“ความช่วยเหลือของข้าพเจ้าย่อมมาจากพระเจ้า
ผู้ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน” (สดุดี 121:2)
มีใครบ้างในพวกเรา ที่ในบางช่วงของชีวิตรู้สึกท้อแท้ หมดหวัง และไม่สามารถที่จะก้าวต่อไปได้
ผู้แต่งบทสดุดีที่ 121 มีความรู้สึกเช่นนี้ เมื่อเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก จึงเกิดความสงสัยว่า จะหาความช่วยเหลือที่ต้องการได้จากที่ไหน
คำตอบ คือการยืนยันความเชื่อมั่นในพระเจ้า ที่ผู้เขียนไว้วางใจ เป็นความเชื่อมั่นคงต่อองค์พระเจ้าผู้ทรงเฝ้าดูแล ทรงคุ้มครองทุกคนและทุกชนชาติ ซึ่งความไว้วางใจนี้เป็นผลมาจากการที่เรามีประสบการณ์ชีวิตจิตกับพระองค์
“ความช่วยเหลือของข้าพเจ้าย่อมมาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน”
อันที่จริง บทสดุดีต่อจากพระวาจานี้ เป็นการประกาศถึงพระเจ้าองค์ความรักและทรงอานุภาพ พระองค์ทรงสร้างทุกสิ่งที่ปรากฏอยู่ ทรงเฝ้าดูแลรักษาไว้ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน พระองค์ “จะไม่ปล่อยให้เท้าของท่านสะดุด จะไม่ยอมให้ผู้ดูแลท่านง่วงหลับไป” นี่คือ คำของผู้เขียนบทสดุดี ท่านต้องการให้ความมั่นใจกับผู้ที่อ่านบทสดุดีนี้
ในความยากลำบากที่รุมล้อมท่าน ผู้เขียนได้ยกสายตาขึ้นเบื้องบน มองหาสิ่งที่อยู่เหนือสถานการณ์ในปัจจุบัน ซึ่งทำให้ท่านได้พบกับคำตอบ
เราต่างมีประสบการณ์ว่า เคยได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้าผู้ทรงประทานชีวิตต่อสิ่งสร้างทั้งปวง อีกทั้งพระองค์ยังทรงคุ้มครองรักษาไว้เสมอ และจะไม่ทรงทอดทิ้งเลย
ผู้เขียนมีความเชื่อมั่นคงในองค์พระเจ้า พระองค์ทรงเฝ้าดูแลเราทุกวันทุกคืน พระองค์เป็น “ผู้พิทักษ์ชนชาติอิสราเอล” ดังนั้น ความเชื่อมั่นคงนี้จะต้องถ่ายทอดไปสู่ผู้อื่นต่อไป
“ความช่วยเหลือของข้าพเจ้าย่อมมาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน”
เคียร่า ลูบิค กล่าวไว้ว่า “ในช่วงเวลาที่ไม่มีความแน่นอน เศร้าหมอง เฉื่อยชา พระเจ้าทรงขอให้เราเชื่อมั่นในความรักและวางใจในพระองค์ ทรงต้องการให้เราได้เข้าใจถึงความทุกข์ยากลำบากที่เกิดขึ้นนั้น เพื่อแสดงกับพระองค์ว่า เราเชื่อในความรักของพระองค์ ซึ่งหมายถึงพระองค์ทรงเป็นบิดาของเรา พระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งเรา ให้เรามอบความกังวลใจทั้งหมด และมอบทุกสิ่งทุกอย่างไว้กับพระองค์”
พระเจ้าจะทรงช่วยเหลือเราแต่ละคนได้อย่างไร
ในพระคัมภีร์มีเรื่องราวมากมายที่เกิดขึ้นกับบุคคลทั้งชายและหญิง เช่น โมเสส เอลียา เอลีชา นางเอสเธอร์ ที่พระเจ้าทรงเรียกมาเป็นเครื่องมือของพระองค์ เพื่อคุ้มครอง ดูแลเฉพาะบุคคลหรือดูแลคนทั้งชาติ
เราก็เช่นเดียวกัน “หากเรายกสายตาขึ้นเบื้องบน” เราจะตระหนักถึงการกระทำของผู้คนที่ให้ความช่วยเหลือเรา ไม่ว่าจะโดยรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม เราต้องขอบพระคุณพระเจ้าผู้ทรงเป็นที่มาของความดีงามทั้งปวง เพราะพระองค์ทรงสร้างจิตใจของเราแต่ละคน เราจะสามารถเป็นพยานถึงความดีงามนี้แก่ผู้อื่นได้
เป็นเรื่องยากที่จะทำเช่นนี้ หากเราปิดกั้นตัวเรา และพึ่งพาแต่ความสามารถของตนเอง ในการแก้ปัญหาในช่วงเวลาของความทุกข์ยากลำบาก ตรงกันข้าม เมื่อเราเปิดใจมากขึ้น และมองดูรอบตัวเรา เราก็จะพบว่า เราสามารถเป็นเครื่องมือของพระเจ้า ผู้ทรงดูแลลูกๆ ของพระองค์ได้ เรารับรู้ถึงความกังวลของผู้อื่น และสามารถให้ความช่วยเหลือที่จำเป็นอย่างยิ่งแก่พวกเขาได้
“ความช่วยเหลือของข้าพเจ้าย่อมมาจากพระเจ้า ผู้ทรงสร้างท้องฟ้าและแผ่นดิน”
โรเจอร์เป็นชาวคอสตาริกาเล่าว่า มีพระสงฆ์ท่านหนึ่งจะนำสิ่งของมาบริจาคให้กับศูนย์สังคมที่ผมทำงานอยู่ ขณะที่ผมนั่งรอท่านอยู่นั้น ผมเห็นเพื่อนบ้านคนหนึ่งเดินผ่านมา เธอยากจนมาก ผมจึงให้อาหาร และไข่ไก่ 7 ฟองทั้งหมดที่มีให้กับเธอ เธอประหลาดใจมาก และพูดว่า เธอ สามี และลูกๆ ไม่มีอาหารสำหรับครอบครัวเลย ผมจึงบอกกับเธอถึงประโยคหนึ่งในพระวรสาร คือ “จงขอเถิด แล้วท่านจะได้รับ” (มัทธิว 7:7) ผมพูดกับเธออีกว่า พระองค์ทรงรู้ล่วงหน้าแล้วถึงสิ่งที่เราต้องการ เธอกลับไปบ้านด้วยความกตัญญูรู้คุณต่อพระเจ้า
ในตอนบ่าย พระสงฆ์ที่ผมรออยู่นั้นได้มาถึง ผมชงกาแฟให้ท่านดื่ม และผมได้ถามถึงสิ่งของที่คุณพ่อนำมาบริจาค ท่านก็ตอบว่า “ไข่ไก่” คุณพ่อได้มอบไข่ไก่ 32 ฟองให้กับผมทันที
โดย ซิลวาโน มาลินี และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
“จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว”
(ลูกา 15:6)
คนเลี้ยงแกะในประเทศทางตะวันออกกลางสมัยโบราณ มักจะนับจำนวนแกะหลังกลับจากพาไปกินหญ้า หากมีแกะหายไปพวกเขาก็พร้อมที่จะออกไปตามหา พวกเขาใจกล้ามากแม้จะต้องเดินข้ามทะเลทรายในยามค่ำคืนเพื่อจะตามหาแกะที่หลงทาง
นิทานเปรียบเทียบเรื่องแกะที่หายไปและได้พบใหม่นี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า คนเลี้ยงแกะมีความรักต่อแกะของเขามาก คือพอเขารู้ว่ามีแกะตัวหนึ่งหายไป เขาก็เริ่มออกไปตามหาทันที เมื่อพบแล้ว เขาก็อุ้มแกะใส่บ่า เนื่องจากแกะไม่มีแรงเพราะความกลัวหรือได้รับบาดเจ็บ หากไม่ช่วย แกะอาจเดินตามเจ้าของแกะไม่ได้ เขาจะนำแกะกลับมาในฝูงอย่างปลอดภัย และเขาจะเชื้อเชิญเพื่อนบ้านมาเลี้ยงฉลองด้วยความยินดี
“จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว”
นิทานเปรียบเทียบนี้ มีสามสิ่งที่เราน่าจะนำมาพิจารณา คือการหายไป การได้พบ และการเลี้ยงฉลอง
การหายไปหรือเมื่อเราหลงทางไป ข่าวดีก็คือพระเจ้าออกตามหาผู้ที่หลงทางไป เรามักจะหลงทางในสถานการณ์ต่างๆ ที่เราเผชิญ หรือจากการใช้ชีวิตของเรา สิ่งที่เรากำลังพูดถึงนี้รวมความไปถึงการถูกทอดทิ้ง
การไม่ได้รับการยอมรับ ความยากจน การเข้าใจผิด หรือการแตกแยก สิ่งเหล่านี้เป็นเสมือนทะเลทรายที่เราไม่เห็นหนทางชัดเจนในที่ต่างๆ พระเจ้าเปรียบดังคนเลี้ยงแกะ พระองค์ยังคงตามหาเรา แม้ว่าเราจะมองไม่เห็นพระองค์ แต่พระองค์จะทรงตามหาเราจนพบอย่างแน่นอนเสมอ
การได้พบ เราลองนึกภาพคนเลี้ยงแกะที่รีบเร่งออกไปตามหาแกะในทะเลทราย ซึ่งเป็นภาพที่แสดงออกที่ทรงพลัง ทำให้เราเข้าใจได้ถึงความยินดีทั้งคนเลี้ยงแกะและแกะ การพบกันนี้แกะจะรู้สึกปลอดภัยอีกครั้ง ไม่กลัวอันตราย ดังนั้น “การพบอีกครั้ง” นี้เป็นพระเมตตาของพระเจ้า
การเลี้ยงฉลอง คนเลี้ยงแกะเรียกเพื่อนๆ มาเลี้ยงฉลองเพราะเขาต้องการแบ่งปันความยินดี เหมือนกับในนิทานเปรียบเทียบอีกสองเรื่อง คือ เรื่องเงินเหรียญที่หายไป และเรื่องบิดาผู้เปี่ยมด้วยความเมตตา พระเยซูเจ้าทรงต้องการบอกเราว่า การร่วมยินดีกับทุกคนนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญ และทรงช่วยเราไม่ให้ตัดสินผู้อื่น เพราะเราทุกคนต่างเคยหลงไปและได้พบกันอีก
“จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว”
พระวาจาทรงชีวิตนี้เชิญชวนเรา ให้มีความกตัญญูรู้คุณต่อพระเมตตาที่พระเจ้าทรงมีต่อเราแต่ละคน การร่วมในความชื่นชมยินดี และการเฉลิมฉลองเป็นการแสดงออกของความเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งหมายถึงไม่มีการแบ่งแยกระหว่างคนดีและคนบาป แต่เรามาร่วมแสดงความยินดีต่อกันและกัน
ในบันทึกของเคียร่า ลูบิค ตอนหนึ่งนั้น “เธอเชื้อเชิญเราให้เข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้า และเชื่อในความรักของพระองค์ เรามักชอบ
คำนวณหรือวางกฎเกณฑ์ว่า ความรักของพระเจ้าจะลดน้อยถอยลง แต่ความคิดของพระเจ้าต่างจากความคิดของเรา พระเจ้าทรงรอคอยเราเสมอ
และการกลับมาของเราทุกครั้งนำความยินดียิ่งใหญ่มาให้พระองค์ แม้เราจะกลับมาหาพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าจนนับไม่ถ้วนก็ตาม”
“จงร่วมยินดีกับฉันเถิด ฉันพบแกะตัวที่หายไปนั้นแล้ว”
บางครั้งเราอาจจะเป็นเสมือนคนเลี้ยงแกะ เป็นคนดูแลคนอื่น และต้องตามหาคนอื่นที่ออกห่างจากเราไป จากการเป็นเพื่อน จากชุมชนของเรา หรือเราอาจต้องตามหาคนชายขอบ คนหลงทาง หรือคนที่ออกห่างไปเพราะความยากลำบากของชีวิต
คุณครูคนหนึ่งเล่าว่า “มีนักเรียนบางคนไม่มาโรงเรียน ดิฉันจึงไปยังตลาดที่อยู่ติดกับโรงเรียน และหวังว่าจะพบกับพวกเขาที่นั่น เพราะดิฉันรู้ว่าบางคนต้องออกไปทำงานหาเงิน วันหนึ่งดิฉันได้พบพวกเขา ซึ่งทำให้พวกเขาประหลาดใจที่ดิฉันออกมาตามหา พวกเขารู้สึกประทับใจมากที่เห็นว่า พวกเขามีความสำคัญต่อโรงเรียน ผลที่ตามมาก็คือพวกเขาได้มาโรงเรียนทุกวัน และสิ่งนี้นำความยินดีมาสู่ทุกคน”
โดย แพทริเซีย มัสโซล่า และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
“ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะ
อยู่ที่นั่นด้วย” (ลูกา 12:34)
นักบุญลูกา ผู้เขียนพระวรสารได้เล่าว่าพระเยซูเจ้าทรงมอบคำสอนนี้ให้กับบรรดาศิษย์ ในขณะที่พวกเขากำลังเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งจะเป็นที่ที่พระเยซูเจ้าจะทรงรับทุกข์ทรมาน ทรงสิ้นพระชนม์ และทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ ในขณะเดินทาง พระเยซูเจ้าทรงเรียกพวกเขาว่า “ฝูงแกะน้อย ๆ เอ๋ย” และพระองค์ทรงมอบสิ่งที่อยู่ในส่วนลึกของจิตวิญญาณของพระองค์ให้กับพวกเขา ความรู้สึกนึกคิดในส่วนลึกของพระองค์นี้ รวมไปถึงความจำเป็นที่จะต้องตัดสละจากสิ่งของของโลก และให้ไว้วางใจในพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า ให้เฝ้าระวัง ให้เจริญชีวิตเฝ้าคอยพระอาณาจักรของพระเจ้า
ก่อนที่พระเยซูเจ้าจะทรงกล่าวถึงพระวาจาตอนนี้ พระเยซูเจ้าทรงเตือนศิษย์ของพระองค์ ไม่ให้ติดใจในทรัพย์สมบัติ ไม่ให้ห่วงกังวลถึงชีวิตของตน พระองค์ตรัสว่าอย่าห่วงกังวลในเรื่องข้าวของที่จำเป็น เพราะพระบิดาเจ้าสวรรค์ทรงทราบดีว่า ท่านต้องการสิ่งใด พระองค์ตรัสว่าจงแสวงหาพระอาณาจักรของพระเจ้าก่อน จงสะสม “ทรัพย์สมบัติแท้จริงในสวรรค์” แน่นอนพระเยซูเจ้ามิได้ส่งเสริมให้เรามองสิ่งของของโลกในแง่ลบ หรือไม่สนใจ ไม่รับผิดชอบหน้าที่การงาน แต่พระองค์ทรงต้องการให้เราสละละทิ้งความวุ่นวายใจ ความห่วงกังวล หรือความกลัว
“ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย”
“ใจ” ในที่นี้ หมายถึงศูนย์กลางชีวิตของคนคนหนึ่ง เป็นเป้าหมายชีวิตของแต่ละคน เป็นที่ที่เราพบความจริงใจ ไม่ใช่การหลอกลวงหรือการเสแสร้ง สิ่งนี้บ่งบอกถึงความตั้งใจที่แท้จริงของเรา ในสิ่งที่เราคิด ในสิ่งที่เราเชื่อ หรือในสิ่งที่เราต้องการ ทรัพย์สมบัติ คือสิ่งที่เราถือว่ามีคุณค่าสูงสุดเหนือสิ่งอื่นใด เราเชื่อในสิ่งนี้ เพราะให้ความมั่นคงกับเราทั้งในบัดนี้และในอนาคต
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเขียนไว้ว่า “ในโลกที่มีการซื้อ-ขายอยู่ตลอดเวลา ผู้คนมีความรู้สึกมากยิ่งขึ้นว่า คุณค่าของตนนั้นขึ้นอยู่กับสิ่งที่ตนสะสมไว้ด้วยอำนาจของเงิน เรารู้สึกว่าจะต้องซื้อหาเพื่อที่จะต้องมีใช้ เราถูกระบบการตลาดครอบงำ ไม่ให้เรามองข้ามสิ่งที่สำคัญและเป็นแก่นสารในชีวิต” ซึ่งในส่วนลึกสุดของเรามนุษย์ เรายังเฝ้าแสวงหาความสุขแท้ที่ไม่ทำให้เราผิดหวัง เพราะทรัพย์สมบัติของโลกนี้ไม่อาจทำให้เราอิ่มใจได้
เคียร่า ลูบิค เคยเขียนไว้ว่า “ใช่แล้ว นั่นแหละ คือสิ่งที่คุณแสวงหาในหัวใจคุณ คุณแสวงหาสิ่งที่ไม่มีขอบเขต สิ่งที่ไม่ตาย ความหวังที่ไม่สิ้นหวัง ความเชื่อที่จะอยู่รอดจากความมืดมิดของความตาย และเป็นแสงสว่างให้กับคนที่มีความเชื่อ คุณไม่ได้หวังในสิ่งที่ไร้ความหวัง คุณไม่ได้เชื่อในสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง แต่คุณมีความหวัง มีความเชื่อ เพื่อที่จะรัก”
“ทรัพย์สมบัติของท่านอยู่ที่ใด ใจของท่านก็จะอยู่ที่นั่นด้วย”
พระวาจานี้เชิญชวนให้เราพิจารณามโนธรรมอีกครั้งว่า ทรัพย์สมบัติของฉันคืออะไร ฉันให้คุณค่ากับอะไรมากที่สุด อาจมีคำตอบหลากหลาย เช่น ฉันต้องการความมั่นคงทางการเงิน อยากมีชื่อเสียง อยากประสบความสำเร็จ และมีอำนาจ ประสบการณ์สอนเราว่า เราจะต้องหวนกลับมาหาชีวิตที่แท้จริงอยู่ตลอดเวลา อย่าเดินออกนอกลู่นอกทาง แต่ให้เรากลับมาหาความรักแท้จริงตามแบบพระวรสาร
“การเป็นคริสตชน ความสัมพันธ์ของเรากับเพื่อนพี่น้องนั้น เพียงแค่เราเป็นคนดี มีเมตตา ถ่อมตน อ่อนโยน และอดทนเท่านั้นคงไม่เป็นการเพียงพอ แต่เราจะต้องมีความรักอย่างที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเรา การรักเช่นนี้มิใช่เพียงแค่พร้อมที่จะให้ชีวิต แต่ต้องให้ชีวิต”
เราต้องรักเพื่อนพี่น้องทุกคนที่เราพบในแต่ละวัน ไม่ว่าในครอบครัว ในที่ทำงาน หรือในที่อื่นๆ ด้วยมาตรฐานนี้ หากเราเจริญชีวิตโดยไม่คิดถึงตนเอง แต่คิดถึงการเจริญชีวิตเพื่อผู้อื่น เราจะพบอิสรภาพที่แท้จริง
โดย ออกุสโต พาโรดี้ เรเยส และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
“แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่ง เดินทางผ่านมาใกล้ ๆ เห็นเขาก็
รู้สึกสงสาร” (ลูกา 10:33)
มาร์ตินากำลังเดินทางโดยรถไฟใต้ดินในเมืองใหญ่แห่งหนึ่งของประเทศยุโรป เขาสังเกตเห็นว่าผู้โดยสารทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับโทรศัพท์มือถือของตนเอง เขาคิดในใจว่า แม้พวกเขาจะติดต่อสื่อสารกันก็จริง แต่พวกเขากลับถูกจำกัดอยู่อย่างโดดเดี่ยว จึงพูดกับตนเองว่า “เราไม่สามารถมองหน้ากันและกันได้อีกแล้วหรือ”
นี่เป็นเหตุการณ์ที่เราพบเจอกันทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อสังคมของเรามั่งคั่งเพียบพร้อมไปด้วยข้าวของเครื่องใช้ แต่ความสัมพันธ์ของผู้คนที่มีต่อกันและกันกลับลดน้อยถอยลง อย่างไรก็ตาม พระวรสารมักจะให้ข้อเสนอดั้งเดิมและสร้างสรรค์เสมอเพื่อ “ทำให้ทุกสิ่งใหม่”
ในการสนทนาอันยาวนานของนักกฎหมายกับพระเยซูเจ้า เขาถามพระองค์ว่า ทำอย่างไรจึงจะได้ชีวิตนิรันดร พระเยซูเจ้าทรงตอบเขาด้วยอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี ในเนื้อเรื่อง มีสมณะและชาวเลวี ผู้ซึ่งสังคมในสมัยนั้นให้ความเคารพ ได้เห็นชายผู้หนึ่งที่ถูกโจรปล้นและถูกทำร้าย พบเขานอนอยู่ข้างทาง ทั้งสองเดินผ่านไปโดยไม่ได้ให้ความช่วยเหลือเลย
“แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่ง เดินทางผ่านมาใกล้ ๆ เห็นเขาก็รู้สึกสงสาร”
สำหรับนักกฎหมายผู้รู้ดีถึงพระบัญญัติของพระเจ้าที่สั่งให้รักเพื่อนมนุษย์ พระเยซูเจ้าทรงยกตัวอย่างของชายต่างชาติ ที่ชาวยิวถือว่าเป็นคนนอกรีตและเป็นศัตรู เมื่อชายผู้นั้นเห็นคนเดินทางถูกทำร้าย เขารู้สึกสงสาร ซึ่งเป็นความรู้สึกที่มาจากส่วนลึกของจิตใจมนุษย์ เขาได้หยุดการเดินทาง เข้าไปใกล้ และได้ให้ความช่วยเหลือชายผู้บาดเจ็บ
พระเยซูเจ้าทรงทราบดีว่าเราทุกคนมีบาดแผลเพราะผลของบาป ด้วยเหตุนี้ พันธกิจของพระองค์คือ การเยียวยารักษาจิตใจมนุษย์ด้วยพระเมตตาของพระองค์ และด้วยการให้อภัย เพื่อว่าพวกเขาด้วยจะสามารถเข้าหากันและกันได้และเกิดการแบ่งปัน
เพื่อที่จะเรียนรู้ในการมีจิตใจเมตตาเหมือนพระบิดาเจ้าสวรรค์ เป็นผู้ดีบริบูรณ์อย่างเช่นพระองค์ เราจงมองดูพระเยซูเจ้า พระองค์ผู้ทรงไขแสดงความรักของพระบิดาเจ้า ความรักอันเป็นคุณค่าที่ปราศจากเงื่อนไข ไร้ขอบเขต และให้ความหมายกับทุกสิ่ง ความรักนี้แสดงออกได้มากที่สุดทางความเมตตา ความเมตตาช่วยให้เรามองคนรอบข้างที่เราเจริญชีวิตอยู่ด้วยกันในแต่ละวันด้วยสายตาใหม่ ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัวของเรา ที่โรงเรียน ที่ทำงาน เราไม่จดจำความผิดพลาดหรือข้อบกพร่องของเขา ความเมตตาช่วยเราไม่ให้ตัดสินใคร แต่ช่วยให้เรารู้จักให้อภัยความผิดที่ทำให้เราเจ็บปวด ให้เราลืมความผิดนั้นเสีย
“แต่ชาวสะมาเรียผู้หนึ่ง เดินทางผ่านมาใกล้ ๆ เห็นเขาก็รู้สึกสงสาร”
ในที่สุด คำตอบของพระเยซูเจ้านั้นเด็ดขาด ชัดเจน ทรงเชื้อเชิญว่า “ท่านจงไปและทำเช่นเดียวกันเถิด” นี่เป็นพระวาจาที่พระเยซูเจ้าตรัสกับทุกคนที่ฟังพระวาจาของพระองค์คือ การเป็นเพื่อนพี่น้องที่เป็นฝ่ายเริ่มต้น “สัมผัส” บาดแผลของผู้คนที่เราพบเจอในแต่ละวันที่ผ่านเข้ามาในชีวิต
เพื่อที่จะเจริญชีวิตความใกล้ชิดตามแบบพระวรสาร ก่อนอื่น ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าให้ทรงรักษาเราจากการมีอคติ และการเมินเฉยไม่สนใจใคร สิ่งนี้เป็นอุปสรรคขัดขวางเราไม่ให้มองไปยังผู้อื่น
นอกจากนั้น เรายังสามารถเรียนรู้จากชาวสะมาเรีย ถึงความสามารถในการมีเมตตา มีความเห็นอกเห็นใจ ซึ่งกระตุ้นเขาให้ยอมเอาชีวิตของตนเองเข้าเสี่ยง ให้เราเอาแบบอย่างความพร้อมของเขาในการเป็นคนแรกที่ก้าวไปหาผู้อื่น เต็มใจ และพร้อมที่จะรับฟังเขา เพื่อทำให้ความเจ็บปวดของเขากลายมาเป็นของเรา โดยปราศจากการพิพากษาตัดสิน หรือเป็นห่วงว่าจะ “เสียเวลา”
หญิงสาวชาวเกาหลีคนหนึ่งเคยมีประสบการณ์เช่นนี้ เธอเล่าว่า “ดิฉันเคยช่วยวัยรุ่นชาวต่างชาติคนหนึ่ง ซึ่งดิฉันไม่รู้จักเขามากนัก ถึงแม้ดิฉันไม่รู้ว่าจะทำอย่างไร หรือจะช่วยอะไรได้บ้าง แต่ดิฉันก็พยายามช่วยเหลือเขา ดิฉันประหลาดใจมาก โดยการให้ความช่วยเหลือ ดิฉันพบว่าบาดแผลภายในจิตใจของดิฉันก็ได้รับการเยียวยารักษาไปด้วย”
พระวาจาทรงชีวิตของเดือนนี้ เป็นเสมือนกุญแจทองที่ช่วยเปิดทางให้เรารู้จักเจริญชีวิตการเป็นคริสตชน ช่วยให้เราตระหนักถึงความเป็นมนุษย์ร่วมกัน ที่สะท้อนถึงพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า ซึ่งช่วยให้เรามีความกล้าที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดของ “ความใกล้ชิด” ทางกายภาพ หรือความแตกต่างทางวัฒนธรรม ในมุมมองนี้ เป็นไปได้ที่เราจะขยายขอบเขตของ “พวกเรา” ให้เป็นของ “ทุก คน” และค้นพบรากฐานที่แท้จริงทางสังคมอีกครั้ง
โดยเลติเซีย มากริ และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
“ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด” (ลูกา 9:13)
พระวรสารตอนนี้เล่าถึงขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังเมืองเบธไซดาในแคว้นกาลิลี ที่ซึ่งพระองค์ตรัสสอนประชาชนกลุ่มใหญ่ถึงเรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้า พระองค์ได้เสด็จไปในแถบนั้นพร้อมกับบรรดาอัครสาวก เพื่อให้พวกเขาได้พักผ่อนหลังจากที่ได้ปฏิบัติภารกิจมากมายในแคว้นนั้น พวกเขาได้เทศน์สอน และเรียกร้องให้ผู้คนกลับใจ “ประกาศข่าวดีไปทั่วทุกแห่งหน และรักษาคนเจ็บป่วยเป็นจำนวนมาก” พวกเขาเหนื่อย แต่ก็มีความสุขมากขณะที่เล่าถึงสิ่งที่พวกเขาได้ประสบมา
แต่กระนั้น เมื่อประชาชนได้ยินสิ่งที่พวกเขาทำก็ได้เดินทางมาหาพวกเขา พระเยซูเจ้าทรงต้อนรับทุกคน พระองค์ทรงบำบัดรักษา ทรงฟังและตรัสกับพวกเขา และจำนวนประชาชนก็เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อจวนถึงเวลาเย็น ประชาชนก็เริ่มหิว บรรดาอัครสาวกรู้สึกกังวล จึงเสนอวิธีแก้ปัญหานี้ให้กับพระอาจารย์ว่า “ส่งประชาชนเหล่านี้กลับไปเถิด เพื่อพวกเขาจะได้ไปยังหมู่บ้านเพื่อหาอาหารและพักอยู่ที่นั่น” พวกเขาคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว...แต่พระองค์ตรัสว่า
“ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด”
เมื่อได้ยินดังนี้ พวกเขาประหลาดใจมาก เพราะพวกเขามีเพียงขนมปัง 5 ก้อนกับปลา 2 ตัวเท่านั้น เพื่อที่จะเลี้ยงผู้คนเป็นพัน ๆ คนได้หรือ และเมืองเบธไซดาก็ไม่มีอาหารเพียงพอให้กับคนเหล่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาก็ไม่มีเงินพอที่จะซื้ออาหารให้กับผู้คนเหล่านั้นได้
พระเยซูเจ้าทรงต้องการให้พวกเขารับรู้ว่า ความจำเป็น ความขัดสน และปัญหาของประชาชนส่งผลต่อพระองค์ และพระองค์ทรงหาทางแก้ไขปัญหาให้กับพวกเขา ดังนั้น พระองค์ทรงเริ่มด้วยการมองดูความจำเป็นเร่งด่วนว่า ตอนนี้พวกเขามีอะไรอยู่บ้าง จริงอยู่ สิ่งที่บรรดาอัครสาวกมีอยู่นั้นน้อยมาก แต่พระองค์ทรงมอบหมายภารกิจให้พวกเขา พระองค์ทรงขอให้พวกเขาเป็นเครื่องมือของพระเจ้าผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระเมตตา และทรงดูแลลูก ๆ ของพระองค์ พระบิดาทรงช่วยประชาชนได้เสมอ แต่ถึงกระนั้น พระองค์ก็ยังทรง “ต้องการ” ความร่วมมือจากพวกเขาด้วย
อัศจรรย์เกิดขึ้นได้เมื่อเรามีความคิดริเริ่มและมีความเชื่อ และจากนั้นพระบิดาจะทรงนำไปสู่ความสำเร็จ
“ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด”
พระเยซูเจ้าทรงเข้าใจถึงความคิดของบรรดาศิษย์ แต่ก็ทรงขอให้พวกเขาทำในส่วนของพวกเขา แม้ว่าสิ่งที่พวกเขานำมาอาจมีน้อยนิด แต่พระองค์ก็มิได้ทรงดูถูกหรือทรงแก้ปัญหาให้พวกเขาโดยง่าย อัศจรรย์เกิดขึ้นได้ แต่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ของพวกเขา ด้วยการนำทุกสิ่งที่พวกเขามีและสามารถจัดหามาได้มามอบให้ นี่แสดงให้เห็นถึงการเสียสละและความไว้วางใจในองค์พระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระอาจารย์ ทรงสอนให้เราเรียนรู้จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา ทรงสอนให้เราใส่ใจต่อกันและกัน เมื่อเราเห็นผู้อื่นกำลังขัดสน เราอาจจะแก้ตัวว่า “มันไม่ใช่หน้าที่ของเรา” “เราช่วยอะไรไม่ได้” หรือ “พวกเขาก็ต้องช่วยเหลือตัวเองเหมือนคนอื่น ๆ” คำพูดเช่นนี้ไม่ควรพูด ในการอยู่ร่วมกันในสังคมตามแผนการของพระเจ้า คือ เป็นบุญของผู้ที่ให้อาหารแก่ผู้ที่หิวโหย ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ยากไร้ และไปเยี่ยมผู้ที่ขัดสนย่อมเป็นสุข
“ท่านทั้งหลายจงหาอาหารให้เขากินเถิด”
เหตุการณ์นี้ ทำให้เรานึกถึงข้อความในหนังสือประกาศกอิสยาห์ ซึ่งบรรยายถึงงานเลี้ยงที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับประชาชาติทั้งปวง เมื่อพระองค์จะทรง “เช็ดน้ำตาทุกหยดจากทุกใบหน้า” พระเยซูเจ้าทรงขอให้ผู้คนนั่งลงเป็นกลุ่ม กลุ่มละประมาณ 50 คน ซึ่งเป็นตัวเลขที่เราพบได้ในข้อความพันธสัญญาเดิมที่บรรยายถึงเหตุการณ์สำคัญต่างๆ พระองค์ทรงเป็นพระบุตร แต่พระองค์ทรงกระทำเหมือนพระบิดา ทรงไขแสดงสภาวะพระเจ้าของพระองค์ พระองค์เองจะทรงประทานทุกสิ่ง จนกระทั่งทรงกลับกลายเป็นอาหารบำรุงจิตวิญญาณเราโดยทางศีลมหาสนิท อันเป็นการกินเลี้ยงแบบใหม่แห่งการแบ่งปัน
ในช่วงการระบาดใหญ่ของโควิด-19 กลุ่มครอบครัวโฟโคลาเรที่เมืองบาร์เซโลน่าได้เห็นว่า มีหลายครอบครัวที่เผชิญกับความยากลำบาก พวกเขาได้ใช้เครือข่ายสังคมออนไลน์สร้างกลุ่มเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการและรวบรวมสิ่งของ ใครขาดแคลนอะไร และจะให้ความช่วยเหลืออย่างไร จากกิจกรรมนี้พวกเขารู้สึกประทับใจมากที่ได้เห็นสิ่งของ เฟอร์นิเจอร์ อาหาร ยา และเครื่องใช้ในครัวเรือน ซึ่งพวกเขาได้แจกจ่ายสิ่งของเหล่านี้ให้กับผู้ที่ขัดสน พวกเขากล่าวว่าลำพังกำลังของเรา เราก็คงทำได้น้อยนิด แต่เมื่อเรามาร่วมมือร่วมใจกัน ก็จะเห็นว่าเราสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้มากมาย ปัจจุบันกลุ่มครอบครัวโฟโคลาเรนี้ยังคงให้ความช่วยเหลือกับผู้ที่ขัดสน นี่เป็นการเจริญชีวิตเยี่ยงคริสตชนกลุ่มแรก
โดย ซิลวาโน และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต
พฤษภาคม 2025
“พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์” (ยอห์น 21:17)
พระวรสารนักบุญยอห์นบทสุดท้ายกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่แคว้นกาลิลี หลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์แล้ว เปโตร ยอห์น และศิษย์คนอื่น ๆได้กลับไปที่นั่น และทำงานเป็นชาวประมงเหมือนในอดีต พวกเขาทำงานทั้งคืนในทะเลสาบทิเบเรียส แต่พวกเขาออกแรงไปเสียเปล่า
องค์พระเยซูเจ้าผู้กลับคืนพระชนม์ได้ประจักษ์มาเป็นครั้งที่สาม ทรงบอกให้พวกเขาลงอวนอีกครั้ง และครั้งนี้พวกเขาจับปลาได้มากมาย พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้พวกเขาทานอาหารกับพระองค์บนชายฝั่ง ถึงแม้เปโตรและศิษย์คนอื่น ๆจำพระเยซูเจ้าได้ แต่ไม่มีใครกล้าพูดกับพระองค์ตรง ๆ
พระเยซูเจ้าทรงเริ่มเปิดการสนทนาก่อน ทรงถามเปโตรด้วยคำถามที่ยากมากว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านรักเรามากกว่าคนเหล่านี้รักเราไหม” ซึ่งเป็นน้ำเสียงที่เอาจริงเอาจัง และทรงถามเปโตรถึงสามครั้ง และทุกครั้งทรงบอกให้ท่านดูแลแกะของพระองค์ ซึ่งพระองค์เองทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะ
พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์
เปโตรรู้ดีว่าท่านได้ทรยศต่อพระอาจารย์ ประสบการณ์เลวร้ายนั้นทำให้ท่านไม่อาจตอบรับกับพระเยซูเจ้าว่า ท่านรักพระองค์ ท่านได้แต่ตอบด้วยความสุภาพว่า “พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์”
ในช่วงการพูดคุยกันนี้ พระเยซูเจ้ามิได้นำเรื่องการทรยศมากล่าวกับเปโตร ทั้งมิได้กล่าวถึงความผิดพลาดของท่าน สิ่งที่พระองค์ตรัสขณะสนทนากันทำให้เปโตรรู้สึกสบายใจ และมิตรภาพที่พระเยซูเจ้าทรงมอบให้กับท่านได้ช่วยสมานบาดแผลที่เจ็บปวดของท่าน สิ่งที่พระองค์ทรงถามก็เพื่อเสริมสร้างมิตรภาพขึ้นใหม่บนความไว้วางใจต่อกัน และเปโตรได้ตอบสนองไม่เพียงการยอมรับในความอ่อนแอของตนเท่านั้น แต่มอบความวางใจอันไร้ขอบเขตในความรักของพระอาจารย์เจ้าและองค์พระเจ้า
พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์
พระเยซูเจ้าทรงถามคำถามเดียวกันนี้กับเราแต่ละคนด้วยว่า ท่านรักเราไหม ท่านต้องการเป็นเพื่อนกับเราไหม
พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง ทรงทราบดีเกี่ยวกับพระพรที่เราได้รับจากพระองค์ ทรงล่วงรู้ถึงความอ่อนแอ บาดแผลที่เรามีและยังมิได้รับการรักษาในเรา กระนั้นพระองค์ทรงรื้อฟื้นความไว้วางใจในเรา มิใช่เพราะเราเข้มแข็ง แต่เพราะมิตรภาพที่เรามอบให้กับพระองค์
มิตรภาพเดียวกันนี้ ที่ช่วยให้เปโตรกล้าเป็นพยานถึงความรักที่ท่านมีต่อพระเยซูเจ้า จนถึงขั้นยอมมอบชีวิตของตนเพื่อพระองค์ได้
“เราทุกคนเคยมีประสบการณ์ของความอ่อนแอ สิ้นหวัง และท้อแท้... ความยากลำบาก เหตุการณ์อันเจ็บปวด ความเจ็บป่วย ความตาย การดิ้นรน ความเข้าใจผิด การประจญ ความล้มเหลว...เมื่อคนเรารู้สึกว่าไม่อยากเอาชนะอุปสรรคฝ่ายกายหรือฝ่ายจิตด้วยกำลังของตนเอง เขาจึงกลับไปไว้วางใจใน
องค์พระเจ้า พระองค์จะเสด็จมาช่วยเพราะทรงเห็นความไว้วางใจของเรา เราจะทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้สำเร็จทั้ง ๆที่ดูเหมือนเกินกำลัง เช่นนี้เป็นเพราะเกิดจากการรับรู้ว่า เราต่ำต้อยและไร้ความสามารถ”
ทุกวันเราจะอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้าอย่างที่เราเป็น และวอนขอมิตรภาพจากพระองค์ที่ช่วยรักษาจิตใจของเรา เมื่อเรายอมมอบตนไว้ในพระเมตตาของพระองค์ เราจะมีความสนิทสัมพันธ์กับพระองค์อีก และก้าวเดินไปกับพระองค์อีกครั้ง
พระเจ้าข้า พระองค์ทรงทราบทุกสิ่ง พระองค์ทรงทราบว่าข้าพเจ้ารักพระองค์
พระวาจาทรงชีวิตของเดือนนี้ เราจะใช้เป็นบทภาวนาส่วนตัวของเราก็ได้ เมื่อเรารับรู้ถึงข้อจำกัดของเรา และเราไว้วางใจในพระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์สำหรับความรักที่พระองค์ทรงมอบให้กับเรา
“ลูกรักพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเข้ามาในชีวิตของลูกมากกว่าอากาศที่เข้ามาในปอด มากกว่าเลือดในเส้นเลือดของลูก พระองค์ทรงเข้ามาในส่วนลึกที่สุดที่ไม่มีใครเข้าถึงได้ เมื่อไม่มีใครจะช่วยลูกได้ หรือยามที่ไม่มีใครบรรเทาใจลูกได้...พระองค์ทรงทำให้ลูกสำนึกในพระคุณ ถึงแม้จะไม่มากนักในขณะที่ลูกยังมีชีวิตอยู่ ในความรักที่ทรงมีต่อลูก และทรงโปรดให้ลูกพูดกับพระองค์ว่า ลูกรักพระองค์” (จากบทรำพึงของ เคียร่า ลูบิค)
เราเลียนแบบพระเยซูเจ้าได้ในการสร้างความสัมพันธ์ในครอบครัว ในสังคม และในพระศาสนจักร พระเยซูเจ้าทรงรักทุกคน เป็นคนแรกที่รัก และทรงก้มลงล้างเท้าพี่น้องชายหญิงโดยเฉพาะผู้ต่ำต้อย และอ่อนแอที่สุด หากเราทำได้ เราจะรู้จักต้อนรับทุกคนด้วยความสุภาพและอดทน ไม่ตัดสินใคร พร้อมที่จะกล่าวคำขอโทษ และให้อภัย พร้อมที่จะเรียนรู้ในการก้าวเดินไปด้วยกันในหนทางชีวิต
โดย เลซิเซีย มากริ และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต
เมษายน 2025
“ดูเถิด เรากำลังจะทำสิ่งใหม่ โดยแท้จริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านไม่รู้ดอกหรือ”
(อิสยาห์ 43:19)
