่น ๆ และความหลากหลายของ ต้นไม้ ดังนั้นในการจะดำเนินการในด้านอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ต้องให้ประชากรในพื้นที่รู้ว่าในพื้นที่ตนเองอาศัย ชุมชนที่เราอยู่ร่วมกันมีความหลากหลายอะไรอยู่บ้าง เพื่อที่จะได้ตระหนัก เล็งเห็นความสำคัญในการร่วมรักษาและร่วมกันฟื้นฟูธรรมชาติให้เหมาะสมกับการอาศัยของมนุษย์ ซึ่งดัชนีที่ใช้วัดความสมบูรณ์ที่สำคัญมากได้แก่ ความหลากหลายต้นไม้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่บงชี้ถึงความอุดมสมบูรณ์เป็นแหล่งอาหารของสิ่งมีชีวิต เป็นที่อาศัยที่มี ความปลอดภัยและผลิตอากาศที่บริสุทธิ์เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง
การศึกษาครั้งนี้เทศบาลเมืองทุ่งสงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาจำนวนต้นไม้ในเขตป่าชุมชน ป่าสาธารณะใน เขตเทศบาลเมืองทุ่งสง เพื่อใช้ในการฟื้นฟูและอนุรักษ์โดยกระบวนการการมีส่วนร่วม มีรายละเอียดในการ ด าเนินการในส่วนของข้อมูลของความหลากหลายในเขตสวนพฤกษาสิรินธร สร้างชุดสื่อประชาสัมพันธ์ในการ สื่อสารสาธารณะเพื่อการรับรู้และช่วยกันอนุรักษ์ รวมถึงได้ฐานข้อมูลต้นไม้
ป่าไม้
ป่าไม้ หมายถึงระบบนิเวศที่ประกอบด้วยต้นไม้เป็นองค์ประกอบหลัก รวมถึงสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ เช่น พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์ จุลินทรีย์ และสภาพแวดล้อมทางกายภาพ ซึ่งมีความสัมพันธ์และพึ่งพากันในเชิงนิเวศ ป่าไม้ไม่เพียงแต่ เป็นพื้นที่ที่มีความหลากหลายทางชีวภาพสูง แต่ยังมีบทบาท สำคัญในระบบนิเวศโลก เช่น การควบคุมวงจร คาร์บอน การช่วยลดโลกร้อน การกักเก็บน้ำ และการเป็นแหล่งทรัพยากรที่มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์ได้ ตามนิยามของ องค์การอาหารและเกษตรแห่งสหประชาชาติ (FAO) ป่าไม้มีคุณสมบัติส าคัญดังนี้: ขนาดพื้นที่: มีเนื้อที่ไม่น้อยกว่า 3.125 ไร่ (หรือ 0.5 เฮกตาร์) ความหนาแน่นของเรือนยอด : มีเรือนยอดต้นไม้ปกคลุมพื้นที่ มากกว่าร้อยละ 10 ของพื้นที่ทั้งหมด ลักษณะการเกิด: อาจเป็นป่าธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือ ป่าปลูกที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น การฟื้นฟูระบบนิเวศ การผลิตไม้เศรษฐกิจ หรือการสร้างพื้นที่ สีเขียว
ลักษณะการเกิด: อาจเป็นป่าธรรมชาติที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติหรือป่าปลูกที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อ วัตถุประสงค์ต่าง ๆ เช่น การฟื้นฟูระบบนิเวศ การผลิตไม้เศรษฐกิจ หรือการสร้างพื้นที่สีเขียว
ปัจจัยที่เกี่ยวของกับชนิดป่าไม้
ธวัชชัย (2555) อธิบายปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดป่าหรือสังคมพืชชนิดต่าง ๆ ในประเทศไทย พอสรุป ได้อย่างกว้าง ๆ คือ