การที่ประชาชนชาวอิสราเอลถูกกวาดต้อนไปยังกรุงบาบิโลน และการที่พระวิหารกรุงเยรูซาเล็มถูกทำลาย สร้างความเจ็บปวดทางจิตใจให้กับชาวอิสราเอลอย่างแท้จริง ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์นี้ก่อให้เกิดคำถามที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อของพวกเขาด้วยว่า พระเจ้ายังทรงอยู่กับพวกเขา หรือว่าพระองค์ทรงทอดทิ้งพวกเขาเสียแล้ว พระวาจาทรงชีวิตของเดือนนี้นำมาจากหนังสือของประกาศกอิสยาห์ ซึ่งเตือนประชาชนชาวอิสราเอลให้รับรู้ว่าพระเจ้ายังคงทำงานอยู่ พวกเขาจะต้องไว้วางใจในพระองค์ ในที่สุดแล้ว พวกเขาจะได้กลับไปยังประเทศบ้านเกิด และในประสบการณ์ของการถูกเนรเทศนั่นเอง ที่พระเจ้าได้ทรงไขแสดงโฉมพระพักต์ของพระองค์อย่างชัดเจนแก่ชนชาติชาวอิสราแอล
“ดูเถิด เรากำลังจะทำสิ่งใหม่ โดยแท้จริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านไม่รู้ดอกหรือ”
ประกาศกอิสยาห์ย้ำเตือนว่า พระเจ้าทรงมีความรักมั่นคงต่อประชากรของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง แม้แต่ในดินแดนถิ่นเนรเทศที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบาก พระสัญญากับอับราฮัมดูเหมือนว่าจะไม่บรรลุความเป็นจริง และอยู่ในช่วงวิกฤต แต่ประชากรชาวอิสราเอลก็ยังอยู่ในฐานะประชากรที่ได้รับเลือกสรร พวกเขาได้ประสบถึงการประทับอยู่ของพระเจ้ากับพวกเขานับตั้งแต่ในอดีตเป็นต้นมา
หนังสือประกาศกอิสยาห์ได้ตอบคำถาม แม้ในปัจจุบันเราก็ยังคงมีคำถามนี้อยู่คือ ใครเป็นผู้กำหนดชะตากรรมของมนุษย์ อดีตมีความหมายอะไรบ้าง ความหมายของสิ่งที่เรากำลังประสบอยู่ ณ เวลานี้ หรือที่ได้ประสบมาในอดีตคืออะไร
“ดูเถิด เรากำลังจะทำสิ่งใหม่ โดยแท้จริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านไม่รู้ดอกหรือ”
พระเจ้ากำลังทำงานในเราแต่ละคน ทรงก่อให้เกิด “สิ่งใหม่ๆ” ขึ้น เรามิได้สังเกต หรือไม่เข้าใจความหมาย อาจเป็นเพราะสิ่งนั้นกำลังเริ่มต้น หรือเราไม่รู้ว่าพระเจ้ากำลังทำงานในเรา เรามิได้ให้เวลามากพอที่จะมองเห็นสิ่งใหม่ที่กำลังเกิดขึ้น อันเป็นเครื่องหมายถึงพระเจ้าทรงอยู่กับเรา จิตใจของเราล่องลอยไปกับสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นรอบตัวเรา หรือเพราะความห่วงกังวลกับหลายสิ่งหลายอย่างที่ทำให้เราเศร้าหมอง กระนั้นก็ตาม พระเจ้าไม่ทรงทอดทิ้งเรา พระองค์ทรงดูแลและเสริมสร้างชีวิตใหม่ให้กับเรา
พวกเราเป็น “สิ่งใหม่” เป็น “สิ่งสร้างใหม่” ที่องค์พระเจ้าทรงให้กำเนิด เราจะไม่หันกลับไปมองอดีต เพื่อเศร้าเสียใจกับความผิดพลาดที่ได้เกิดขึ้น แต่เราจะเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าในการกระทำของพระเจ้าผู้ทรงสามารถนำมาซึ่งสิ่งใหม่ๆต่อไปได้
“ดูเถิด เรากำลังจะทำสิ่งใหม่ โดยแท้จริง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นแล้ว ท่านไม่รู้ดอกหรือ”
เรามีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้คนมากมาย ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกในชุมชน เพื่อน หรือเพื่อนร่วมงาน เราจะต้องร่วมมือและร่วมงานกับพวกเขา โดยมีความเชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
ในปีนี้ นับเป็นปีที่พิเศษ เนื่องจากวันปัสกาของคริสตชนนิกายออร์โธดอกซ์ตรงกับวันปัสกาของคริสตชนนิกายอื่นๆ ขอให้การเฉลิมฉลองวันปัสการ่วมกันนี้เป็นประจักษ์พยานถึงความพยายามของพระศาสนจักร ในการเสวนาระหว่างกันอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อเอาชนะความยากลำบากที่มนุษยชาติกำลังเผชิญอยู่ และเพื่อส่งเสริมให้มีการร่วมมือกันมากยิ่งขึ้น
ขอให้พวกเราเตรียมจิตใจในการดำเนินชีวิตในช่วงปัสสกานี้ด้วยความยินดี ด้วยความเชื่อ และด้วยความหวัง พระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว ดังนั้น แม้ว่าเรากำลังเดินทางข้ามทะเลทราย ขอให้เราร่วมเดินทางกับพระเจ้าผู้ทรงนำทางประวัติศาสตร์ และนำทางชีวิตของเราแต่ละคน
โดย แพทริเซีย มัสโซล่า และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต
มีนาคม 2025
“ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย” (ลูกา 6:41)
พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปบนภูเขา และทรงอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าตลอดทั้งคืน ครั้นถึงรุ่งเช้า พระองค์ทรงเลือกศิษย์ไว้สิบสองคน เมื่อเสด็จมาถึงที่ราบ พระองค์ทรงเทศน์สอนประชาชน ทรงประกาศถึงความสุขแท้จริง (บุญลาภ)
ความสุขแท้จริง จากบันทึกของนักบุญลูกาและของนักบุญมัทธิวมีความแตกต่างกันบางประการ บันทึกของนักบุญูลูกากล่าวถึง ความสุขแท้จริง 4 ประการ ซึ่งเป็นสิ่งที่กล่าวถึงคนยากจน คนหิวโหย คนที่ประสบกับความทุกข์ทรมาน และคนที่ถูกทอดทิ้ง พระองค์ยังทรงตักเตือนคนร่ำรวย คนอิ่มหนำ และคนหยิ่งจองหอง พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยว่า พระเจ้าทรงรักคนยากจนเป็นพิเศษ ในคราวที่พระองค์ทรงเทศน์สอนในศาลาธรรมที่เมืองนาซาเร็ธ พระองค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยพระจิตของพระเจ้า ทรงประกาศว่าพันธกิจของพระองค์คือ การนำข่าวดีมาสู่คนยากจน ปลดปล่อยผู้ถูกจองจำ ให้อิสรภาพแก่ผู้ถูกกดขี่
พระองค์ทรงย้ำเตือนศิษย์ของพระองค์ให้รักแม้กระทั่งศัตรู ด้วยแรงบันดาลใจเช่นนี้ ที่จะทำให้เราสามารถกระทำตามในสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำ นั่นคือ “จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด” (ลูกา 6:36) พระวาจานี้ยังกล่าวต่อไปอีกว่า “อย่าตัดสินเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงตัดสินท่าน อย่ากล่าวโทษเขา แล้วพระเจ้าจะไม่ทรงกล่าวโทษท่าน จงให้อภัยเขา แล้วพระเจ้าจะทรงให้อภัยท่าน” (ลูกา 6:37) หลังจากนั้นพระองค์ยังตรัสอุปมาให้เขาเหล่านั้นฟังอีกว่า
ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย
พระเยซูเจ้าทรงล่วงรู้จิตใจของเรา กี่ครั้งกี่หนที่ในชีวิตประจำวันของเรา เรามีประสบการณ์อันน่าเศร้าที่เราตัดสิน หรือวิจารณ์คนอื่นอย่างรุนแรง เพราะความผิดพลาด หรือเพราะความอ่อนแอของเขา เราลืมไปว่าการทำเช่นนั้น เราแย่งหน้าที่การตัดสินซึ่งเป็นของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว “การเอาท่อนซุง” ออกจากดวงตาของตน เราจะต้องมีความสุภาพถ่อมตนในการยอมรับว่า เราเป็นคนบาปที่ต้องการการอภัยจากพระเจ้าอยู่ตลอดเวลา บุคคลที่มีความกล้าหาญ และสังเกตเห็นว่า “ท่อนซุง” อยู่ในดวงตาของตนเท่านั้น จึงจะเป็นผู้ที่ปรับเปลี่ยนตนให้เป็นคนดีขึ้นได้ เขาจะมีความเข้าใจ ไม่ตัดสิน ไม่มองความอ่อนแอเปราะบางของตน หรือของผู้อื่นอย่างเกินความเป็นจริง
อย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้ามิได้ปรารถนาให้เราปิดตาโดยไม่รับรู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้น หรือปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปตามยถากรรม เปล่าเลยพระองค์ทรงต้องการให้ผู้ติดตามพระองค์ช่วยเหลือกัน มุ่งสู่ชีวิตใหม่ นักบุญเปาโลเตือนเราให้ห่วงใยกันและกัน แก้ไขความผิดบกพร่อง ให้กำลังใจกับผู้ท้อแท้ ช่วยเหลือผู้ที่อ่อนแอ และมีความอดทนต่อกันและกัน ความรักเท่านั้นที่ช่วยให้เราทำสิ่งเหล่านี้ได้
ทำไมท่านจึงมองดูเศษฟางในดวงตาของพี่น้อง แต่ไม่สังเกตเห็นท่อนซุงในดวงตาของตนเลย เราจะนำพระวาจานี้ไปปฏิบัติได้อย่างไร
นอกเหนือจากสิ่งที่เราได้กล่าวมาแล้ว ในช่วงมหาพรตนี้ให้เราวอนขอพระเยซูเจ้าทรงสอนเราให้มองผู้อื่น อย่างที่พระองค์ทรงมองเขา พระเจ้าทรงมองด้วยสายตาของหัวใจ เพราะสายตาแบบของพระองค์นั้น คือ สายตาแห่งความรัก เพื่อช่วยกันและกันให้มากยิ่งขึ้น ให้เราเจริญชีวิตอย่างเอาจริงเอาจังตามแนวปฏิบัติของเคียร่า และเพื่อนรุ่นแรกขณะเจริญชีวิตอยู่ในเมือง
เตร้นท์
เคียร่า ลูบิคได้เล่าให้กับเพื่อนพี่น้องชาวมุสลิมฟังว่า “ในสมัยแรกเริ่มนั้น ไม่ง่ายเลยที่จะรักคนอื่นๆอย่างเต็มที่ แม้ในกลุ่มของเราเองก็มีเงามาบดบังมิตรภาพในระหว่างเรา ทำให้ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันลดลง เช่น เมื่อเราคำนึงถึงความผิดบกพร่องของคนอื่น เราก็ตัดสินพวกเขา จึงทำให้ความรักต่อกันและกันลดน้อยลง วันหนึ่ง เราตัดสินใจที่จะแก้ไขสถานการณ์นี้ เราจึงตกลงกัน เราเรียกข้อตกลงนี้ว่า “คำมั่นสัญญา ความเมตตา” เราตัดสินใจว่า ทุกเช้าเราจะมองทุกคนที่เราพบเห็นเป็นคนใหม่ ไม่ว่าจะเป็นที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่ทำงาน ฯลฯ โดยไม่คิดพะวง หรือจดจำความผิดบกพร่องของเขาเลย และให้ความรักครอบคลุมทุกสิ่งทุกอย่าง เราปฏิบัติเช่นนี้ด้วยกันอย่างเอาจริงเอาจัง ซึ่งมีส่วนช่วยให้เรารักเป็นคนแรก โดยการเลียนแบบพระเจ้าผู้ทรงพระเมตตา ทรงให้อภัย และลืมความผิดบกพร่องของเรา”
โดย ออกุสโต พาโรดี้ เรเยส และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
´
พระวาจาทรงชีวิต กุมภาพันธ์ 2025
“จงทดสอบทุกสิ่งและยึดสิ่งที่ดีงามไว้” (1 เธสะโลนิกา 5:21)
พระวาจาของเดือนนี้นำมาจากคำตักเตือนครั้งสุดท้ายของนักบุญเปาโล ในจดหมายที่ท่านเขียนถึงชาวเมืองเธสะโลนิกา ท่านเขียนว่า “อย่าดับไฟของพระจิตเจ้า อย่าดูหมิ่นการประกาศพระวาจา จงทดสอบทุกสิ่งและยึดสิ่งที่ดีงามไว้ จงละเว้นความชั่วทุกรูปแบบ” ฟังคำของประกาศก รู้จักแยกแยะ สนทนา และรับฟังกันและกัน นี่คือ สิ่งที่นักบุญเปาโลบอกกับชาวเธสะโลนิกาที่ได้รับความเชื่อไม่นาน
พระคุณของพระจิตเจ้านั้นมีหลายประการ นักบุญเปาโลให้คุณค่ามากกับพระคุณแห่งการเป็นประกาศก ประกาศกมิใช่คนที่มองเห็นอนาคต แต่เป็นคนที่มีพรสวรรค์ในการเข้าใจอดีตของแต่ละคน และของชุมชนด้วยมุมมองของพระเจ้า
แต่ในพระคุณทุกประการนี้ ความรักเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่นำร่องความรักกันฉันพี่น้อง นักบุญออกัสตินแห่งเมืองฮิปโปยืนยันว่า ความรักเท่านั้นจะช่วยให้เรามีท่าทีที่ถูกต้องในสถานการณ์ต่างๆ
จงทดสอบทุกสิ่งและยึดสิ่งที่ดีงามไว้
เราจะต้องไม่มองดูเพียงพรสวรรค์ของเราเท่านั้น แต่จะต้องมองเห็นวิสัยทัศน์และความคิดหลากหลายในผู้อื่นที่อยู่รอบข้างเราด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อยู่ใกล้ชิดกับเรา หรือคนที่เห็นต่างจากเรา หรือจากคนที่เราพบปะโดยบังเอิญ ที่สำคัญคือให้เรายึดความจริงใจ และตระหนักว่าเรามีข้อจำกัด
พระวาจานี้จะช่วยให้เราปรับตัวให้เข้ากับแต่ละสถานการณ์ ไม่ว่าในยามที่เรามีความเข้าใจกัน หรือในยามที่เรามีความคิดเห็นขัดแย้งกัน การรับฟังผู้อื่น มิใช่หมายถึงการยอมรับทุกอย่าง แต่หมายถึงเรารับรู้ว่าอาจมีสิ่งที่ดีในเรื่องที่เขาพูด เราพร้อมที่จะเปิดใจคือ ทำจิตใจของเราให้ว่างเปล่าด้วยความรัก เพื่อเราจะได้ร่วมมือกันในการเสริมสร้างบางสิ่งบางอย่างได้
จงทดสอบทุกสิ่งและยึดสิ่งที่ดีงามไว้
คุณพ่อทิโมธี รัดคลีฟ เป็นนักเทวศาสตร์ ท่านได้เข้าร่วมประชุมซีนอตของบรรดาพระสังฆราชคาทอลิก ท่านกล่าวว่า “ในการประชุมซีนอตนี้ สิ่งที่เราควรทำด้วยความกล้าหาญคือ ให้เรามีความจริงใจต่อกันเมื่อเรามีข้อสงสัย หรือมีคำถาม หรือเมื่อเราไม่อาจให้คำตอบที่ชัดเจนได้ ฉะนั้น เราต้องหันไปหาผู้เข้าร่วมประชุมด้วยท่าทีของผู้ไม่รู้ และแสวงหาความจริง”
ครั้งหนึ่ง ในการพบปะกับสมาชิกโฟโคลาเร คุณมาร์กาเรต คารัม ได้ให้ข้อคิดว่า “คิดดูแล้ว ดิฉันตระหนักว่า บ่อยครั้งดิฉันไม่กล้าพูดในสิ่งที่ดิฉันคิด กลัวว่าคนอื่นจะเข้าใจผิด บางทีก็ไม่พูดในสิ่งที่แตกต่างจากสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิด ดิฉันเข้าใจว่า การเสาะหาความจริงก็คือ การมีท่าทีที่เป็นมิตร เข้าถึงผู้อื่น แสวงหาสิ่งที่เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า เพราะเราทุกคนต่างแสวงหาความดี”
จงทดสอบทุกสิ่งและยึดสิ่งที่ดีงามไว้
นี่เป็นประสบการณ์ของคุณอันตีอา เธอเป็นสมาชิกของกลุ่มนักแสดงโมเสค กลุ่มนี้เกิดขึ้นในประเทศสเปนในปี ค.ศ. 2017 เป็นโครงการท้องถิ่นในชื่อเจนรอสโซ่ กลุ่มนี้ประกอบด้วยเยาวชนชาวสเปนที่นำเสนอประสบการณ์ความเป็นพี่น้องกันผ่านทางงานศิลปะ
อันตีอาเล่าว่า “ประสบการณ์นี้เชื่อมโยงกับค่านิยมของฉัน โลกแห่งความเป็นพี่น้องกันที่เราแต่ละคนซึ่งยังเป็นเยาวชนอยู่ ขาดประสบการณ์ มีความอ่อนแอ กระนั้นก็ตาม พวกเราแต่ละคนมีส่วนร่วมกับโครงการนี้ และโครงการโมเสคนี้ทำให้ฉันเชื่อว่า โลกที่เป็นหนึ่งเดียวนั้น ไม่ใช่ความเพ้อฝัน แม้ว่าพวกเราประสบกับความยากลำบาก และทำงานหนัก ฉันได้เติบโตขึ้นจากการทำงานร่วมกันในกลุ่ม และพูดคุยหารือกัน บางครั้งดูเหมือนว่าเครียดมาก และบ่อยครั้งฉันต้องยอมละทิ้งความคิดของตนเองที่คิดว่าดีกว่า ผลที่ได้รับก็คือ “สิ่งดี” ที่เราทุกคนร่วมมือกันสร้างขึ้นมาทีละเล็กทีละน้อยด้วยกัน”
โดย แพทริเซีย มัสโซล่า และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต มกราคม 2025
“ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ” (ยอห์น 11:26)
เมื่อพระเยซูเจ้าเสด็จมาถึงหมู่บ้านเบธานี ลาซารัสได้ตายไป 4 วันแล้ว เมื่อมารธาทราบข่าวว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมา จึงออกไปต้อนรับ พระวรสารกล่าวว่า พระเยซูเจ้าทรงรักมารธา มารีย์ และลาซารัสมาก มารธากําลังโศกเศร้าอยู่ แต่เธอก็ยังมีความไว้วางใจในองค์พระเยซูเจ้า มารธาทูลพระเยซูเจ้าว่า “พระเจ้าข้า ถ้าพระองค์ทรงอยู่ที่นี่ ลาซารัสก็คงไม่ตาย” แต่กระนั้นเธอก็เชื่อว่า หากพระองค์วอนขอสิ่งใดจากพระเจ้า พระเจ้าจะทรงประทานให้ พระเยซูเจ้าตรัสถามเธอว่า
“ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ”
หลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงอธิบายอย่างชัดเจนว่า พระองค์ทรงพูดถึงการที่ลาซารัสกลับมามีชีวิตใหม่ในขณะนี้ ไม่ใช่การกลับคืนชีพในวันสุดท้ายตามความเชื่อของเรา พระเยซูเจ้าทรงขอร้องให้มารธาเชื่อว่า พระองค์ทรงทําได้ และเธอจะได้เห็นอัศจรรย์ ดังที่นักบุญยอห์นเรียกว่า “เครื่องหมาย” ซึ่งพระองค์ทรงพอพระทัยกับเธอ และกับทุกๆคนที่มีความเชื่อคือ การมีชีวิตใหม่และการกลับคืนชีพ พระเยซูเจ้าทรงยืนยันว่า “เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต” ความเชื่อที่พระองค์ทรงเรียกร้องก็คือ เป็นความผูกพันที่มีชีวิตชีวาและทรงพลัง ความเชื่อมิใช่เป็นเพียงการยอมรับข้อตกลง ซึ่งหลังจากที่ลงนามแล้ว ก็ไม่ใส่ใจอีกต่อไป แต่ความเชื่อเป็นข้อเท็จจริงที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ซึมซับเข้าไปในชีวิตของเรา
“ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ”
พระเยซูเจ้าทรงเชื้อเชิญให้เรามีชีวิตใหม่ เริ่มตั้งแต่วันนี้ และให้ทุกวันเป็นวันใหม่ เราทราบดีเกี่ยวกับวันฉลองพระคริสต์สมภพแล้วว่า พระเจ้าเสด็จมาหาเรา พระองค์ทรงแสวงหาเราก่อน ทรงมาอยู่ในท่ามกลางเรา
เราจะตอบสนองการร้องขอของพระองค์ได้อย่างไร เราจงมองไปที่มารธา ผู้ที่สนทนากับพระเยซูเจ้า ถ้อยคําในภาษากรีกให้ความหมายยืนยันหนักแน่นว่า “ดิฉันเชื่อพระองค์” คํานี้ที่เธอพูดออกมาว่า “ดิฉันได้เชื่อ” “ดิฉันเชื่ออย่างมั่นคงว่า พระองค์เป็นพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าที่จะต้องเสด็จมาในโลกนี้” นี่เป็นคําพูดที่มารธาแสดงความมั่นใจ หลังจากที่เธอได้ใช้เวลาอันยาวนานพอสมควรต่อสู้กับปัญหาอุปสรรคต่างๆในชีวิตมาแล้ว
พระเยซูเจ้าทรงถามคําถามนี้กับเราด้วยเช่นกัน ทรงอยากให้เรามีความไว้วางใจในพระองค์อย่างเต็มที่ และหากเราดำเนินชีวิตเหมือนอย่างพระองค์คือ มีความรักและช่วยเหลือทุกคนอย่างเป็นรูปธรรม การปฏิบัติอย่างสมํ่าเสมอ จะช่วยทําให้ความเชื่อของเราเข้มแข็งยิ่งขึ้น และด้วยการปฏิบัติตามพระวาจาในแต่ละวัน จะทําให้เราพบว่าพระวาจาของพระเยซูเจ้าเป็นความจริง และพระวาจาของพระองค์จะช่วยให้เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างถูกต้องในแต่ละวัน ที่สุดแล้ว เราจะพูดได้เช่นเดียวกับบรรดาสาวกของพระเยซูเจ้าว่า “โปรดเพิ่มความเชื่อของพวกเราด้วยเถิด”
“ท่านเชื่อเช่นนี้หรือ”
คุณปาตรีเซีย จากอเมริกาใต้เล่าว่า “ลูกสาวของดิฉันคนหนึ่งตกงานพร้อมกับเพื่อนร่วมงานทุกคน สืบเนื่องมาจากรัฐบาลได้ปิดหน่วยงานที่พวกเขาทำงานอยู่” และเพื่อทำการประท้วง พวกเขาได้จัดชุมนุมขึ้นที่หน้าหน่วยงานนั้น ดิฉันพยายามสนับสนุนพวกเขา ด้วยการมาร่วมกิจกรรมของพวกเขาเป็นครั้งคราว นำอาหารมาให้ หรือไม่ก็มาพูดคุยด้วย
ในวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ พระสงฆ์กลุ่มหนึ่งที่ให้การสนับสนุนพวกเขา และได้จัดพิธีกรรมของวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ จัดพื้นที่ให้มีการสนทนาซักถาม มีการอ่านพระคัมภีร์และจัดให้มีพิธีล้างเท้า เพื่อระลึกถึงสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงกระทํา แม้ว่าผู้คนที่มาชุมนุม ส่วนใหญ่มิได้สนใจเรื่องศาสนา กระนั้น สิ่งนี้ก่อให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันอย่างลึกซึ้ง มีความเป็นพี่น้องกันและให้ความหวัง ทุกคนรู้สึกได้รับการยอมรับ ตื้นตันใจ พวกเขาขอบคุณบรรดาพระสงฆ์ที่มาอยู่กับพวกเขาในยามทุกข์ยากลำบากและสิ้นหวังนี้
พระวาจาของพระเยซูเจ้าตอนนี้ ได้รับเลือกให้เป็นพระวาจาหลักในสัปดาห์การอธิฐานภาวนาเพื่อเอกภาพคริสตชน ปีค.ศ 2025 เราจงภาวนาและใช้พระวาจานี้ เพื่อว่าความเชื่อของเราจะเป็นตัวขับเคลื่อนให้เราเป็นพี่เป็นน้องกับทุกคน ซึ่งสิ่งนี้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้าสําหรับมนุษยชาติ และเรียกร้องให้เราเอาจริงเอาจัง การภาวนาและกิจการของเราจะบังเกิดผล หากว่าเรามีความไว้วางใจในองค์พระเจ้า กิจการดีของเราก็จะเกิดขึ้นตามมา
โดย ซิลวาโน มาลินี และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต ธันวาคม 2024
“ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้” (ลูกา 1:37)
ในเหตุการณ์การแจ้งข่าวกับพระนางมารีย์ เทวทูตกาเบรียลมาหาพระนางมารีย์ที่เมืองนาซาเร็ธ เพื่อแจ้งพระนางว่า พระเจ้าทรงมีแผนการสำหรับพระนางคือ พระนางจะตั้งครรภ์ และให้กำเนิดบุตรชายคือ พระเยซูเจ้า พระองค์จะเป็นผู้ยิ่งใหญ่ จะได้ชื่อว่าพระบุตรของพระผู้สูงสุดเหตุการณ์นี้สอดคล้องกับหลายๆเหตุการณ์ที่เคยเกิดมาแล้วในพระคัมภีร์เดิม ที่กล่าวถึงสตรีหลายๆคนที่เป็นหมัน หรือแก่ชราแล้วได้ให้กำเนิดอย่างน่าอัศจรรย์ ซึ่งเมื่อทารกเติบโตขึ้นเขาจะปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญในประวัติศาสตร์แห่งความรอด ในทำนองเดียวกันถ้านางมารีย์ ซึ่งเต็มใจที่จะรับหน้าที่เป็นพระมารดาของพระผู้ไถ่ จึงถามทูตสวรรค์ว่าเหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไรเพราะเธอเป็นหญิงพรหมจรรย์ เทวทูตกาเบรียลจึงอธิบายกับพระนางว่า นี่มิใช่เป็นกิจการของมนุษย์ เพราะว่า “พระจิตเจ้าจะเสด็จลงมาเหนือพระนาง พระอานุภาพของพระผู้สูงสุดจะแผ่ไปปกป้องพระนาง” และเทวทูตกล่าวต่อไปอีกว่า “ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้”
ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้
เพราะวาจานี้มีความหมายว่า สิ่งที่พระเจ้าตรัส หรือทรงให้คำมั่น ทุกสิ่งจะเป็นจริง เนื่องจากว่าสำหรับพระเจ้าแล้ว ไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้ ความจริงประการนี้ เราอาจพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า ไม่มีสิ่งใดที่เป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า ในภาษากรีกให้ความหมายชัดเจนมากยิ่งขึ้นว่า “กับพระเจ้า หรือพร้อมกับพระองค์” คือ เน้นว่า เมื่อพระเจ้าประทับอยู่กับมนุษย์คือ เมื่อมนุษย์เราร่วมมือกับพระเจ้าเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ไม่มีอะไรจะเป็นไปไม่ได้
ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้
เราจะนำพระวาจานี้มาปฏิบัติได้อย่างไร ก่อนอื่นหมด เราจะต้องเชื่อมั่นวางใจว่า พระเจ้าจะทำงานกับเราได้ทั้งๆ ที่เรามีขีดจำกัด หรือมีความอ่อนแอ รวมทั้งในช่วงเวลามืดมนที่สุดของชีวิต
นี่เป็นประสบการณ์ของดิทริส บอนเฮิร์ฟเวอร์ ขณะที่ท่านต้องทุกข์ทนอย่างมากในเรือนจำ ท่านได้บันทึกไว้ว่า “พวกเราต้องร่วมในชีวิต ในคำพูด ในการกระทำ ในความทุกข์ทรมาน และในความตายของพระเยซูเจ้าซ้ำแล้วซ้ำอีก” เพื่อที่จะรับรู้ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงสัญญา และทรงปฏิบัติตาม แน่นอนว่า สำหรับเราไม่มีอะไรที่จะเป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไม่มีอะไร ที่จะเป็นไปไม่ได้สำหรับพระเจ้า แน่นอนว่า เราจะต้องไม่คาดหวังสิ่งใด แม้ว่าเราจะวอนขอได้ทุกสิ่ง สิ่งที่แน่นอนก็คือ ในความทรมานก็ยังมีความยินดีซุกซ่อนอยู่ ในความตายก็ยังมีชีวิต ในทุกสิ่งนี้ องค์พระเจ้าทรงตอบรับ “ครับ” และ “อาแมน” ในองค์พระคริสต์ และคำพูดว่า “ครับ” และ “อาแมน” นี่เอง เป็นฐานที่มั่นคงให้เราได้ยืนหยัดอยู่
ไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าจะทรงกระทำไม่ได้
ในความหมายของเรา ในการเอาชนะ “ความเป็นไม่ได้” อันเนื่องมาจากความขาดตกบกพร่องของเรา เพื่อที่ว่าจะ “เป็นไปได้” ที่ชีวิตของเราจะก้าวหน้าเช่นเดียวกับบรรดาอัครสาวก ที่พวกเขาเจริญชีวิตตามพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูเจ้า เราแต่ละคนต้องพร้อมใจกันให้พระพลานุภาพของพระคริสต์ผู้ทรงกลับคืนชีพดำรงอยู่กับเรา ในปี ค.ศ 1945 เคียร่า ลูบิคได้เขียนถึงกลุ่มนักบวชว่า “เราจงก้าวหน้าไป มิใช่ด้วยพลังของเรา” ซึ่งเรามีน้อยนิดและอ่อนแอ แต่ด้วยพลังของความเป็นหนึ่งเดียวกัน ดิฉันได้สัมผัสด้วยตนเอง และขอยืนยันว่า พระเจ้าที่ประทับอยู่ท่ามกลางเรา ทรงทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เราเรียกสิ่งนั้นว่าอัศจรรย์ ถ้าหากว่าเราพยายามซื่อสัตย์ต่อหน้าที่ของเรา โลกจะเห็นเอกภาพ และสิ่งที่มาพร้อมกับเอกภาพคือ พระอาณาจักรของพระเจ้า
หลายปีก่อน ดิฉันไปแอฟริกาได้พบกับบรรดาเยาวชน ซึ่งอยากเจริญชีวิตคริสตชนอย่างดีพวกเขาเล่าให้ดิฉันฟังถึงอุปสรรคมากมาย ที่พวกเขาประสบอยู่ทุกวัน พวกเขาจะมั่นคงในการทำหน้าที่ได้อย่างไร ซึ่งความเชื่อได้เรียกร้องจากพวกเขาคือ ทำตามคำสั่งสอนของพระวรสาร พวกเราคุยกันหลายชั่วโมง ในที่สุดพวกเขาได้ข้อสรุปว่า “เราคนเดียว เราทำไม่ได้อย่างแน่นอน แต่ถ้าเราร่วมใจกัน เราทำได้” และพระเยซูเจ้าเองยังให้คำมั่นกับเราว่า “ที่ใดมีสองหรือสามคนรวมกันในนามของเราคือ ในความรักต่อกัน เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขา” นี่แหละพร้อมกับพระองค์ ทุกสิ่งเป็นไปได้
โดย ออกัสโต ปาโรดี เรเยส และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต พฤศจิกายน 2024
“หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมด นำทุกอย่างที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตมาทำทาน” (มาระโก 12:44)
พระวรสารนักบุญมาระโกบทที่ 12 ตอนสุดท้ายนี้ กล่าวถึงตอนที่พระเยซูเจ้าทรงอยู่ที่พระวิหาร ณ กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงเฝ้ามองผู้คนและทรงเทศน์สอนประชาชน พระองค์ทรงสังเกตเห็นผู้คนมากมาย บ้างกำลังเดินเข้ามาในพระวิหาร บ้างกำลังเดินออกจากพระวิหาร บ้างเข้ามาเพื่อนมัสการพระเจ้า บ้างสวมเสื้อคลุมยาว คนร่ำรวยใส่เงินจำนวนมากในตู้ทานของพระวิหาร
ขณะนั้น มีหญิงหม้ายคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอเป็นคนด้อยโอกาสในสังคม มีฐานะยากจน ไม่มีใครสนใจเธอ เธอหยอดเหรียญเล็กๆ 2 เหรียญลงในตู้ทาน แต่พระเยซูเจ้าทรงสังเกตเห็น ทรงเรียกบรรดาศิษย์เข้ามาแล้วตรัสว่า
“หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมด นำทุกอย่างที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตมาทำทาน”
“แท้จริง แท้จริง เรากล่าวแก่ท่านว่า…” คำนี้เป็นคำที่พระเยซูเจ้าทรงใช้เมื่อทรงให้คำสอนที่สำคัญ สายพระเนตรของพระเยซูเจ้าที่มองหญิงหม้ายที่ยากจนนั้น ทำให้เราต้องมองเยี่ยงสายพระเนตรของพระองค์ ซึ่งหญิงหม้ายนั้นเป็นแบบอย่างของบรรดาสานุศิษย์ของพระองค์
เธอเชื่อมั่นในความรักของพระเจ้า ขุมทรัพย์ของเธอคือ องค์พระเจ้า เธอยอมมอบตนแด่พระเจ้าอย่างสิ้นเชิง เธออยากมอบทุกสิ่งที่เธอมีให้กับคนที่ยากจนกว่าเธอ การยอมมอบตนให้กับพระบิดาเจ้าด้วยความไว้วางใจ เป็นเสมือนเหตุการณ์ล่วงหน้าถึงการอุทิศชีวิตของพระเยซูเจ้าในพระทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ นี่แหละเป็น “จิตใจยากจน” และ “หัวใจบริสุทธิ์” ที่พระเยซูเจ้าทรงประกาศสอน และเป็นสิ่งที่ทรงเจริญชีวิต
นี่แหละเป็นความหมายของพระวาจาที่ว่า “จงอย่าไว้วางใจในทรัพย์สมบัติ แต่จงวางใจในความรักของพระเจ้า และในพระญาณเอื้ออาทรของพระองค์” เรามี “จิตใจยากจน” เมื่อเราให้ความรักต่อผู้อื่นเป็นแนวทางแห่งชีวิตของเรา ดังนั้น เราจะแบ่งปัน และมอบสิ่งที่เรามีกับผู้ขัดสน ไม่ว่าจะเป็นรอยยิ้ม เวลา ข้าวของ ความสามารถ เมื่อเราแบ่งปันสิ่งที่เรามีด้วยความรัก เราจะกลับเป็นผู้ยากจนคือ เราจะเป็นผู้ว่างเปล่า เป็นอิสระ ไม่ยึดมั่นสิ่งใด เราจะมีใจบริสุทธิ์
สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเสนอให้กับเรานี้ เราจะปรับเปลี่ยนแนวคิดของเราจากหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะศูนย์กลางแห่งความคิดของพระเยซูเจ้าอยู่ที่ผู้ต่ำต้อย คนยากจน และคนชายขอบของสังคม
“หญิงคนนี้ขัดสนอยู่แล้ว ยังนำเงินทั้งหมด นำทุกอย่างที่มีอยู่สำหรับเลี้ยงชีวิตมาทำทาน”
พระวาจานี้ ก่อนอื่นเชิญชวนให้เรารื้อฟื้นความไว้วางใจของเราต่อความรักของพระเจ้า และเปรียบเทียบสายตาของเรากับสายพระเนตรของพระเยซูเจ้า ด้วยการมองข้ามสิ่งที่เราเห็นภายนอก ไม่ตัดสิน ไม่ฟังคำของคนอื่น แต่มองผู้อื่นในแง่บวก
การมอบตนโดยสิ้นเชิงตามแบบพระวรสารนั้น เสริมสร้างชุมชนให้มีสันติ เพราะสิ่งนี้จะช่วยให้เราเอาใจใส่กันและกัน ช่วยให้เราเจริญชีวิตพระวรสารในแต่ละวัน รู้จักให้ด้วยความใจกว้าง เจริญชีวิตอย่างมีสติ รู้จักแบ่งปัน และใส่ใจผู้ต่ำต้อย
เวนัน เกิดและเติบโตในประเทศบุรุนดี เธอเล่าว่า “ในหมู่บ้าน ครอบครัวของดิฉันมีนาข้าวที่ให้ผลดีเก็บเกี่ยวได้มาก คุณแม่ของดิฉันถือว่าทุกสิ่งที่มีในครอบครัว นับว่าเป็นพระญาณเอื้ออาทรจากพระเจ้า เธอรวบรวมข้าวที่เก็บเกี่ยวได้ครั้งแรก และนำไปแจกให้กับเพื่อนบ้านที่ยากจนที่สุด ทำให้ครอบครัวของเรามีข้าวเหลือไม่มากนัก แต่นี่ทำให้ดิฉันเรียนรู้ถึงการให้โดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ดิฉันได้เข้าใจว่า พระเจ้าทรงเรียกร้องให้มอบสิ่งที่ดีที่สุดของดิฉันแด่พระองค์ นั่นคือ มอบชีวิตทั้งหมดของดิฉันแด่พระองค์”
โดย เลติเซีย มากริ และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต ตุลาคม 2024
“ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในหมู่ท่าน ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ทุกคน” (มาระโก 10: 43-44)
นี่เป็นครั้งที่สามที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็ม ขณะเดินทาง พระองค์ทรงเตรียมศิษย์ให้พร้อมรับเหตุการณ์อันน่ากลัวที่จะเกิดขึ้น นั่นคือ การรับทรมาน และความตายของพระองค์ แต่นี่เป็นสิ่งที่ แม้ผู้ติดตามพระองค์ใกล้ชิดที่สุดก็ยากที่จะรับได้
ยิ่งไปกว่านั้น ในบรรดาอัครสาวกกลับเกิดการแตกแยกขึ้น ยากอบและยอห์นร้องขอที่นั่งอันมีเกียรติ “ในพระเกียรติมงคล” ของพระองค์ ขณะที่ศิษย์อีกสิบคนไม่พอใจ ดังนั้น จึงเกิดการแบ่งพรรคแบ่งพวกในหมู่พวกเขา
ด้วยความอดทน พระเยซูเจ้าทรงเรียกพวกเขามาพบ ทรงแจ้งพวกเขาอีกครั้งว่า สิ่งใหม่ที่พระองค์ทรงนำมาจะต่างไปจากสิ่งที่พวกเขาเคยประพฤติปฏิบัติอย่างสิ้นเชิง
ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในหมู่ท่าน ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ทุกคน
ในข้อความจากพระวรสารนักบุญมาระโกนี้ เราจะเห็นรูปแบบที่เข้มข้นขึ้นของการเป็นคนใช้ไปจนถึงการเป็นทาส พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เราเห็นจากการมีท่าทีธรรมดาๆ ที่พร้อมให้การช่วยเหลือกับกลุ่มเล็กๆ ไปจนถึงการมอบตนอย่างสิ้นเชิง เพื่อรับใช้ทุกคนโดยไม่ยกเว้นใคร
นี่แหละคือ สิ่งใหม่และทวนกระแส เพราะความนึกคิดทั่วๆไปของเราเกี่ยวกับการมีอำนาจ มีตำแหน่งในการปกครอง และบรรดาอัครสาวกก็ใฝ่ฝัน หรือพวกเราก็อาจเห็นดีเห็นงามไปด้วย
แต่นี่เป็นความรักแบบคริสตชนแล้วหรือ
มีคำๆหนึ่งในพระวรสาร ที่เรามิได้ให้ความสำคัญมากนัก นั่นคือ คำว่ารับใช้ นับแต่โบราณมาแล้ว คำนี้บ่งบอกถึงศักดิ์ศรีของผู้ให้และผู้รับ แต่พระวรสารทั้งหมดสรุปอยู่ที่ความรัก รักหมายถึงรับใช้ พระเยซูเจ้ามิได้เสด็จมาเพื่อบังคับบัญชา แต่เสด็จมาเพื่อรับใช้ การรับใช้กันและกันคือ คริสตศาสนา ซึ่งทุกคนสามารถทำได้ ใครก็ตามที่ปฏิบัติด้วยความเรียบง่าย ก็เท่ากับถือตามพระวรสารทั้งหมด และเมื่อได้ปฏิบัติตามพระวรสารแล้ว สิ่งนี้จะไม่หยุดอยู่เพียงแค่นี้ เพราะเมื่อเราเป็นคริสตชนที่มีชีวิตชีวา วิถีชีวิตแบบนี้จะแพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็วเหมือนไฟลามทุ่ง
ผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นใหญ่จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น และผู้ใดที่ปรารถนาจะเป็นคนที่หนึ่งในหมู่ท่าน
ก็จะต้องทำตนเป็นผู้รับใช้ทุกคน
การได้พบพระเยซูเจ้าในพระวาจาของพระองค์จะช่วยเปิดตาของเรา เหมือนกับที่เปิดตาของบารทิเมอัส (คนขอทานตาบอด) ซึ่งจะช่วยให้เราออกจากโลกทรรศน์แคบๆของเรา ช่วยเราให้มองออกไปยังขอบฟ้ากว้างของพระเจ้า จะเข้าใจถึงฟ้าใหม่และแผ่นดินใหม่ของพระองค์
การที่พระเยซูเจ้าทรงล้างเท้าบรรดาอัครสาวก ทำให้เราเห็นถึงความแตกต่างของการรับใช้ในทางการเมือง หรือบางครั้งในทางศาสนาด้วย ที่การรับใช้เป็นงานของคนที่ต่ำต้อยในสังคม
แต่การรับใช้แบบคริสตชน เป็นการเลียนแบบพระคริสต์พระเจ้า เรียนรู้จากพระองค์ในการเป็นสังคมใหม่ นั่นคือ ทุกคนเป็นเพื่อนพี่น้องของเรา ไม่ว่าเขาจะอยู่ในสถานะใด มีวัฒนธรรมอย่างไร
ดังที่ศิษยาภิบาลยอห์น อันซิอานี นิกายเมโทดิสท์ แห่งคริสตจักรวัลเดเซ กล่าวว่า “เมื่อเรายอมรับด้วยความไว้วางใจ และด้วยความหวังในองค์พระเยซูเจ้า พระผู้รับใช้ของผู้คนจำนวนมาก พระวาจาของพระเจ้าเรียกร้องให้เราปฏิบัติสิ่งที่ตรงข้ามกับกระแสขัดแย้งของโลก ในฐานะเป็นผู้สร้างสันติและความยุติธรรม เป็นผู้สร้างสะพานเชื่อมถึงกัน เพื่อก่อให้เกิดการคืนดีกันในระหว่างประชาชาติ”
คุณอิจิโน่ จอร์ดานี ซึ่งเป็นนักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักการเมือง และเป็นหัวหน้าครอบครัว ได้เจริญชีวิตแบบนี้ในช่วงเวลาที่การเมืองอยู่ภายใต้เผด็จการ ท่านเขียนประสบการณ์ของท่านว่า “การเมืองเป็นสิ่งที่มีเกียรติมาก หากเราเป็นนักการเมืองแบบคริสตชนคือ เป็นผู้รับใช้ มิใช่เป็นเจ้านาย ไม่ใช้การเมืองไปในทางที่ผิด ไม่ครอบครอง หรือกำหนดกฎเกณฑ์ นี่แหละเป็นหน้าที่และเป็นศักดิ์ศรีคือ รับใช้สังคม เป็นความรักในภาคปฏิบัติ เป็นรูปแบบของความรักต่อประเทศชาติบ้านเมือง”
ด้วยการเป็นประจักษ์พยานด้วยชีวิตของพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงเสนอทางเลือกแบบใหม่ คือการไม่เจริญชีวิตเพื่อตัวเอง หรือเพื่อประโยชน์ส่วนตน แต่เจริญชีวิตเพื่อผู้อื่น รับรู้ถึงความรู้สึกของผู้อื่น ร่วมรับภาระ แบ่งปันความยินดีของผู้อื่นด้วย
เราทุกคนต่างมีบทบาทหน้าที่แตกต่างกัน ไม่ว่าในทางการเมือง ทางสังคม ในครอบครัว ในโรงเรียน หรือในชุมชนความเชื่อ เราจงใช้ตำแหน่งอันมีเกียรติของเราด้วยการรับใช้ เพื่อความดีของส่วนรวม และร่วมเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นธรรมและความเป็นปึกแผ่น
โดย เลติเซีย มากริ และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต
กันยายน 2024
“จงปฏิบัติตามพระวาจา มิใช่เพียงแต่ฟัง ซึ่งเท่ากับหลอกตนเอง” (ยากอบ 1:22)
หัวข้อเรื่องการฟังพระวาจาและนำไปปฏิบัติ เป็นเรื่องที่ผู้เขียนจดหมายกล่าวเน้นในพระวาจาเดือนนี้ ในจดหมายนี้ยังมีข้อความอีกว่า “ส่วนผู้ที่พิจารณาบทบัญญัติแห่งอิสรภาพ และยึดมั่นในบัญญัตินั้น มิใช่ฟังแล้วลืม แต่ฟังแล้วนำไปปฏิบัติตาม ผู้นั้นย่อมประสบความสุขในการปฏิบัตินั้น” (ยากอบ 1:25) การพยายามที่จะรู้จักพระวาจาของพระเจ้าและนำไปปฏิบัติ จะช่วยให้เป็นอิสระและนำความยินดีมาให้
เราพูดได้ว่าพระวาจาของเดือนนี้ให้เหตุผลกับเราด้วยว่า ทำไมเราจะต้องนำพระวาจาไปปฏิบัติ บัดนี้ได้แพร่ขยายไปทั่วโลก เดิมทีเรามีพระวาจาอาทิตย์ละครั้ง ต่อมาเราปรับเปลี่ยนเป็นเดือนละครั้ง เคียร่า ลูบิค เป็นผู้นำพระวาจามาจากพระคัมภีร์และให้คำอธิบาย เรามีการพบปะกัน พูดคุยแบ่งปันกันว่า เมื่อเรานำพระวาจามาปฏิบัติก็จะเกิดผลในชีวิตของเรา และก่อให้เกิดกลุ่มผู้คนที่ร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกัน เป็นเสมือนเมล็ดพันธุ์ที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม
แม้จะเป็นวิธีการที่เรียบง่าย ไม่ซับซ้อน แต่วิธีการนี้ช่วยให้ค้นพบพลังของพระวาจาของพระเจ้าใน คริสตชนปัจจุบัน นี่เป็นรูปแบบใหม่ของการเจริญชีวิตพระวาจา และนำผลที่เกิดขึ้นมาเล่าสู่กันฟัง
“จงปฏิบัติตามพระวาจา มิใช่เพียงแต่ฟัง ซึ่งเท่ากับหลอกตนเอง”
บทจดหมายของนักบุญยากอบได้นำพระวาจาที่พระเยซูเจ้าทรงประกาศมาบอกเรา เพื่อเราจะได้นำมาเจริญชีวิต และจะได้มีประสบการณ์เดียวกับพระอาณาจักรสวรรค์ที่อยู่ท่ามกลางเรา พระองค์ตรัสว่า เป็นบุญของผู้ที่ฟังพระวาจาและปฏิบัติตาม พระองค์ทรงถือว่าผู้ที่ฟังพระวาจาและนำไปปฏิบัติ เป็นพี่น้อง เป็นพระมารดาของพระองค์ ทรงเปรียบเทียบกับเมล็ดข้าวที่ตกลงในดินดี คือผู้ที่ฟังพระวาจาด้วยความใจกว้าง และรักษาพระวาจาไว้ พระวาจาจะเกิดผลจากความพากเพียรของเขา
ในพระวาจาทุกคำ พระเยซูเจ้าทรงเผยให้เราได้เห็นความรักที่ทรงมีต่อเรา เคียร่า ลูบิคได้กล่าวว่า “ดังนั้น เราจงรับมาเป็นเลือดเป็นเนื้อของเรา ทำให้กลายเป็นวาจาของเรา และเราจะเห็นว่าเมื่อเรานำมาเจริญชีวิต พลังแห่งชีวิตจะเกิดขึ้นอย่างไร ไม่ว่าในตัวเราและกับผู้ที่อยู่รอบข้าง พวกเราจงรักพระวรสาร จนกระทั่งว่า ตัวตนของเราเปลี่ยนแปลงไป และคนรอบข้างก็จะเปลี่ยนแปลงไปด้วย”
“จงปฏิบัติตามพระวาจา มิใช่เพียงแต่ฟัง ซึ่งเท่ากับหลอกตนเอง”
เราจะนำพระวาจานี้มาปฏิบัติได้อย่างไร ให้เรามองไปยังเพื่อนพี่น้องรอบข้างตัวเรา และพร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือกับทุกคนที่มีความต้องการ ไม่ว่าในเรื่องเล็กหรือใหญ่ เราจงช่วยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่อยุติธรรมของสังคม ต่อต้านความรุนแรง ส่งเสริมสันติและการคืนดี ส่งเสริมการตระหนักรู้ของผู้คนและก่อกิจกรรมรักษ์โลกของเรา
เช่นนี้ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเรา และในชุมชนที่เราอาศัยอยู่ รวมทั้งในที่ๆ เราทำงานด้วย
ความรักแสดงออกได้ผ่านทางกิจกรรมเพื่อสังคม หรือในทางการเมือง ซึ่งมีส่วนเปลี่ยนแปลงโลกให้ดีขึ้น กลุ่มโฟโคลาเรกลุ่มเล็กๆ ในประเทศเปรูได้ทำโครงการสำหรับคนไร้ที่พึ่ง พวกเขาสร้างศูนย์ผู้สูงอายุ ให้ชื่อศูนย์ตามชื่อผู้ตั้งคณะ อยู่ที่เมืองลามูดในเขตอเมซอน ประเทศเปรู ซึ่งพื้นที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเล 2,330 เมตร
ศูนย์นี้เริ่มเปิดในช่วงโรคระบาดโควิดพอดี เปิดรับผู้สูงอายุที่อยู่โดดเดี่ยวรวม 50 คน ตัวบ้าน เครื่องใช้ ถ้วยชาม รวมทั้งอาหารได้รับมาจากชุมชนรอบข้าง เป็นงานที่ท้าทายมาก อุปสรรคและความยากลำบากก็ย่อมมี เราฉลองครบหนึ่งปีของการเปิดศูนย์ในเดือนมีนาคม พ.ศ 2565 เราต้อนรับทุกคนที่มาร่วมงานฉลอง มีบรรดานักการเมืองและอาสาสมัครคนใหม่ๆ มีทั้งผู้ใหญ่และเด็กที่ต้องการมาดูแลผู้สูงอายุ นับเป็นการเปิดครอบครัวให้ขยายใหญ่ขึ้น
โดย แพททริเซีย มัสโซล่า และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต สิงหาคม 2024
“พระเจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ” (มัทธิว 17:4)
ขณะที่พระเยซูเจ้าเสด็จไปกรุงเยรูซาเล็มพร้อมกับศิษย์ และตรัสกับพวกเขาว่าพระองค์จะต้องรับทรมาน สิ้นพระชนม์ และกลับคืนชีพ เปโตรแสดงความเศร้าเสียใจไม่ยอมรับ และไม่เข้าใจ พระเยซูเจ้าทรงพาเขารวมทั้งยากอบและยอห์นขึ้นบนภูเขาสูง ทรงไขแสดงให้พวกเขาได้เห็นแสงสว่างเจิดจ้า และพระพักตร์ของพระองค์ “เปล่งรัศมีดุจดวงอาทิตย์” โมเสสและประกาศกเอลียาห์สนทนาอยู่กับพระองค์ พระบิดาเจ้าตรัสจากก้อนเมฆนั้นว่า ท่านผู้นี้เป็นบุตรสุดที่รักของพระองค์ เมื่อได้เห็นเหตุการณ์นี้เปโตรจึงร้องว่า
พระเจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ
พระเยซูเจ้าทรงนำศิษย์ที่ใกล้ชิดที่สุดของพระองค์ ให้มีประสบการณ์ที่ไม่อาจลืมได้ เพื่อว่าพวกเขาจะได้จดจำเหตุการณ์นั้นไว้ในใจตลอดไป
เราแต่ละคนก็อาจมีประสบการณ์น่าประทับใจ หรือน่าตื้นตันใจเกี่ยวกับการประทับอยู่ของพระเจ้า หรือเพราะกิจการของพระเจ้าในชีวิตของเรา ในตอนนั้นเรามีความยินดี มีสันติสุข หรือมีแสงสว่างที่เราไม่อยากให้ประสบการณ์นั้นผ่านไป เรามักได้รับประสบการณ์เช่นนั้น พร้อมกับเพื่อนๆ ความรักซึ่งกันและกัน ทำให้พระเจ้าเสด็จมาอยู่กับเรา ดังที่พระเยซูเจ้าทรงสัญญาไว้ว่า “ที่ใดมีสองหรือสามคนชุมนุมกันในนามของเรา เราอยู่ที่นั่นในหมู่พวกเขา” (มธ 18:20) บ่อยครั้งในเหตุการณ์แห่งความใกล้ชิดเช่นนั้น พระองค์ทรงบันดาลให้เราเห็นกับตาและเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ ด้วยสายพระเนตรของพระองค์
พระเจ้าทรงให้พวกเขามีประสบการณ์เช่นนั้น ก็เพื่อให้พวกเขามีพละกำลังในการเผชิญกับความยากลำบาก การทดลอง หรือความเหน็ดเหนื่อยที่พวกเขาจะประสบในวิถีทางแห่งชีวิต ให้พวกเขามีความมั่นใจว่าพระเจ้าทรงเฝ้ามองพวกเขาอยู่ ทรงเรียกพวกเขาให้มามีส่วนร่วมในประวัติศาสตร์แห่งความรอด
เมื่อบรรดาศิษย์ลงมาจากภูเขา พวกเขาจะเดินทางไปกรุงเยรูซาเล็มด้วยกัน ที่ซึ่งฝูงชนรอคอยพวกเขาเต็มไปด้วยความหวัง แต่ยังมีหลุมพราง ความขัดแย้ง ความเกลียดชัง และความทุกข์ทรมาน ที่นั่นพวกเขาจะกระจัดกระจายกันไป และจะถูกส่งออกไปจนสุดปลายแผ่นดิน เพื่อเป็นประจักษ์พยานถึงถิ่นฐานบ้านแท้ นั่นคือ พระอาณาจักรของพระเจ้า
พวกเขาได้เริ่มสร้างพระเคหาของพระองค์ในใต้หล้านี้ในท่ามกลางมวลมนุษย์ เพราะว่าพวกเขาได้อยู่กับพระเยซูเจ้าบนภูเขา
พระเจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ
“จงลุกขึ้นเถิด อย่ากลัวเลย” (มธ 17:7) เป็นคำบอกของพระเยซูเจ้าเมื่อเหตุการณ์การจำแลงพระกายสิ้นสุดลง พระวาจานี้พระองค์ตรัสกับเราด้วย เช่นเดียวกันกับบรรดาศิษย์และผู้ติดตามพระองค์ พวกเราก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งด้วยความกล้าหาญ
สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นกับเคียร่า ลูบิค เช่นกัน หลังจากที่ได้พักผ่อนกับเพื่อนๆของเธอ และมีการรำพึงเกี่ยวกับรหัสธรรมแห่งความเชื่อ ในช่วงเวลานั้นเธอได้รับแสงสว่างพิเศษ ซึ่งเธอเรียกว่า “สวรรค์ปี 1949” เธอมีประสบการณ์การประทับอยู่ของพระเจ้าในกลุ่มเล็กๆของเธอ จนเธอรู้สึกว่าไม่อยากกลับไปใช้ชีวิตตามปกติอีก แต่เธอก็ตระหนักใจว่าจะต้อง “ลงจากภูเขา” เธอกลับมีความมุ่งมั่น อันเกิดจากประสบการณ์แห่งการได้รับแสงสว่าง และเธอเริ่มทำงาน ด้วยการเป็นเครื่องมือของพระเยซูเจ้าในการทำให้พระอาณาจักรของพระเจ้าสำเร็จไป เธอเริ่มนำความรัก และแสงสว่างไปที่ๆยังขาดแคลน เธอพร้อมเผชิญหน้ากับความเหน็ดเหนื่อย และความทุกข์ยากลำบาก
พระเจ้าข้า ที่นี่สบายน่าอยู่จริงๆ
บางครั้งเมื่อความสว่างนั้นขาดหายไป ให้เรายกจิตวิญญาณของเราระลึกถึงช่วงเวลาที่พระเจ้าทรงทอแสงสว่างให้กับเรา หากว่าเรามิเคยมีประสบการณ์การได้ใกล้ชิดกับพระองค์ เราก็ต้องพยายามให้มีประสบการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น เราต้องพยายาม “ปีนขึ้นภูเขา” เพื่อจะได้พบกับพระองค์ในเพื่อนพี่น้อง หรือมานมัสการพระองค์ในวัด หรือจะพบพระองค์ได้ด้วยการรำพึงพิจารณาความงดงามของธรรมชาติ
สำหรับพวกเราแล้ว พระเจ้าทรงประทับอยู่กับเราเสมอ เพียงแค่เราร่วมเดินทางกับพระองค์ อยู่ในความเงียบ มีท่าทีที่พร้อมฟังเสียงของพระองค์ ดังเช่นเปโตร ยอห์น และยากอบ
โดย ซิลวาโน มาลินี และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต กรกฎาคม 2024
“พระองค์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจึงไม่ขาดสิ่งใด” (สดุดี 23:1)
บทสดุดีที่ 23 เป็นที่รู้จักกันดีโดยทั่วไปและทุกคนก็ชื่นชอบ เป็นบทเพลงแสดงความไว้วางใจ และแสดงออกถึงความเชื่อ ผู้เขียนเป็นชาวอิสราเอลซึ่งเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงให้สัญญาโดยทางประกาศกว่า จะเป็นนายชุมพาบาลของพวกเขา ผู้เขียนแสดงความปลาบปลื้มใจที่รู้ว่า จะได้รับการดูแลในพระวิหารอันเป็นสถานที่ลี้ภัย มีพระหรรษทานช่วยเหลือ นอกจากนั้น ผู้เขียนอยากให้ผู้อื่นมีประสบการณ์อย่างเดียวกับท่าน คือมีความไว้วางใจว่าพระเจ้าทรงประทับอยู่กับเรา
พระองค์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจึงไม่ขาดสิ่งใด
ในพระคัมภีร์มีการใช้ตัวอย่างนายชุมพาบาลกับลูกแกะบ่อยมาก เพื่อจะเข้าใจได้ลึกซึ้งเราจะต้องมโนภาพถึงทะเลทรายกว้างใหญ่ แห้งแล้ง มีหินระเกะระกะไปทั่วในตะวันออกกลาง คนเลี้ยงแกะเดินนำหน้าฝูงแกะ ซึ่งแกะเดินตามเขาอย่างว่าง่าย เพราะหากว่าไม่มีคนเลี้ยง พวกแกะจะเดินหลงทางและจะตาย แกะจะต้องเรียนรู้ที่จะวางใจในคนเลี้ยง หัดฟังเสียงของเขา ผู้เลี้ยงจะร่วมเดินทางกับแกะตลอดเวลา
พระองค์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจึงไม่ขาดสิ่งใด
บทสดุดีนี้ เตือนใจเราให้มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับพระเจ้า ด้วยการมีประสบการณ์ความรักกับพระองค์ บางท่านอาจสงสัยว่า เหตุใดผู้เขียนบทสดุดีจึงกล้าพูดว่า “จะไม่ขาดสิ่งใด” ในปัจจุบันมีปัญหามากมาย เช่น ปัญหาสุขภาพ ครอบครัว การงาน ฯลฯ ปัญหาเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของเรา นอกจากนี้แล้ว ยังมีปัญหาสงคราม ผลกระทบจากอากาศที่เปลี่ยนแปลง ผู้ย้ายถิ่นฐาน ความรุนแรง ฯลฯ
พระองค์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจึงไม่ขาดสิ่งใด
บางทีคำตอบของปัญหานี้อยู่ในข้อความที่ว่า “เพราะพระองค์ทรงประทับอยู่กับข้าพเจ้า” (สดด. 23:4) นั่นคือ ความมั่นใจในความรักของพระเจ้าที่ทรงอยู่กับเราตลอดเวลา และสิ่งนี้ช่วยเราให้มีชีวิตแตกต่างไปจากเดิม เคียร่า ลูบิคได้เขียนไว้ว่า “การรับรู้ว่า เราจะไปหาพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ทรงพระเมตตา ทรงไถ่บาปของเรา นั่นเป็นเรื่องหนึ่ง แต่การที่เรามีชีวิตอยู่และรู้สึกว่า ตนเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงรักเป็นพิเศษนั้น จะทำให้เราหมดความกลัว ไม่รู้สึกโดดเดี่ยว ไม่รู้สึกเป็นกำพร้า หรือขาดความมั่นใจ ผู้ที่รู้ว่าพระเจ้าทรงรักตน และเชื่อมั่นในความรักของพระองค์ เขาจะวางใจในพระองค์และติดตามพระองค์ สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในชีวิตไม่ว่าสุขหรือทุกข์ จะมีคำตอบว่า เป็นเพราะความรักของพระองค์ผู้ทรงปรารถนาให้เป็นไป หรือทรงอนุญาตให้เกิดขึ้น
พระองค์ทรงเลี้ยงดูข้าพเจ้าอย่างผู้เลี้ยงแกะ ข้าพเจ้าจึงไม่ขาดสิ่งใด
แต่บุคคลที่จะทำให้พระวาจานี้เป็นจริงได้ก็คือพระเยซูเจ้าเอง ในพระวรสารนักบุญยอห์น ได้เรียกพระองค์ว่าเป็น “นายชุมพาบาลที่ดี” ความสัมพันธ์กับนายชุมพาบาลผู้นี้ จะต้องเป็นความสัมพันธ์ส่วนตัว ลึกซึ้ง พระองค์บอกว่า เราเป็นนายชุมพาบาลที่ดี เรารู้จักแกะของเราและแกะของเราก็รู้จักเรา (ยน.10:14-15) พระองค์ทรงนำเราไปสู่ทุ่งแห่งพระวาจาซึ่งให้ชีวิต และพระวาจาที่สำคัญของพระองค์ก็คือ “พระบัญญัติใหม่” ซึ่งเมื่อเรานำมาปฏิบัติจะช่วยให้เราพบว่า พระผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ทรงประทับอยู่กับเราผู้ซึ่งชุมนุมกันในพระนามและในความรักของพระองค์
โดย ออกัสโต ปาโรดี เรเยส และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต มิถุนายน 2024
“พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต” (มาระโก 4:26-27)
เรื่องพระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นหัวใจของพระวรสารที่พระเยซูเจ้าทรงนำมา และพระวรสารนักบุญมาระโกกล่าวถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ ท่านใช้คำเปรียบเทียบสั้นๆว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าเป็นเหมือนกับเมล็ดพืช ซึ่งเมื่อถูกหว่านลงไปในดิน จะกลับให้มีพลังชีวิตและให้ผล
แต่พระอาณาจักรของพระเจ้ายังมีความหมายกับเราในปัจจุบันนี้อย่างไรบ้าง ยังมีความสำคัญกับชีวิตของเราทั้งส่วนรวมหรือส่วนตัวหรือไม่ บ่อยครั้งเราเคยมีความคาดหวัง แต่ก็ผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำอีก เรามีคำถามว่า เราหว่านเมล็ดพืชลงไปในดินแล้ว ทำไมไม่เห็นผลที่ออกมาเป็นความสุขสันติและความปลอดภัย
“พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต”
พระวาจานี้เชิญชวนให้เรามอบความไว้วางใจอย่างเต็มเปี่ยม เช่นเดียวกับพระเยซูเจ้าที่ทรงวางพระทัยในองค์พระเจ้า วางใจในแผนการที่พระเจ้าทรงมีต่อมนุษยชาติโดยทางพระเยซูเจ้า และเพราะชัยชนะของพระองค์ พระอาณาจักรนี้ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในโลก และจะสำเร็จบริบูรณ์ในวันสิ้นพิภพอย่างแน่นอน พระอาณาจักรคือ ทุกคนที่มีความเชื่อ และเป็นจุดเริ่มต้นของพระอาณาจักรนี้
ทุกคนที่ยอมรับพระอาณาจักรพระเจ้า มีหน้าที่ในการเตรียมที่ทางเพื่อรับพระพรของพระเจ้า และเฝ้ารักษาความหวังนี้ด้วยความรัก
ไม่มีความพยายามอันใดตามประสามนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าฌาน การศึกษา หรือสติปัญญา ที่จะช่วยให้เราเข้าถึงพระอาณาจักรของพระเจ้าได้ เป็นพระเจ้าเองที่เสด็จมาหาเรา ทรงเผยพระองค์เองกับเรา ด้วยแสงสว่างของพระองค์ ทรงสัมผัสเราด้วยพระหรรษทานของพระองค์
และยิ่งไปกว่านั้น ไม่มีบุญบารมีใดที่คุณอาจอวดอ้างได้ว่า จะช่วยให้คุณมีสิทธิ์ในพระพรของพระเจ้า พระอาณาจักรพระเจ้าเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงมอบให้เราเปล่าๆ
“พระอาณาจักรของพระเจ้ายังเปรียบเสมือนคนที่นำเมล็ดพืชไปหว่านในดิน เขาจะหลับหรือตื่น กลางคืนหรือกลางวัน เมล็ดนั้นก็งอกขึ้นและเติบโต”
เมล็ดพืชต้องถูกหว่านออกไป มิใช่ถูกเก็บไว้ แต่ต้องปล่อยให้เมล็ดงอกในดิน ให้มีความไว้วางใจ “ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน” เพราะพระอาณาจักรของพระเจ้าค่อยๆเติบโตอย่างเงียบๆ ไม่ว่าจะเป็นในยามค่ำคืนที่มืดมิดของเรา
และเราก็สวดภาวนาทุกวันว่า “พระอาณาจักรจงมาถึง”
ชาวนาไม่จำเป็นต้องทำงานตลอดเวลา หรือจะต้องควบคุม พวกเขาเพียงเฝ้าดูด้วยความอดทน ธรรมชาติจะทำหน้าที่ของมันเอง
พระวาจาทรงชีวิตตอนนี้ ช่วยเราให้ไว้วางใจในพลังของความรัก ซึ่งจะเกิดผลเมื่อถึงเวลา พระวาจาบอกเราให้อยู่ด้วยความอดทนกับสิ่งที่เติบโตได้ด้วยตนเอง ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดผลหรือไม่ พระวาจายังบอกให้มีใจอิสระ ต้อนรับผู้อื่นตลอดเวลา ไว้วางใจว่าเขามีพลังเติบโตเมื่อถึงเวลา
หนึ่งเดือนก่อนการแต่งงานลูกชายของเรา เขาโทรศัพท์มาบอกเราด้วยความกังวลใจว่า แฟนของเขาหันกลับไปใช้ยาเสพติดอีก เขาถามว่าจะทำอย่างไรดี มิใช่เรื่องง่ายเลยที่จะตอบเขา เราอาจบอกเขาให้เลิกกับแฟนเสีย แต่เราก็คิดว่า ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ถูกต้อง เราจึงบอกให้เขาพิจารณาอย่างถ่องแท้ว่า หัวใจเขาต้องการอะไร เขาเงียบไปพักใหญ่และพูดว่า “ผมคิดว่าผมจะรักเธอให้มากขึ้นอีก” หลังจากการแต่งงานแล้ว เธอเข้ารับการรักษาที่ศูนย์บำบัดที่ดีเยี่ยม หลังจากใช้เวลา 14 เดือนในการรักษา เธอได้รับการรับรองว่า “เลิกยาเสพติดได้แล้ว” นับเป็นระยะเวลาที่ยาวนานสำหรับพวกเรา แต่ด้วยความรักแบบพระวรสารที่เราสองคนเจริญชีวิต ได้ช่วยเราให้มีพละกำลังที่จะรักลูกของเราในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ และอาศัยความรักนี่เองที่ช่วยให้ลูกของเราได้เข้าใจว่า เขาจะต้องรักคู่ชีวิตของเขาอย่างไร
โดย เลติเซีย มากริ และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต พฤษภาคม 2024
ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก (1 ยอห์น 4:8)
จดหมายฉบับแรกของนักบุญยอห์น ที่เขียนถึงคริสตชนกลุ่มหนึ่งที่อยู่ในเขตเอเชียไมเนอร์ ท่านบอกพวกเขาให้มุ่งรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน เพราะเกิดความขัดแย้งกันในระหว่างพวกเขา อันเนื่องมาจากข้อคำสอนที่แตกต่างกัน ท่านนักบุญเรียกร้องให้พวกเขายึดมั่นในสิ่งที่มีการประกาศมาตั้งแต่แรก ท่านย้ำว่าบรรดาศิษย์รุ่นแรกๆได้เห็น ได้ฟัง และได้สัมผัสด้วยมือในการดำเนินชีวิตร่วมกับองค์พระเจ้า ด้วยเหตุนี้ กลุ่มคริสตชนดังกล่าวก็มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ เช่นนี้พวกเขาสามารถร่วมชีวิตกับพระเยซูเจ้าและกับพระบิดา
ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก
เพื่อผู้อ่านจะรับรู้ว่า อะไรเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในสิ่งที่เราได้รับสืบทอดมา ผู้เขียนได้เน้นว่า พระเจ้าทรงรักพวกเขาก่อนในองค์พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงรักเราจนกระทั่งยอมรับสภาพมนุษย์ ยอมรับทั้งความจำกัด และความอ่อนแอประสามนุษย์
ขณะที่พระองค์ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน พระเยซูเจ้าทรงร่วมชะตากรรมของมนุษย์ด้วยพระองค์เองในการถูกทอดทิ้งจากพระบิดา ทรงมอบพระองค์เองอย่างสิ้นเชิงเพื่อรักษาบาดแผลนั้น ด้วยความรักอันไร้ขีดจำกัดโดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ ทรงสอนเราด้วยพระวาจา และด้วยชีวิตของพระองค์ว่า ความรักคืออะไร
ด้วยตัวอย่างของพระเยซูเจ้า เราจึงเข้าใจได้ว่า ความรักที่แท้จริงนั้น ประกอบด้วยความกล้าหาญ การจะต้องออกแรง และต้องเสี่ยง ต้องกล้าเผชิญความขัดแย้ง และความทุกข์ทรมาน ดังนั้น ผู้ที่มีความรักเช่นนี้จะร่วมชีวิตกับพระเจ้า ร่วมในอิสระเสรีกับพระองค์ และร่วมในความยินดีกับพระองค์
เมื่อเรามีความรักเช่นเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงรักเรา ซึ่งจะช่วยให้เราไม่มีความเห็นแก่ตัว ทำให้เรามีความสัมพันธ์กับพี่น้องและกับพระเจ้า และช่วยให้เรามีประสบการณ์ในความรักนั้น
ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก
การรู้จักพระเจ้า ผู้ทรงสร้างเราและทรงรู้จักเรา อันเป็นความจริงอันล้ำลึกที่สุดของทุกสิ่ง ถือเป็นความปรารถนาของจิตใจมนุษย์มาโดยตลอด
หากว่าพระเจ้าทรงเป็นความรัก และเรามีความรักเหมือนอย่างพระองค์ ซึ่งทำให้เราเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงความจริง และทำให้เรารู้จักพระเจ้ามากยิ่งขึ้น เพราะการเจริญชีวิตเช่นเดียวกันกับพระองค์ทรงดำรงชีวิต และเราจะดำรงอยู่ในแสงสว่างของพระองค์
สิ่งนี้จะเป็นจริงได้ดีที่สุดเมื่อความรักระหว่างเราเป็นความรักที่มาจากทั้งสองฝ่ายคือ เมื่อเรามีความรักกันและกัน อันที่จริง “พระเจ้าทรงดำรงอยู่ในเรา” เป็นความจริงที่เกิดขึ้นได้ เช่นเดียวกับที่ขั้วไฟฟ้า 2 ขั้วมาสัมผัสกัน ประกายไฟจะเกิดขึ้น ส่องสว่างไปยังสิ่งที่อยู่รอบๆ
ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก
เคียร่า ลูบิค ได้เขียนไว้ว่า “การเป็นประจักษ์พยานถึงพระเจ้าทรงเป็นความรัก เป็นการปฏิวัติอันยิ่งใหญ่ ที่พวกเรามีหน้าที่จะต้องมอบให้กับโลกสมัยนี้ โลกที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด เช่นเดียวกับคริสตชนในสมัยแรก ซึ่งมีหน้าที่มอบสิ่งนี้ให้กับคนต่างศาสนาในสมัยนั้น”
เราจะเจริญชีวิตด้วยความรักที่มาจากพระเจ้าได้อย่างไร เราจงเรียนรู้จากพระบุตรของพระองค์ และนำไปสู่ภาคปฏิบัติ โดยเฉพาะในเรื่องการรับใช้เพื่อนพี่น้องที่อยู่ใกล้ชิดเรา โดยเริ่มจากการรับใช้ในเล็กๆน้อยๆ ให้เราเลียนแบบพระเยซูเจ้าด้วยการรักผู้อื่นก่อน โดยการออกจากตนเอง ยอมรับกางเขนทุกชนิดไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก เช่นนี้ เราจะมีประสบการณ์ความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า เราจะพบแสงสว่าง สันติ และความชื่นชมยินดีในจิตใจ ที่พระเยซูเจ้าทรงปรารถนามอบให้กับเรา
ผู้ไม่มีความรัก ย่อมไม่รู้จักพระเจ้า เพราะพระเจ้าทรงเป็นความรัก
ซานต้า ชอบไปเยี่ยมบ้านคนชราแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีบรรยากาศแบบครอบครัว เธอเล่าว่า “วันหนึ่งดิฉันไปกับโรแบร์ตา ที่นั่น เธอได้พบกับคุณปู่อัลโด เขามีฐานะดี มีรูปร่างสูงใหญ่ และมีการศึกษาสูง คุณปู่อัลโดจ้องมองเราสองคนด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร กล่าวว่า “พวกเธอมาที่นี่ทำไม ต้องการอะไรจากพวกเรา ปล่อยให้พวกเราตายอย่างสงบจะดีกว่าไหม” เราทั้งสองไม่แสดงความเสียใจ แต่ตอบท่านว่า “พวกเราอยากมาหาคุณปู่ เพื่อทำความรู้จักและพูดคุยกับคุณปู่” พวกเขาทั้งสองกลับไปที่นั่นอีกหลายครั้ง โรแบร์ตาเล่าว่า “คุณปู่ไม่ยอมพูดเลย ปฎิเสธที่จะฟัง เพราะท่านไม่เชื่อในพระเจ้า ซานต้าเป็นคนเดียวที่คุณปู่ยอมพูดคุยด้วย เพราะเธอเป็นคนอ่อนโยน นั่งฟังคุณปู่พูดหลายชั่วโมง เธอสวดภาวนาให้กับคุณปู่เสมอ ครั้งหนึ่งเธอได้มอบสายประคำเป็นของขวัญให้กับคุณปู่ และท่านก็รับเอาไว้ หลังจากนั้น ซานต้าได้ทราบข่าวว่า คุณปู่อัลโดได้เสียชีวิต แต่ที่ท่านจะก่อนเสียชีวิต ท่านได้เอ่ยชื่อของซานต้าด้วย ซานต้ารู้สึกเสียใจมากที่คุณปู่จากไป แต่เธอก็ยอมรับ เพราะคุณปู่จากไปอย่างสงบ และในมือของท่านถือสายประคำที่ซานต้าให้
ซิลวานา มาลินี่ และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต เมษายน 2024
บรรดาอัครสาวกยังคงเป็นพยานยืนยันถึง การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยเครื่องหมายอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ และทุกคนได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง (กิจการ 4:33)
พระวาจาที่เรานำมาเจริญชีวิตในช่วงปัสกานี้ เชิญชวนเราผู้ซึ่งได้รับข่าวดีแล้ว ให้เป็นประจักษ์พยานยืนยันเช่นเดียวกับบรรดาอัครสาวก ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต นั่นคือ พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ
และเพื่อให้เราเข้าใจความหมายของข้อความนี้ ซึ่งเรานำมาจากหนังสือกิจการอัครสาวกได้ดียิ่งขึ้น จะเป็นการดีมากที่เราจะอ่านข้อความก่อนหน้าพระวาจาตอนนี้คือ “กลุ่มผู้มีความเชื่อ ดำเนินชีวิตเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ไม่คิดว่าสิ่งที่ตนมีเป็นกรรมสิทธิ์ของตน แต่ทุกสิ่งเป็นของส่วนรวม”
บรรดาอัครสาวกยังคงเป็นพยานยืนยันถึง การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยเครื่องหมายอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ และทุกคนได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง
ข้อความพระวาจานี้ กล่าวถึงชุมชนคริสตชนกลุ่มแรก ซึ่งได้รับพลังดลใจอันเข้มข้นจากองค์พระจิตเจ้า เป็นชุมชนอันเข้มแข็งที่ประกาศพระวรสารแก่ทุกคน และสิ่งที่พวกเขาประกาศคือ พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ
ก่อนวันฉลองพระจิตเจ้า บุคคลกลุ่มนี้ต่างตกใจ สิ้นหวังกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่เมื่อได้ประสบกับความจริง จึงพร้อมใจกันเป็นประจักษ์พยานยืนยันถึงความจริง แม้ว่าจะต้องถูกฆ่าก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะพลังจากพระจิตเจ้าที่ขจัดความหวาดกลัวออกไปจากจิตใจของพวกเขา พวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน มีความรักกันและกันจนถึงขั้นที่ว่า พวกเขาวางทุกสิ่งที่มีให้เป็นกองกลาง และสิ่งที่พวกเขาปฏิบัตินี้ค่อยๆแผ่วงกว้างออกไปถึงผู้คนจำนวนมาก
พวกเขาเหล่านั้น หลายคนเคยติดตามพระเยซูเจ้า เคยฟังพระวาจาจากพระองค์ เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพระองค์ในการรับใช้ ในความรักเป็นพิเศษต่อผู้ที่ต่ำต้อย คนป่วย เคยเห็นพระเยซูเจ้าทรงทำอัศจรรย์ ชีวิตของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป เพราะนำพระบัญญัติใหม่ลงภาคปฏิบัติ พวกเขากลายเป็นประจักษ์พยานกลุ่มแรก ถึงการประทับอยู่อย่างแท้จริงของพระเจ้าในท่ามกลางมวลมนุษย์ แต่สำหรับเรา ซึ่งเป็นผู้ติดตามพระเยซูเจ้าในสมัยนี้ การเป็นประจักษ์พยานจะมีความหมายอย่างไร