ลมฟ้าอากาศ(climatic) โดยเฉพาะฤดูกาลและปริมาณของฝนเฉลี่ยรายปีตลอดจนการกระจายของฝน จำนวนวันที่ฝนตกในแต่ละปี เนื่องจากประเทศไทยตั้งอยู่ในแนวเขตที่มีการแบ่งแยกฤดูกาลระหว่างฤดูฝนและฤดูแล้งชัดเจน (seasonal) ได้แก่ พื้นที่ภาคกลาง (ตั้งแต่บริเวณเหนือจังหวัดชุมพร) ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ มีปริมาณฝนเฉลี่ยรายปีประมาณ 1,050–1,470 มม. จ านวนวันฝนตกเฉลี่ยรายปี 75-97 วัน ป่าส่วนใหญ่จะเป็นป่าชนิดที่ผลัดใบ (deciduous forest) ในฤดูแล้ง ได้แก่ ป่าเบญจพรรณ หรือ ผลัดใบและป่าเต็งรัง ยกเว้นพื้นที่บริเวณหุบเขาที่ชุ่มชื้น พื้นที่ริมล าธาร แม่น้ า ซึ่งมีความชุ่มชื้นตลอดปี
ป่าผสม ป่าที่ขึ้นอยู่จะเปลี่ยนสภาพไปเป็นป่าชนิดที่ไม่พลัดใบ (evergreen forest) ได้แก่ ป่าดิบแล้ง (seasonal rain forest หรือ semi-evergreen forest หรือ dry evergreen forest) พื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออก มีปริมาณน้ าฝน เฉลี่ยรายปีประมาณ 1,760-3,140 มม. จำนวนวันฝนตกเฉลี่ยรายปี 102-105 วัน ป่าส่วนใหญ่จะเป็นป่าที่ไม่ ผลัดใบ (evergreen forest) บริเวณที่มีฝนตกชุกและมีช่วงฤดูแล้งที่ค่อนข้างสั้นหรือเกือบจะไม่มีฤดูที่แบ่งแยก ชัดเจน ป่าจะเป็นป่าดิบชื้น (topical evergreen rain forest) บริเวณอื่นที่มีช่วงฤดูแล้งชัดเจนจะมีไม้ผลัดใบ (deciduous tree) ขึ้นแทรก ป่าประเภทนี้จึงมีลักษณะโครงสร้างคล้ายป่าดิบแล้งของภาคอื่น ๆ แต่จะแตกต่างกัน บ้างในองค์ประกอบชนิดพรรณไม้กล่าวได้ว่า ลมฟ้าอากาศเป็นปัจจัยที่ส าคัญที่สุดที่ก่อให้เกิดป่าชนิดต่าง ๆ (climatic formation) ในประเทศไทย
ชนิดของดิน-หิน (edaphic) บริเวณที่มีดินลึกอุดมสมบูรณ์ เก็บความชุ่มชื้นไว้ได้มากหรือน้อยตลอดปี จะเป็นปัจจัยกำหนดชนิดป่าที่ขึ้นอยู่แตกต่างกันไปได้อย่างมาก จากป่าบนพื้นที่มีดินตื้นไม่สมบูรณ์ แห้งแล้งและไม่ สามารถเก็บความชื้นในดินไว้ในฤดูแล้งได้ ในท้องถิ่นที่มีฤดูแล้วและฤดูฝนแยกกันชัดเจนป่าส่วนใหญ่จะเป็น ประเภทป่าผลัดใบ ในบริเวณพื้นที่ดินค่อนข้างอุดมสมบูรณ์จะเป็นป่าผลัดใบหรือป่าเบญจพรรณ โดยเฉพาะเป็นดิน ที่สลายมาจากหินปูน มักจะพบไม้สักขึ้นเป็นกลุ่มหนาแน่น ส่วนในดินตื้นหรือดินทราย ดินลูกรังจะเป็นป่า เต็งรัง แดงหรือป่าแพะ พื้นที่ตามชายฝั่งทะเลมีน้ าทะเลท่วมถึงมีดินเลนจะพบป่าโกงกางหรือป่าชายเลน (mangrove forest) สวนพื้นที่ริมฝั่งน้ าที่ฤดูฝนน้ าจะล้นตลิ่งท่วมขัง พื้นที่จะเปลี่ยนสภาพเป็นพรุ ป่าชนิดป่าบึง น้ าจืด หรือป่าทุ่ง-ทาม (freshwater swamp forest) บางพื้นที่ที่มีการขังของน้ าจืดอย่างถาวรและมีการทับถมของ ซากอินทรีย์วัตถุที่ไม่ค่อยผุสลาย ป่าจะมีลักษณะเป็นป่าพรุ (peat swamp forest)
ความสูงเหนือระดับน้ าทะเลปานกลาง (elevation) มีความสัมพันธ์โดยตรงกับอุณหภูมิ (temperature) และความชุ่มชื้นในอากาศ (atmospheric humidity) ตั้งแต่ระดับความสูงประมาณ 1,900- 2,565 เมตร จะอยู่ ในเขตปกคลุมของเมฆฝนตลอดทั้งปี เรียกวา ป่าเมฆ (cloud forest) จะเป็นป่าไม่ผลัดใบ