บรรดาอัครสาวกยังคงเป็นพยานยืนยันถึง การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยเครื่องหมายอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ และทุกคนได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง
การเป็นประจักษ์พยานยืนยันว่า พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพได้ดีที่สุดคือ การแสดงให้เห็นว่า พระองค์ทรงชีวิต และทรงประทับในท่ามกลางเรา “หากเราเจริญชีวิตตามพระวาจาของพระองค์ จุดไฟแห่งความรักในหัวใจของเรา จะส่งผลต่อผู้คนรอบข้าง เราพยายามรักษาความรักกันและกันไว้ องค์พระผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพจะทรงชีวิตในเรา ในท่ามกลางเรา และพระองค์เองจะทอแสงของพระองค์ และพระหรรษทานแก่ผู้คนรอบข้าง จะเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมของเราให้เกิดผลดีอย่างที่เราไม่คาดคิด โดยทางพระจิตเจ้า พระองค์จะทรงนำทางเรา รวมทั้งกิจการต่างๆของเรา พระองค์จะจัดเตรียมสภาพแวดล้อมรอบตัวเรา และเปิดโอกาสให้เรานำชีวิตของพระองค์ไปสู่ผู้ที่ต้องการพระองค์”
บรรดาอัครสาวกยังคงเป็นพยานยืนยันถึง การกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูองค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยเครื่องหมายอัศจรรย์ยิ่งใหญ่ และทุกคนได้รับความเคารพนับถืออย่างสูง
คุณมาร์กาเรต คาร์รัม เขียนไว้ว่า “จงออกไปทั่วโลก ประกาศพระวรสารแก่ทุกคน นี่เป็นคำสั่งที่บรรดาอัครสาวกได้ฟังโดยตรงจากพระเยซูเจ้าเมื่อ 2,000 ปีก่อน พวกเขาได้เปลี่ยนประวัติศาสตร์ ปัจจุบันพระเยซูเจ้าทรงเชื้อเชิญเราในแบบเดียวกัน ทรงทำให้เราพบวิถีทางที่จะนำพระองค์ไปสู่โลก ด้วยความคิดริเริ่มใหม่ๆ ด้วยความรู้ความสามารถ และอิสระเสรีที่พระองค์ทรงมอบให้กับเรา”
นี่เป็นการประกาศ “ที่มิได้สิ้นสุดลงพร้อมกับการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูเจ้า ตรงข้ามหลังจากที่พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพ และการเสด็จมาขององค์พระจิตเจ้า การประกาศยิ่งเข้มข้นขึ้น โดยบรรดาศิษย์ที่เป็นประจักษ์พยานอย่างกล้าหาญถึงพระวรสาร และหน้าที่ที่พวกเขาได้รับมอบหมายก็ส่งทอดมาถึงพวกเราจนปัจจุบันนี้ ดังนั้น ผ่านทางตัวฉัน และพวกเราทุกคน พระเจ้าทรงปรารถนาบอกถึงเรื่องราวความรักของพระองค์กับผู้คนที่เราอยู่ด้วยต่อไป ไม่ว่าจะเป็นช่วงเวลามากหรือน้อยก็ตาม”
โดย แพทริเซีย มัสโซล่า และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต มีนาคม 2024
ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงสร้างจิตใจที่ใสสะอาดไว้ในข้าพเจ้า โปรดทรงฟื้นฟูดวงจิตของข้าพเจ้าให้มั่นคง (สดุดี 51:10)
ประโยคจากพระคัมภีร์ที่เรานำมาเป็นพระวาจาทรงชีวิตในช่วงมหาพรตนี้ มาจากบทสดุดีที่ 51 ข้อ 10 เป็นคำภาวนาที่แสดงถึงความสุภาพถ่อมตน “ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงสร้างจิตใจที่ใสสะอาดไว้ในข้าพเจ้า โปรดทรงฟื้นฟูดวงจิตของข้าพเจ้าให้มั่นคง” เรารู้จักบทสดุดีที่มีพระวาจาตอนนี้ ที่ชื่อว่า “โปรดเมตตาเถิด” บทสดุดีนี้ ผู้เขียนมองไปถึงส่วนลึกที่สุดในจิตใจมนุษย์ สายใยอันล้ำลึกในความรู้สึกของความต่ำต้อย เมื่อต้องอยู่ต่อพระพักตร์ของพระเจ้า ในขณะเดียวกัน ก็มีความปรารถนาอย่างยิ่ง ที่จะมีความสนิทสัมพันธ์อันเต็มเปี่ยมกับพระเจ้า ผู้เป็นบ่อเกิดแห่งพระหรรษทานและพระเมตตา
ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงสร้างจิตใจที่ใสสะอาดไว้ในข้าพเจ้า โปรดทรงฟื้นฟูดวงจิตของข้าพเจ้าให้มั่นคง
บทสดุดีบทนี้ มาจากเหตุการณ์หนึ่งในชีวิตของกษัตริย์ดาวิด พระเจ้าทรงเรียกพระองค์ให้เป็นผู้นำของชาวอิสราเอล และนำพวกเขาให้เชื่อฟังพันธสัญญาของพระเจ้า แต่พระองค์มิได้ทำหน้าที่ของพระองค์อย่างดี แต่ได้ทำบาปผิดกับนางบัทเชบา และยังทำให้นายทหารที่ชื่ออุรียาห์เป็นชาวฮิตไทต์ สามีของนางถูกฆ่าตายในสนามรบด้วย ประกาศกนาธันได้บอกกับกษัตริย์ดาวิดว่า นี่เป็นความผิดหนัก ซึ่งพระองค์ทรงยอมรับ ดังนั้น บทสดุดีนี้เป็นคำกล่าวยอมรับผิดของพระองค์ และการขอคืนดีกับพระเจ้า
ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงสร้างจิตใจที่ใสสะอาดไว้ในข้าพเจ้า โปรดทรงฟื้นฟูดวงจิตของข้าพเจ้าให้มั่นคง
ผู้เขียนบทสดุดีกล่าวคำอ้อนวอนนี้จากพระโอษฐ์ของกษัตริย์ดาวิด มีหลายคำที่มีความหมายลึกซึ้งและสะท้อนให้เห็นถึงความเสียใจอย่างที่สุด และด้วยความวางใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า พระเจ้าจะทรงอภัยให้ได้แก่คำว่า “จงลบออกไปเสีย” “จงชำระล้างข้าพเจ้า” “จงทำให้ข้าพเจ้าสะอาด” โดยเฉพาะตามข้อความที่เรายกมานี้ ทรงใช้คำว่า “จงสร้าง” ซึ่งมีความหมายว่า ให้ช่วยพระองค์ให้เป็นอิสระจากความอ่อนแอตามประสามนุษย์ ซึ่งสิ่งนี้พระเจ้าผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงทำได้ พระองค์ทรงรู้ดีว่า พระเจ้าเท่านั้นจะทรงทำให้พระองค์กลับเป็นคนใหม่ด้วยการมี “จิตใจใหม่” เต็มไปด้วยพระจิตเจ้าที่ประทานชีวิต ประทานความยินดีอย่างแท้จริง ปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์ระหว่างเรากับพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง (ดวงจิตที่มั่นคง) รวมทั้งเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเรากับผู้อื่น กับธรรมชาติ และกับโลก
ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงสร้างจิตใจที่ใสสะอาดไว้ในข้าพเจ้า โปรดทรงฟื้นฟูดวงจิตของข้าพเจ้าให้มั่นคง
เราจะนำพระวาจานี้มาปฏิบัติได้อย่างไร พระวาจาตอนแรกบอกเราให้ยอมรับว่า เราเป็นคนบาป เราต้องการการอภัยจากพระเจ้า เราจะต้องมีท่าทีแห่งการไว้วางใจอย่างเต็มเปี่ยมกับพระองค์
อาจเป็นไปได้ว่า เมื่อเราทำความผิดซ้ำซาก เราหมดกำลังใจ ปิดตัวเอง เราจะต้องพยายามเปิดใจของเรา แม้เพียงเล็กน้อยก็ยังดี เคียร่า ลูบิค เขียนไว้ในปี ค.ศ. 1940 ว่า ใครที่รู้สึกว่าไม่อาจก้าวข้ามความน่าสมเพชของตนได้ จะต้องพยายามขจัดความคิดอื่น ๆ ทุกอย่างออกไปจากจิตใจของตน และเชื่อว่าพระเยซูเจ้าเสด็จมาหาเราที่ถ่อมตน วางใจในพระองค์ เราเองนั้น เรามิได้มีอะไรดี นอกไปจากความน่าสมเพช ส่วนพระองค์ สำหรับเรานั้น พระองค์ไม่ได้มีสิ่งอื่นนอกไปจากพระเมตตา จิตวิญญาณของเราจะหลอมรวมกับพระองค์ได้ โดยการถวายตนเป็นของถวาย เป็นของถวายสำหรับพระองค์เท่านั้น เป็นของถวายที่มิใช่เพราะบุญกุศลที่เราได้ทำ แต่เป็นของถวายที่เต็มไปด้วยบาป พระเยซูเจ้าเสด็จมารับเอากายเป็นมนุษย์เหมือนเรา ทรงเสด็จมายังโลกนี้เพื่อสิ่งเดียว นั่นคือ เป็นพระผู้กอบกู้ มาเป็นผู้รักษา มิได้ทรงเป็นอย่างอื่น
ข้าแต่พระเจ้า ขอพระองค์ทรงสร้างจิตใจที่ใสสะอาดไว้ในข้าพเจ้า โปรดทรงฟื้นฟูดวงจิตของข้าพเจ้าให้มั่นคง
เมื่อเราได้รับการอภัยให้เป็นอิสระแล้ว จงพร้อมให้ความช่วยเหลือผู้อื่น เพราะว่าพลังของคริสตชนมาจากการรวมกันเป็นชุมชน เราจะรักกันและกันด้วยการแสดงออกอย่างเป็นรูปธรรม กับใครก็แล้วแต่ที่อยู่ใกล้กับเรา “สิ่งที่เราต้องทำคือ รัก รับใช้กันและกัน เข้าใจกัน ร่วมในความทุกข์ ความวิตกกังวล และความยินดีของพี่น้อง ความรักที่ปกปิดทุกอย่าง อภัยทุกอย่าง เป็นความรักแบบคริสตชน” สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรังซิสตรัสว่า “การให้อภัยของพระเจ้า เป็นเครื่องหมายที่ยิ่งใหญ่แห่งพระเมตตาของพระองค์ เป็นพระพรที่ผู้ได้รับการอภัยจะต้องนำมาแบ่งปันให้กับคนอื่น ๆที่ตนพบคือ กับทุกคนที่พระเจ้านำมาให้อยู่ใกล้เคียงกับเรา ไม่ว่าจะเป็นญาติมิตร เพื่อนสนิท มิตรสหาย คนร่วมงาน สัตบุรุษวัดเดียวกันกับเรา ฯลฯ เราทุกคนมีสิ่งที่เหมือนกันคือ เราต้องการพระเมตตาจากพระเจ้า เราได้รับการอภัย ซึ่งเป็นสิ่งที่งดงามยิ่งนัก ดังนั้น คุณเองที่อยากจะได้รับการอภัย ก็ต้องรู้จักให้อภัยด้วย จงให้อภัยเถิด เพื่อจะได้เป็นประจักษ์พยานของการให้อภัย ซึ่งเป็นการชำระจิตใจให้สะอาด และช่วยเปลี่ยนแปลงชีวิตอีกด้วย”
โดย ออกัสโต ปาโรดิ เรเยส และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต กุมภาพันธ์ 2024
“จงทำทุกสิ่งด้วยความรักเถิด” (1 โครินธ์ 16:14)
ในเดือนนี้ เพื่อเราจะได้มีประทีปส่องทางชีวิตของเรา จึงได้นำพระวาจาจากประสบการณ์ของนักบุญเปาโล จากบทที่ท่านได้บอกกับชาวโครินธ์ ซึ่งเหมือนท่านได้บอกกับพวกเราด้วย เป็นข้อความที่ชัดเจนมาก และเป็นหัวใจของพระวรสาร ซึ่งก็คือ ความรักเมตตา เป็นความรักที่ไม่คาดหวังสิ่งใดตอบแทน
พระวาจาที่เรานำมานี้ เป็นข้อสรุปบทจดหมายของนักบุญเปาโล ท่านได้ให้ความหมายของการแสดงออกถึงความรักในหลายรูปแบบ ได้แก่ ความอดทนต่อกัน ความปรารถนาดี ยึดความถูกต้อง ไม่แสวงหาผลประโยชน์
หากคริสตชนเจริญชีวิตในความรักเช่นนี้ จะช่วยสมานความแตกแยก ซึ่งทำลายความหวังของมนุษยชาติ
“จงทำทุกสิ่งด้วยความรักเถิด”
จดหมายของนักบุญเปาโลนี้ น่าประทับใจมาก ในต้นฉบับภาษากรีก ท่านบอกให้เราปฏิบัติทุกอย่างด้วยความรัก เหมือนท่านบอกเราว่า เราอยู่ในฐานะนั้นแล้วคือ ดำรงอยู่ในพระเจ้า ซึ่งเป็นองค์ความรัก
เราจะเต็มใจต้อนรับกันและกัน หรือยินดีเชื้อเชิญทุกคนด้วยท่าทีเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะเรารับรู้ว่า พระเจ้าทรงรักเราก่อน ถึงแม้ว่าเรายังอ่อนแอและผิดพลาดได้
นี่เป็นไปได้ เนื่องจากมโนธรรมของเราที่ได้รับการเปลี่ยนแปลงแล้ว ช่วยให้เราไม่มีความกลัวที่จะเปิดตนเองต้อนรับผู้อื่น เข้าใจผู้มีความบกพร่อง พร้อมอยู่เคียงข้างเขา แบ่งปันสิ่งต่าง ๆ กับเขาทั้งด้านที่เป็นวัตถุสิ่งของ และขุมทรัพย์ฝ่ายจิต
เราจงมองดูองค์พระเยซูเจ้า พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของเรา
พระองค์ทรงให้เป็นคนแรกเสมอ ทรงให้สุขภาพที่ดีกับคนเจ็บป่วย ทรงอภัยให้คนบาป ทรงมอบชีวิตให้กับพวกเราทุกคน ให้เราทวนกระแสความเห็นแก่ตัวด้วยการเป็นคนใจกว้าง ต่อต้านการเอาตนเองเป็นที่ตั้ง มองแต่ความต้องการของตนเอง โดยการไม่ใส่ใจต่อผู้อื่น ทวนกระแสวัฒนธรรมแห่งการมักได้ด้วยวัฒนธรรมแห่งการให้ ไม่สำคัญว่าเราจะให้ได้มากหรือน้อย ความสำคัญอยู่ที่ว่า เราให้เขาอย่างไร เราใส่ความรักของเราเข้าไปในสิ่งที่เราให้กับผู้อื่นหรือไม่ แม้เป็นสิ่งเล็กน้อย เป็นความรักต่างหากที่สำคัญ เพราะถ้าเราติดต่อกับผู้อื่นด้วยท่าทีพร้อมจะรับฟัง พร้อมช่วยเหลือไม่ว่าเรื่องใด และเราทำทุกสิ่งด้วยความรัก นั่นจะเป็นวิธีง่ายที่สุดที่จะเข้าถึงจิตใจของเขาและทำให้เขาสบายใจ
“จงทำทุกสิ่งด้วยความรักเถิด”
พระวาจานี้สอนเราให้ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความเคารพ ไม่เสแสร้ง พร้อมให้ความร่วมมือ พร้อมรับฟังความคิดเห็นที่ดีกว่า เพราะแต่ละคนมีสิ่งดี ๆ ที่จะมอบให้สังคม
นอกจากนั้น พระวาจานี้ช่วยให้เราได้รับคุณค่าในทุกกรณี ในชีวิตประจำวันของเรา ไม่ว่าเราจะทำงานบ้าน งานในทุ่งนา หรืองานในสำนักงาน งานที่โรงเรียน งานราชการ งานด้านการเมือง หรืองานด้านศาสนา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราทำ เหล่านี้ล้วนเป็นการบริการรับใช้
และนี่ทำให้เราได้เห็นแง่มุมต่าง ๆ ของพระวรสารที่เราสามารถเจริญชีวิตได้อย่างเรียบง่าย
พ่อ-แม่ครอบครัวหนึ่งเล่าว่า มีคนข้างบ้านคนหนึ่งหน้าตาเศร้าหมองมาก เขาบอกกับเราว่า ลูกชายของเขาติดคุก เราตัดสินใจไปเยี่ยมลูกของเขา ก่อนไป เราได้พลีกรรม อดอาหาร เพื่อขอพระพรจากพระเจ้า ขอพระองค์ทรงช่วยให้เราได้พูดในสิ่งที่ถูกต้อง และเรายังได้ช่วยจ่ายค่าประกันตัวเขา เพื่อที่จะได้ออกจากเรือนจำชั่วคราว
เยาวชนกลุ่มหนึ่งที่เมืองบิว ประเทศแคเมอรูน ได้พยายามรวบรวมเงินและสิ่งของต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือผู้ลี้ภัยสงคราม พวกเขาไปเยี่ยมชายคนหนึ่งที่สูญเสียแขนข้างหนึ่งในขณะที่หลบหนีมา การสูญเสียแขนทำให้เขามีความยากลำบากมากในการใช้ชีวิตตามปกติ ซึ่งเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จีน่าเล่าว่า จากการที่พวกเขาได้ไปเยี่ยมชายคนนี้ ทำให้เขามีความหวัง ความยินดี และความไว้วางใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เขารู้สึกถึงความรักของพระเจ้าผ่านทางพวกเรา มาริตาเสริมว่า จากประสบการณ์นี้ ดิฉันมั่นใจว่า สิ่งที่เราให้กับผู้อื่นนั้น ไม่มีสิ่งใดเล็กน้อยหากเราให้ด้วยความรัก เราไม่ต้องการสิ่งอื่นใดนอกจากความรัก เพราะความรักค้ำจุนโลกใบนี้ของเรา
เลติเซีย มากริ และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต
มกราคม 2024
“ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” (ลูกา 10:27)
ในสัปดาห์แห่งการภาวนาเพื่อความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตชนปีนี้ ได้นำพระวาจาประโยคนี้ เพื่อเราจะได้ไตร่ตรอง พระวาจานี้ปรากฏอยู่ในพระคัมภีร์เดิม ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินมุ่งไปยังกรุงเยรูซาเล็ม นักกฎหมายคนหนึ่งมาเข้าเฝ้าพระองค์ทูลถามว่า “พระอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำอย่างไรจึงจะได้ชีวิตนิรันดร” แต่พระเยซูเจ้าทรงถามเขากลับว่า “มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์ว่าอย่างไร” ผู้ที่ถามพระเยซูเจ้าจึงเป็นผู้ให้คำตอบเอง เขากล่าวว่าตามหนังสือกฎหมาย และหนังสือประกาศกที่สรุปว่า ให้รักพระเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์
“ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”
นักกฎหมายคนนั้นถามพระเยซูเจ้าต่อว่า “ใครเล่าเป็นเพื่อนพี่น้องของข้าพเจ้า” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาด้วยการเล่าเรื่องชาวสะมาเรียผู้ใจดี พระองค์ไม่ได้ให้ชื่อบุคคลต่างๆ ที่จะเป็นเพื่อนพี่น้องของเรา แต่ทรงบอกว่าความเมตตากรุณาจะต้องเป็นบ่อเกิดของกิจการทุกอย่างของเรา เป็นเราเองที่จะต้องเป็นเพื่อนพี่น้องกับคนอื่น คำถามที่จะต้องถามคือ “ดิฉันเป็นเพื่อนพี่น้องของใครบ้าง”
เช่นเดียวกับชาวสะมาเรียคนนั้น เราจะต้องใส่ใจต่อผู้คนที่ขาดแคลน ต้องไม่กลัวที่จะยื่นมือเข้าช่วยเหลือในทุกสถานการณ์ เราแสดงความรักด้วยการใส่ใจ ช่วยเหลือ สนับสนุน หรือให้กำลังใจกับทุกคน เราจะต้องมองผู้อื่นว่าเขาเป็นตัวตนของเรา และปฏิบัติต่อเขาเหมือนกับที่เราอยากให้ผู้อื่นปฏิบัติกับเรา นี่แหละเป็น “กฎทอง” ที่เราพบได้ในทุกศาสนา ท่านมหาตมะคานธีได้อธิบายไว้ดีมากว่า “ท่านและดิฉันเป็นหนึ่งเดียวกัน ดิฉันไม่อาจทำร้ายท่านได้โดยไม่ทำร้ายตัวดิฉันเอง”
“ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”
หากเราไม่ใส่ใจ ไม่สนใจในความขาดแคลนของเพื่อนพี่น้อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องฝ่ายวัตถุหรือเป็นเรื่องฝ่ายจิตใจ เราก็ไม่อาจพูดได้ว่า “เรารักเพื่อนพี่น้องเหมือนรักตนเอง” เราไม่อาจพูดได้ว่า “เรารักเขาเหมือนดังที่พระเยซูเจ้าทรงรักเขา” ในสังคมที่เราพยายามให้ความรักที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเป็นแรงขับเคลื่อนชีวิตของเรา เราต้องไม่ปล่อยให้ความไม่เท่าเทียมกัน การกีดกัน การไม่ใส่ใจกันเกิดขึ้นได้ เพราะหากเราคิดว่า เพื่อนพี่น้องเป็นคนแปลกหน้าที่มารบกวนชีวิตปกติสุขของเรา หรือขัดขวางการงานของเรา เราก็ไม่อาจพูดได้ว่า เรารักพระเจ้าสุดจิตใจของเรา
“ท่านจะต้องรักองค์พระผู้เป็นเจ้า ท่านจะต้องรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”
ชีวิตคือสิ่งที่เกิดขึ้นในขณะปัจจุบัน หากเรามองไปรอบๆตัวเรา รู้จักฟังกันและกัน พร้อมทั้งเราเปิดใจรับกันและกัน ซึ่งจะช่วยให้เราเกิดความคิดริเริ่มที่เราคาดไม่ถึง
สิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นกับวิคตอเรีย เธอได้เล่าว่า
“ครั้งหนึ่ง ดิฉันรู้สึกประทับใจกับเสียงร้องเพลงที่ไพเราะของซิสเตอร์แอฟริกันท่านหนึ่งที่นั่งติดกับดิฉัน ดิฉันจึงพูดชมเชยท่านและบอกท่านว่า อยากให้ท่านไปร่วมขับร้องกับกลุ่มนักร้องเพลงของวัด เรามีโอกาสได้พูดคุยกัน ซิสเตอร์มาจากประเทศอิเควทอเรียลกินี ซึ่งมาแพร่ธรรมที่กรุงมาดริด ท่านบอกว่าที่อารามของประเทศของท่านรับเลี้ยงเด็กชาย-หญิงที่ถูกทอดทิ้ง และดูแลเด็กเหล่านี้จนโตเป็นผู้ใหญ่ เด็กๆ มีโอกาสเรียนถึงระดับมหาวิทยาลัย บางคนก็เข้าเรียนวิชาชีพ ที่อารามมีร้านตัดเสื้อผ้า แต่ยังไม่มีจักรเย็บผ้าเพียงพอ
ดิฉันจึงเสนอว่า จะช่วยจัดหาจักรเย็บผ้าเพิ่มเติม ดิฉันมอบความหวังนี้ไว้กับพระเยซูเจ้า วางใจว่าพระองค์จะทรงเห็นความจำเป็นของพวกเรา และจะทรงช่วยให้ดิฉันรักโดยไม่มีข้อจำกัด
มีเพื่อนของดิฉันรู้จักพ่อค้าคนหนึ่ง พร้อมและยินดีที่จะร่วมมือในกิจการแห่งความรักนี้ เขาได้ซ่อมจักรเย็บผ้า 8 คัน และเครื่องรีดผ้าอีก 1 อัน และเพื่อนอีก 2-3 คนเสนอที่จะส่งมอบจักรเย็บผ้าทั้งหมดจากกรุงมาดริดไปที่อารามเมืองมาลาโบ แม้นว่าเขาจะต้องเปลี่ยนเป้าหมายการเดินทางการพักผ่อนของเขา พวกเขาต้องเดินทางข้ามน้ำทะเลอันไกลกว่า 1,000 กิโลเมตร เมื่อไปถึงผู้คนในประเทศนี้แทบไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น และได้แสดงความกตัญญูรู้คุณอันยิ่งใหญ่”
แพทริเซีย มัสโซล่า และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต ธันวาคม 2023
“จงร่าเริงยินดีเสมอ จงอธิษฐานภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี เพราะพระองค์ทรงปรารถนาให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้ในพระคริสตเยซู” (1 เธสะโลนิกา 5:16-18)
นักบุญเปาโลเขียนจดหมายถึงชาวเธสะโลนิกา ซึ่งหลายคนยังมีชีวิตอยู่ร่วมสมัยของพระเยซูเจ้า พวกเขาได้เห็น ได้ฟังพระองค์ตรัส และเป็นประจักษ์พยานถึงการสิ้นพระชนม์อันน่าเศร้าสลดของพระองค์ พวกเขาพิศวงถึงการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระองค์ และการเสด็จสู่สวรรค์ของพระองค์ พวกเขายังจำได้ถึงเครื่องหมายต่าง ๆ ที่พระเยซูเจ้าทรงทิ้งไว้ และคาดหวังว่าพระองค์จะเสด็จกลับมาในไม่ช้า นักบุญเปาโลรักกลุ่มคริสตชนที่เธสะโลนิกา พวกเขาเป็นแบบอย่างในการดำเนินชีวิต การเป็นประจักษ์พยานและผลที่ได้ ท่านได้เขียนจดหมายฉบับนี้ถึงพวกเขา และขอร้องพวกเขาให้อ่านให้ทุกคนฟัง ในจดหมายนี้ ท่านย้ำเตือนพวกเขาให้ “เลียนแบบอย่างของท่านและของพระเยซูเจ้า” ท่านกล่าวสรุปดังนี้ว่า
“จงร่าเริงยินดีเสมอ จงอธิษฐานภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี เพราะพระองค์ทรงปรารถนาให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้ในพระคริสตเยซู”
สาระสำคัญอย่างหนึ่งของคำเตือนอันเร่งด่วนของนักบุญเปาโลนี้ ไม่ใช่แค่สิ่งที่พระเจ้าทรงคาดหวังจากเรา แต่เป็นช่วงเวลาแห่งการอธิษฐานภาวนา ที่จะต้องทำสม่ำเสมอ ไม่หยุดหย่อน ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แต่ทว่า จะมีใครสามารถสั่งให้ผู้อื่นร่าเริงยินดีได้หรือ เพราะชีวิตของเรารุมเร้าไปด้วยปัญหา และความกังวลมากมาย ทั้งความทุกข์ทรมาน ความโศกเศร้า เราทุกคนต่างมีประสบการณ์ในการมีชีวิตอยู่ในสังคมที่เย็นชาและไม่มีไมตรีจิต กระนั้นนักบุญเปาโลก็มีเหตุผล ซึ่งอาจเป็นไปได้เสมอ เมื่อท่านกล่าวว่า “จงร่าเริงยินดีเสมอ” ท่านพูดกับบรรดาคริสตชน และแนะนำให้พวกเขาเจริญชีวิตคริสตชนอย่างจริงจัง เพื่อที่พระเยซูเจ้าจะได้ทรงมีชีวิตอยู่ในพวกเขาอย่างเต็มเปี่ยมตามที่ทรงสัญญาไว้ หลังจากการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระองค์ บางครั้งเราอาจมีประสบการณ์เช่นนี้ พระองค์ทรงพระชนม์อยู่ในผู้ที่รัก และใครก็ตามสามารถติดตามหนทางแห่งความรักของพระองค์นี้ได้ โดยที่ไม่ยึดติดกับตนเอง และรักผู้อื่นอย่างให้เปล่า มีความยินดีที่ได้รับความช่วยเหลือจากผู้อื่น รักษาความเชื่อมั่นให้คงอยู่ นั่นคือ “ความรักเอาชนะทุกสิ่ง”
“จงร่าเริงยินดีเสมอ จงอธิษฐานภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี เพราะพระองค์ทรงปรารถนาให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้ในพระคริสตเยซู”
การเสวนาระหว่างศาสนิกที่นับถือศาสนาต่าง ๆ และผู้ที่มีความเชื่อต่างกัน นำไปสู่ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น และการสวดภาวนาเป็นการปฏิบัติอย่างลึกซึ้งของมนุษย์ การสวดภาวนาทำให้มนุษย์ทุกคนสูงส่งขึ้น
การภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อนจะทำได้อย่างไร เอฟโดคิมอฟ นักเทวศาสตร์ออร์โธด็อกซ์กล่าวว่า เพียงแค่ได้สวดภาวนา ทำตามกฎเกณฑ์ ทำจนเป็นนิสัยนั้นไม่เพียงพอ แต่เราจะต้องกลายเป็นการภาวนา ให้การภาวนากลายเป็นตัวตนของเรา ทำให้ชีวิตของเราเป็นพิธีกรรม เป็นการภาวนากับสิ่งต่างๆในชีวิตประจำวัน
เคียร่า ลูบิค ได้เน้นว่า ถ้าเรารักพระเจ้าในฐานะที่เป็นบุตร ด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยมด้วยความรักจากพระจิตเจ้า และวางใจในองค์พระบิดา และด้วยความวางใจเช่นนี้ ทำให้เราพูดคุยกับพระองค์ได้บ่อยๆ บอกพระองค์ถึงทุกสิ่งที่เราทำ ความตั้งใจของเรา หรือโครงการของเรา
ยังมีอีกวิธีหนึ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ เพื่อที่จะสวดภาวนาอยู่เสมอ คือให้เราหยุดนิ่งสักครู่ก่อนจะทำกิจการใดๆ ให้เรามุ่งความตั้งใจของเราไปกับกิจการนั้น พร้อมกับกล่าวว่า “เพื่อพระองค์” นี่เป็นวิธีการง่ายๆ ในการเปลี่ยนกิจการทุกอย่างของเราจากภายในจิตใจ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงชีวิตทั้งหมดของเราให้เป็นการภาวนาอย่างต่อเนื่อง
“จงร่าเริงยินดีเสมอ จงอธิษฐานภาวนาอย่างสม่ำเสมอ จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี เพราะพระองค์ทรงปรารถนาให้ท่านทำสิ่งเหล่านี้ในพระคริสตเยซู”
จงขอบพระคุณพระเจ้าในทุกกรณี ด้วยท่าทีอย่างเป็นอิสระและจริงใจ ด้วยความรักกตัญญูรู้คุณต่อพระองค์ สำนึกว่าพระองค์ทรงค้ำจุน และทรงอยู่เคียงข้างเราแต่ละคน กับชนทุกชาติ กับเรื่องราวในประวัติศาสตร์และในจักรวาลอย่างเงียบๆ นอกจากนี้ เรายังรู้คุณต่อผู้อื่นที่ร่วมเดินเคียงบ่าเคียงไหล่กับเรา และทำให้เราตระหนักว่า เราต้องพึ่งพากันและกัน
จงชื่นชมยินดี จงสวดภาวนา และจงขอบพระคุณ การกระทำสามอย่างนี้ที่ทำให้เราใกล้ชิดกับพระเจ้า เป็นในสิ่งที่พระเจ้าทรงทอดพระเนตรมายังเรา และทรงมีพระประสงค์ให้เราเป็น ซึ่งจะช่วยทำให้เรามีความสนิทสัมพันธ์กับพระองค์มากยิ่งขึ้น ด้วยความวางใจว่า “พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งสันติ และทรงบันดาลให้เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างสมบูรณ์”
เช่นนี้ เราจึงเตรียมตัว เพื่อจะได้มีความยินดีอย่างลึกซึ้งในเทศกาลพระคริสตสมภพ เพื่อทำให้โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น และเพื่อเราจะได้เป็นผู้สร้างสันติกับตัวเราเอง กับคนที่บ้าน ในที่ทำงาน กับผู้คนในที่สาธารณะ ในปัจจุบันนี้ไม่มีสิ่งใดที่จำเป็น และเร่งด่วนไปมากกว่าสิ่งนี้อีกแล้ว
วิคตอเรีย โกเมส และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
“ทุกท่านเป็นบุตร แห่งความสว่างและ บุตรแห่งทิวากาล เรามิได้อยู่ฝ่ายราตรี กาลหรือความมืด (1 เธสะโลนิกา 5:5) ”
คำว่าแสงสว่างมักใช้หมายถึง ชีวิต ทุก วันเรารอคอยรุ่งอรุณ อันเป็นเครื่องหมาย แห่งการเริ่มต้นใหม่ การพูดถึงแสงสว่าง มีปรากฏในข้อเขียนของผู้คนมากมาย รวมทั้งในศาสนาต่างๆ เช่น ชาวฮิบรูมี ประเพณีเฉลิมฉลองแสงสว่างคือ ฮานุก กะห์ เป็นวันระลึกถึงการถวายพระวิหาร อันศักดิ์สิทธิ์ใหม่ในกรุงเยรูซาเล็ม เป็น เครื่องหมายของการหลุดพ้น ส่วนชาวมุสลิมจุดเทียนในวันคล้ายวันประสูตร ของพระศาสดาคือ วันเมาลิด ซึ่งเป็นภาษาอาหรับ หรือ วันเมลิดกันดิล (ภาษาตุรกี) และวันฉลองดิวาลี ชื่อนี้หมายถึงแสงสว่างมีกำ เนิดจากวันฉลอง ของชาวฮินดู เป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะของความดีเหนือความชั่ว และยังมี ศาสนาอื่นๆ ในประเทศอินเดีย สำ หรับเราคริสตชน พระเยซูเจ้าทรงเป็นแสงสว่าง ที่ส่องเข้าไปใน ความมืดมนของโลก ดังนี้ จึงมีความหมายลึกซึ้ง นั่นคือ การประทับของ พระเจ้า เป็นพระพรสำ หรับมนุษยชาติและโลก
ทุกท่านเป็นบุตรแห่งความสว่างและบุตรแห่งทิวากาล เรามิได้อยู่ฝ่ายราตรีกาลหรือความมืด
อันว่าบุตรแห่งราตรีกาลมีลักษณะเป็นอย่างไร ลักษณะแรกคือ “เราไม่ได้อยู่ฝ่ายราตรีกาลหรือความมืด” ไม่หลับใหล มีความแน่วแน่ใน การตื่นเฝ้า และการเจริญชีวิต เลือกเป็นฝ่ายรักเสมอ
นักบุญเปาโลเขียนจดหมายถึงชาวเธสะโลนิกา ได้เตือนพวกเขาให้ ตื่นเฝ้าอยู่เสมอ ละทิ้ง ความเฉื่อยชา ความไม่ใส่ใจ ปัจจุบันนี้ มวลมนุษย์มี ความต้องการแสงสว่างเป็นอย่างมาก เราที่ไม่เป็นฝ่ายราตรีกาลมีหน้าที่ กระชับความสัมพันธ์ของผู้คน ดั่งแสงสว่างที่ช่วยให้พวกเขารู้จักเสียสละ เสมอ เพื่อทำ ให้พระผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ชีพปรากฏชัดแจ้งในความเชื่อ
ยิ่งไปกว่านั้น เราจำ เป็นที่จะต้องสร้างความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น กับพระเจ้า มีเวลาสนทนากับพระองค์ ด้วยการภาวนา นำ พระวาจาไป ปฏิบัติ อันจะช่วยให้แสงสว่างนี้เปล่งประกายขึ้น
ทุกท่านเป็นบุตรแห่งความสว่างและบุตรแห่งทิวากาล เรามิได้อยู่ฝ่ายราตรีกาลหรือความมืด
บางครั้งเราเคยชินกับความมืดมนในจิตใจของเรา หรือเราปลาบ ปลื้มกับแสงประดิษฐ์ที่เห็นได้ทั่วไป ชื่นชมกับความสุขจอมปลอมของ โลกนี้ แต่พระเจ้าทรงเรียกเราเสมอ เพื่อให้แสงสว่างของพระองค์ส่อง สว่างในตัวเรา และรู้จักวิธ ีมองผู้คนและเหตุการณ์ต่าง ๆอย่างรอบคอบ อย่างไรก็ตาม ในพระเจ้า เราเห็นถึงแผนการณ์ที่เปี่ยมไปด้วยความรักของ พระองค
ให้เราพยายามออกแรงอยู่เสมอ ที่จะเลือกสิ่งที่ช่วยให้เราเป็นคน ใหม่ ให้มีความเด็ดขาดว่า การเลือกที่จะต้องออกจากความมืดมนมาสู่ แสงสว่าง เคียร่า ลูบิค เขียนไว้ว่า “คริสตชนไม่อาจหนีไปจากโลก ปิด ตนเอง หรือถือว่าศาสนาเป็นเรื่องส่วนตัว แต่เราใช้ชีวิตในโลก มีหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบต่อมวลมนุษยชาติ มีพันธกิจที่ต้องปฏิบัติ นั่นคือ เป็น แสงสว่างให้กับผู้อื่น ท่านเองก็มีหน้าที่เช่นนี้ มิฉะนั้น ท่านจะเป็นคนไร้ ประโยชน์เหมือนกับเกลือที่ไม่มีรสเค็ม หรือเหมือนกับแสงที่ดับกลาย เป็นความมืดมน หน้าที่ของคริสตชนคือ ให้แสงสว่างที่ดำ รงอยู่ในตนเอง นั้นทอแสงไปสู่ผู้อื่น ‘เป็นเครื่องหมาย’ ถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าใน ท่ามกลางมวลมนุษย์”
นั้นทอแสงไปสู่ผู้อื่น ‘เป็นเครื่องหมาย’ ถึงการประทับอยู่ของพระเจ้าใน ท่ามกลางมวลมนุษย์”
พระองค์ด้วยความจร ิงใจ ไม่มีส ิ่งใดจะแยกเราไปจากความรักของพระองค์ ได้ เพราะเหตุว่าเราเป็นบุตรของพระองค์ เราต้องมั่นใจเช่นนี้ เราจะไม่ หวั่นไหวกลัวกับสิ่งใดที่อาจมากระทบกับชีวิตของเรา
ปีนี้เกิดแผ่นดินไหวที่ประเทศตุรกี ประเทศซีเรีย มีผู้คนเสียชีวิต มากกว่า 50,000 คน และทำ ให้ผู้คนเป็นล้านๆต้องลำบาก ผู้คนที่รอด ชีวิตจากหายนะนี้ ชุมชนในที่เกิดเหตุ รวมทั้งจากประเทศอื่นๆได้ให้ความ ช่วยเหลือกับผู้ที่กำลังทนทุกข์ทันที เป็นการให้ความบรรเทากับคนที่ต้อง สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก บ้าน หรือสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง
ความมืดมนไม่อาจทำลายผู้ที่เลือกเจริญชีวิตในความสว่าง และ เป็นบ่อเกิดแสงสว่างได้ สำ หรับ คริสตชนหมายความว่า เราเจริญชีวิต โดยมีพระคริสตเจ้าประทับอยู่ท่ามกลาง การประทับอยู่ของพระองค์ก่อให้ เกิดชีวิตชีวา เต็มเปี่ยมไปด้วยความหวัง และช่วยให้เราคงอยู่ในความรัก ของพระเจ้า
แพทตริเซีย มาสโซลา และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต ตุลาคม 2023
“ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด” (มัทธิว 22 : 21)
ในขณะที่พระเยซูเจ้ากำลังเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเล็ม ประชาชนโห่ร้องต้อนรับ เรียกพระองค์ว่า “โอรสกษัตริย์ดาวิด” เป็นตำแหน่งกษัตริย์ ซึ่งในพระวรสารนักบุญมัทธิวใช้คำนี้เรียกพระคริสต์เจ้า การเรียกพระองค์อย่างนี้ มีความหมายว่าอาณาจักรพระเจ้ากำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว
ในช่วงเวลานั้นเอง มีเหตุการณ์สำคัญอย่างหนึ่งเกิดขึ้นคือ มีการสนทนาระหว่างพระเยซูเจ้ากับบุคคลกลุ่มหนึ่ง ในกลุ่มนี้บางคนเป็นพวกของกษัตริย์เฮโรด บางคนเป็นฟาริสี พวกเขามีความคิดต่างกันเกี่ยวกับพระราชอำนาจของจักรพรรดิโรมัน พวกเขาเข้ามาถามพระเยซูเจ้าว่า เป็นการถูกต้องหรือไม่ที่จะเสียภาษีให้กับพระจักรพรรดิ การถามเช่นนี้ เป็นการจับผิดพระเยซูเจ้าให้ต้องเลือกข้างว่า จะยอมรับพระจักรพรรดิซีซาร์ หรือต่อต้านพระองค์ ดังนี้ พวกเขาจะได้มีเหตุกล่าวโทษพระองค์ได้
แต่พระเยซูเจ้าจึงตรัสถามว่า “รูปและคำจารึกนี้เป็นของใคร” เมื่อพวกเขาตอบว่า “เป็นรูปของพระจักรพรรดิซีซาร์” พระองค์จึงตรัสว่า
“ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”
อะไรเล่าที่เราจะต้องคืนให้กับซีซาร์ อะไรเล่าที่เราจะต้องคืนให้กับพระเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงบอกเราเสมอว่า พระเจ้าต้องมาก่อน เงินเหรียญของชาวโรมัน พิมพ์รูปของพระจักรพรรดิ เช่นเดียวกัน เราแต่ละคนเป็นพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า
คำสอนของรับบี ผู้นำศาสนายิว ได้ยืนยันว่า มนุษย์ถูกสร้างมาตามพระฉายาลักษณ์ของพระเจ้า คำสอนดังกล่าวได้ใช้รูปแบบการประทับฉายาลักษณ์บนเหรียญว่าดังนี้ “เมื่อเราประทับเหรียญเงินด้วยพระรูปของกษัตริย์พระองค์ใด ทุกเหรียญก็จะมีพระรูปนั้นเหมือนกันหมด แต่องค์ราชาแห่งราชาทั้งหลาย องค์พระผู้ศักดิ์สิทธิ์อย่างยิ่ง ทรงประทับพระฉายาลักษณ์ของพระองค์ตั้งแต่มนุษย์คนแรกมา และจะไม่มีใครเหมือนกันเลย”
ดังนั้น เราทุกคนจะต้องมอบตัวเราทั้งหมดให้กับพระเจ้าเท่านั้น เราเป็นของพระองค์แต่เพียงพระองค์เดียว ในพระองค์เท่านั้น เราจึงจะมีอิสรภาพและศักดิ์ศรีแท้จริง ไม่มีผู้ใดจะเรียกร้องความซื่อสัตย์เช่นนี้ได้
หากจะมีผู้ใดที่รู้จักพระเจ้า และช่วยให้เราเข้าใจถึงพระฐานันดรของพระเจ้าได้อย่างถูกต้อง ก็คงมีแต่เพียงพระองค์เดียวเท่านั้นคือ พระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสว่า “รักพระบิดาหมายถึง ทำตามพระประสงค์ของพระองค์” สำหรับเราก็เช่นเดียวกัน “รัก” หมายถึง ทำตามสิ่งที่พระบิดาทรงประสงค์อย่างเต็มที่ หมดทั้งใจและกาย สำหรับพระเจ้าแล้ว เราต้องมอบตัวเรากับพระองค์ทุกสิ่ง ให้ทั้งหมดคือ หมดทั้งกาย หมดทั้งสติปัญญา และหมดทั้งจิตวิญญาณ
“ของของซีซาร์ จงคืนให้ซีซาร์ และของของพระเจ้า ก็จงคืนให้พระเจ้าเถิด”
กี่ครั้งมาแล้วที่เราตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก กลืนไม่เข้าคายไม่ออก ไม่รู้จะตัดสินใจอย่างไรดี เราอยากจะได้ทางออกง่ายๆ แม้พระเยซูเจ้าเองก็ถูกผจญให้ต้องเลือกระหว่างทาง 2 แพร่ง แต่สำหรับพระเยซูเจ้า พระองค์ยืนยันอย่างชัดเจนว่าอาณาจักรพระเจ้าต้องมาก่อน ความรักต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด
ขอให้เราถามตนเองด้วยถ้อยคำเหล่านี้ว่า ใจของเราถูกครอบงำด้วยความอยากมีชื่อเสียง ความสำเร็จในอาชีพการงาน เราภูมิใจกับคนที่ประสบความสำเร็จ กับคนที่มีอิทธิพล เราติดอกติดใจอยู่กับสิ่งของ แทนที่จะให้ใจของเราอยู่กับพระเจ้าหรือไม่
พระเยซูเจ้าทรงเสนอสิ่งที่เยี่ยมยอดที่สุด ทรงเชื้อเชิญเราให้รู้จักแยกแยะ ตัดสินใจว่าสิ่งใดสำคัญมาก สิ่งใดสำคัญน้อย
หากเราตั้งใจฟังเสียงมโนธรรมของเรา เราก็จะได้ยิน แม้เสียงนั้นจะแผ่วเบา ถูกกลบจากเสียงรอบข้างที่ดังกว่า แต่เราก็ยังคงจำเสียงนั้นได้ เสียงนั้นที่กระตุ้นเราให้แสวงหาความเป็นพี่เป็นน้อง กระตุ้นเราให้รื้อฟื้นการก้าวเดินบนหนทางเช่นนี้ ถึงแม้เราจะต้องเดินทวนกระแส
นี่เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อที่จะมีความสัมพันธ์แท้จริงกับผู้คนรอบข้าง และเราจะได้พบกับคำตอบต่อความซับซ้อนของชีวิต นี่ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเพิ่มความรับผิดชอบของเราแต่ละคนในสังคม แต่หมายถึงว่า เราจะอุทิศตนในสังคมโดยไม่หวังสิ่งใดตอบแทน
ศาสนาจารย์ ดีทรัช บอนเฮิฟเฟอร์ในขณะที่อยู่ในเรือนจำเพื่อรอโทษประหาร เพราะทำการต่อต้านพวกนาซีเยอรมัน ท่านได้เขียนจดหมายถึงคู่หมั้นสาวว่า “ความเชื่อของผม มิได้เป็นความเชื่อที่อยู่นอกโลก แต่เป็นความเชื่อที่คงอยู่ในโลก เรารักและซื่อสัตย์ต่อแผ่นดินเกิด ถึงแม้จะต้องทนทุกข์ การแต่งงานของเราจะต้องเป็นการตอบรับต่อแผ่นดินของพระเจ้า ซึ่งจะช่วยให้เรามีความกล้าหาญ ทำงาน และสร้างสิ่งใหม่ๆบนโลกนี้ ผมกลัวว่าคริสตชนที่ยืนด้วยเท้าเดียวบนโลกใบนี้ อาจจะต้องอยู่บนสวรรค์แค่เท้าเพียงข้างเดียว”
เลติเซีย มากริ และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต กันยายน 2023
“ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่พระองค์ทุกวัน จะสรรเสริญพระนามพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์”
(บทสดุดี 145 :2)
พระวาจาจากพระคัมภีร์ที่เรานำมาเป็นพระวาจาทรงชีวิตของเดือนนี้ จะช่วยเราให้เจริญชีวิตในการภาวนา ซึ่งนำมาจากบทสดุดีที่ 145 บทสดุดีต่างๆ ได้สะท้อนถึงประสบการณ์ทางศาสนา อาจเป็นของส่วนบุคคล หรือของชนชาติอิสราเอล ที่อยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนการดำรงชีวิตในประวัติศาสตร์ของพวกเขา บทภาวนาที่แต่งขึ้นนี้ เป็นบทกวีที่กล่าวทูลพระเจ้าในแบบคร่ำครวญ วอนขอ ขอบพระคุณ และสรรเสริญพระองค์ ในบทสดุดีเราจะพบว่ามนุษย์แสดงท่าที อารมณ์ความรู้สึกในรูปแบบต่อพระเจ้าของตน
ความสำคัญของบทสดุดีที่ 145 คือ พระราชอำนาจของพระเจ้า ผู้เขียนบทสดุดีนี้ เคยมีประสบการณ์ด้วยตนเอง ได้ยกย่องความยิ่งใหญ่ของพระเจ้าว่า “พระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ ทรงสมควรจะได้รับการสรรเสริญอย่างยิ่ง” ( ข้อ 3) “ความดีของพระองค์ยิ่งใหญ่ ความรักของพระองค์แผ่ไปถึงทุกคน พระองค์ทรงพระทัยดีต่อทุกคน ความอ่อนโยนของพระองค์ครอบคลุมสิ่งสร้างทั้งมวล” (ข้อ 9) “พระองค์ทรงซื่อสัตย์ต่อพระสัญญาทุกถ้อยคำของพระองค์” (ข้อ 13) พระองค์ทรงมีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง “สิ่งสร้างทั้งหลายจงถวายพระพร แด่พระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์” (ข้อ 21)
“ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่พระองค์ทุกวัน จะสรรเสริญพระนามพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์”
แต่ผู้คนในปัจจุบันนี้ บางครั้งก็หลงทาง และรู้สึกว่าต้องพึ่งตนเอง หวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด มีหลายๆสิ่งที่ไม่มีความหมาย และปราศจากเป้าหมาย
บทสดุดีบทนี้ประกาศถึงความมั่นใจในความหวัง พระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างฟ้าและแผ่นดิน ทรงซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาที่มีกับประชากรของพระองค์ ทรงให้ความยุติธรรมกับผู้ถูกกดขี่ ทรงประทานขนมปังแก่ผู้หิวโหย ทรงปลดปล่อยผู้ถูกจองจำ ทรงประทานสายตาแก่คนตาบอด ทรงพยุงคนหกล้มให้ลุกขึ้น ทรงรักผู้ชอบธรรม ทรงปกป้องคนแปลกหน้า ทรงช่วยเหลือเด็กกำพร้าและหญิงหม้าย
“ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่พระองค์ทุกวัน จะสรรเสริญพระนามพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์”
พระวาจานี้เชิญชวนเราให้มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับพระเจ้า ด้วยการยอมรับความรักและพระเมตตาของพระองค์ และฟังพระสุรเสียงของพระองค์ นี่เป็นรากฐานของการภาวนาทุกชนิด และเนื่องจากว่าความรักต่อพระเจ้าไม่อาจแยกออกจากความรักต่อพี่น้องได้ เมื่อเราเลียนแบบพระบิดาเจ้าในการักเพื่อนพี่น้องอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะการรักคนต่ำต้อย คนถูกทอดทิ้ง คนที่โดดเดี่ยวที่สุด เราจะรู้สึกได้ว่าพระองค์ทรงประทับอยู่ในชีวิตประจำวันของเรา ครั้งหนึ่ง เมื่อเคียร่า ลูบิค ได้รับเชิญจากกลุ่มพี่น้องชาวพุทธให้พูดถึงประสบการณ์ชีวิตคริสตชนของเธอ เธอได้กล่าวสรุปดังนี้ว่า “หัวใจของประสบการณ์ของดิฉันคือ ยิ่งดิฉันรักเพื่อนมนุษย์มากเท่าไร ดิฉันยิ่งพบพระเจ้า และยิ่งดิฉันได้พบพระเจ้า ดิฉันจะยิ่งรักเพื่อนมนุษย์มากยิ่งขึ้น”
“ข้าพเจ้าจะถวายพระพรแด่พระองค์ทุกวัน จะสรรเสริญพระนามพระองค์ตลอดไปเป็นนิตย์”
แต่ยังมีวิธีการหนึ่งเพื่อที่จะพบพระเจ้าได้อีก หลายทศวรรษที่ผ่านมานี้ มนุษยชาติตื่นตัวมากขึ้นในเรื่องของสภาพแวดล้อม ซึ่งเป็นแรงผลักดันที่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะเยาวชนที่พยายามเสนอรูปแบบชีวิตที่เรียบง่าย นับเป็นการพัฒนาในรูปแบบใหม่ ใส่ใจถึงสิทธิของชนทุกชาติในโลกว่า จำเป็นต้องมีน้ำ อาหาร อากาศบริสุทธิ์ และแสวงหาพลังงานทางเลือก ดังนั้น ด้วยวิธีใหม่ๆนี้ มิใช่เพียงแค่มนุษย์เราจะฟื้นฟูความสัมพันธ์กับธรรมชาติเท่านั้น แต่เรายังจะได้สรรเสริญพระเจ้าด้วยการค้นพบว่า พระเจ้าทรงมีพระทัยอ่อนโยนต่อสรรพสิ่งทั้งมวลที่พระองค์ทรงสร้างมา
และนี่เป็นประสบการณ์ของคุณแวร์นัน เอ็ม เขาเกิดในประเทศบุรุนดี เมื่อตอนยังเป็นเด็ก เขาตื่นนอนตอนเช้าด้วยเสียงร้องของนกในพุ่มไม้ เขากับเพื่อนๆต้องเดินไปโรงเรียนหลายสิบกิโลเมตรในป่า เขารู้สึกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกับต้นไม้ เนินเขา นก และสัตว์ต่างๆ เขารู้สึกถึงความใกล้ชิดกับธรรมชาติ และยิ่งไปกว่านั้นเขารู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ รู้สึกว่าพระผู้สร้าง และสิ่งสร้างมีความกลมกลืนกันจริงๆ ความสำนึกนี้จึงเป็นคำสรรเสริญพระเจ้า มิใช่เพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ แต่เป็นคำสรรเสริญพระองค์ตลอดทั้งวัน
บางคนอาจจะมีคำถามว่า แล้วในเมืองเราจะทำอย่างไร ในเมืองที่เต็มไปด้วยตึกรามบ้านช่อง ป่าคอนกรีต ซึ่งมนุษย์ได้สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมา และบ่อยครั้งเราไม่ได้ใส่ใจกับธรรมชาติ แต่กระนั้นพวกเราก็ยังมองหา และเราก็ยังพบท้องฟ้าสีครามเหนือยอดตึกระฟ้า เพื่อนึกถึงองค์พระเจ้า ด้วยการมองไปยังแสงประกายของดวงอาทิตย์ ที่ยังทอแสงผ่านกรงเหล็กในที่คุมขัง มองดอกไม้ มองทุ่งหญ้า หรือมองที่ใบหน้าของเด็ก…”
วิคตอเรีย โกเมส และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระเยซูเจ้าเดินทางไปยังเขตเมืองไทระและเมืองไซดอน ซึ่งเป็นดินแดนของคนต่างศาสนา ดูเหมือนว่าพระองค์และบรรดาศิษย์ต้องการไปพักผ่อน หรือทรงต้องการอยู่เงียบๆตามลำพังเพื่อสวดภาวนา แต่ทันใดนั้น มีเสียงร้องของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้น ซึ่งคล้ายๆกับอีกหลายคนในพระวรสารที่ไม่ได้บ่งบอกชื่อ พวกศิษย์รู้สึกรำคาญ เพราะเธอเดินตาม ร้องเสียงดังขอให้พระเยซูเจ้าช่วยเหลือ เธอมิได้หยุดยั้ง แม้เธอไม่ได้เป็นชาวอิสราแอล หรือเพียงเพราะเธอเป็นผู้หญิง หรือเพราะพระเยซูเจ้าไม่ใส่ใจเธอ แต่เธอเป็นแม่ เป็นห่วงลูกสาวที่ต้องทรมานมากจากปีศาจเข้าสิง เธอมาหาพระเยซูเจ้า เพราะต้องการพบพระองค์ด้วยตนเอง ในที่สุดเธอประสบความสำเร็จ เธอก้มกราบพระเยซูเจ้า พลางร้องขอให้พระองค์ช่วย พระเยซูเจ้าตรัสพระวาจาที่ฟังยากว่า “ไม่สมควรที่จะเอาอาหารของลูกมาโยนให้ลูกสุนัขกิน”
“นางเอ๋ย ความเชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ จงเป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาเถิด”
หญิงนั้นยอมรับคำของพระเยซูเจ้า เธอเข้าใจดีว่าประเทศของเธอไม่ใช่ดินแดนที่พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติภารกิจ เธอยอมรับเช่นกันว่า พระเจ้ามิได้เป็นเครื่องจักรอัตโนมัติสำหรับแจกจ่ายความช่วยเหลือ แต่พระเจ้าทรงเป็นบิดาที่จำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ต่อกันตามความเป็นจริง หญิงนั้นยอมรับในความต่ำต้อยของตน เธอจ้องพระเนตรของพระเยซูเจ้า และกล่าวว่า “ถูกแล้ว พระเจ้าข้า แต่ลูกสุนัขก็ยังได้กินเศษอาหารที่ตกจากโต๊ะของนาย” คำตอบนี้ เรียกได้ว่าทำให้พระเยซูเจ้ายอมรับ ทรงตื้นตันพระทัยในความถ่อมตนของนางที่ยินดีรับเพียงเศษขนมปัง และยิ่งกว่านั้น เธอได้แสดงความเชื่อของเธอด้วยการเรียกพระเยซูเจ้าว่า “บุตรของดาวิด”
“นางเอ๋ย ความเชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ จงเป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาเถิด”
ความเชื่อยิ่งใหญ่ของนางเป็นที่น่าประทับใจมากจากท่าทีที่เธอแสดงออกคือ เธอก้าวออกมา เดินตรงไปหาพระเยซูเจ้า เธอร้องเสียงดังและร้องไห้ วอนขอความเมตตา ทั้งยอมรับว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเจ้า เธอก้มกราบด้วยความมุ่งมั่น แน่ใจว่าพระเจ้าจะทรงทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เธอตอบพระวาจาที่ฟังยากของพระเยซูเจ้าได้อย่างน่าฟัง ความรักของแม่และความไว้ใจ เป็นพลังยิ่งใหญ่ของเธอ “และในเวลานั้นเอง ลูกของเธอก็หายเป็นปกติ”
พระวาจานี้ให้ภาพชัดเจนถึงความเชื่อที่ทรงพลังของคนๆ หนึ่ง ขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของกลุ่มคริสตชนรุ่นแรกที่นักบุญมัธทิวกล่าวถึงว่า พวกเขาจะต้องเปิดตัวอย่างไรกับคนต่างศาสนาที่ไม่ใช่ชาวยิว ซึ่งพวกเขาค้นหา รอคอยเพื่อที่จะได้มีความเชื่อเช่นเดียวกับเรา
“นางเอ๋ย ความเชื่อของเจ้ายิ่งใหญ่ จงเป็นไปตามที่เจ้าปรารถนาเถิด”
เช่นเดียวกับหญิงชาวชิโรฟินิเซียคนนี้ ความเชื่อของเราอาจต้องเผชิญกับความยุ่งยากที่ไม่คาดหมาย เหตุการณ์ที่เราไม่ทันตั้งตัว อาจทำให้โครงการของเราล้มเหลว เช่น ป่วยหนัก ความเจ็บปวดที่ยาวนาน ความไม่ปกติสุขของโลก ความอยุติธรรม สภาพแวดล้อมที่จำเป็นต้องได้รับการเยียวยารักษา ความขัดแย้งในครอบครัวหรือในสังคม หรือเพราะความอ่อนแอบางประการของเรา ที่ทำให้เราหมดความเพียรทน เสียความวางใจ พระเจ้าทรงยอมให้ความเชื่อของเราต้องผ่านการทดลอง และบางครั้งให้เราตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้าย พระองค์ทรงต้องการชำระเรา ทรงต้องการเห็นเราวางใจในพระองค์แต่เพียงผู้เดียว มีความเชื่อมั่นคงว่า ความรักของพระองค์ต่อเรานั้น ยิ่งใหญ่กว่าความปรารถนา สิ่งที่เราคาดหวัง หรือแผนการของเรา
สิ่งนี้เกิดขึ้นกับนายชาลีบา ดูเหมือนว่าเขาจะต้องออกไปจากเมืองฮอม ประเทศซีเรีย เขาจะต้องละทิ้งบิดามารดาที่แก่ชรา เนื่องจากร้านขายกระจกของบิดาถูกทำลายจากสงครามกลางเมือง ชาลีบาคิดเหมือนคนอื่นๆคือ อาจต้องย้ายไปอยู่ที่อื่นเพื่อชีวิตที่ดีกว่า แต่ในที่สุด เขาตัดสินใจฮึดสู้ ไม่ยอมแพ้ เขาเพิ่งอายุ 22 ปี มีจิตใจเข้มแข็ง มุ่งมั่น ต้องการช่วยเหลือคนที่บาดเจ็บ เขาตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ “เริ่มต้นใหม่” เขาเปิดร้านขายเนยเหลวและโยเกิร์ตพื้นบ้านที่แม่ของเขาทำ และยังมีถั่วต่างๆ น้ำมันสำหรับปรุงอาหาร เครื่องเทศ กาแฟ เขามีตู้เย็นสำหรับเก็บของ และเครื่องปั่นไฟฟ้า เขามีบิดาที่อยู่เคียงข้าง วันไหนที่ร้านปิด เขาจะจัดตะกร้าใส่อาหารนำไปแจกให้กับครอบครัวที่ขาดแคลน
วิคตอเรีย โกเมส และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต
กรกฎาคม 2023
“ผู้ใดที่ให้น้ำเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดาๆ เหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้นั้นจะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน” (มัทธิว 10 : 42)
มัทธิวผู้เขียนพระวรสาร เป็นนักเขียนคริสตชน เป็นผู้มีความรู้ ท่านมีความรู้อย่างดีเกี่ยวกับพระสัญญาของพระเจ้ากับชาวอิสราเอล และท่านรู้ด้วยว่าพระวาจากับกิจการของพระเยซูเจ้าทำให้พระสัญญานั้นสำเร็จไป เพราะเหตุนี้เอง ในพระวรสารท่านได้แบ่งบทสอนของพระเยซูเจ้าเป็น 5 ตอน โดยถือว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นโมเสสใหม่
พระวาจาตอนนี้ เป็นการกล่าวสรุปของ “พระวาจาเกี่ยวกับพันธกิจ” ซึ่งกล่าวถึงการเลือกอัครสาวก 12 คน ความจำเป็นของการประกาศคือ การไม่เข้าใจกัน การเบียดเบียนที่พวกเขาจะต้องเผชิญ ทุกสิ่งนี้เรียกร้องการเป็นประจักษ์พยานที่เชื่อถือได้ อันมาจากการตัดสินใจที่เด็ดเดี่ยว
แต่กระนั้น มีบางสิ่งที่มากไปกว่านั้นอีก พระเยซูเจ้าทรงเผยว่า การส่งบรรดาศิษย์ออกไป ซึ่งมาจากพันธกิจที่พระองค์เองทรงได้รับจากพระบิดา ในพระธรรมเดิมความจริงนี้เป็นที่ยอมรับแล้วกล่าวคือ ผู้ถือสารของพระเจ้าเป็นผู้ที่พระเจ้าทรงประทับอยู่ด้วย พระเจ้าทรงเรียกให้เขามาทำงานของพระองค์ ฉะนั้น เมื่อพระเยซูเจ้าเป็นผู้นำความรักของพระบิดาเจ้ามา ผู้ที่พระเยซูเจ้าทรงส่งไปปฏิบัติพันธกิจ จึงนำความรักของพระเจ้าไปสู่ผู้คนที่เขาพบ
“ผู้ใดที่ให้น้ำเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดาๆ เหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้นั้นจะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน”
พระเยซูเจ้าทรงมอบพันธกิจนี้ให้กับบางคนเป็นการเฉพาะคือ อัครสาวก พระสงฆ์ ประกาศก ฯลฯ พระองค์ยังประกาศชัดเจนว่า คริสตชนทุกคนเป็นศิษย์ของพระองค์เช่นกัน ดังนั้น จึงมีหน้าที่ในพันธกิจนี้ด้วย เช่นนี้ เราทุกคน ไม่ว่าจะ “ต่ำต้อยเพียงใด” ขาดคุณสมบัติ หรือไม่มีตำแหน่งใดก็ตาม เราเป็นประจักษ์พยานถึงพระเจ้าได้ รวมทั้งชุมชนคริสตชนทั้งหมด พระเจ้าทรงส่งไปกระทำพันธกิจนี้สำหรับมนุษย์ทั้งมวล
เราทุกคนได้รับการดูแลเอาใจใส่ ได้รับการอภัย ได้รับความไว้วางใจจากพระเจ้าโดยผ่านทางพี่น้องรอบข้าง เราทุกคนสามารถเป็นผู้ให้ เพื่อคนที่ได้รับจะรู้สึกว่า พระเจ้าทรงมีพระทัยเมตตาต่อเขา เหมือนดังที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงต่อผู้คนต่างๆในชีวิตของพระองค์ พระบิดาเจ้าทรงเป็นผู้ให้หลักประกันว่า “สิ่งเล็กน้อย” นี่แหละจะเปลี่ยนแปลงโลกได้ ถึงแม้สิ่งเล็กน้อยนั้นจะเป็นแค่การให้น้ำเย็นแก้วเดียว
คุณจะให้มากหรือน้อย ไม่ใช่สาระสำคัญ สำคัญอยู่ที่คุณให้ “อย่างไร” คุณได้ให้ความรักมากเท่าไรในสิ่งเล็กน้อยที่คุณปฏิบัติต่อผู้อื่น หลายครั้งเพียงแค่การให้น้ำเปล่าสักแก้ว หรือให้ “น้ำเย็น” สักแก้ว นับเป็นกิจการธรรมดา แต่เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ในสายพระเนตรของพระเจ้า เมื่อเราได้ทำตามในพระนามของพระองค์คือ ทำด้วยความรัก พระวาจาทรงชีวิตของเดือนนี้จะช่วยให้เราได้เห็นคุณค่าของกิจการทุกอย่างของเรา ไม่ว่าจะเป็นงานบ้าน งานในทุ่งนา ในสำนักงาน งานด้านการเมือง หรืองานด้านศาสนา ทุกสิ่งเหล่านี้เราเปลี่ยนให้เป็นการบริการด้วยความเอาใจใส่ด้วยความรัก เป็นความรักที่จะช่วยให้เรามองด้วยสายตาใหม่ ให้เราเข้าใจผู้อื่นว่าต้องการอะไร และเราจะรักด้วยความใจกว้างอย่างไร ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ของประทานจากพระเจ้าจะไปถึงทุกคน เพราะความรักจะดึงดูดความรัก ความยินดีจะเพิ่มพูน เพราะว่าการให้นำความยินดีมาให้มากกว่าการรับ
“ผู้ใดที่ให้น้ำเย็นแม้เพียงหนึ่งแก้วแก่คนใดคนหนึ่งในบรรดาคนธรรมดาๆ เหล่านี้ เพราะเขาเป็นศิษย์ของเรา เราบอกความจริงแก่ท่านทั้งหลายว่า ผู้นั้นจะได้รับบำเหน็จรางวัลอย่างแน่นอน”
สิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องให้เราทำเป็นเรื่องเร่งด่วนมากคือ อย่าขัดขวางสายธารความรักของพระเจ้า พระองค์ทรงขอให้เรานำความรักนี้ไปให้ทุกคน ไม่เลือกว่าชายหรือหญิง ให้เราเปิดใจ ให้บริการอย่างดี ไม่แบ่งพรรคแบ่งพวก ไม่ตัดสินผู้ใด
พระองค์ทรงปรารถนาให้เราร่วมมือกับพระองค์อย่างเต็มที่ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความรับผิดชอบต่อส่วนรวม ทำหน้าที่อย่างดีแม้จะเป็นงานเล็กๆน้อยๆในชีวิตประจำวัน และพระองค์ทรงพร้อมที่จะให้รางวัลตอบแทนกับเราคือ จะทรงอยู่เคียงข้างเราเสมอ จะทรงดูแลเอาใจใส่เรา และร่วมงานกับเราในพันธกิจ
ผมลาออกจากงานที่ประเทศฟิลิปปินส์ และเดินทางไปทำงานในประเทศออสเตรเลีย เพื่อจะได้อยู่กับครอบครัวของผมที่นั่น ผมได้ทำงานในโรงงานแห่งหนึ่ง ในตำแหน่งคนทำความสะอาด ผมต้องทำความสะอาดโรงอาหาร ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า สำนักงาน และรวมทั้งโต๊ะวางของของคนงานมากกว่า 500 คน นับเป็นงานที่ต่างไปจากงานที่ผมเคยทำมาก่อนในฐานะเป็นวิศวกร ผมพยายามรักคนงานที่นั่น ด้วยการจัดห้องอาหารให้สะอาดและเป็นระเบียบอยู่เสมอ อย่างไรก็ตาม มีบางคนไม่ใส่ใจในเรื่องความสะอาด ผมพยายามอดทน ถือว่าเป็นโอกาสที่จะได้รักพระเยซูเจ้าในทุกคนที่ผมได้พบ ทีละเล็กทีละน้อย คนเหล่านั้นเริ่มทำความสะอาดหลังจากทานอาหารแล้ว หลังจากนั้นเราก็กลายเป็นเพื่อนกัน ผมได้รับความไว้วางใจและความนับถือจากพวกเขา ผมได้เรียนรู้ว่าความรักสามารถติดต่อไปสู่ผู้อื่นได้ และทุกสิ่งที่ทำด้วยความรักก็จะคงอยู่
เลติเซีย มากริ และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต
มิถุนายน 2023
“จงชื่นชมเถิด จงปรับปรุงตนให้ดีพร้อม จงให้กำลังใจกัน จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จงดำเนินชีวิตอย่างสันติ แล้วพระเจ้าแห่งความรักและสันติจะสถิตกับท่าน” (2 โครินธ์ 13:11)
นักบุญเปาโลได้ติดการตามเติบโตของคริสตชนแห่งเมืองโครินธ์ด้วยความรัก ท่านเคยไปเยี่ยมพวกเขา คอยช่วยเหลือพวกเขาในยามที่มีความลำบาก
แต่เมื่อถึงจุดหนึ่ง ตามที่เราทราบจากจดหมายฉบับนี้ ท่านต้องป้องกันตนเอง เนื่องจากมีนักเทศน์บางคนตำหนิท่าน เพราะเขาไม่ยอมรับการปฏิบัติบางอย่างของนักบุญเปาโล เช่น ท่านไม่ยอมรับค่าจ้างจากงานแพร่ธรรมของท่าน ไม่เทศน์สอนที่ใช้สำนวนโวหารตามหลักเกณฑ์ ไม่มีจดหมายรับรองว่าท่านมีอำนาจเทศน์สอน ท่านประกาศว่าท่านเข้าใจ และเจริญชีวิตในความอ่อนแอของตนตามแบบฉบับของพระเยซูเจ้า
แต่กระนั้น ในตอนจบของจดหมาย ท่านเรียกร้องให้ชาวโครินธ์มีความไว้ใจ และความหวังอย่างเต็มเปี่ยม
“จงชื่นชมเถิด จงปรับปรุงตนให้ดีพร้อม จงให้กำลังใจกัน จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จงดำเนินชีวิตอย่างสันติ แล้วพระเจ้าแห่งความรักและสันติจะสถิตกับท่าน”
สิ่งหนึ่งที่เราเห็นชัดจากจดหมายของท่านคือ ท่านตักเตือนกลุ่มคริสตชนทั้งหมด ในฐานะที่มีประสบการณ์การประทับอยู่ของพระเจ้าว่า ความขาดตกบกพร่องประสามนุษย์อันก่อให้เกิดความยากลำบากที่จะเข้าใจกันและกัน ความซื่อสัตย์จริงใจ ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความคิดเห็นที่แตกต่าง สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้ เพราะการประทับอยู่ขององค์พระเจ้าแห่งสันติ
นักบุญเปาโลได้แนะวิธีปฏิบัติบางอย่าง ที่สอดคล้องกับข้อเรียกร้องตามพระวรสาร ได้แก่ ให้ทุกคนมุ่งมั่นตามกระแสเรียกที่พระเจ้ามอบให้กับแต่ละคน และความรักที่พระองค์ทรงประทานให้ ดังนั้น ให้เรามอบความรักนี้ให้กับคนอื่นด้วย ใส่ใจกันและกัน แบ่งปันความใฝ่ฝันกับผู้อื่น ยินดีต้อนรับกันและกัน มีความเมตตากรุณาต่อกัน ให้อภัยกัน วางใจและยินดีรับฟังกัน
เราต้องเลือกทำสิ่งเหล่านี้ด้วยใจอิสระ ซึ่งหลายครั้งเราต้องกล้าที่จะเป็นเครื่องหมายของ “ความขัดแย้ง” ต่อความคิดในปัจจุบัน เพราะฉะนั้น ท่านนักบุญเปาโลจึงเรียกร้องเรา ให้กำลังใจกันและกัน ให้พยายามรักษาคุณค่าอันสูงส่งแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกัน และสันติด้วยความยินดี ในความรัก ในความจริง ให้เราทำทั้งหมดนี้ โดยวางรากฐานอยู่บนความรักอันไม่มีเงื่อนไขใดๆ ต่อพระเจ้าผู้ทรงประทับอยู่กับประชากรของพระองค์
“จงชื่นชมเถิด จงปรับปรุงตนให้ดีพร้อม จงให้กำลังใจกัน จงเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน จงดำเนินชีวิตอย่างสันติ แล้วพระเจ้าแห่งความรักและสันติจะสถิตกับท่าน”
เพื่อจะเจริญชีวิตพระวาจานี้ เราต้องเจริญชีวิตเช่นนักบุญเปาโล นั่นคือ มองดูตัวอย่าง และเลียนแบบความรู้สึกนึกคิดของพระเยซูเจ้า ผู้ซึ่งนำสันติของพระองค์มาสู่เรา สันติของพระองค์ มิใช่หมายถึง ไม่มีสงคราม ความขัดแย้ง การแบ่งแยก ความสูญเสีย… แต่หมายถึงการมีชีวิตที่เต็มเปี่ยม มีความยินดี มีความรอดพ้นทั้งครบ มีอิสระ ประชาชาติรักกันฉันพี่น้อง และพระเยซูเจ้าได้ทรงทำประการใด เพื่อให้เรามีสันติของพระองค์ พระองค์ได้ทรงมอบพระองค์เองเป็นค่าไถ่ ทรงประทับอยู่กับคู่ขัดแย้ง ทรงรับแบกความเกลียดชัง ความแตกแยก ทรงทำลายกำแพงขวางกั้นชนชาติต่างๆ
สำหรับเราก็เช่นเดียวกัน การสร้างสันติเรียกร้องความรักที่เข้มข้น รักได้เสมอแม้นไม่มีการรักตอบ ให้อภัยได้เสมอ อยู่เหนือความเป็นศัตรู สามารถรักประเทศของคนอื่นเหมือนรักประเทศของตนเอง สิ่งนี้เรียกร้องให้เรามีสายตาใหม่ หัวใจใหม่ เพื่อรักและมองทุกคนเป็นสมาชิกของภราดรภาพสากล อิจิโน จอร์ดานี ได้เขียนไว้ว่า ความชั่วเกิดมาจากใจมนุษย์ และเพื่อขจัดอันตรายของสงคราม เราจะต้องขจัดความก้าวร้าว การเอารัดเอาเปรียบ และความเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นบ่อเกิดของสงคราม สรุปก็คือ เราต้องสร้างมโนธรรมใหม่
โบนีตา ปาร์ก เป็นชุมชนเกษตรกรรมในเขตฮาร์ทวอเตอร์ ประเทศแอฟริกาใต้ ประชากรในเขตนี้ได้รับผลจากการปกครองของประเทศที่สืบทอดมาจากระบอบการแบ่งแยกสีผิว โดยเฉพาะในด้านการศึกษาจากผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเยาวชนสีผิวกับเยาวชนลูกครึ่งนั้นจะต่ำมากเมื่อเทียบกับคนสีผิวอื่น ซึ่งมีแนวโน้มว่า พวกเขาจะกลายเป็นคนชายขอบสังคมในอนาคต
นี่เป็นที่มาของโครงการที่มีชื่อว่า “สะพาน” เพื่อเป็นสื่อกลางที่จะทำให้กลุ่มต่างสีผิวสามารถเข้าหากันเพื่อลดช่องว่าง ลดความแตกต่างทางวัฒนธรรม จึงมีกิจกรรมหลังเลิกเรียน จัดพื้นที่ส่วนกลางสำหรับทุกคน ที่ใครๆก็มาพบปะกันได้ ไม่ว่าเด็กหรือเยาวชน ชุมชนก็ยินดีให้ความร่วมมือ เช่น คาร์โล เต็มใจใช้รถปิคอัพเก่าๆของเขามาช่วยขนไม้มาทำม้านั่งยาว ทำชั้นวางของสำหรับโรงเรียนประถม เขานำทั้งสมุดและหนังสือมาด้วย ยังมีคริสตจักรรีฟอร์มฮอลแลนด์ได้มอบเก้าอี้ 50 ตัว เราเห็นได้ชัดว่า แต่ละคนพยายามทำในส่วนของตน เพื่อทำให้ความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติ และวัฒนธรรมได้มีความเป็นหนึ่งเดียวกันมากยิ่งขึ้น
เลติเซีย มากริ และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต พฤษภาคม 2023
จงรักกันฉันพี่น้อง จงคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน (โรม 12:10)
พระวาจาทรงชีวิตของเดือนนี้ นำมาจากจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรม ซึ่งจดหมายฉบับนี้ ท่านได้กล่าวถึงหลายสิ่งหลายอย่าง ท่านชี้ให้เห็นว่า ชีวิตคริสตชนเป็นชีวิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก รักที่มีแต่ให้ และไม่มีขีดจำกัด พระเจ้าทรงประทานความรักนี้ลงในหัวใจของเรา และเราก็พยายามแสดงความรักนี้ต่อผู้อื่น เพื่ออธิบายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น นักบุญเปาโลกล่าวถึงคุณลักษณะของความรัก 2 แบบไว้ในคำๆเดียวคือ รักกันฉันพี่น้อง นี่เป็นลักษณะของความรักในหมู่คริสตชนคือ ความรักฐานเพื่อน และความรักในฐานะที่เป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
จงรักกันฉันพี่น้อง จงคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน
ให้เราพิจารณาเป็นพิเศษเกี่ยวกับความเป็นพี่น้อง และการปฏิบัติต่อกัน นักบุญเปาโลบันทึกไว้ว่า สมาชิกในกลุ่มคริสตชนต้องรักกัน เพราะเราต่างเป็นอวัยวะของกันและกัน (12,5) พวกเขาเป็นพี่น้องกัน เรามีหนี้เพียงประการเดียวคือ เป็นหนี้ความรัก (13, 8) เราร่วมยินดีกับผู้มีความยินดี และร้องไห้กับผู้ที่ร้องไห้ (12,15) ไม่ตัดสินใคร ไม่เป็นที่สะดุดแก่ผู้ใด (14,13)
ชีวิตของเราแต่ละคนต้องเกี่ยวข้องกับผู้อื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และจะต้องเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจนถึงบัญญัติแห่งความรัก ที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาในโลก เป็นความรักที่เรียกร้องจนถึงขั้นยอมมอบชีวิตเพื่อกันและกัน เป็นความรักที่เป็นรูปธรรม แสดงออกมาในหลายรูปแบบ เช่น ปรารถนาดีต่อผู้อื่น อยากเห็นผู้อื่นมีความสุข ต้องการให้เพื่อนพี่น้องบรรลุถึงความดีพร้อม ยกย่องความดีของผู้อื่น เป็นความรักที่มองเห็นได้ว่าผู้อื่นยังขาดสิ่งใด พยายามทำทุกสิ่งเพื่อไม่ให้ใครต้องถูกทอดทิ้งอยู่ข้างหลัง มีความรับผิดชอบ กระตือรือร้นในงานด้านสังคม วัฒนธรรม หรืองานด้านการเมือง