ชีวปัจจัย (biotic) ได้แก่ ป่าที่เกิดขึ้นจากมนุษย์ที่ก่อให้เกิดผลกระทบทางตรงและทางอ้อม ไฟป่าที่เกิดขึ้น ประจ าปีในชวงฤดูแล้งส่วนใหญ่เกิดจากการจุดไฟเผานา-ไร่ หรือจุดเผาพืชล่างในป่า ไฟป่าที่เกิดขึ้นเป็นประจ า โดยเฉพาะในป่าผลัดใบ ท าให้เกิดป่าผสมผลัดใบหรือป่าเบญจพรรณและป่าเต็งรังขึ้น การเลี้ยงสัตว์ในป่าและการ แผ้วถางป่า ท าให้ป่าธรรมชาติดั้งเดิมเปลี่ยนสภาพเป็นป่ารุ่น ป่าใสอ่อนหรือป่าเหล่า (secondary growth)
ชนิดป่าในประเทศไทย
1. ป่าดิบชื้น (Tropical Evergreen Rain Forest) ลักษณะ:ป่าฝนเขตร้อนที่มีความชุ่มชื้นสูงตลอดปี พันธุ์ไม้เขียวชอุ่มตลอดเวลา พื้นที่พบ:ภาคใต้ตอนล่างตั้งแต่จังหวัดนครศรีธรรมราชและตรังลงไป พรรณไม้ส าคัญ:ยางนา ตะเคียน ยางกล่อง ไข่เขียว สะตอ หวาย เถาวัลย์ มอส เฟิร์น
2. ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) ลักษณะ:ป่าดิบที่มีความชื้นน้อยกว่าและพบในพื้นที่แห้งแล้ง เช่น บริเวณหุบเขาและพื้นที่สูง พื้นที่พบ:ภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และบางส่วนของภาคกลาง พรรณไม้ส าคัญ:ยางนา ตะเคียนทอง มะค่าโมง สัก เต็ง
3. ป่าดิบเขา (Hill Evergreen Forest) ลักษณะ:ป่าดิบที่ขึ้นบนพื้นที่สูงกว่าระดับน้ าทะเล 1,000 เมตร มีอากาศเย็นและความชื้นสูง พื้นที่พบ:บริเวณภูเขาสูงในภาคเหนือ เช่น ดอยอินทนนท์ ดอยสุเทพ พรรณไม้ส าคัญ:สนเขา ก่อ ไม้ในวงศ์กุหลาบพันปี และเฟิร์นขนาดใหญ่
4. ป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest) ลักษณะ:ป่าผลัดใบที่มีความหลากหลายของพันธุ์ไม้ มักมีลักษณะเปิดโล่งในฤดูแล้ง พื้นที่พบ:ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ พรรณไม้ส าคัญ:สัก พะยูง มะค่าโมง ประดู่ ไผ่
5. ป่าเต็งรัง (Dry Dipterocarp Forest) ลักษณะ:ป่าผลัดใบที่มักพบในพื้นที่แห้งแล้ง ดินตื้น และดินทราย มีพืชขึ้นน้อยและทนแล้งได้ดี พื้นที่พบ:ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและบางส่วนของภาคเหนือ พรรณไม้ส าคัญ:เต็ง รัง เหียง พลวง กาสามปีก
1. ป่าชายเลน (Mangrove Forest): พบในพื้นที่ชายฝั่งทะเลที่มีน้ ากร่อย เช่น จังหวัดระนอง กระบี่ สมุทรสงคราม พรรณไม้ส าคัญ: โกงกาง แสม ลำพู ลำแพน
2. ป่าชายหาด (Beach Forest): พบตามแนวชายหาดและพื้นที่ทรายชายฝั่งทะเล พรรณไม้ส าคัญ: สนทะเล หูกวาง จิกทะเล
3. ป่าเขาหินปูน (Limestone Forest): พบตามพื้นที่หินปูน เช่น ภาคตะวันตกและภาคใต้ พรรณไม้ส าคัญ: ไม้พุ่มและไม้ล้มลุกเฉพาะถิ่น
อ าเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช มีสภาพภูมิประเทศที่หลากหลาย ประกอบด้วยพื้นที่ราบเชิงเขาและ ภูเขาล้อมรอบ ท าให้เป็นพื้นที่ที่มีป่าไม้นานาชนิด โดยสามารถแบ่งชนิดของป่าไม้ที่พบในพื้นที่นี้ได้ดังนี้: ป่าดิบชื้น (Tropical Evergreen Rain Forest) ป่าดิบแล้ง (Dry Evergreen Forest) ป่าเบญจพรรณ (Mixed Deciduous Forest) และป่าเขาหินปูน (Limestone Forest