จงรักกันฉันพี่น้อง จงคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน
หากเรามองดูกลุ่มคริสตชนในสมัยแรกเริ่ม เราจะเห็นว่าความรักแบบคริสตชนแผ่ขยายไปถึงทุกคนโดยไม่ยกเว้นใครเลย เราเรียกความรักแบบนี้ว่า ความรักกันฉันพี่น้องคือ เป็นความรักแบบพี่แบบน้อง มีบันทึกของผู้คนในสมัยเดียวกับคริสตชนรุ่นแรก กล่าวถึงความรักแบบคริสตชนว่า เป็นความรักระหว่างพี่น้องทางสายเลือด ไม่มีใครใช้คำนี้เพื่อหมายถึงความสัมพันธ์ของผู้คนในสังคมเดียวกัน ยกเว้นในหนังสือพระธรรมใหม่เท่านั้น มีเยาวชนจำนวนมากที่ต้องการมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้ง ชัดเจน และจริงใจ ความรักกันและกันแบบคริสตชนนี่เองเป็นคำตอบ เพราะมีคุณลักษณะของความรักฉันพี่น้องครบถ้วน รวมทั้งด้านความเข้มแข็ง และความอ่อนโยน
จงรักกันฉันพี่น้อง จงคิดว่าผู้อื่นดีกว่าตน
คุณลักษณะประการหนึ่งที่ทำให้เราเห็นว่า บรรดาคริสตชนดำเนินชีวิตในความรักกันและกัน คือ พวกเขาไม่ปิดตนเอง แต่พร้อมที่จะเผชิญกับการท้าทาย ที่อาจเกิดขึ้นไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ที่ใด
เจ เค เป็นชาวเซอร์เบีย แต่มีสัญชาติฮังกาเรียน เป็นพ่อบ้านมีบุตร 3 คน เขาซื้อบ้านหลังหนึ่ง แต่มีงบไม่พอเพื่อที่จะสร้างบ้านให้สำเร็จได้ กลุ่มโฟโคลาเรจึงให้ความช่วยเหลือ ด้วยการเสนอเรื่องนี้กับเยาวชนเพื่อโลกที่เป็นหนึ่งในคณะโฟโคลาเร
เจ เคเล่าด้วยความตื้นตันใจว่า “เยาวชนกระตือรือร้นมาช่วยผมทำงาน พวกเขาซ่อมหลังคาเสร็จภายใน 3 วัน โดยเปลี่ยนจากวัสดุที่ไม่คงทนเป็นกระเบื้อง” นอกจากนั้น ยังมีเพื่อนๆ จากประเทศสาธารณรัฐเช็กได้ให้ร่วมมือ และช่วยเหลือในการก่อสร้างด้วย ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความรักและชีวิตแบบกลุ่มได้ขยายออกไปในวงกว้าง
แพททริเซีย มาซโซลา และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต เมษายน 2023
“จงคิดถึงแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบน อย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้” (โคโลสี 3:2)
เมื่อเริ่มเกิดกลุ่มคริสตชนได้ไม่นาน เกิดมีความขัดแย้งขึ้น อันเนื่องมาจากการตีความหมายพระวรสารอย่างผิดๆ นักบุญเปาโลขณะอยู่ในเรือนจำได้รู้ว่ามีปัญหานี้ที่เมืองโคโลสี จึงได้เขียนจดหมายถึงกลุ่มคริสตชนดังกล่าว
เราจะเข้าใจพระวาจาทรงชีวิตตอนนี้ได้ดีขึ้น หากเราอ่านข้อความทั้งตอนของจดหมายนี้คือ “ถ้าท่านทั้งหลายกลับคืนชีพกับพระคริสตเจ้าแล้ว ก็จงใฝ่หาแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบนเถิด ณ ที่นั้นพระคริสตเจ้าประทับเบื้องขวาของพระเจ้า จงคิดถึงแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบน อย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้ เพราะท่านทั้งหลายตายไปแล้ว และชีวิตของท่านก็ซ่อนอยู่กับพระคริสตเจ้าในพระเจ้า”
เพื่อจะขจัดความขัดแย้งนี้ นักบุญเปาโลเชิญชวนเราให้ปรับเปลี่ยนความคิดของเรา มอบตัวของเราทั้งครบให้อยู่ในพระคริสต์พระเจ้าผู้กลับคืนพระชนม์ชีพ เพราะว่าโดยทางศีลล้างบาป เราได้ตาย และกลับคืนชีพในองค์พระคริสต์เจ้า ทำให้เราสามารถเจริญชีวิตในแบบ “ ที่เริ่มแล้ว แต่ยังไม่สมบูรณ์” นี่คือ ชีวิตใหม่
จงคิดถึงแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบน อย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้
แน่นอน มิได้หมายความว่า เราปฏิบัติตามพระวาจานี้ได้สำเร็จครั้งหนึ่งก็เพียงพอแล้ว ตรงข้ามเราต้องใช้ความพยายามเดินในหนทางนี้จนตลอดทั้งชีวิต หมายความว่าเป้าหมายชีวิตของเราต้องอยู่เบื้องบน พระคริสตเจ้าทรงนำรูปแบบชีวิตสวรรค์มาสู่โลก และปัสกาของพระองค์ คือการเริ่มต้นของสิ่งสร้างใหม่ และการเป็นมนุษยชาติใหม่ นี่จึงเป็นตรรกะที่ถูกต้องของผู้ที่ได้เลือกดำเนินชีวิตตามพระวรสาร คือเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงความคิดจิตใจอย่างสิ้นเชิง เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ จากเป้าหมายที่โลกนี้เสนอให้ เพื่อให้เราเป็นอิสระจากเงื่อนไขข้อผูกมัดต่างๆ และเปลี่ยนแปลงทุกอย่างอย่างสิ้นเชิง อันที่จริง นักบุญเปาโลมิได้ด้อยค่า “สิ่งของของโลก” เหตุว่า เมื่อสวรรค์บรรจบกับแผ่นดิน จากการรับเนื้อหนังของพระบุตร ทุกสิ่งจึงได้รับการเนรมิตขึ้นใหม่
จงคิดถึงแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบน อย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้
สิ่งที่อยู่เบื้องบนคืออะไร เคียร่าได้เขียนไว้ว่า สิ่งที่อยู่เบื้องบนคือคุณค่าต่างๆที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาบนแผ่นดินนี้ ซึ่งทำให้ผู้ที่ติดตามพระองค์แตกต่างจากคนอื่น ได้แก่ ความรัก ความเข้าอกเข้าใจกัน สันติ การให้อภัย ความถูกต้อง ความบริสุทธิ์ ซื่อสัตย์ ยุติธรรม และอื่นๆ คุณธรรมและคุณค่าต่างๆ ที่มาจากพระวรสาร สิ่งเหล่านี้ล้วนจะช่วยให้คริสตชนคงความเป็นผู้กลับคืนชีพกับพระคริสตเจ้าได้
เราจะทำอย่างไร เพื่อให้หัวใจของเราปักแน่นอยู่ที่สวรรค์ ทั้งๆ ที่ยังใช้ชีวิตอยู่ในโลก เราต้องให้ตัวเราได้รับการนำด้วยความคิดและความรู้สึกของพระคริสตเจ้า พระองค์เพ่งมองพระบิดาเจ้าอยู่ตลอดเวลา และทุกขณะแห่งพระชนม์ชีพของพระองค์สะท้อนให้เราได้เห็นแต่พระบัญญัติแห่งสวรรค์ คือบัญญัติแห่งความรัก
จงคิดถึงแต่สิ่งที่อยู่เบื้องบน อย่าพะวงถึงสิ่งของบนแผ่นดินนี้
ชีวิตคริสตชนในโลกต้องเป็นผู้กล้าหาญในการเจริญชีวิตปัสกา พวกเขาคือชนรุ่นใหม่ ที่ไม่เป็นของโลก แม้ต้องใช้ชีวิตในโลกท่ามกลางความยากลำบาก ดังที่มีเขียนไว้เกี่ยวกับคริสตชนสมัยแรกๆว่า “พวกเขาอาศัยอยู่ในโลก แต่เป็นประชากรของสวรรค์ ราวกับว่าวิญญาณอยู่ในร่างกาย คริสตชนที่อยู่ในโลกก็เป็นเช่นนั้น”
คนงานคนหนึ่งกล้าหาญมาก เขาตัดสินใจทำตามข้อแนะนำแห่งพระวรสาร เขาตัดสินใจช่วยเพื่อนร่วมงานที่ถูกไล่ออกจากงาน การกระทำของเขาก่อให้เกิดกระแสในเรื่องความเป็นพี่เป็นน้องอันเนื่องมาจากการเป็นประจักษ์พยานของเขา
“จอร์โจ้ ทำงานในโรงงานแห่งหนึ่งที่ประเทศบราซิล เขาได้รับจดหมายเลิกจ้าง ผมทราบว่าจอร์โจ้มีฐานะการเงินที่ยากลำบาก ผมขอให้จอร์โจ้ไปกับผม เราไปพบหัวหน้าฝ่ายบุคคล ผมบอกกับหัวหน้าว่า ผมมีฐานะการเงินดีกว่าจอร์โจ้ ภรรยาผมก็มีงานทำ ขอให้เลิกจ้างผมแทนจอร์โจ้ หัวหน้าฝ่ายบุคคลบอกว่า เขาจะพิจารณาเรื่องนี้ใหม่ เมื่อเราออกจากห้องทำงานของหัวหน้า จอร์โจ้กอดผมด้วยความตื้นตันใจในสิ่งที่ผมได้ทำ มีการพูดกันถึงเรื่องนี้ในโรงงานอย่างรวดเร็ว มีคนงานอีก 2 คน ซึ่งทำคล้ายกับผม คือได้เสนอตัวให้เลิกจ้างเขาแทน เหตุการณ์นี้ทำให้ฝ่ายบริหารต้องหาวิธีใหม่ในการเลิกจ้าง เมื่อคุณพ่อเจ้าวัดทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ท่านได้เทศน์ในวัดโดยไม่ได้เอ่ยชื่อใคร วันต่อมาได้มีนักศึกษา 2 คนได้นำเงินมามอบให้กับผม เพื่อนำไปให้กับคนงานที่ขัดสน พวกเขาบอกว่า พวกเราเลียนแบบในสิ่งที่คนงานได้ทำเหมือนกัน”
แพททริเซีย มาซโซลา และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต มีนาคม 2023
“จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด ผลแห่งความสว่างคือ ความดี ความชอบธรรม และความจริง” (เอเฟซัส 5: 8-9)
นักบุญเปาโลเขียนจดหมายถึงคริสตชนที่เมืองเอเฟซัส ซึ่งเป็นเมืองใหญ่มีชื่อเสียง ท่านเคยอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ ได้ทำงานแพร่ธรรม และได้ล้างบาปหลายคน
อาจจะเป็นไปได้ว่าขณะที่ท่านเขียนจดหมายนี้ ท่านกำลังอยู่ในเรือนจำที่กรุงโรม ราวปี ค.ศ. 62 ถึงแม้ท่านมีความทุกข์ แต่ท่านก็ยังอุตส่าห์เขียนจดหมายถึงพวกเขา มิได้เป็นเรื่องของการแก้ปัญหาในกลุ่มคริสตชน แต่เพื่อบอกพวกเขาเกี่ยวกับแผนการอันงดงามของพระเจ้า สำหรับพระศาสนจักรที่กำลังเริ่มต้นขึ้น
ท่านเตือนชาวเอเฟซัสให้ตระหนักใจว่า โดยทางพระพรแห่งศีลล้างบาป และด้วยความเชื่อ พวกเขาได้ผ่านพ้นจาก “ความมืด” สู่ “ความสว่าง” และท่านกระตุ้นให้พวกเขาประพฤติตนให้สอดคล้องกับสิ่งที่พวกเขาเป็น
สำหรับนักบุญเปาโล นี่เป็นเรื่องของการก้าวเดินไปในหนทาง ที่จะช่วยให้เติบโตมากขึ้นในการรู้จักพระเจ้า และพระประสงค์แห่งความรักของพระองค์ เป็นการเริ่มต้นใหม่ในแต่ละวัน
ท่านเตือนพวกเขาให้เจริญชีวิตแต่ละวันตามกระแสเรียกที่พวกเขาได้รับมา นั่นคือ เป็น “ผู้เลียนแบบพระบิดาเจ้า” ดังเช่น “ลูกผู้เป็นที่รัก” นั่นคือ ศักดิ์สิทธิ์ และมีใจเมตตากรุณา
“จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด ผลแห่งความสว่างคือ ความดี ความชอบธรรม และความจริง”
เราคริสตชนในศตวรรษที่ 21 นี้ก็เช่นกัน เราได้รับเรียกให้ “เป็นแสงสว่าง” ด้วย ถึงแม้เราจะมีขีดจำกัด และรู้สึกไม่พร้อม หรืออยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวย
เราจะก้าวเดินไปด้วยความหวังได้อย่างไร ทั้งๆ ที่มีความมืดมน และความไม่แน่นอนควบคุมเราอยู่
นักบุญเปาโลพูดให้กำลังใจเราว่า พระวาจาที่เรานำมาเจริญชีวิตจะให้แสงสว่างแก่เรา จะช่วยให้เรา “ส่องประกายดุจดวงดาว” ในท่ามกลางมนุษยชาติที่กำลังหลงทางนี้
“จงเป็นเสมือนดั่งพระคริสต์” เราทุกคนไม่ว่าชายหรือหญิง สามารถนำมาปรับใช้ในทุกข่ายงานของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องทางวิทยาศาสตร์ ศิลปะ การเมือง หากเราน้อมรับพระวาจาของพระองค์ เราจะมีความคิดเหมือนอย่างพระองค์ รู้สึกเหมือนพระองค์ และสอนเหมือนพระองค์ พระวาจาจะทอแสงเพื่อการงานของเราทุกอย่าง ปรับแก้ไขทุกส่วนในชีวิตของเราให้ถูกต้อง “มนุษย์เก่า” ของเราที่มักกระตุ้นเราให้ปิดตนเอง ให้ใส่ใจแต่ผลประโยชน์ของตนเอง หรือทำให้เราลืมไปว่า มีใครอยู่เคียงข้างเรา ไม่ใส่ใจต่อความดีของส่วนรวม ไม่เห็นความต้องการเร่งด่วนของผู้คนที่อยู่รอบข้างเรา ดังนั้น เราจะจุดไฟแห่งความรักลงในหัวใจของเราอีกครั้ง เพื่อว่าเราจะมีดวงตาใหม่ในการมองผู้คนที่อยู่รอบข้างเรา
“จงดำเนินชีวิตเช่นบุตรแห่งความสว่างเถิด ผลแห่งความสว่างคือ ความดี ความชอบธรรม และความจริง”
แสงสว่างแห่งพระวรสาร ที่เรานำมาเจริญชีวิตนี้ นำความหวังมาให้ ทำให้ความสัมพันธ์ในชุมชนเข้มข้นขึ้น แม้ในยามมีภัยพิบัติ เช่น โรคระบาดโควิดที่ก่อให้เกิดความทุกข์ และทำให้ผู้คนยากจนมากขึ้น
จุนเป็นชาวฟิลิปปินส์ เล่าว่า ในช่วงโรคระบาดที่กำลังรุนแรงได้เกิดไฟไหม้ขึ้น หลายครอบครัวสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่าง แม้เรายากจน แต่ผมและภรรยาตั้งใจมากที่จะให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัย ผมได้แบ่งปันความคิดนี้กับกลุ่มเพื่อนวินมอเตอร์ไซค์ที่ผมทำงานอยู่ แม้ทราบว่าพวกเขาเองก็มีความยากลำบากเหมือนกัน แต่สิ่งนี้ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคให้เพื่อนๆร่วมแรงร่วมใจกัน พวกเรารวบรวมปลากระป๋อง ข้าว และอาหารแห้งอื่นๆ นำไปให้ผู้ประสบภัย
หลายครั้งผมและภรรยารู้สึกท้อใจ คิดไม่ออกว่าอนาคตของเราจะเป็นเช่นไร แต่เราก็หวนระลึกถึงข้อความในพระวรสารที่ว่า “ผู้ที่รักชีวิตของตน ย่อมจะเสียชีวิตนั้น แต่ใครที่ยอมเสียชีวิตเพราะเรา และเพราะพระวรสาร กลับจะรอดชีวิต” ใช่แล้ว เรามิได้ร่ำรวยก็จริง แต่เราก็มีสิ่งที่จะแบ่งปันได้เสมอ เพราะความรักต่อพระเยซูเจ้าในผู้อื่น และเพราะความรักนี้เองได้ช่วยผลักดันให้เราแบ่งปันด้วยความจริงใจ และวางใจในความรักของพระเจ้า
นี่คือ การให้แสงสว่างทอแสงออกมาจากส่วนลึกของหัวใจ ผลดีของการดำเนินชีวิตเช่นนี้คือ ความดี ความชอบธรรม และความจริง ซึ่งเป็นที่พอพระทัยในสายพระเนตรของพระเจ้า และกลับกลายเป็นประจักษ์พยานด้วยชีวิตที่ดีตามแบบพระวรสาร และดีมากกว่าการเทศน์สอนใดๆ
เราจะต้องไม่ลืมการช่วยเหลือมากมาย ที่เราได้รับจากทุกคนที่มีส่วนร่วมในการเดินทางศักดิ์สิทธิ์นี้ สิ่งดีงามที่เราได้รับ การที่ผู้อื่นให้อภัยแก่เรา การแบ่งปันไม่ว่าจะเป็นสิ่งของฝ่ายกาย หรือการแบ่งปันฝ่ายจิตที่ช่วยให้เรามีชีวิตรอด ความช่วยเหลือที่มีค่าทั้งหมดนี้ ช่วยเปิดให้เราเห็นความหวัง และเป็นประจักษ์พยานที่ชัดเจน
พระเยซูเจ้าทรงสัญญาว่า “เราอยู่กับท่านทุกวัน ตราบจนสิ้นพิภพ” พระองค์ผู้ทรงกลับคืนชีพ ทรงเป็นท่อธารแห่งชีวิตคริสตชน ทรงอยู่กับเราเสมอในเวลาที่เราภาวนาร่วมกัน และในความรักซึ่งกันและกัน พระองค์ทรงช่วยให้ใจของเราเร่าร้อนขึ้น และทรงส่องสว่างจิตใจของเรา
เลติเซีย มากริ และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต มกราคม 2023
จงเรียนรู้ที่จะทำความดี แสวงหาความยุติธรรม (อิสยาห์ 1:17)
พระวาจาทรงชีวิตของเดือนนี้นำมาจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ บทที่ 1 ข้อ 17 ข้อความนี้เลือกมาสำหรับสัปดาห์ภาวนาเพื่อเอกภาพคริสตชน เป็นงานที่หลายประเทศในโลก จัดขึ้นในช่วงวันที่ 18 - 25 มกราคม ได้มีการเตรียมบทความต่างๆ จากกลุ่มคริสตชนในรัฐมินนิโซตา ประเทศสหรัฐอเมริกา ความยุติธรรมเป็นเรื่องที่เร่งด่วนอย่างยิ่ง เราเห็นได้ถึงความไม่เท่าเทียมกัน การใช้ความรุนแรง และการมีอคติเพิ่มมากขึ้นในสังคม จนกระทั่งคนที่ทำงานเพื่อสันติภาพและเอกภาพต้องท้อใจ
ในยุคสมัยของประกาศกอิสยาห์ ก็คงไม่ต่างไปจากสมัยของเรามากนัก สงคราม การก่อกบฏ การแสวงหาความร่ำรวย อำนาจ พระเท็จเทียม การกีดกันคนยากจน สิ่งเหล่านี้ ทำให้ประชากรอิสราแอลเดิน ออกนอกลู่นอกทาง จึงทำให้ประกาศกใช้ถ้อยคำอันรุนแรง เรียกร้องให้ประชากรเปลี่ยนวิถีชีวิต ท่านชี้ให้ประชากรหันกลับมาสู่จิตตารมณ์ดั้งเดิม แห่งพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำกับอับราฮัม
จงเรียนรู้ที่จะทำความดี แสวงหาความยุติธรรม (อิสยาห์ 1:17)
เรียนรู้ในการทำความดีมีความหมายอะไร หมายความว่าทำตนให้พร้อมที่จะเรียนรู้ เราต้องออกแรง ในชีวิตประจำวัน หากเรามีความผิดพลาด เรามักจะมีบางสิ่งที่ควรต้องทำความเข้าใจ ปรับปรุงแก้ไข หรือเริ่มต้นใหม่
แสวงหาความยุติธรรมหมายความว่าอะไร ความยุติธรรมเป็นเสมือนขุมทรัพย์ที่เราต้องแสวงหา อยากได้ ซึ่งเป็นเป้าหมายของการกระทำของเรา การดำรงซึ่งความยุติธรรม จะช่วยให้เราเรียนรู้ที่จะทำความดี ทำให้เรารู้จักรับพระประสงค์ของพระเจ้า ซึ่งก็คือความดีของเรา
ท่านประกาศกอิสยาห์ได้ให้ตัวอย่างที่เด่นชัดมาก บรรดาบุคคลที่พระเจ้าทรงดูแลเป็นพิเศษคือ คนที่ไม่อาจปกป้องตนเองได้ คนที่ถูกกดขี่ข่มเห็ง ลูกกำพร้า และหญิงหม้าย พระเจ้าทรงเชื้อเชิญประชากรของพระองค ให้เอาใจใส่ดูแลคนเหล่านั้น โดยเฉพาะคนที่ไม่อาจเรียกร้องสิทธิของตน การปฏิบัติศาสนกิจ พิธีกรรม การถวายเครื่องบูชา และการภาวนา ไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า หากมิได้มีการเรียนรู้ในการกระทำความดี และแสวงหาความยุติธรรมพร้อมกันไปด้วย
จงเรียนรู้ที่จะทำความดี แสวงหาความยุติธรรม (อิสยาห์ 1:17)
พระวาจาทรงชีวิตตอนนี้กระตุ้นเรา ให้พร้อมช่วยเหลือผู้อื่นด้วยความกระตือรือร้น ช่วยคนที่ต้องการความช่วยเหลืออย่างจริงจัง ในการก้าวเดินของการกลับใจนี้ เรียกร้องเราให้เปิดใจ ใช้สติปัญญา อ้าแขนรับทุกคนที่กำลังทนทุกข์
การแสวงหาความยุติธรรมมีอยู่ในมโนธรรมของมนุษย์เสมอมา พระเจ้าเองทรงประทับตราไว้ในจิตใจของมนุษย์ ถึงแม้มนุษย์เราจะสามารถพิชิต สร้างนวัตกรรม ความก้าวหน้ามากมายในประวัติศาสตร์ แต่เราก็ยังคงอยู่ห่างไกลมากจากเป้าหมายที่พระเจ้าทรงวางไว้ให้เรา การทำสงครามในปัจจุบัน การก่อการร้าย ความขัดแย้งกันในระหว่างเผ่าพันธุ์ เป็นเครื่องหมายบ่งบอกถึงความไม่เท่าเทียมกันทางสังคม เศรษฐกิจ ความอยุติธรรม ความเกลียดชัง…ปราศจากความรัก ความเคารพต่อกัน ความใส่ใจต่อความจำเป็นของผู้อื่น ความสัมพันธ์ระดับปัจเจกชนอาจได้รับการปรับปรุงแก้ไขได้ แต่มันอาจกลับกลายเป็นแบบระบบเจ้าขุนมูลนาย ซึ่งไม่อาจเติมเต็มความต้องการและความจำเป็นของมนุษย์ได้ หากปราศจากความรัก จะไม่มีความยุติธรรมที่แท้จริง ไม่มีการแบ่งปันกันระหว่างคนรวยและคนจน ไม่มีความใส่ใจที่เป็นรูปธรรมต่อเพื่อนมนุษย์ และต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่เราพบเห็น
จงเรียนรู้ที่จะทำความดี แสวงหาความยุติธรรม (อิสยาห์ 1:17)
การเจริญชีวิตเพื่อโลกที่เป็นหนึ่งเดียว คือการยอมรับบาดแผลของมนุษยชาติ เราอาจช่วยเสริมสร้างครอบครัวมนุษยชาตินี้ได้ ด้วยกิจกรรมที่ดี แม้จะเป็นเพียงส่วนที่เล็กน้อยของเรา
วันหนึ่งคุณเจ จากประเทศอาร์เจนตินา ได้พบอาจารย์ใหญ่ของสถาบันการศึกษาที่เขาเคยสอนโดยบังเอิญ ท่านเคยหาเรื่องคุณเจ และไล่เขาออกจากงาน เมื่ออาจารย์ใหญ่จำเขาได้ก็พยายามเดินเลี่ยงไปอีกทาง แต่คุณเจรีบเข้าไปทักทายและถามทุกข์สุขของท่าน อาจารย์ใหญ่เล่าว่า ระยะหลังมานี้ท่านมีความยากลำบากมาก ตกงานต้องไปอยู่เมืองอื่น และยังไม่มีงานทำ คุณเจเสนอตัวช่วยท่าน วันต่อมา เขาได้ติดต่อกับเพื่อนๆ บอกว่า เขาต้องการหางานให้กับคนหนึ่ง ไม่ช้าเขาก็ได้รับคำตอบ อาจารย์ใหญ่ได้รับข่าวจากคุณเจว่าจะมีงานใหม่ให้ทำ ท่านแทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่ก็ยอมรับงานนั้นด้วยความสำนึกบุญคุณและตื้นตันใจ เพราะว่าท่านเองในอดีตได้ไล่คุณเจออกจากงาน แต่บัดนี้คุณเจกับใส่ใจและช่วยให้ท่านได้งาน
ต่อมา คุณเจก็ได้รับการตอบแทนเป็น “ร้อยเท่า” เพราะระหว่างนั้นเอง เขาก็ได้รับงานใหม่ถึง 2 อย่าง เป็นงานที่เขาใฝ่ฝันอยากทำตั้งแต่เริ่มเรียนมหาวิทยาลัย เขาเองรู้สึกประหลาดใจ และตื้นตันใจมากจากความรักอันเป็นรูปธรรมของพระเจ้า
แพททริเซีย มาซโซลา และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต กุมภาพันธ์ 2023
“พระองค์คือ พระเจ้าผู้ทรงเห็นข้าพเจ้า” (ปฐมกาล 16:13)
พระวาจาทรงชีวิตของเดือนนี้ เรานำมาจากหนังสือปฐมกาล เป็นถ้อยคำของนางฮาการ์ ซึ่งเป็นทาสของนางซาราห์ เธอถูกยกให้เป็นภรรยาของอับราฮัม เนื่องจากนางซาราห์ไม่อาจมีบุตรสืบสกุลได้ แต่พอนางฮาการ์ตั้งครรภ์ เธอสำคัญตัวเองว่ามีฐานะสูงกว่านายหญิง จึงถูกนายหญิงข่มเหงให้ต้องหนีไปในทะเลทราย ที่นั่น เธอได้พบกับพระเจ้า และพระเจ้าทรงสัญญาว่า เธอจะมีเชื้อสายสืบสกุลเฉกเช่นที่พระเจ้าทรงสัญญากับอับราฮัม บุตรของเธอที่จะเกิดมามีชื่อว่า อิชมาเอล แปลว่า พระเจ้าทรงฟัง เนื่องจากพระองค์ทรงเห็นความทุกข์ของนางฮาการ์ จึงทรงประทานบุตรให้
“พระองค์คือ พระเจ้าผู้ทรงเห็นข้าพเจ้า”
สิ่งที่นางฮาการ์เข้าใจ เป็นสิ่งที่คนในสมัยโบราณเข้าใจอย่างนั้น คือ มนุษย์ไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้หากเข้าใกล้พระเจ้า นางฮาการ์แปลกใจมากที่ยังมีชีวิตอยู่ได้ และขอบพระคุณพระเจ้าเป็นอย่างมาก เธอสัมผัสกับความรักของพระเจ้าในท่ามกลางทะเลทราย ซึ่งเป็นที่ ๆเหมาะสมอย่างยิ่ง ที่คนหนึ่งจะมีประสบการณ์เฉพาะตนกับพระเจ้า นางฮาการ์รู้สึกว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเธอ ทรงรักเธอ “ทรงมองเห็น” ว่าเธอกำลังมีทุกข์ พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ใส่ใจ รักมนุษย์ “พระองค์มิใช่พระเจ้าที่หายไป ที่อยู่ห่างไกล ไม่ใส่พระทัยในชะตากรรมของมนุษย์ ตรงข้าม พระองค์ทรงร่วมในชะตากรรมกับเราแต่ละคน บ่อยครั้งเราได้รู้ว่า พระองค์ทรงอยู่ที่นี่กับฉัน ทรงประทับอยู่กับฉันเสมอ ทรงรู้เห็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับฉัน ทรงล่วงรู้ความรู้สึกนึกคิดของฉันทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นความยินดี ความใฝ่ฝัน ทรงร่วมในความห่วงกังวล และความทุกข์ในชีวิตของฉันด้วย”
“พระองค์คือ พระเจ้าผู้ทรงเห็นข้าพเจ้า”
พระวาจานี้ทำให้เรามั่นใจมากขึ้น และทำให้เราสบายใจขึ้นว่า ในหนทางชีวิตนี้ เราไม่ได้อยู่คนเดียว พระเจ้าทรงร่วมเดินทางกับเราที่นี่ ทรงรักเรา บางครั้งเราอาจรู้สึกคล้ายกับนางฮาการ์ คือ รู้สึกเป็นคน “แปลกถิ่น” ในโลก พยายามหาวิธีออกไปจากสถานการณ์ที่อึดอัดและทุกข์ใจ แต่ในช่วงเวลาเช่นนั้นแหละ ที่เราต้องมั่นใจว่าพระเจ้าทรงอยู่กับเรา ความใกล้ชิดกับพระองค์จะช่วยให้เรารู้สึกอิสระ มั่นใจ และเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ
นี่เป็นประสบการณ์ของคุณพี เธออยู่บ้านคนเดียวในช่วงโรคระบาดโควิด เธอเล่าว่า “ตั้งแต่เกิดโรคระบาดระลอกแรก ประเทศของเราสั่งปิดโดยสิ้นเชิง ไม่มีกิจกรรมใดๆ ดิฉันอยู่บ้านคนเดียว ไม่มีคนคุยด้วยเลย ดิฉันพยายามใช้เวลาแต่ละวันให้หมดไปเท่าที่ทำได้ แต่เมื่อเวลาเริ่มเนิ่นนานขึ้น ดิฉันรู้สึกท้อแท้ เมื่อตกเย็น ดิฉันรู้สึกเหนื่อยและง่วงนอน รู้สึกว่าทำอย่างไรก็หนีจากสถานการณ์เลวร้ายนี้ไม่ได้ กระนั้นก็ตาม ดิฉันรู้สึกว่าต้องวางใจในพระเจ้า เชื่อในความรักของพระองค์ ดิฉันไม่สงสัยเลยว่า พระองค์ประทับอยู่กับดิฉัน ทรงร่วมเดินทาง และบรรเทาใจดิฉันตลอดหลายเดือนที่ดิฉันอยู่คนเดียว พระองค์ทรงให้มีเหตุการณ์เล็กๆน้อยๆเกิดขึ้น ที่ช่วยให้ดิฉันรู้สึกว่าไม่ได้อยู่คนเดียว เช่น ครั้งหนึ่งเรามีการฉลองวันเกิดทางออนไลน์ของเพื่อนคนหนึ่ง และครู่หนึ่งต่อมา มีคนที่อยู่ใกล้บ้านได้นำขนมเค้กมาให้ดิฉัน
“พระองค์คือ พระเจ้าผู้ทรงเห็นข้าพเจ้า”
ในเมื่อพระเจ้าทรงพิทักษ์รักษาเรา เราก็อาจเป็นผู้สื่อความรักของพระองค์ไปสู่คนอื่นได้เช่นกัน ในความเป็นจริงนั้น พระเจ้าทรงให้เรามองเห็นในความต้องการของผู้อื่น ช่วยเหลือคนอื่นยามที่เขาขาดแคลน ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับพวกเขา มองเพื่อนมนุษย์ที่อยู่รอบข้างเรา
มีผู้คนมากมายที่กำลังแสวงหาความหมาย หรือหาคำตอบในชีวิต เช่น เพื่อน คนใกล้ชิด คนรู้จัก คนบ้านใกล้เรือนเคียง เพื่อนร่วมงาน หรือใครก็ตามพี่ยังลำบากในเรื่องทรัพย์สิน หรือคนชายขอบของสังคม
เราอาจแบ่งปันประสบการณ์อันมีค่า ที่ทำให้เราพบว่าพระเจ้าทรงรักเรา และเราได้พบความหมายในชีวิตของเรา
เราทุกคนร่วมเผชิญอุปสรรคไปด้วยกันได้ แม้นกลางทะเลทรายที่เราต้องเดินข้ามไปนี้ เราพบว่า พระเจ้าทรงค้ำจุนเรา ช่วยเราให้ก้าวผ่านไปด้วยความมั่นใจ
แพททริเซีย มาซโซลา และทีมงานพระวาจาทรงชีวิต
พระวาจาทรงชีวิต ธันวาคม 2022
“จงวางใจในพระเจ้าตลอดไปเถิด เพราะพระองค์ทรงเป็นศิลานิรันดร” (อิสยาห์ 26:4)
พระวาจาทรงชีวิตเดือนนี้ เรานำมาจากหนังสือประกาศกอิสยาห์ เป็นหนังสือเล่มใหญ่มีเนื้อหามาก และเกี่ยวกับธรรมประเพณีคริสตชน ใช่แล้ว หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงบางสิ่งที่น่าประทับใจมาก มีการกล่าวถึงเอ็มมานูเอล “พระเจ้าอยู่กับเรา” มีกล่าวถึงผู้รับใช้ที่ต้องรับทุกข์ ซึ่งก็หมายถึงพระมหาทรมาน และความตายของพระเยซูเจ้านั่นเอง
พระวาจาที่เรานำมานี้ เป็นส่วนหนึ่งของบทเพลงขับร้องขอบพระคุณพระเจ้า ซึ่งท่านประกาศกกล่าวในนามของประชากรอิสราเอล คือหลังจากที่ประชากรอิสราเอลต้องประสบกับความทุกข์แสนสาหัสในถิ่นเนรเทศแล้ว พวกเขาได้กลับมายังกรุงเยรูซาเล็ม พระวาจานี้ช่วยกระตุ้นใจให้พวกเขามีความหวัง เพราะว่าพระเจ้าทรงอยู่เคียงข้างชาวอิสราเอล ทรงซื่อสัตย์ มั่นคงดั่งศิลา พระองค์จะประทานพละกำลังให้กับประชากรในการก่อสร้างบ้านเมืองใหม่ สร้างชาติให้แข็งแกร่ง ยึดมั่นในศาสนา
บ้านเมืองที่เราคิดว่า “ยอดเยี่ยม” ก็ยังถูกทำลายไปได้ เหตุเพราะบ้านเมืองนั้นมิได้สร้างตามแผนการณ์ความรักของพระเจ้า แต่บ้านเมืองที่สร้างบนศิลาของพระเจ้า จะมีแต่สันติ และความเจริญรุ่งเรือง
“จงวางใจในพระเจ้าตลอดไปเถิด เพราะพระองค์ทรงเป็นศิลานิรันดร” (อิสยาห์ 26:4)
แม้ปัจจุบัน เราคงต้องการความมั่นคง และสันติสุขไม่ว่าจะส่วนตัวหรือส่วนรวม บางครั้งในชีวิต เราต้องประสบความทุกข์ยากลำบาก กังวลใจในความไม่แน่นอน และหวั่นกลัวอนาคต
เราจะทำประการใด เพื่อขจัดความลำบากใจนี้ เพื่อจะไม่ปิดกั้นตนเอง เราจะทำประการใดเพื่อขจัดความเคลือบแคลงสงสัยในผู้อื่น
ในฐานะที่เป็นคริสตชน คำตอบคือ เราจะต้องกล้าที่จะเริ่มต้นใหม่ เริ่มสร้างความสัมพันธ์ใหม่กับพระเจ้าด้วยความไว้วางใจ พระเยซูเจ้าเสด็จมาเพื่อเป็นเพื่อน เป็นพี่น้องของเราบนหนทางแห่งชีวิต ชีวิตที่มืดมน ต้องดิ้นรน บนหนทางที่คดเคี้ยว และอันตราย
แต่ที่เรากล่าวเช่นนี้ มิได้มีความหมายว่า ให้เรารอคอย คาดหวังโดยไม่ต้องทำสิ่งใด ตรงข้าม เรียกร้องให้เราออกแรงทำงาน เป็นผู้กล้า มีความคิดริเริ่ม และรับผิดชอบในการสร้าง “เมืองใหม่” ที่มีรากฐานอยู่บนพระบัญญัติแห่งความรักกันและกัน เมืองนี้ประตูจะเปิดกว้าง ต้อนรับทุกคน โดยเฉพาะคนยากจน คนถูกข่มเหง ซึ่งเป็นบุคคลที่พระเยซูเจ้าทรงรักเป็นพิเศษ
หนทางนี้เรามั่นใจได้ว่า เราจะพบเพื่อนร่วมทางมากมายทั้งหญิงและชาย บุคคลที่อยากเห็นความร่วมมือร่วมใจกัน รักศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เคารพต่อสิ่งสร้าง ซึ่งเป็นที่พำนักของมนุษยชาติ
“จงวางใจในพระเจ้าตลอดไปเถิด เพราะพระองค์ทรงเป็นศิลานิรันดร” (อิสยาห์ 26:4)
ที่หมู่บ้าน อัลจูเซอร์ ประเทศสเปน ชาวบ้านพยายามสร้างความสัมพันธ์ฉันพี่น้องด้วยวิธีการหลายอย่าง เปิดโอกาสให้ทุกคนมีส่วนร่วม
พวกเขาเล่าว่า “ในฤดูร้อนปีค.ศ 2008 เราได้ก่อตั้งสมาคมวัฒนธรรม โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อจัดกิจกรรมต่างๆ บางกิจกรรมเราจัดกันเอง บางกิจกรรมเราจะร่วมกันจัดกับสมาคมอื่น เพื่อส่งเสริมการเสวนา หรือทำโครงการช่วยเหลือคนเดือดร้อนในต่างแดน
ตั้งแต่ปีแรกในการก่อตั้งสมาคม เราจัดเลี้ยงอาหารค่ำ เป็นโครงการที่เราเรียกว่า “ความเป็นพี่น้องกันกับชาวแอฟริกัน” เราจัดหาทุนเพื่อการศึกษาให้กับเยาวชนแอฟริกัน และสามารถทำงานในประเทศของเขาอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป เราจัดงานเลี้ยงอาหารค่ำ มีผู้คนมาร่วมงานประมาณ 200 คน มีทั้งนักธุรกิจ และผู้คนจากองค์กรต่างๆ
เรามีความยินดีมากที่หลายปีมานี้ เราได้ร่วมงานกับองค์กรอื่นๆด้วย ในงานประจำปี เราเชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงในด้านการศึกษา ดนตรี จิตรกรรม และวรรณกรรม รวมไปถึงบุคคลในด้านการเมือง เศรษฐกิจ ทางการแพทย์ เราเชิญชวนให้พวกเขาแบ่งปันประสบการณ์ชีวิต และเปิดเผยแรงบันดาลใจว่า เหตุใดพวกเขาจึงเลือกทางชีวิตเช่นนั้น”
“จงวางใจในพระเจ้าตลอดไปเถิด เพราะพระองค์ทรงเป็นศิลานิรันดร” (อิสยาห์ 26:4)
เรากำลังรอคอยวันพระคริสตสมภพที่กำลังจะมาถึง ให้เราเตรียมรับเสด็จพระเยซูเจ้า โดยการต้อนรับพระองค์ในพระวาจา
พระองค์ทรงเป็นศิลาที่เราสร้างเมืองแห่งมวลมนุษย์บนนั้นได้ เราจงรับพระวาจาของพระองค์ให้มาเป็นชีวิตของเรา ทำให้เป็นของของเรา เมื่อเราเจริญชีวิตตามพระวาจา เราจะพบว่าพลังแห่งชีวิตจะเริ่มขึ้นในตัวเรา และในที่ที่เราอยู่ เราจะรักพระวรสาร เราจงให้พระวรสารเปลี่ยนแปลงตัวเรา และคนอื่นรอบข้างเราไม่ใช่เราเองที่มีชีวิต แต่เป็นพระคริสต์ที่เกิดใหม่ในตัวเรา เช่นนี้ เราจะสัมผัสถึงอิสรภาพ ถึงแม้เราจะยังมีข้อจำกัด ยังมีบาป แต่เราจะพบว่าการเปลี่ยนแปลงเริ่มเกิดขึ้นจากความรักที่พระเยซูเจ้าทรงนำมา และนำมาสู่ชีวิต และการเปลี่ยนแปลงนี้จะเกิดขึ้นในทุกๆแห่งที่เราอยู่
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต พฤศจิกายน 2022
“ผู้มีใจเมตตาย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา” (มัทธิว 5:7)
ในพระวรสารนักบุญมัทธิว บทเทศน์บนภูเขามีขึ้น หลังจากการเริ่มเทศนาของพระเยซูเจ้า ภูเขาในที่นี้เป็นสัญลักษณ์หมายถึง ภูเขาซีนายใหม่ที่ซึ่งพระเยซูเจ้า โมเสส ได้มอบ “พระบัญญัติ” ให้กับประชากร ในบทก่อนหน้านี้ ได้บอกว่าประชากรกลุ่มใหม่ติดตามพระเยซูเจ้า และพระองค์ได้สั่งสอนพวกเขา พระเยซูเจ้าทรงเทศน์สอนบรรดาศิษย์ ที่เป็นกลุ่มชนรุ่นแรก ซึ่งในภายหลังมีชื่อว่า “คริสตชน” พระองค์ทรงกล่าวถึง “พระอาณาจักรสวรรค์” ซึ่งเป็นจุดสำคัญของบทเทศน์ของพระองค์ และ “บุญยลาภ” เป็นแนวทาง เป็นสารแห่งความรอด และเป็นบทสรุปของพระวรสาร ซึ่งเผยให้เราเห็นว่าพระเจ้าทรงรักเรา และทรงกอบกู้เรา
“ผู้มีใจเมตตาย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา” (มัทธิว 5:7)
ความเมตตาคืออะไร ใครเป็นผู้มีใจเมตตา คำแรกของพระวาจานี้คือ คำว่า “บุญ” มีความหมายว่าเป็นสุข โชคดี พระเจ้าทรงอวยพร ในบทบุญลาภทั้ง 8 นั้น บุญลาภในพระวาจาของเดือนนี้สำคัญที่สุด บุญลาภมิใช่กฎเกณฑ์ เมื่อปฏิบัติตามแล้วจะได้รับรางวัลตอบแทน แต่หมายความว่าเราปฏิบัติตาม เราจะเป็นเหมือนพระองค์ โดยเฉพาะคนที่มีใจเมตตา เป็นคนที่มีใจรักพระเจ้าและผู้อื่น เป็นความรักที่เราเห็นได้ ที่แสดงออกมากับคนต่ำต้อย คนชายขอบ คนยากจน ไม่แสวงหาผลประโยชน์ อันที่จริง ความเมตตาเป็นคุณลักษณะประการหนึ่งของพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงเป็นผู้มีใจเมตตา
“ผู้มีใจเมตตาย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา” (มัทธิว 5:7)
บุญลาภเป็นสิ่งที่จะเปลี่ยนแปลงแนวคิดของเราอย่างสิ้นเชิง บุญลาภมิใช่เป็นแค่คำจรรโลงใจ แต่มีพลังปรับเปลี่ยนหัวใจของเราได้ มีอำนาจสร้างมนุษยชาติขึ้นใหม่ได้ ช่วยทำให้การประกาศพระวรสารเกิดผลดี เราจะต้องนำบทบุญยลาภมาใช้ในชีวิต โดยเฉพาะเรื่องความเมตตากับตนเองด้วย พึงตระหนักถึงความรักที่พิเศษและยิ่งใหญ่ ที่พระเจ้าทรงมีต่อเราแต่ละคน
คำว่า “เมตตา” มาจากภาษาฮีบรู “เรเฮม” คือ “ครรภ์” หมายถึงพระเมตตาอันไม่มีขีดจำกัดของพระเจ้า เป็นเสมือนมารดาที่รักเมตตาทารกน้อยของเธอ เป็นความรักไร้ขีดจํากัด บริบูรณ์ แผ่ถึงทุกคน เป็นรูปธรรม เป็นความรักที่ก่อให้เกิดความรักตอบ ซึ่งเป็นผลของการมีใจเมตตา ดังนั้น หากใครทำผิดต่อเรา ไม่ว่าจะเป็นความ อยุติธรรมประการใด เราจะให้อภัย เช่นเดียวกัน เราจะได้รับการอภัยด้วย เราต้องเป็นคนแรกที่มีความสงสาร เห็นใจ แม้จะรู้สึกว่ายากเหลือเกิน ในสถานการณ์เช่นนั้น เราต้องถามตนเองว่า หากเป็นมารดาของคนคนนั้น เธอจะทำอย่างไร เมื่อเราคิดอย่างนี้ จะช่วยให้เราเข้าใจ และทำตามอย่างดวงพระทัยขององค์พระเจ้า
“ผู้มีใจเมตตาย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับพระเมตตา” (มัทธิว 5:7)
หลังจากแต่งงานได้ 2 ปี ลูกสาวของเราและสามีของเธอตัดสินใจแยกกันอยู่ พวกเรารับลูกสาวเข้าบ้านอีกครั้ง บางเวลา เราก็คิดมาก แต่เราพยายามทุ่มเทความรักให้กับเธอ อดทน ให้อภัย พยายามเข้าใจเธอ และเปิดใจรับกับปัญหาของเธอกับสามี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราไม่ตัดสินเธอ เป็นเวลา 3 เดือนที่เราพยายามรับฟัง พยายามช่วยในส่วนที่เราช่วยได้ เราสวดภาวนาให้เธอเป็นอย่างมาก ในที่สุด เธอและสามีตกลงใจกลับมาอยู่ด้วยกันอีก ด้วยความสำนึก ไว้วางใจต่อกัน และด้วยความหวัง
การมีจิตใจเมตตา คือการให้อภัยนั่นเอง มีใจกว้าง พร้อมที่จะขจัดอุปสรรคต่างๆ ที่กีดขวางเรามิให้มีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่น พระเยซูเจ้าเชิญชวนให้เรามีจิตใจเมตตา เพื่อว่าเราจะได้กลับกลายเป็นบุคคลที่พระเจ้าทรงสร้างเรามาตั้งแต่แรกแล้ว คือเป็นคนที่มีฉายาลักษณ์เหมือนพระเจ้า
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต ตุลาคม 2022
“พระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่บันดาลความขลาดกลัว แต่ประทานจิตที่บันดาลความเข้มแข็ง ความรักและการควบคุมตนเองแก่เรา” (2 ทิโมธี 1:7)
พระวาจาทรงชีวิตเดือนนี้นำมาจากจดหมายของนักบุญเปาโล จดหมายฉบับนี้ถือว่าเป็นการบันทึกชีวิตภายในของนักบุญเปาโล เวลานั้นท่านนักบุญกำลังถูกจองจำในคุกที่กรุงโรม และรอการตัดสินโทษ ท่านได้เขียนจดหมายถึงทิโมธี ซึ่งเป็นผู้ร่วมงานและ ศิษย์วัยเยาว์ เป็นผู้รับผิดชอบดูแลกลุ่มคริสตชนที่เมืองเอเฟซัส
ข้อเขียนของท่านพูดตักเตือน ให้คำแนะนำหลายอย่างกับทิโมธี แต่ข้อเขียนของท่านก็เหมาะกับกลุ่มคริสตชนทั้งในอดีตและในปัจจุบันด้วย นักบุญเปาโลถูกพันธนาการด้วยโซ่ตรวนเพราะการประกาศพระวรสาร ท่านต้องการให้กำลังใจลูกศิษย์ของท่านที่กลัวการเบียดเบียน ข่มเหง มีความไม่แน่ใจอันเนื่องมาจากความยากลำบากในหน้าที่ และการทดลอง เพื่อให้ท่านเป็นผู้นำที่มั่นคงของกลุ่มคริสตชน แน่นอน มิใช่ว่าเปาโลและทิโมธี จะไม่กลัวความทุกข์อันเกิดจากการประกาศพระวรสาร แต่การประกาศนี้เป็นไปได้เพราะเราได้รับพละกำลังจากพระเจ้า
พระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่บันดาลความขลาดกลัว แต่ประทานจิตที่บันดาลความเข้มแข็ง ความรักและการควบคุมตนเองแก่เรา
นักบุญเปาโลต้องการเป็นพยานยืนยันถึงพระวรสาร แน่นอน มิใช่ความเก่งกาจ ความสามารถเฉพาะตัวที่ช่วยประกาศพระวาจา แต่เป็นพระพรของพระจิตเจ้า ความเข้มแข็ง ความรัก และความรอบคอบที่ช่วยค้ำประกันการเป็นพยานแห่งพระวรสาร ความรัก ซึ่งวางอยู่ระหว่างคำว่า เข้มแข็ง และคำว่า รอบคอบ ดูเหมือนว่าจะช่วยให้เรารู้ในสิ่งที่ถูกที่ควร ความรอบคอบช่วยให้เรามีความฉลาด และเตรียมพร้อมกับทุกสถานการณ์ ทิโมธีและเช่นเดียวกันกับศิษย์พระคริสต์ในทุกยุคทุกสมัย เราพร้อมที่จะประกาศพระวรสารด้วยความเข้มแข็ง ด้วยความรัก ด้วยความรอบคอบ และพร้อมทนทุกข์เพราะพระวรสาร
พระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่บันดาลความขลาดกลัว แต่ประทานจิตที่บันดาลความเข้มแข็ง ความรักและการควบคุมตนเองแก่เรา
พวกเราเองก็เคยรู้สึกท้อแท้ ในการเจริญชีวิตเป็นพยานในพระวาจา ในบางสถานการณ์ เราก็ไม่รู้ว่าเราจะเดินหน้าอย่างไร
เคียร่า ลูบิค ได้ช่วยเราให้รู้ว่าในสถานการณ์อย่างนั้น เราจะได้พละกำลังจากที่ไหน ท่านบอกว่า “เราจะต้องสวดภาวนาขอต่อพระเยซูเจ้าผู้ทรงประทับในเรา และท่าทีที่เรามีจะต้องมิใช่การปิดตนเอง ยอมจำนน แต่จะต้องเปิดตัวออก จะต้องเด็ดเดี่ยวในสิ่งที่เป็นหน้าที่ ทำหน้าที่ตามที่กระแสเรียกของเราเรียกร้อง มั่นใจว่าพระหรรษทานจากพระเยซูเจ้าที่ประทับในเราจะช่วยเรา สรุปคือ เราจะต้องก้าวออกไป จะเป็นพระเยซูเจ้าพระองค์เอง ที่ช่วยพัฒนาคุณสมบัติในตัวเราที่เราจำต้องมี เพื่อปฏิบัติหน้าที่ที่เราได้รับมอบหมาย
พระเจ้าไม่ได้ประทานจิตที่บันดาลความขลาดกลัว แต่ประทานจิตที่บันดาลความเข้มแข็ง ความรักและการควบคุมตนเองแก่เรา
ความเข้มแข็ง ความรัก และความรอบคอบ เป็นคุณธรรม 3 ประการของพระจิตเจ้า ที่เราได้รับด้วยการสวดภาวนาด้วยความเชื่อ
คุณพ่อจัสติน นารี จากประเทศสาธารณรัฐแอฟริกากลาง ถูกขู่ฆ่าพร้อมกับพวกคริสตชนจำนวนหนึ่ง และพร้อมกับชาวมุสลิมประมาณ 1,000 คน ที่หลบหนีสงครามมาอยู่ในเขตวัดของท่าน หลายครั้งพวกหัวหน้าของกลุ่มก่อการร้ายจะเข้าโจมตีเรียกร้องให้ท่านยอมจำนน แต่ท่านพยายามเจรจากับพวกเขา เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเลือดเนื้อ วันหนึ่งกลุ่มก่อการร้ายเข้ามาอีกพร้อมกับน้ำมันเบนซิน 40 ลิตร ขู่ว่าจะเผาพวกเขาทั้งเป็นถ้าไม่ยอมมอบพวกมุสลิมให้พวกเขา คุณพ่อจัสตินเล่าว่า “พวกเราคริสตชนเพิ่งถวายบูชาขอบพระคุณจบลง และผมนึกถึง เคียร่า ลูบิค และถามตัวเองว่า หากเคียร่าตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ เธอจะทำอย่างไร เธอคงจะต้องยอมมอบชีวิตให้ พวกเราจึงได้ปฏิบัติตามนั้น” พอจบบูชาขอบพระคุณก็ได้รับโทรศัพท์ที่เราไม่ได้คาดคิด กลุ่มทหารของแอฟริกันยูเนี่ยนกำลังผ่านมาที่เมืองใกล้เคียง คุณพ่อจัสตินไม่รอช้า รีบออกไปพบพวกทหาร และนำพวกทหารมาที่วัด พวกเขามาถึงวัด 13 นาทีก่อนเส้นตาย ที่พวกก่อการร้ายกำหนด เป็น 13 นาทีที่ได้ช่วยไม่ให้มีการหลั่งเลือด
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต กันยายน 2022
“แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นอิสระ ข้าพเจ้าก็ยอมเป็นทาสรับใช้ทุกคน เพื่อเอาชนะใจผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
(1โครินธ์ 9:19)
พระวาจาทรงชีวิตของเดือนนี้ นำมาจากบทจดหมายช่วงแรกของนักบุญเปาโลถึงคริสตชนที่เมืองโครินธ์ ขณะนั้นท่านอยู่ที่เมืองเอเฟซัส และเขียนจดหมายถึงชาวโครินธ์ เพื่อแก้ปัญหาบางประการของกลุ่มคริสตชนชาวกรีกที่เมืองโครินธ์ อันเป็นเมืองสำคัญและเป็นศูนย์กลางทางการค้า มีวิหารอันมีชื่อของเทพเจ้าอโฟรไดท์ แต่ก็เป็นเมืองที่ศีลธรรมตกต่ำเป็นอย่างมาก ชาวเเมืองโครินธ์ที่เป็นคนนอกศาสนาได้กลับใจมาเป็นคริสตชนจากการเทศน์สอนของนักบุญเปาโลไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น ข้อขัดแย้งประการหนึ่งที่คงอยู่ในหมู่คริสตชนที่นั่นก็คือ การกินเนื้อ ซึ่งคนต่างศาสนายกถวายให้กับเทวรูปแล้วกินได้หรือไม่ นักบุญเปาโลเน้นว่าเรามีอิสระเสรีในองค์พระคริสตเจ้าแล้วก็จริง แต่เราควรปฏิบัติตนอย่างไรในบางสถานการณ์ เราควรใช้เสรีภาพของเราอย่างไร
“แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นอิสระ ข้าพเจ้าก็ยอมเป็นทาสรับใช้ทุกคน เพื่อเอาชนะใจผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
เราคริสตชนทราบดีว่า “ในโลกไม่มีเทพเจ้า หรือพระเจ้าอื่นใด นอกจากองค์พระเจ้าพระองค์เดียว” ดังนั้น การจะกินหรือไม่กินเนื้อที่ถวายบูชากับเทวรูปแล้ว ไม่มีความหมายอันใด แต่ปัญหาจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อท่านอยู่ร่วมกับคริสตชนที่ยังไม่รู้ การรู้และการปฏิบัติของท่าน อาจเป็นที่สะดุดกับคนที่มีมโนธรรมอ่อนแอได้
ดังนั้น เมื่อความรู้และความรักมาปฏิสัมพันธ์กัน นักบุญเปาโลก็ตอบอย่างชัดเจนว่า ศิษย์พระคริสตเจ้าต้องเลือกความรัก ด้วยการตัดสละอิสระภาพเสรี เช่นเดียวกับพระคริสตเจ้า ซึ่งยอมเป็นทาสเพราะความรัก
การใส่ใจในพี่น้องที่อ่อนแอ คนที่มีมโนธรรมอ่อนไหวง่าย มีความรู้น้อย เป็นสิ่งจำเป็นมาก เป้าหมายคือ เพื่อ “จะได้” ผู้คนให้มากที่สุดมารู้ถึงข่าวดีแห่งพระวรสาร
“แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นอิสระ ข้าพเจ้าก็ยอมเป็นทาสรับใช้ทุกคน เพื่อเอาชนะใจผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
เคียร่า ลูบิค ได้เขียนไว้ว่า “หากเราอยู่รวมเป็นกายเดียวกัน หากเป็นพระองค์จริง แต่เรามีการแบ่งแยก มีความคิดแตกแยก ไม่เป็นหนึ่งเดียว พวกเขาจะต้องละทิ้งความคิดเห็น...ในสมัยของเราก็เช่นกัน แม้เรามั่นใจว่าสิ่งนี้ดีกว่า บางครั้ง พระเยซูเจ้าก็ทรงแนะนำเราว่า ให้รักษาความรักกับทุกคนไว้ โดยยอมทิ้งความคิดของตนเอง งานที่เรียบร้อยน้อยกว่า แต่เป็นผลของความเป็นหนึ่งเดียวกัน ย่อมดีกว่าผลงานที่ดีพร้อม แต่ไม่เป็นหนึ่งเดียวกัน
การยอมงอ เพื่อจะได้ไม่แตกหักเป็นสิ่งที่ดี แม้จะเจ็บปวด แต่ก่อให้เกิดผลดี และได้รับพระพรจากพระเจ้า สิ่งนี้ช่วยรักษาความเป็นหนึ่งเดียวกันตามแบบที่พระคริสตเจ้าทรงสอน ดังนั้น จึงมีคุณค่าอย่างแท้จริง”
“แม้ว่าข้าพเจ้าเป็นอิสระ ข้าพเจ้าก็ยอมเป็นทาสรับใช้ทุกคน เพื่อเอาชนะใจผู้อื่นให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้”
ประสบการณ์ของพระคาร์ดินัลเหงียนวันทวน ชาวเวียดนาม ถูกจำคุกสิบสามปี เก้าปีถูกขังเดี่ยว ท่านเป็นประจักษ์พยานถึงความรักอย่างแท้จริง ไม่หวังสิ่งใดตอบแทน ตอนอยู่ในคุก ท่านมียามเฝ้าห้าคน และหัวหน้าตกลงใจเปลี่ยนกลุ่มยามทุกสองอาทิตย์ เพื่อว่ายามเหล่านั้นจะไม่ “ติดเชื้อ” จากพระสังฆราช แต่ในที่สุดพวกเขาก็ปล่อยให้ยามกลุ่มเดียวเฝ้าพระคุณเจ้า มิฉะนั้นยามทุกคนจะติดเชื้อจากพระคุณเจ้า ท่านได้เล่าว่า “ทีแรกพวกเขาไม่ยอมพูดกับพ่อพวกเขาจะตอบเพียงว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” คืนหนึ่งมีความคิดผุดขึ้นว่า “ฟรังซิส เจ้ายังร่ำรวย เจ้ามีความรักต่อองค์พระเยซูเจ้าในดวงใจของเจ้า เจ้าจงรักพวกเขาเหมือนที่พระเยซูเจ้าทรงรักเจ้าเถิด” วันรุ่งขึ้น พ่อได้แสดงความรักต่อพวกเขาใหม่ ด้วยการรักองค์พระเยซูเจ้าในตัวพวกเขา ยิ้มให้ พูดคุยกับพวกเขาด้วยความนอบน้อม ทีละเล็กทีละน้อย เราได้กลายเป็นเพื่อนกัน” และภายในคุกนั่นเอง ท่านได้ทำไม้กางเขนอันหนึ่งสำเร็จด้วยความช่วยเหลือของผู้คุม ซึ่งเป็นเครื่องหมายแห่งมิตรภาพระหว่างท่านกับผู้คุม กางเขนนั้นเป็นกางเขนทำด้วยไม้ที่ห้อยอยู่กับสร้อยโลหะ เป็นไม้กางเขนที่ท่านได้คล้องคอไว้ตลอดชีวิต
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต มิถุนายน 2022
พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นความดีที่สุดของข้าพเจ้า (สดุดี 16:2)
พระวาจาทรงชีวิตเดือนนี้นำมาจากหนังสือบทสดุดี ซึ่งรวบรวมบทภาวนาที่ดีเยี่ยม เป็นบทภาวนาที่พระเจ้าทรงดลใจให้กษัตริย์ดาวิด และบุคคลอื่นๆ เขียนขึ้น เพื่อสอนว่าเราจะสวดภาวนาอย่างไร ในบทสดุดีต่างๆ เราจะพบตัวตนของเรา เพราะเป็นบทภาวนาที่มาจากส่วนลึกสุดของจิตวิญญาณมนุษย์ เข้าถึงความ รู้สึกลึกสุดของเรา ไม่ว่าจะในยามสงสัย ยามทุกข์ โกรธ เศร้าหมอง สิ้นหวัง หรือมีความหวัง สรรเสริญขอบพระคุณ หรือมีความยินดี บทสดุดีนี้เองที่เราทุกคนใช้สวดภาวนามาทุกยุคทุกสมัย ไม่ว่าจะมีวัฒนธรรมแตกต่างกัน หรือเราจะอยู่ในช่วงวัยใดแห่งชีวิตของเรา
พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นความดีที่สุดของข้าพเจ้า
บทสดุดีที่ 16 นี้ ผู้ประพันธ์เรื่องชีวิตภายในหลายท่านชอบมาก เช่น นักบุญเทเรซาแห่งอาวีลาได้เขียนว่า “ ใครมีพระเจ้าอยู่ด้วย จะไม่ขาดสิ่งใด มีพระเจ้าเท่านั้นก็พอแล้ว” คุณพ่ออันโตนีออส พีค รี นักเทวศาสตร์แห่งคริสตจักรออร์โธดอกซ์ เขียนไว้ว่า “บทสดุดีบทนี้พูดถึงการกลับเป็นขึ้นมา” ดังนั้น พระศาสนจักรใช้บทภาวนานี้สวดในชั่วโมงแรกของวัน เพราะว่าพระคริสตเจ้าทรงกลับคืนพระชนม์ชีพ ตอนเช้าตรู่ บทสวดสดุดีบทนี้ช่วยให้เรามีความหวังว่าเราจะได้รับมรดกนิรันดร ดังนั้น บทสดุดีบทนี้มีชื่อว่า “ล้ำค่า” มีความหมายว่าเป็นบทภาวนาอันประเสริฐ เป็นจินดาอันล้ำค่าแห่งพระคัมภีร์ เราจงดูและพิจารณาบทสดุดีนี้ทีละคำๆ
พระองค์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเป็นความดีที่สุดของข้าพเจ้า
พระวาจานี้เกี่ยวข้องกับเรา เรารับรู้ว่าพระเจ้าทรงรู้เห็นอดีตของเรา ปัจจุบันและอนาคตของเรา ในพระองค์ เราจะพบสันติได้ แม้นในท่ามกลางมรสุมแห่งชีวิต เราสามารถทอดสายตาไปข้างหน้าด้วยความหวัง เราจะเจริญชีวิตตามพระวาจาของเดือนนี้ได้อย่างไร คุณซีดี มีประสบการณ์เล่าให้เราฟังดังนี้ เมื่อไม่นานมานี้ ผมรู้สึกไม่สบาย จึงไปพบแพทย์หลายครั้ง แต่ละครั้งต้องรอนานมาก ที่สุดผมก็ได้รู้ว่าผมเป็นโรคพาร์กินสัน ผมตกใจมาก คิดดู ผมเพิ่งอายุ 58 ปี เป็นไปได้อย่างไร ผมถามตัวเองว่า “ทำไม” ผมเป็นอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์กายภาพและการกีฬา การออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจของผม
ผมรู้สึกว่าผมกำลังจะสูญเสียสิ่งที่สำคัญที่สุดไป แต่ทันใดผมระลึกได้ว่า ตอนผมยังอายุไม่มาก ผมได้ตัดสินใจเลือกอะไร ใช่แล้ว “ผมได้เลือกพระเยซูเจ้าผู้ทรงถูกทอดทิ้ง” พระองค์เท่านั้นเป็นขุมทรัพย์ของข้าพเจ้า ผมต้องขอบคุณผู้ให้ยาชนิดต่างๆ ที่ช่วยให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก แต่ผมก็ไม่แน่ใจนักว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ผมตัดสินใจใช้ชีวิตอย่างดีในแต่ละวัน หลังจากการตรวจสุขภาพ ผมรู้สึกอยากแต่งเพลงเพื่อกล่าวตอบรับกับพระเจ้า ชื่อเพลงว่า “ครับ จิตวิญญาณของข้าพเจ้ามีสันติ”
เคียร่าประทับใจบทสดุดีบทนี้เป็นพิเศษเช่นกัน เธอเขียนไว้ว่า “ถ้อยคำเรียบๆ ง่ายๆนี้ จะช่วยให้เราไว้วางใจในพระองค์ ช่วยให้เราพยายามเจริญชีวิตในองค์ความรัก เช่นนี้ เมื่อเรายิ่งเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า และพระองค์สถิตในเรา เราจะยิ่งกลับกลายเป็นตัวตนที่แท้จริงของเรา คือเป็นฉายาลักษณ์ของพระเจ้า”
ดังนั้น ในเดือนมิถุนายนนี้ เราจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ประกาศยืนยันกับพระเจ้าว่า เรารักพระองค์ และจะช่วยเสริมสร้างสันติ และความสงบสุขในทุกแห่งที่เราอยู่
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต พฤษภาคม 2022
“เราให้บทบัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านรักกัน” (ยอห์น 13: 34)
ในงานเลี้ยงอาหารค่ำครั้งสุดท้าย พระเยซูเจ้าทรงร่วมโต๊ะกับศิษย์ ก่อนหน้านั้น พระองค์ทรงล้างเท้าให้กับศิษย์ หลังจากอาหารค่ำนี้แล้ว อีกไม่กี่ชั่วโมงต่อมา พระเยซูเจ้าจะถูกจับ ถูกปรับโทษถึงตายและจะถูกตรึงกางเขน เราจะเห็นว่าพระองค์ทรงเหลือเวลาอีกไม่นานนัก พระองค์ใกล้จะเสียชีวิตแล้ว ดังนั้น สิ่งที่พระองค์จะตรัสจึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่เราเรียกว่าเป็น “พินัยกรรม”
ในเมื่อเรื่องราวเป็นแบบนี้ นักบุญยอห์นผู้เขียนพระวรสารจึงไม่กล่าวถึงการตั้งศีลมหาสนิท แต่ท่านกล่าวถึงการล้างเท้าและการมอบพระบัญญัติใหม่ พระเยซูเจ้าทรงปฏิบัติก่อนเสมอ จากนั้นจึงบอกให้เราปฏิบัติตาม พระวาจาของพระองค์จึงมีน้ำหนัก
บทบัญญัติที่สั่งให้รักพี่น้องมีอยู่ในพระธรรมเดิมคือ “จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (เลวีนิติ 19 :18) แต่พระเยซูเจ้าส่งเพิ่มบางสิ่งเข้าไปด้วย พระองค์ทรงเน้นการปฏิบัติต่อกันและกันคือ เป็นความรักกันและกัน ที่จะช่วยก่อให้เกิดชุมชนศิษย์ที่มีลักษณะเฉพาะ
ความรักดังกล่าวมีต้นกำเนิดมาจากองค์พระเจ้าเอง จากองค์พระตรีเอกภาพ ซึ่งเรามนุษย์ได้รับมาเพราะองค์พระบุตร เคียร่าได้อธิบายไว้อย่างเรียบง่ายว่า “พระเยซูเจ้าเมื่อเสด็จมาบังเกิดในโลก พระองค์มิได้เสด็จมาตัวเปล่าเหมือนกับพวกเรา แต่พระองค์เสด็จมาจากสวรรค์ เสด็จมาคล้ายกับคนอพยพย้ายถิ่นที่เดินทางไปยังประเทศห่างไกล เขาต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ แต่กระนั้นเขาก็ยังคงรักษาระเบียบประเพณีเดิม ยังคงพูดภาษาเดิมของตน พระเยซูเจ้าก็เป็นเช่นนี้ ทรงปรับตัวให้เข้ากับวิถีชีวิตของเรามนุษย์ แต่เพราะว่าทรงเป็นพระเจ้า พระองค์ทรงนำรูปแบบชีวิตพระตรีเอกภาพมากับพระองค์ด้วย นั่นคือ ความรักกันและกัน”
“เราให้บทบัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านรักกัน”
นี่เป็นหัวใจ เป็นสาระสำคัญที่สุดของข่าวดีของพระเยซูเจ้า ทำให้เราเข้าใจถึงความมีชีวิตชีวาของกลุ่มคริสตชน และแม้ปัจจุบันก็ยังเป็นเครื่องหมายที่เด่นชัดในกลุ่มหรือองค์กรต่างๆ ที่ใดที่มีความรักกันและกันอย่างชัดเจน เราก็จะเห็นชีวิตชีวาที่นั่น พวกเขาจะมีพละกำลังที่จะต่อสู้กับความทุกข์ยากลำบาก พวกเขาจะมีกำลังใจในยามท้อแท้ พวกเขาจะมีความชื่นชมยินดี
ทุกวันเราต้องเผชิญกับความยากลำบากในหลายรูปแบบ เช่นโรคระบาด อคติ ความยากจน การกระทบกระทั่งกัน ลองจินตนาการดูสิว่าชีวิตเราจะเป็นอย่างไร หากเรานำพระวาจานั้นมาปฏิบัติ เราจะมองเห็นอนาคตที่สดใส เรามนุษยชาติจะพบแต่สิ่งดีๆและมีความหวัง แต่อะไรล่ะที่ขัดขวางเรามิให้มีชีวิตใหม่ดังที่กล่าวมานี้ อะไรที่ขัดขวางเรามิให้สร้างความสัมพันธ์ฉันพี่น้องนี้ และให้ค่อยๆแผ่ขยายไปจนทั่วพื้นพิภพ
“เราให้บทบัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านรักกัน”
มาร์ธาเป็นอาสาสมัครหญิง เธอไปช่วยคนในเรือนจำการเตรียมตัวสอบระดับมหาวิทยาลัย “ครั้งแรกที่ดิฉันเดินเข้าไปในเรือนจำ ดิฉันรู้สึกหวั่นกลัวที่จะพบกับนักโทษ ดิฉันพยายามสร้างความสัมพันธ์กับพวกเขาก่อนในฐานะผู้สอน และต่อมาในฐานะเพื่อน ด้วยการให้เกียรติและรับฟังกันและกัน ไม่นานจากนั้น ดิฉันพบว่าไม่ใช่ดิฉันฝ่ายเดียวที่ได้ช่วยนักโทษ แต่พวกนักโทษก็ได้ช่วยดิฉันด้วย มีอยู่ครั้งหนึ่งในช่วงที่ช่วยนักโทษคนหนึ่งเตรียมสอบ คนในบ้านของดิฉันคนหนึ่งได้เสียชีวิตลง ส่วนนักโทษก็ถูกศาลอุทธรณ์ตัดสินว่าเขามีความผิด เราทั้งคู่ต่างตกในห้วงแห่งความทุกข์ ดิฉันสังเกตเห็นว่าเขาเป็นกังวลเกี่ยวกับคำพิพากษา และเขาระบายให้ดิฉันฟัง ดิฉันจึงร่วมใจเป็นหนึ่งเดียวกับความทุกข์ของเขา และเราพยายามเดินหน้าต่อไป เมื่อการสอนจบลง เขาได้มาขอบใจดิฉันบอกว่า ถ้าไม่ได้ดิฉันคอยช่วยเหลือ เขาคงสอบไม่ผ่าน จริงทีเดียวในด้านหนึ่ง ชีวิตของญาติของดิฉันได้จบลง แต่อีกด้านหนึ่ง ดิฉันก็ได้ช่วยชีวิตของอีกคนไว้ได้ ดิฉันเข้าใจแล้วว่า การช่วยเหลือกันและกันจะช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ที่แท้ มิตรภาพ และการให้เกียรติกัน
เลติเซีย มากริ
“จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้ มนุษย์ทั้งปวง” (มาระโก 16:15)
พระวรสารนักบุญมาระโกประโยคนี้ เป็นพระวาจาสุดท้ายของพระเยซูเจ้า พระองค์ตรัสเมื่อทรงปรากฏพระองค์กับบรรดาศิษย์
พวกเขานั่งรวมกันที่โต๊ะ เป็นภาพที่เราคุ้นเคยที่พระเยซูเจ้าทรงประทับร่วมโต๊ะกับบรรดาศิษย์ก่อนพระทรมาน และความตายของพระองค์ แต่การมานั่งรวมกันครั้งนี้ เรารู้สึกได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบางประการที่เกิดขึ้น ตอนนี้พวกเขามีจำนวน 11 คน แทนที่จะเป็น 12 คน อย่างที่พระเยซูเจ้าทรงอยากให้เป็น ในช่วงการรับทรมาน บรรดาศิษย์บางคนได้ปฏิเสธว่า ไม่รู้จักพระองค์และหลายคนได้หลบหนีพระองค์ไป
ในการมาพบกันครั้งที่สุดท้ายนี้ พระผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ได้ตำหนิพวกเขา เพราะพวกเขาปิดใจไม่ยอมเชื่อคนที่มาบอกพวกเขาว่า ได้เห็นพระองค์กลับคืนชีพแล้ว แต่ถึงกระนั้นพระองค์ทรงยอมรับการตัดสินใจของพวกเขาอีกครั้ง และส่งมอบหน้าที่ให้กับพวกเขาในการประกาศพระวรสารหรือข่าวดีนั้นก็คือ เป็นพระเยซูเจ้าเอง เป็นชีวิตและวาจาของพระองค์
หลังจากกล่าวถ้อยคำนี้แล้ว พระผู้กลับคืนพระชนม์เสด็จกลับไปหาพระบิดา แต่ในขณะเดียวกันก็ยัง “คงอยู่” กับบรรดาสาวกของพระองค์ ทรงรับรองคำสั่งสอนของพวกเขาด้วยอัศจรรย์ต่างๆ
จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง
แน่นอน กลุ่มอัครสาวกที่พระเยซูเจ้าส่งมอบหน้าที่ให้ดำเนินภารกิจของพระองค์ต่อไป มิใช่กลุ่มคนที่ดีพร้อม คนที่พระเยซูเจ้าเรียกให้มาอยู่กับพระองค์ ให้มาสัมผัสการประทับอยู่ของพระองค์ มาเห็นความอดทน ความเมตตากรุณา ความรักของพระองค์ และเนื่องจากพวกเขาได้รับประสบการณ์นี้ พระองค์จึงทรงส่งพวกเขาไป“ประกาศแก่ทุกคน” ว่าพวกเขาได้อยู่ใกล้ชิดกับพระเจ้า
ความสำเร็จของภารกิจของพวกเขาจึงไม่ขึ้นกับความเก่งกาจ หรือความสามารถเฉพาะตัว ในบรรดาสาวก และในกลุ่มชนที่มีความเชื่อที่พยายามเจริญชีวิตตามพระวรสารที่ได้รับมา
ดังนั้น สิ่งที่เราคริสตชนทำได้ก็คือ การประกาศด้วยชีวิตของเรา รวมทั้งด้วยคำพูดเกี่ยวกับความรักของพระเจ้า ออกจากตัวตนด้วยความกล้าหาญและใจกว้าง เพื่อทุกคนจะได้รับพระพรของพระผู้ทรงกลับคืนพระชนม์ พวกเขาจะได้เปิดใจและมีความหวัง ซึ่งเราควรทำด้วยความรอบคอบและด้วยความเคารพ
จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง
นี่เป็นเรื่องของการเป็นประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระเยซูเจ้า มิใช่เกี่ยวกับตัวเรา ยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรงเรียกให้เรา “สละตนเอง” ต้อง “ลด” ตนเองลง เพื่อพระองค์จะยิ่งใหญ่ขึ้น เราจำต้องเปิดตัวเราเพื่อรับพลังของพระจิตเจ้า ซึ่งกระตุ้นให้เกิดความเป็นพี่น้องกัน เราต้องฟังเสียงของพระจิตเจ้าทุกครั้ง ที่เราพบปะกับผู้อื่นไม่ว่าชายหรือหญิง พระองค์จะช่วยให้เรา “ทำตนเป็นหนึ่งเดียวกับเขา” รับใช้เขาอย่างดีที่สุด พระจิตเจ้าจะประทานพละกำลังให้เรารักผู้อื่นได้แม้กระทั่งศัตรู พระองค์ทรงทำให้ใจของเราเต็มเปี่ยมด้วยความเมตตา พร้อมจะให้อภัย รับรู้ถึงความต้องการของเขา พระองค์จะช่วยให้เรากระตือรือร้น อยากแบ่งปันขุมทรัพย์ในจิตใจของเราเมื่อมีโอกาส เพราะความรักในจิตใจของเรา และเพราะความรักต่อองค์พระเยซูเจ้า เราจะแบ่งปัน เนื่องจากความรักต่อพระเจ้าในจิตใจของเรา เราจะเข้าถึงคนที่อยู่ห่างไกลให้รับรู้ประสบการณ์ของเรา เพื่อว่าเมื่อพวกเขาประทับใจในความรักที่พระเจ้าทรงมีต่อเรา พวกเขาก็จะปรารถนาจะมาเป็นกลุ่มเดียวกับเรา เพื่อแลกเปลี่ยน มีอุดมการณ์ การงาน และความรัก เมื่อเราก้าวมาถึงระดับนี้แล้ว เราก็จะพูดอธิบายได้ และสิ่งที่เราพูดถึงจะกลายเป็นของขวัญ เป็นความรักซึ่งกันและกัน
จงออกไปทั่วโลก ประกาศข่าวดีให้มนุษย์ทั้งปวง
“ให้มนุษย์ทั้งปวง” นี่เป็นเป้าหมายยิ่งใหญ่ที่จะช่วยให้เราสำนึกว่า เราเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งสร้างของพระเจ้า และยิ่งทุกวันนี้ เราเน้นจุดนี้เป็นพิเศษ บรรดาเยาวชนมักมีสายตากว้างไกลกว่าใครๆในวิถีทางใหม่นี้ของมนุษยชาติ พวกเขายึดมั่นในพระวรสาร ประกาศยืนหยัดด้วยกิจการและด้วยคำพูด
โรเบิร์ตจากประเทศนิวซีแลนด์ ได้เล่าประสบการณ์ผ่านทางเว็บไซด์ว่าพวกเขาได้ช่วยกันปรับปรุงท่าเรือโบว์ริรัง ที่อยู่ทางใต้ของเมืองเวลลิงตัน โครงการนี้ต้องเกี่ยวข้องกับเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น พร้อมกับพี่น้องคาทอลิกเผ่าเมารีและชนเผ่าอื่นๆ เพื่อพี่น้องชนเผ่าจะได้เก็บหอยทากและจับปลาได้ตามปกติ โดยไม่ต้องกังวลในเรื่องน้ำเสีย โครงการของพวกเขาประสบความสำเร็จด้วยดี และยังช่วยเสริมสร้างจิตตารมณ์หมู่คณะให้เกิดขึ้นอีกด้วย
ความท้าทายประการหนึ่งที่เกิดขึ้นคือ จะทำอย่างไรไม่ให้กิจกรรมของเรากลายเป็นแบบไฟไหม้ฟาง แต่เป็นโครงการระยะยาวที่จะช่วยส่งเสริม ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง
เลติเซีย มากริ
“โปรดประทาน อภัยแก่ข้าพเจ้า เหมือนข้าพเจ้าให้ อภัยแก่ผู้อื่น” (มัทธิว 6:62)
พระวาจาทรงชีวิตของเดือนนี้นำ มาจาก บทภาวนา ที่พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดา ศิษย์ของพระองค์คือ จากบท “ข้าแต่พระ บิดาของเรา” เป็นบทภาวนาที่มีพื้นฐานมา จากธรรมประเพณีของชาวยิว เนื่องจาก ชาวยิวเรียกพระเจ้าว่า “พระบิดา”
เมื่อเราอ่านพระวาจานี้ สิ่งที่ทำ ให้เราต้องใคร่ครวญคือ เราจะขอ ให้พระเจ้าลบล้างมูลหนี้ของเรา (ตามคำ ที่มาจากต้นฉบับภาษากรีก) ใน แบบเดียวกับที่เราให้อภัยกับคนที่กระทำผิดต่อเรา เนื่องจากว่าการให้ อภัยของเรามีขอบเขตจำกัด ไม่ครบถ้วน หรือไม่ก็มีเงื่อนไขบางประการ เพราะหากว่าพระเจ้าทรงกระทำต่อเรา ในแบบที่เราทำต่อผู้อื่นคงจะเป็น เรื่องที่แย่เอามากๆ
โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น
แต่ที่จริงนั้น พระวาจาอันสำคัญยิ่งนี้บ่งบอกว่าเราจำ เป็นต้องวอน ขออภัยจากพระเจ้า พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ นั้นก็หมายความ ว่าทรงสอนพวกเราด้วย ให้เข้าหาพระเจ้าด้วยจิตใจใสซื่อ
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้เมื่อเราสำนึกว่า เราเป็นบุตรของพระเจ้าร่วมกับ องค์พระบุตร เป็นพี่น้อง และผู้ติดตามพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงเป็นบุคคล แรกที่ใช้ชีวิตของพระองค์ ด้วยการยึดมั่นในพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า
ซึ่งหลังจากที่เรายอมรับพระพรจากพระเจ้า ความรักอันไม่มีขอบ เขตของพระองค์แล้ว นี่จะช่วยให้เรากล้าวอนขอทุกสิ่งทุกอย่างจากพระ เจ้าพร้อมๆ กับทำตัวเราให้ละม้ายคล้ากับพระองค์ จนถึงจุดที่เราจะให้อภัย พี่น้องชายหญิงได้ด้วยใจกว้างในแต่ละวัน
การให้อภัยเป็นกิจการที่มาจากใจอิสระ และมีความสุภาพถ่อมตน มิใช่สิ่งที่เราทำ จนเป็นนิสัย แต่เป็นสิ่งที่ต้องออกแรง และพระเยซูเจ้าให้ เราภาวนาวอนขอทุกๆ วัน
โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น
กี่ครั้งกี่หนมาแล้วกับคนที่เราอยู่ด้วย ในครอบครัว ในละแวก เดียวกัน ในที่ทำ งาน สำนักงาน ได้ทำผิดต่อเรา ทำ ให้เราไม่อาจรักษา มิตรภาพให้คงเส้นคงวาได้ เราจะทำประการใด เราจงวอนขอพระหรรษ ทานให้เราเลียนแบบพระบิดาเจ้าได้
ทุกเช้าเมื่อเราตื่นขึ้น เราจงทำการ “นิรโทษ” ให้อภัยกับทุกคน ด้วยความรักที่แผ่ถึงทุกคน ความรักที่รับทุกคนได้อย่างที่เขาเป็น ไม่ว่า เขาจะมีขีดจำกัด มีความลำบาก เหมือนกับที่มารดาจะปฏิบัติกับลูกที่ หลงผิดไป แม้จะแก้ตัวให้ อภัยให้เสมอ ไว้วางใจเสมอ ดังนั้น ไม่ว่า เราจะอยู่กับใคร จงมองเขาด้วยสายตาใหม่ เหมือนกับว่าเขาไม่เคยทำ อะไรผิดพลาดมาก่อนเลย ให้เราเริ่มต้นใหม่เช่นนี้ เพราะเรารู้ว่าพระเจ้า ไม่เพียงให้อภัยเท่านั้น พระองค์ทรงลืมอดีตไปด้วย และนี่เป็นแนวทาง ที่ทรงเรียกร้องจากเราเช่นกัน
เป้าหมายนี้ สูงส่ง ทำยาก เราจะทำ ได้ก็ด้วยความช่วยเหลือจาก การภาวนาด้วยความไว้วางใจ
โปรดประทานอภัยแก่ข้าพเจ้าเหมือนข้าพเจ้าให้อภัยแก่ผู้อื่น
บทภาวนา “ข้าแต่พระบิดาของเรา” เน้นคำ ว่า “เรา” เป็นอย่างมาก คือความเป็นพี่เป็นน้องกัน คือเราสวดภาวนาวอนขอมิใช่เพื่อตัวฉันเอง เท่านั้น แต่เราร่วมสวดภาวนาด้วยกัน และเพื่อกันและกัน การที่เราจะให้ อภัยได้นั้นก็เนื่องมาจากเรามีความรักต่อผู้อื่น ยิ่งไปกว่านั้น ความรักต่อ ผู้อื่น จะทำ ให้เราสำนึกว่า เรามีส่วนในความผิดพลาดของผู้อื่นไม่มากก็ น้อย จนทำ ให้เราพูดได้ว่า บางทีฉันก็ผิดด้วย ฉันไม่ได้ทำ ในส่วนของฉัน ให้ดี เขาถึงรู้สึกไม่ดี ไม่เข้าใจ.
ที่เมืองปาแลร์โมในประเทศอิตาลี มีกลุ่มคริสตชนนิกายต่างๆ พวก เขาพยายามสร้างความเข้าอกเข้าใจกันพยายามขจัดความบาดหมางที่ อาจเกิดขึ้น บีอาโจ และ ซีนา เล่าว่า “วันหนึ่งศาสนจารย์คนหนึ่ง ซึ่งเรา คุ้นเคย เชิญเราทั้งสองไปร่วมงานครอบครัวในคริสตจักรของท่าน เราไม่ รู้จักครอบครัวกลุ่มนี้ เราได้เตรียมอาหารบางอย่างไปด้วยเพื่อจะได้แบ่ง ปันกับคนอื่นตอนอาหารเที่ยง แต่เรารู้สึกได้ว่ากลุ่มครอบครัวดังกล่าวไม่ ต้องการต้อนรับเราด้วยมารยาทอันดี ซีนา พยายามให้พวกเขาชิมอาหาร ที่เราจัดเตรียมไป ในที่สุดพวกเราได้ทานอาหารเที่ยงด้วยกัน หลังทาน อาหารแล้ว พวกเขาเริ่มพูดถึงข้อบกพร่องในพระศาสนาจักรของเรา และ เนื่องจากเราไม่ต้องการทุ่มเถียงกัน เราจึงบอกว่ามีความบกพร่อง หรือ ความแตกต่างในศาสนจักรของเรา ที่หนักหนาสาหัสจนทำ ให้เรารักกัน ไม่ได้หรือ เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทั้ง ๆ ที่พวกเขากำลังวิจารณ์กันอย่างสนุก ต่างพากันเงียบ พูดไม่ออก เราจึงเริ่มพูดเกี่ยวกับพระวรสาร และพูดถึง สิ่งที่รวมเราเข้าด้วยกัน แน่นอน สิ่งที่รวมเรามีมากกว่าสิ่งที่จะทำ ให้เรา แตกแยกกัน เมื่อถึงเวลาที่เราจะต้องจากกัน พวกเขาต่างก็ไม่อยากจาก พวกเราไป เวลานั้น เราจึงเสนอให้เราสวดบท “ข้าแต่พระบิดาของเรา” ร่วมกัน ตอนนั้นเรารู้สึกได้เป็นอย่างมากว่า พระเจ้าทรงประทับอยู่กับ พวกเรา พวกเขาได้ขอให้พวกเราให้สัญญาว่าจะกลับมาพบกับพวกเขา อีก เพื่อจะได้รู้จักนิกายของเขาให้มากขึ้น และนี่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่ เราปฏิบัติต่อๆ มาหลายปีมานี้”
เลติเซีย มากริ
“ผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ผลักไส ไปเลย”(ยอนห์ 6:37)
พระวาจาของพระเยซูเจ้าตอนนี้ พบได้ใน บทสนทนาของพระเยซูเจ้ากับกลุ่มชน ซึ่ง หลังจากพระองค์ทรงทวีขนมปังอย่างอัศจรรย์ แล้ว พวกเขาพยายามติดตามพระเยซูเจ้า และเรียกร้องให้พระองค์ทำ เครื่องหมาย สำคัญอย่างอื่นอีก เพื่อที่จะได้เชื่อในพระองค์ ดังนั้น พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยกับพวกเขาว่า พระองค์นั้นแหละ เป็นเครื่องหมายแห่งความรักของพระเจ้า และยิ่งกว่านั้น พระองค์ทรง เป็นพระบุตร ซึ่งพระเจ้าทรงมอบหน้าที่ให้รวบรวมมนุษยชาติเข้ามา อยู่ในบ้านของพระองค์ เพราะมนุษย์ทุกคนถูกสร้างมาตามพระฉายา ลักษณ์ของพระเจ้า ใช่แล้ว เป็นพระบิดาเจ้าเองที่ทรงชักนำและดึงดูด ทุกคนให้มาหาพระเยซูเจ้า ด้วยการทำ ให้แต่ละคนปรารถนามีชีวิต ที่เพียบพร้อมคือ มีชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าและกับผู้อื่น ดังนั้น พระเยซูเจ้าจะไม่ทรงผลักไสผู้ใด ไม่ว่าผู้นั้นจะรู้สึกเหิน ห่างจากพระองค์สักเพียงใด เพราะนี่เป็นพระประสงค์ของพระบิดาคือ ต้องไม่ให้ผู้ใดสูญเสียไป
“ผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ผลักไส ไปเลย”
ี่เป็นข่าวดี พระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคนอย่างล้นเหลือ ทรงมี พระทัยอ่อนโยน ทรงเป็นพระบิดาที่เปี่ยมด้วยความอดทน มีพระทัย “ผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ผลักไส ไปเลย”(ยอนห์ 6:37) เมตตา ทรงรอคอยทุกคนที่เดินตามมโนธรรมของตน บ่อยครั้ง เราลังเลสงสัย ทำ ไมพระเยซูเจ้าจะต้องต้อนรับฉัน พระองค์ต้องการอะไรจากฉัน อันที่จริงพระเยซูเจ้าเพียงขอให้เรารู้สึก สะดวกใจที่จะเข้าหาพระองค์ ทำ ใจให้เป็นอิสระจากทุกสิ่งที่อาจทำ ให้ เราไขว้เขว เพื่อที่เราจะยอมรับความรักที่พระองค์ทรงมอบให้กับเรา เปล่าๆ แต่ว่าคำ เชิญชวนของพระองค์นี้ ก็เรียกร้องความรับผิดชอบใน ส่วนของเราด้วย เพราะว่า เมื่อเรามีประสบการณ์กับความอ่อนโยน ที่มาจากพระเยซูเจ้าแล้ว เราก็จะรู้สึกได้ว่า เราก็อยากต้อนรับพระองค์ ในผู้อื่นด้วย ไม่ว่าเขาจะเป็นชายหรือหญิง เป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ จะมี สุขภาพดีหรือไม่ หรือต่างวัฒนธรรมกับเรา เราจะไม่ผลักไสผู้ใดเลย
“ผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ผลักไส ไปเลย”
ที่เมืองควิเบก ประเทศแคนาดา คริสตชนกลุ่มหนึ่งที่เจริญชีวิต พระวาจายินดีต้อนรับครอบครัวต่างๆที่เข้ามาเมืองควิเบก พวกเขา มาจากประเทศฝรั่งเศส อียิปต์ ซีเรีย เลบานอน คองโก ทุกครอบครัว ได้รับการต้อนรับและความช่วยเหลือ เพื่อจะได้เข้าอยู่ในสังคมใหม่ได้ การให้ความช่วยเหลือพวกเขา หมายถึงต้องทำ หลายสิ่งหลายอย่าง เช่น ตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับสถานะของพวกเขาว่า เขาจะเป็น ผู้ลี้ภัย หรือจะมาอยู่ถาวร จัดหาโรงเรียนให้ลูกๆของพวกเขา พาพวก เขาไปหาที่พักอาศัย หาโรงเรียนที่พวกเขาจะได้เรียนภาษาฝรั่งเศส หรือหางานให้ทำ
คุณกีและคุณมิแชลได้บันทึกไว้ว่า ครอบครัวชาวซีเรียครอบครัว หนึ่งมาจากประเทศแคนาดา เพราะหนีสงคราม ครอบครัวนี้ได้พบอีก ครอบครัวหนึ่งที่เพิ่งมาถึง และยังไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เขาจึงพยายาม ช่วยครอบครัวดังกล่าวด้วยการติดต่อกับกลุ่มของเรา ด้วยความร่วม มือจากหลายๆ ฝ่าย และจากเพื่อนอีกหลายคน เราได้จัดหาสิ่งที่ จำ เป็นให้ครอบครัวนี้ ไม่ว่าเตียงนอน โซฟา โต๊ะ เก้าอี้ ถ้วยชาม เครื่องเรือน หนังสือ และของเล่นสำ หรับเด็กๆ ซึ่งเด็กๆในบ้านของ เราได้แบ่งปันให้ พวกเขาได้รับมากกว่าที่ต้องการเสียอีก และเมื่อพวก เขาได้รับจนเกินพอ พวกเขาก็แบ่งปันกับครอบครัวอื่นๆที่อาศัยในตึก เดียวกันที่ยากจนกว่า และพระวาจาของเดือนนั้นคือ “จงรักเพื่อนบ้าน เหมือนรักตัวท่านเอง”
“ผู้ที่มาหาเรา เราจะไม่ผลักไส ไปเลย”
เราจะทำ ให้พระวาจาของพระเจ้ากลับกลายเป็นชีวิตของเรา ได้อย่างไร ก็ด้วยการเป็นประจักษ์พยานว่าพระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิด กับทุกคนที่อยู่ด้วยกันกับเรา กับคนๆเดียว หรือกับหลายๆคน
บทรำ พึงของเคียร่า ลูบิค ที่พูดถึงความรักความเมตตาอาจ ช่วยเราได้ ที่เขียนว่า ความรักคือการขยายดวงใจให้กว้างขึ้น และ เข้าถึงบุคคลที่น่าสงสาร คนหมดอาลัยตายอยากในชีวิต หรือคนบาป เป็นความรักที่อ้าแขนรับคนที่หลงผิด ต้อนรับทุกคนไม่ว่าจะเป็น เพื่อนพี่น้อง หรือบุคคลที่เราไม่รู้จัก ยกโทษให้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นความรักที่มากล้นจนไม่อาจคิดคำนวณได้ เป็นความรักที่งอกงาม เต็มเปี่ยม เข้าถึงทุกคน เห็นได้ชัด จับต้องได้ พูดให้ถูกต้องคือ เป็น ความรักเหมือนกับความรักขององค์พระเยซูเจ้า เมื่อทรงเผยให้เรา เห็นจากพระวาจาของพระองค์ เมื่อตรัสว่า “เราสงสารประชาชน” (มัทธิว 15:32) ความสงสารเป็นการแสดงออกขั้นสูงสุดของความรัก เป็น ความรักอันเต็มเปี่ยม ความรักที่อยู่เหนือความทุกข์ เพราะความทุกข์ จะคงอยู่เพียงแค่ในชีวิตนี้ แต่ความรักดำ รงอยู่แม
เลติเซีย มากร
“พวกเราได้เห็น ดาวประจำ พระองค์ ขึ้น จึงพร้อมใจกัน มาเพื่อนมัสการ พระองค์” (ลูกา 1:45)
พระวาจาตอนนี้เป็นคำ พูดที่ “พญา สามองค์” กล่าวไว้ในพระวรสารนักบุญ มัทธิวเท่านั้น พวกเขาเดินทางมาจาก ประเทศห่างไกลเพื่อมาพบพระกุมารเยซู นักเดินทางกลุ่มนี้ เดินทางติดตาม แสงอันริบหรี่จากดวงดาว เพื่อจะได้พบ องค์ความสว่างยิ่งใหญ่องค์ความสว่าง แห่งสากลจักรวาล นั่นคือ องค์กษัตริย์น้อยที่เพิ่งประสูติมาในโลก เราไม่รู้ อะไรเลยเกี่ยวกับชีวิตความเป็นอยู่ของพวกเขา แต่เหตุการณ์นี้เชิญชวนให้ เรานำมาใคร่ครวญสำ หรับชีวิตคริสตชนของเรา
ปีนี้ กลุ่มคริสตชนในประเทศทางตะวันออกกลางได้เสนอให้จัดสัปดาห์ แห่งการอธิษฐานภาวนาเพื่อเอกภาพคริสตชน นี่เป็นโอกาสที่ดีมากที่เราจะ หันกลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง ยินดีต้อนรับกันและกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน การพยายามเป็นประจักษ์พยานว่าพระเจ้าทรงรักเราแต่ละคน และประชากร ทั่วพื้นพิภพ
“พวกเราได้เห็น ดาวประจำ พระองค์ ขึ้น จึงพร้อมใจกัน มาเพื่อนมัสการ พระองค์”
ในเอกสารที่คริสตชนในตะวันออกกลางเสนอให้จัดสัปดาห์แห่งการ อธิษฐานภาวนาเพื่อเอกภาพคริสตชน พวกเขาได้เขียนว่า “ดาวที่ปรากฏใน ท้องฟ้าแห่งแคว้นยูเดีย เป็นเครื่องหมายแห่งความหวังที่มนุษย์เรารอคอย “พวกเราได้เห็น ดาวประจำ พระองค์ ขึ้น จึงพร้อมใจกัน มาเพื่อนมัสการ พระองค์” (ลูกา 1:45) มานานแล้ว ดาวนี้นำ พญาสามองค์มา และไม่เพียงพญาสามองค์เท่านั้น แต่นำชนทุกชาติในโลกมายังสถานที่ที่พระผู้ไถ่ องค์ราชาที่แท้จริงประทับ อยู่ ดาวดวงนี้เป็นพระพร เป็นเครื่องหมายแห่งการประทับอยู่ของพระเจ้าใน ท่ามกลางมนุษย์ด้วยความรัก พญาสามองค์เป็นเครื่องหมายแสดงถึงความ เป็นหนึ่งเดียวกันที่พระเจ้าทรงต้องการจากประชากรของพระองค์ พญาสาม องค์เดินทางจากประเทศห่างไกล มีวัฒนธรรมวิถีชีวิตแตกต่างกัน แต่ทุก คนมีความปรารถนา อยากเห็น อยากรู้จักกษัตริย์พระองค์น้อยที่เพิ่งประสูติ พวกเขารวมตัวกันเข้ามาในถ้ำ ที่เมืองเพื่อนมัสการ และถวายของกำนัล เช่น เดียวกันเราคริสตชน มีหน้าที่ที่จะต้องเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นหนึ่ง เดียวกันในโลก ดั่งที่พระเจ้าทรงปรารถนา ถึงแม้ว่าเราจะมีวัฒนธรรม ภาษา หรือสีผิวแตกต่างกัน แต่เราคริสตชนมีส่วนที่เหมือนกันคือ เราต่างแสวงหา องค์พระคริสต์พระเจ้า ต้องการนมัสการพระองค์เหมือนกัน ดังนั้น พันธกิจ ของเราคริสตชนคือ เป็นเครื่องหมายเหมือนดั่งเช่นดวงดาว เพื่อนำมนุษ ยชาติที่กระหายหาพระเจ้าไปสู่พระคริสต์เจ้า เราจะต้องเป็นเครื่องมือของ พระเจ้าในการทำ ให้ความเป็นหนึ่งเดียวกันของมนุษยชาติเป็นจริงขึ้นมาได้” ดาวที่ส่องแสงให้กับพญาสามองค์นั้น ส่องแสงให้กับทุกคน ดาวนี้ส่องสว่าง ในส่วนลึกแห่งมโนธรรมที่มีความรักอยู่แล้ว เราทุกคนจะเห็นแสงสว่างนี้ได้ สังเกตได้ และเดินตามแสงสว่างนี้ได้จนกระทั่งบรรลุถึงจุดหมายคือ ได้พบ องค์พระผู้เป็นเจ้า และเพื่อนพี่น้องในชีวิตประจำวันของเรา และเราจะได้ แบ่งปันความมั่งคั่งของเราให้กับทุกคน
“พวกเราได้เห็น ดาวประจำ พระองค์ ขึ้น จึงพร้อมใจกัน มาเพื่อนมัสการ พระองค์”
นมัสการพระเจ้าคือ การยอมรับต่อหน้าพระองค์ว่า เราตำ่ ต้อย เปราะ บาง ต้องการพระเมตตา และการอภัย ดังนั้น เราจะมีท่าทีเช่นนี้กับคนอื่นๆ ด้วย การนมัสการเป็นกิจการที่เราแสดงออก เพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าเท่านั้น
เพื่อที่เราจะได้เข้าใจได้ดีขึ้น ขอเชิญเราอ่านสิ่งที่ เคียร่า ลูบิค เคย เขียนไว้ การนมัสการพระเจ้าคืออะไร คือท่าทีของเราที่มีต่อพระเจ้าเท่านั้น นมัสการพระเจ้าหมายความว่าเรากล่าวกับพระเจ้าว่า “พระองค์เป็นทุกสิ่ง ทุกอย่าง” คือ “พระองค์ทรงเป็นอย่างที่ทรงเป็น” และข้าพเจ้าช่างมีเกียรติ ยิ่งใหญ่เหลือเกินที่ได้มารู้จักพระองค์ และยังหมายความอีกว่า “ตัวฉันเป็น ความว่างเปล่า” มิใช่เป็นแค่คำ พูดเท่านั้น เพื่อจะนมัสการพระเจ้า และจะ ต้องทำตนให้เป็นความว่างเปล่า ให้พระเจ้าครอบครองตัวเราและทั้งโลก วิถี ทางที่แน่นอนที่สุดที่เราจะบรรลุถึงจุดที่เราประกาศยืนยันได้ว่าเราเป็นความ ว่างเปล่า และพระเจ้าเป็นทุกสิ่งนี้ เป็นไปในแง่บวก เพื่อทำ ให้ความนึกคิด ของเราเป็นความว่างเปล่า มีแต่ความคิดถึงพระเจ้าที่เราไขแสดงในพระวร สาร และความนึกคิดที่พระเจ้าทรงเปิดเผยกับเราในขณะปัจจุบัน เพื่อจะทำ ลายความปรารถนาที่ไม่ถูกต้อง เราก็เพียงมอบความรักของเราให้กับพระองค์ เท่านั้น และรักคนที่อยู่รอบข้างเราด้วยการร่วมในความกังวล ความเจ็บปวด ปัญหาหรือความยินดีของเขา ถ้าเราพยายามเป็น “ความรัก” เสมอ เราจะ ค่อย ๆ เป็นความว่างเปล่า โดยเราไม่ทันสังเกต และเมื่อเราได้เจริญชีวิต เป็นความว่างเปล่าก็เท่ากับเรายืนยันด้วยชีวิตว่าพระเจ้าทรงสูงส่งกว่าเรา พระองค์เป็นทุกสิ่ง นี่แหละเป็นการนมัสการพระเจ้าของเรา
“พวกเราได้เห็น ดาวประจำ พระองค์ ขึ้น จึงพร้อมใจกัน มาเพื่อนมัสการ พระองค์”
ตชนในตะวันออกกลางได้เขียนสรุปในเอกสารว่า “หลังจากที่ได้พบ พระผู้ไถ่” และนมัสการพระองค์แล้ว พญาสามองค์ เมื่อได้รับการเตือนจาก ความฝัน พวกเขาได้เดินทางกลับประเทศของตนโดยทางอื่น พวกเราก็เช่น กัน เราจะได้รับการดลใจว่า ในชีวิตของเรา ที่วัดของเรา หรือในที่ที่เราอยู่ เราจะต้องหาวิถีทางใหม่ในการรับใช้ตามแบบพระวรสารในโลกปัจจุบัน ซึ่ง เรียกร้องให้เราป้องกันศักดิ์ศรีของมนุษย์ โดยเฉพาะในบรรดาคนยากจน คน อ่อนแอ และคนชายขอบ วิถีทางใหม่ของพระศาสนจักรคือ หนทางแห่ง ความเป็นหนึ่งเดียวกัน โปร่งใส และเพื่อที่จะเดินตามแนวทางนี้ เราจะต้อง อุทิศตน กล้าหาญ ทุ่มเท เพื่อว่า“พระเจ้าจะได้ทรงเป็นทุกสิ่งในทุกคน” (1โครินธ์ 15:28)
เลติเซีย มากร
พระวาจาทรงชีวิต ธันวาคม 2021
“เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง” (ลูกา 1:45)
พระวาจาทรงชีวิตเดือนนี้ พูดถึงบุญลาภอีกครั้ง ที่นำมาจากคำทักทายแสดงความยินดีของนางเอลีซาเบธ ที่กล่าวกับพระนางมารีย์ พระนางได้เสด็จไปหาเธอที่บ้าน เพื่อให้ความช่วยเหลือ ขณะนั้น หญิงทั้งสองตั้งครรภ์ ทั้งสองคนมีความเชื่อมั่นในพระเจ้า เชื่อในพระวาจาของพระเจ้า และรับรู้ว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้าที่ก่อให้เกิดบุตรในครรภ์
ในพระวรสารนักบุญลูกา พระนางมารีย์เป็นบุคคลแรกที่ได้ชื่อว่า “มีบุญ” เพราะพระนางมีชีวิตสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า ในความเป็นผู้มีบุญนี้ นักบุญลูกาจึงได้พูดถึงความเกี่ยวพันระหว่างพระวาจาที่พระเจ้าตรัส และการยอมรับด้วยความเชื่อของเรา พระเจ้าทรงเป็นผู้ริเริ่ม และเรามนุษย์ยอมรับด้วยความใจกว้าง
“เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
พระนางมารีย์มีความเชื่ออย่างมั่นคงใน “พระสัญญาที่พระเจ้าทรงกระทำกับอับราฮัมและลูกหลาน” พระนางทรงทำตนให้ว่างเปล่า สุภาพ พร้อมฟังพระวาจา จนกระทั่งพระวจนาตถ์ของพระเจ้าเสด็จอวตารในครรภ์ของพระนางได้ และเข้าร่วมในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
พวกเราไม่อาจมีประสบการณ์การเป็นมารดาพรหมจารีเฉกเช่นพระนางมารีย์ได้ แต่เราอาจเลียนแบบพระนางในความไว้วางใจในพระเจ้า และความรักของพระองค์ ด้วยการฟังพระวาจาและเชื่อในพระสัญญาด้วยความใจกว้าง พระวาจานั้นจะก่อเกิดขึ้นในตัวตนของเรา และทำให้ชีวิตของเราเกิดผลมากมาย ไม่ว่าเราจะเป็นพลเมือง พ่อบ้านแม่เรือน นักเรียน นักการเมือง หรือเป็นคนงาน จะอยู่ในวัยเยาว์หรือวัยชรา จะมีสุขภาพดีหรือเจ็บป่วย
หากความเชื่อของเรายังอ่อนแอ ดังเช่น กรณีของท่านเศคาริยาห์ ก็จงวางใจในพระเมตตาของพระเจ้า พระองค์จะไม่ทรงยอมเลิกแสวงหาเรา จนกว่าเราจะพบว่าพระองค์ทรงซื่อสัตย์และเราจะถวายพระพรแด่พระองค์
“เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
แม่บ้านคนหนึ่ง มีบ้านอยู่ในบริเวณเนินเขาในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เธอศรัทธา มีความเชื่อมั่นคง เธอได้สอนลูกๆของเธอเกี่ยวกับการให้อภัย และการอยู่ร่วมกับคนอื่นตามแบบพระวรสาร ไม่นานมานี้ มาร์กาเรต ลูกของเธอคนหนึ่งเล่าว่า “เราเป็นเด็ก เราเสียใจกับคำพูดบางคำที่เด็กๆข้างบ้านให้ร้ายกับเรา แต่คุณแม่กับบอกเราว่า พาเขามาเล่นที่บ้านเราสิ คุณแม่ได้ให้ขนมปังที่ทำเสร็จใหม่ๆกับเด็กคนนั้นนำกลับบ้าน เช่นนี้ พวกเราก็กลับเป็นเพื่อนกันอีก” นี่เป็นเครื่องหมายที่ยอดเยี่ยมที่เกิดขึ้นในแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ศูนย์กลางแห่งอารยธรรม ที่ผู้คนที่นั่นยังทุกข์ทรมานเพราะความบาดหมาง ต้องการสันติ และความปรองดองเป็นอย่างยิ่ง
เคียร่า ลูบิคได้กล่าวให้กำลังใจกับการมีความเชื่อมั่นคงว่า ต่อจากองค์พระเยซูเจ้านั้น พระนางมารีย์ทรงเป็นผู้ที่เพียบพร้อมที่สุดในการตอบรับพระเจ้า ซึ่งสิ่งนี้แหละเป็นความศักดิ์สิทธิ์และความยิ่งใหญ่ของพระนาง หากพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระวจนาตถ์ พระวาจาที่รับเนื้อหนังเป็นมนุษย์ พระนางมารีย์ในฐานะที่มีความเชื่อในพระวาจา ก็เป็นพระวาจาที่มีชีวิต เป็นมนุษย์เหมือนอย่างเรา เท่าเทียมกับเรา ดังนั้น เราจงมีความเชื่อเช่นเดียวกับพระนางมารีย์ว่า พระสัญญาทุกอย่างที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระเยซูเจ้าเป็นจริง และเราต้องพร้อมเสี่ยงเช่นเดียวกับพระนางมารีย์ ที่จะเผชิญกับสิ่งไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้น เพราะพระวาจานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ แต่มั่นใจได้เลยว่าอัศจรรย์จะเกิดขึ้นกับบุคคลที่เชื่อในพระเจ้า และเราอาจนำเรื่องเหล่านั้นมาเขียนเป็นหนังสือได้เป็นเล่มๆ และในชีวิตประจำวันของเรา เราพบพระวาจาของพระเจ้าในพระคัมภีร์ ให้เราเปิดใจฟังพระวาจาของพระเยซูที่ทรงขอจากเรา และทรงสัญญาว่า ไม่นานเกินรอ เราจะพบว่าพระองค์ทรงถือตามพระสัญญาของพระองค์
“เธอเป็นสุขที่เชื่อว่า พระวาจาที่องค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสแก่เธอไว้จะเป็นจริง”
เพื่อเป็นการเตรียมวันฉลองคริสตสมภพ ให้เราคิดถึงพระสัญญาของพระเยซูเจ้าที่ตรัสว่า จะทรงประทับอยู่กับคนที่ถือตามพระสัญญาแห่งความรัก ที่ว่า “ที่ใดมีสองหรือสามคนรวมกันในนามของเรา เราจะอยู่ท่ามกลางพวกเขา” รวมกันในนามของพระองค์คือ รักกันและกันตามแบบพระวรสาร เมื่อเราเชื่อในพระสัญญาของพระองค์ เราก็ช่วยให้พระเยซูเจ้าทรงบังเกิดใหม่ในบัดนี้ได้อีก ไม่ว่าจะเป็นที่บ้านของเราหรือตามถนนหนทาง ด้วยการที่เรายินดีต้อนรับกันและกัน รับฟังปัญหาของกันและกัน สวมกอดกันฉันพี่น้อง เช่นเดียวกับพระนางมารีย์และนางอลิซาเบธ
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต พฤศจิกายน 2021
“ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพระเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า” (มัทธิว 5:9)
พระวรสารนักบุญมัทธิวเขียนขึ้นโดยคริสตชนกลับใจจากศาสนายิว ดังนั้น จึงมีข้อความที่สะท้อนถึงศาสนา และขนบธรรมเนียมของชาวยิวอยู่หลายแห่ง
ในบทที่ 5 ผู้เขียนเล่าถึงพระเยซูเจ้าว่า เป็นโมเสสคนใหม่ พระองค์เสด็จขึ้นภูเขาเพื่อประกาศบทบัญญัติของพระเจ้าคือ พระบัญญัติแห่งความรัก ผู้เขียนได้บอกว่าพระเยซูเจ้าทรงประทับนั่ง ทรงเป็นพระอาจารย์ เพื่อบอกว่าสิ่งที่พระองค์ตรัสเป็นเรื่องจริงจัง เป็นสิ่งที่เราเรียกว่า “เป็นทางการ”
ความจริงแล้ว พระเยซูเจ้าทรงประกาศสิ่งที่ทรงปฏิบัติเป็นประจำอยู่แล้ว บุญลาภเป็นสิ่งที่ทรงกระทำมาตลอดชีวิตของพระองค์ ในบทบุญลาภ เราเห็นได้ถึงความงดงามของความรักแบบคริสตชน ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ปฏิบัติได้รับพระพรและความยินดีแท้จริงคือ บุญลาภ
“ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพระเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า”
ในพระคัมภีร์ คำว่าสันติ ในภาษาฮิบรูคือ ชาโลม (chalom) หมายถึงการมีความปรองดองกลมเกลียวกัน ระหว่างมนุษย์ด้วยกันเองกับพระเจ้า และกับสิ่งที่อยู่ล้อมรอบตัวเรา แม้ในปัจจุบัน ผู้คนในศาสนายิวยังใช้คำนี้ทักทายกัน เป็นการแสดงความปรารถนาให้ผู้อื่นมีชีวิตที่บริบูรณ์ สันติเป็นพระพรจากพระเจ้า แต่ก็เรียกร้องการร่วมมือกันจากฝ่ายเราด้วย
บุญลาภมีหลายประการ แต่การสร้างสันติเป็นสิ่งที่เด่นชัดที่สุด เรียกร้องให้เราออกจากตนเอง กระตือรือร้นทำงานเพื่อเสริมสร้างความปรองดองกัน เริ่มที่ตัวเราก่อนและกับบุคคลรอบข้าง ให้ใช้ทั้งความคิด จิตใจ และสองมือ เรียกร้องให้เราใส่ใจผู้อื่น รักษาบาดแผล เยียวยาฝันร้ายทั้งของปัจเจกชนและของสังคม ซึ่งอาจเกิดมีขึ้นเพราะความเห็นแก่ตัว ให้เราใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างสันติ
เช่นเดียวกันกับพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเจ้า เมื่อทรงปฏิบัติพระราชกิจของพระองค์จนสำเร็จ ส่งมอบชีวิตของพระองค์บนกางเขนเพื่อรวบรวมมวลมนุษย์ให้กับพระบิดา และก่อให้เกิดความเป็นพี่น้องกันในโลก ดังนั้น ผู้ที่สร้างสันติจะเป็นเหมือนกับพระเยซูเจ้า จะได้รับการยอมรับอย่างเช่นพระองค์คือ เป็นบุตรของพระเจ้า
“ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพระเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า”
ในแบบเดียวกับองค์พระเยซูเจ้า พวกเราก็สามารถเปลี่ยนแปลงวันแต่ละวันของเราให้เป็น “วันแห่งสันติ” ด้วยการหยุดทำสงคราม ไม่ว่าจะเป็นสงครามย่อยหรือสงครามใหญ่ที่อาจปะทุขึ้นในหมู่พวกเรา และเพื่อที่จะช่วยให้เป้าหมายนี้เป็นความจริงได้ เราจำเป็นต้องช่วยกันสร้างสายสัมพันธ์แห่งมิตรภาพและความร่วมมือกันให้เกิดขึ้น ยื่นมือของเราออกไปเพื่อช่วยเหลือ ยื่นแขนของเราเพื่อแสดงการยอมรับผู้อื่น
เดนิสและอเล็กซานดราได้เล่าประสบการณ์ว่า ตอนที่เราเริ่มรู้จักกัน เราชอบอยู่ด้วยกัน เราแต่งงานและตั้งต้นครอบครัวของเราอย่างดีและมีบุตร แต่เมื่อเวลาล่วงไป ความยุ่งยากก็เริ่มย่างกรายเข้ามา เราไม่มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่อกันอีก เรารู้สึกว่าทุกเรื่องจะเป็นสาเหตุทำให้เราไม่เข้าใจกัน ใช่ เรายังคงอยู่ด้วยกัน แต่เราก็ขัดใจกันครั้งแล้วครั้งเล่า โกรธกัน ไม่มองหน้ากัน จนวันหนึ่งครอบครัวหนึ่งซึ่งเป็นเพื่อนของเรา ได้เชิญเราให้เข้ารับการอบรมเกี่ยวกับการฟื้นฟูครอบครัวที่มีปัญหา เราได้พบกับบุคคลที่ดีและเชี่ยวชาญในเรื่องครอบครัว เราได้พบกับครอบครัวตัวอย่าง เราได้พูดถึงปัญหาของเราให้เขาฟัง และเราพบว่าเราไม่ได้อยู่คนเดียว เราเริ่มเห็นทางออก แต่นี่ก็เป็นเพียงก้าวแรกเท่านั้น เมื่อเรากลับบ้าน ปัญหาเดิมๆก็กลับมารบกวนเราอีก สิ่งสำคัญที่ช่วยประคับประคองเราไว้ก็คือ การเอาใจใส่กันและกัน และเริ่มต้นใหม่เสมอ เราพยายามติดต่อพูดคุยกับครอบครัวที่เราได้รู้จัก เพื่อที่จะเดินหน้าไปด้วยกัน
“ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพระเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า”
เคียร่า ลูบิค กล่าวว่าสันติที่พระเยซูเจ้าทรงหมายถึงนั้น เรียกร้องให้เรามีหัวใจและดวงตาใหม่ เพื่อที่จะรักและมองผู้อื่นในฐานะที่เขาเป็นสมาชิกของความเป็นพี่น้องสากลคือ เป็นพี่น้องกัน
เราอาจถามตนเองว่า กับคนบ้านใกล้เรือนเคียงเราชอบทะเลาะวิวาทด้วยหรือ กับคนร่วมงานที่น่าหนักใจหรือ กับคนต่างพรรคการเมืองหรือ กับนักฟุตบอลของทีมตรงข้ามกับเราหรือ กับคนศาสนาอื่นหรือ กับคนต่างชาติหรือ ใช่แล้ว เราควรสร้างสันติกับทุกคน สันติภาพเริ่มจากตรงนี้ เริ่มเมื่อเรารู้จัก สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนใกล้ชิด อิจีโน่ จอร์ดานี่ ได้เขียนไว้ว่า ความชั่วร้ายเกิดมาจากจิตใจมนุษย์ และเพื่อจะตัดอันตรายของสงคราม จำเป็นต้องตัดจิตใจที่ก้าวร้าว การเอาเปรียบ การเห็นแก่ตัว ซึ่งเป็นบ่อเกิดของสงคราม นี่คือ การสร้างมโนธรรมใหม่นั่นเอง โลกจะเปลี่ยนแปลง เมื่อเราเปลี่ยนแปลงตัวเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราจงเน้นสิ่งที่รวมเราเข้าด้วยกัน จะได้ช่วยเสริมสร้างวัฒนธรรมแห่งสันติ และช่วยกันทำงานเพื่อความดีของมนุษยชาติ ที่สุดแล้ว เป็นความรักที่จะชนะ และทรงพลังกว่าสิ่งอื่นใด เราจงพยายามเจริญชีวิตเช่นนี้ในเดือนนี้ เพื่อที่เราจะเป็นเชื้อแป้งแห่งวัฒนธรรมใหม่ แห่งสันติและความยุติธรรม เราจะเห็นว่าในตัวเราและรอบๆตัวเราจะเกิดมนุษยชาติใหม่
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต เดือนตุลาคม 2021
“เรารู้ว่าพระเจ้าทรงบันดาล ให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์” (โรม 8:28)
พระวาจาที่เรานำมาเจริญชีวิตในเดือนนี้ มาจากจดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรมัน จดหมายฉบับนี้ยาว ให้คำสอน และข้อคิดมากมาย เขียนถึงชาวโรมันก่อนที่ท่านจะเดินทางไปพบพวกเขา เพื่อเป็นการเตรียมใจก่อนจะได้พบกัน เนื่องจากนักบุญเปาโลไม่รู้จักพวกเขาสักคน
ในบทที่ 8 ของจดหมายของท่าน ท่านได้พูดเน้นเป็นพิเศษถึงชีวิตใหม่ในพระจิตเจ้า และพระสัญญาแห่งชีวิตนิรันดรที่รอคอยเราแต่ละคนรวมทั้งประชากรทุกชาติทั่วทั้งจักรวาล
“เรารู้ว่าพระเจ้าทรงบันดาล ให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์”
พระวาจาแต่ละคำในประโยคนี้ ช่างมีความหมายลึกซึ้งยิ่งนัก
นักบุญเปาโลยืนยันว่า ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เรารู้ว่าพระเจ้าทรงรักเรา ดังนั้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับเราในฐานะที่เป็นมนุษย์ อยู่ในแผนการณ์แห่งความรอดที่พระเจ้าทรงจะให้เรา
นักบุญเปาโลบอกว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้น เป็นไปเพื่อให้แผนการณ์ของพระสำเร็จไป ไม่ว่าจะเป็นความทุกข์ลำบาก การเบียดเบียน ความล้มเหลว ความอ่อนแอส่วนตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การดลใจของพระจิตเจ้าที่เกิดขึ้นในจิตใจของแต่ละคน
พระจิตเจ้าทรงรับการคร่ำครวญร่ำไห้ของมนุษยชาติ และของสิ่งสร้างทั้งหมดมาเป็นของพระองค์ และนี่เป็นหลักประกัน ว่าแผนการณ์ของพระเจ้าจะสำเร็จไป
ในส่วนของเรา เราต้องตอบรับอย่างหนักแน่นต่อความรักของพระเจ้านี้ มอบความวางใจในองค์พระเจ้า ไม่ว่าเราจะขาดแคลนสิ่งใด เราจะรักษาความหวังไว้อย่างมั่นคง ในฟ้าใหม่แผ่นดินใหม่ที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ สำหรับทุกคนที่วางใจในพระองค์
“เรารู้ว่าพระเจ้าทรงบันดาล ให้ทุกสิ่งกลับเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่รักพระองค์”
พระวาจานี้ เราจะนำมาใช้ได้อย่างไร กับชีวิตของเราในแต่ละวัน
เคียร่า ลูบิค ได้แนะนำว่า สิ่งสำคัญที่สุดคือ อย่าติดใจกับสิ่งที่เราเห็นภายนอก สิ่งที่เป็นวัตถุ ไม่มีคุณค่า แต่จงเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นว่าเป็นข่าวสารที่พระเจ้าทรงส่งมา เพื่อแสดงถึงความรักของพระองค์ เมื่อเรามองดูถึงชีวิต มันจะดูคล้ายกับผืนผ้าที่ถักทอออกมา เราเห็นแต่ขมวดปมเส้นด้ายไขว้ไปมาดูยุ่งเหยิง แต่ที่จริงแล้ว ทุกอย่างเป็นไปตามแผนการณ์อันน่ามหัศจรรย์ ที่เป็นผลมาจากความรักของพระเจ้า ที่ทรงสร้างขึ้นบนพื้นฐานแห่งความเชื่อของเรา
อีกประการหนึ่ง เราต้องมีความวางใจในความรักนี้อย่างเต็มเปี่ยมทุกเวลา ไม่ว่าในเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ถูกต้องทีเดียว หากเรารู้จักวางใจในความรักของพระในเหตุการณ์ปกติธรรมดา พระองค์จะประทานพละกำลังให้เราวางใจ เราควรวางใจในพระองค์ เช่นเดียวกัน ในเหตุการณ์ที่คับขัน ในการทดลองยิ่งใหญ่ เช่น ยามป่วยไข้ หรือในวาระสุดท้ายของชีวิต
เราจงพยายามเจริญชีวิตอย่างนี้ เพราะพระเจ้าจะทรงเผยแผนการณ์ของพระองค์ และเราจะได้รับความบรรเทาใจจากพระองค์ แต่เราจะพยายามทำเพราะความรักเท่านั้น และเราจะพบว่า การวางใจในพระอย่างเต็มที่ จะกลับกลายเป็นแสงสว่าง และสันติสำหรับเราและผู้อื่น เมื่อเราจะต้องเลือกทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องยาก ให้เราวางใจในพระองค์
คุณโอแอล จากประเทศกัวเตมาลา ได้เล่าประสบการณ์ของเธอว่า ฉันทำงานเป็นแม่ครัวในบ้านพักคนชรา วันหนึ่งขณะเดินอยู่ที่ระเบียง ฉันได้ยินเสียงของหญิงชราคนหนึ่งร้องขอน้ำดื่ม ดิฉันรู้ว่ามันผิดระเบียบ ถ้าดิฉันจะออกจากห้องครัวไป แต่ดิฉันได้นำน้ำแก้วหนึ่งไปให้หญิงชรานั้นด้วยความรัก หญิงชรามองดิฉันด้วยสายตาเป็นประกาย เมื่อเธอดื่มน้ำได้ครึ่งแก้ว เธอบีบมือดิฉัน พูดว่า “ช่วยอยู่ตรงนี้กับฉันสักสิบนาทีนะ” ดิฉันบอกเธอว่าไม่ได้หรอก มันผิดระเบียบ ดิฉันอาจถูกไล่ออก แต่เมื่อดิฉันเห็นสายตาวิงวอนของเธอดิฉันจึงยอมอยู่ที่นั่นต่อ เธอขอให้ดิฉันสวดบทภาวนากับเธอ บท “ข้าแต่พระบิดาของเรา…” ที่สุดเธอบอกอีกว่า “ช่วยร้องเพลงอะไรสักเพลงได้ใหม” ดิฉันนึกถึงเพลง “เราไม่นำอะไรไปกับเรา นอกจากความรัก...” หญิงชราคนอื่น ๆ จ้องมองมาที่เราทั้งสอง ขณะดิฉันร้องเพลงหญิงชรานั้นมีความสุขมาก พูดกับดิฉันว่า “ลูกเอ๋ย ขอพระอวยพรลูกนะ” จากนั้น เธอก็หยุดหายใจ อย่างไรก็ตาม ไม่นานหลังจากนั้น ดิฉันถูกให้ออกจากงาน ครอบครัวของดิฉันยังต้องการเงินช่วยเหลือจากดิฉัน แต่ดิฉันไม่กังวล และมีความสุขมาก เพราะดิฉันตอบรับกับพระเจ้า หญิงชรานั้นไม่ได้ผ่านช่วงวิกฤตอันสำคัญสุดของชีวิตเพียงลำพังคนเดียว
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต เดือนกันยายน 2021
“ถ้าผู้ใดอยากเป็นคนที่หนึ่ง ก็ให้ผู้นั้นทำตนเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของทุกคน” (มาระโก 9:35)
ในขณะที่พระเยซูเจ้า และศิษย์ของพระองค์กำลังเดินทางไปเมืองคาเปอร์นาอุม พวกศิษย์ได้ถกเถียงกันอย่างเอาจริงเอาจัง แต่เมื่อเดินทางไปถึงที่หมาย และพระเยซูเจ้าทรงถามพวกเขาว่า ถกเถียงอะไรกันตามทาง พวกเขาไม่กล้าตอบเพราะตามทางพวกเขาเถียงกันว่า ในพวกเขาใครเป็นใหญ่กว่าหมด
ก่อนหน้านั้น พระเยซูเจ้าได้ตรัสหลายครั้งแล้วว่าจะทรงรับทรมาน แต่เปโตรและสาวกอื่นๆไม่เข้าใจและรับไม่ได้ ที่จริงนั้น พวกเขาจะเข้าใจก็ต่อเมื่อพระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์และกลับคืนชีพแล้วว่า พระเยซูเจ้าทรงเป็นใคร คือทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า ที่ทรงมอบชีวิตให้แก่พวกเราเพราะความรัก
ดังนั้น เพื่อช่วยพวกเขาให้เป็นศิษย์ของพระองค์อย่างแท้จริง พระเยซูเจ้าจึงประทับนั่ง เรียกพวกเขาเข้ามาใกล้ ๆ และทรงบอกพวกเขาว่า การจะเป็นคนแรกตามแบบพระวรสารนั้น จะต้องทำอย่างไร
“ถ้าผู้ใดอยากเป็นคนที่หนึ่ง ก็ให้ผู้นั้นทำตนเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของทุกคน”
ถึงแม้บรรดาสาวกจะมีความอ่อนแอ ขลาดกลัว แต่พระเยซูเจ้าทรงไว้วางใจในพวกเขา ทรงเรียกพวกเขาให้มาติดตามพระองค์ มาร่วมภารกิจกับพระองค์คือ รับใช้ทุกคน หลายปีในภายหลัง นักบุญเปาโลได้กล่าวเตือนคริสตชนเมืองฟีลิปปีว่า “อย่ากระทำกิจการใดด้วยจิตใจที่แบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย หรือทำเพราะต้องการคำชมแต่จงเป็นคนสุภาพ และถือว่าผู้อื่นดีกว่าตน แต่ละคนจงแสวงหาประโยชน์มิใช่เพื่อตนฝ่ายเดียว แต่เพื่อประโยชน์ของผู้อื่นด้วย ในตัวเราจงมีจิตตารมณ์ขององค์พระเยซูคริสต์เจ้า” เรารับใช้มิใช่อย่างทาส หรือทำไปเพราะถูกบังคับ แต่เราทำด้วยจิตใจที่อิสระ ใช้พลังความสามารถของเรารับใช้ผู้อื่นด้วยใจกว้าง เราทำเช่นนั้นมิใช่เพื่อกลุ่มใดพวกใด แต่กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือไม่ยกเว้นใคร ไม่มีอคติต่อผู้ใด
ในปัจจุบัน เราได้รับเรียกให้มีจิตใจกว้าง รู้จักสังเกต และช่วยเหลือคนที่ขาดแคลน ในขณะเดียวกัน เราต้องเอาจริงเอาจังในการติดต่อสัมพันธ์กับผู้อื่น ในฐานะที่เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ให้ใช้พรสวรรค์ของเรา เพื่อความดีของส่วนรวม ด้วยการเริ่มต้นใหม่ในแต่ละวัน ถึงแม้เราจะเคยผิดพลาดมาก่อน เราได้รับเชิญให้วางตนเป็นคนสุดท้าย เพื่อที่จะผลักดันให้ทุกคนบรรลุถึงเป้าหมายประการเดียวนั่นคือ ความเป็นพี่เป็นน้องกัน
“ถ้าผู้ใดอยากเป็นคนที่หนึ่ง ก็ให้ผู้นั้นทำตนเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของทุกคน”
เมื่อครั้งที่ เคียร่า ลูบิค ได้อธิบายพระวาจาตอนนี้ ถึงการปฏิบัติให้เป็นรูปธรรมได้อย่างไร เธอบอกว่า เราจงเลือกตำแหน่งสุดท้ายกับพระเยซูเจ้าเสมอในทุกโอกาสของแต่ละวัน หากเราได้รับหน้าที่ใดที่มีเกียรติ ก็อย่าคิดว่าตัวเองกลายเป็น “คนสำคัญ” อย่าให้มีความหยิ่งจองหองเกิดขึ้น ต้องระลึกว่าสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ ความรักต่อพี่น้อง และจงใช้สถานะใหม่ เพื่อรับใช้คนอื่นให้มากขึ้น ไม่ลืมที่จะทำแม้สิ่งที่ดูเหมือนว่าเล็กน้อย หรือไม่สำคัญ เช่น ความสัมพันธ์เป็นส่วนตัว หน้าที่ที่ต่ำต้อยในชีวิตประจำวัน การช่วยเหลือบิดามารดา ฯลฯ ไม่ว่าอะไรก็ตาม จงระลึกเสมอว่าศาสนาคริสต์คือ ความรัก โดยเฉพาะรักคนที่ต่ำต้อยที่สุด หากเราทำได้อย่างนี้ก็เท่ากับว่า เราใช้ชีวิตของเรา เพื่อเสริมสร้างพระอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินนี้ เมื่อเราได้ออกแรงทำงานเช่นนี้ พระเยซูเจ้าทรงสัญญาจะประทานสิ่งอื่นๆ เป็นของแถม ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสุขภาพ ทรัพย์สิน เราจะมีทุกสิ่งทุกอย่างอย่างอุดม เพื่อแจกจ่ายให้กับผู้อื่น เราจะกลับกลายเป็นมือของพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้าสำหรับผู้คนมากมาย
“ถ้าผู้ใดอยากเป็นคนที่หนึ่ง ก็ให้ผู้นั้นทำตนเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของทุกคน”
การปกป้องโลกที่เป็นที่อยู่อาศัยของเรา ก็เป็นการบริการรับใช้เพื่อความดีส่วนรวม เป็นเรื่องที่ทันสมัยมาก พวกเราสามารถร่วมมือร่วมใจกับผู้คนมากมายในโลกของเรา และเรื่องนี้เป็นเรื่องที่พูดถึงมากในช่วงหลายปีที่ผ่านมาในหมู่คริสตชน ดิฉันจำได้ว่า มีวัดต่าง ๆ ได้จัดกิจกรรม “วันแห่งสิ่งสร้าง” ในเดือนกันยายน จนถึงวันที่ 4 ตุลาคม
กลุ่มเทเซ่ได้เสนอบทภาวนา เพื่อใช้สวดในช่วงวันระลึกถึงสิ่งสร้างว่า ดังนี้ “โอ้องค์พระเจ้าแห่งความรัก ในขณะที่พวกลูกมาชุมนุมกันต่อหน้าพระองค์ โปรดบันดาลให้ลูกทั้งหลายสรรพพร้อมในการยอมรับ ความงดงามอันสุดพรรณนาได้ สิ่งที่พระองค์ทรงสร้างสรรค์ขึ้น ทุกสิ่งมาจากพระองค์ มาจากพระเมตตาอันไม่สิ้นสุดของพระองค์ โปรดสอนพวกลูกให้เข้าใจคุณค่าของทุกสิ่ง และช่วยบันดาลให้ลูกทุกคน เป็นผู้นำสันติมาสู่ครอบครัวมนุษยชาติด้วยเถิด”
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต เดือนสิงหาคม 2021
“ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์” (มัทธิว 18:4)
ใครคือผู้ยิ่งใหญ่ มีอำนาจ เป็นผู้ชนะในสังคมของเรา ในพระศาสนจักร ในทางการเมือง หรือในทางเศรษฐกิจของเรา
คำถามนี้ ถามถึงลักษณะความเกี่ยวพันของเรากับผู้อื่น แนวทาง วิธีการปฏิบัติตนของเรา หลักการชีวิตที่เราใช้ เพื่อเราจะมั่นใจว่าการปฏิสัมพันธ์ของเรากับคนอื่นจะมีผลดี
พระวรสารของนักบุญมัทธิวตอนนี้ ทำให้เราเห็นว่า หลังจากที่บรรดาศิษย์ของพระเยซูเจ้าได้ฟังเรื่องพระอาณาจักรสวรรค์แล้ว ก็อยากจะรู้ว่า พวกเขาจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง เพื่อที่จะมีตำแหน่งสูงในหมู่ประชากรใหม่ของพระเจ้า จึงถามว่า “ใครจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่”
เพื่อจะตอบคำถามนั้น พระเยซูเจ้าทรงทำสิ่งที่พวกเขามิได้คาดคิดมาก่อน ทรงนำเด็กมายืนท่ามกลางพวกเขา และทรงกล่าวพระวาจาที่เข้าใจได้ยากว่า
“ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็ก ๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์”
ในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ทุกคนต้องการอิสระ ไม่ต้องการพึ่งใคร พระเยซูเจ้ากลับให้ตัวอย่างที่แสดงถึงความอ่อนแอ ไร้บทบาทไม่ภาคภูมิใจ เป็นบุคคลที่ต้องพึ่งพาผู้อื่น ต้องรับความช่วยเหลือจากคนอื่น
แต่ก็มิใช่การยอมรับบทบาทนั้นอย่างจำยอม ขาดความเป็นตัวของตัวเอง หรือความรับผิดชอบ แต่เป็นสิ่งที่ออกมาจากใจอิสระ พระเยซูเจ้าบอกให้เราถ่อมตนลง นั่นหมายถึงให้เราตัดสินใจ มุ่งมั่น ที่จะทำตนให้เป็นผู้ต่ำต้อย
“ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์”
เคียร่า ลูบิค ได้บรรยายลักษณะของเด็กแห่งพระวรสารไว้ดังนี้ เด็กจะมีความไว้วางใจในพ่อแม่ เชื่อในความรักของท่าน คริสตชนแท้ เชื่อมั่นในความรักของพระเจ้าเหมือนกับเด็ก วิ่งเข้าอ้อมกอดของพระบิดาเจ้าสวรรค์ วางใจในพระองค์อย่างเต็มที่ เด็กๆ ต้องพึ่งบิดามารดาในทุกสิ่ง เราซึ่งเป็นเด็กแห่งพระวรสาร ก็เช่นเดียวกัน ต้องพึ่งพระบิดาเจ้าในทุกสิ่ง รู้ดีว่าอะไรที่เราต้องการ พระองค์จะประทานให้เราก่อนที่เราจะวอนขอเสียอีก พระอาณาจักรของพระเจ้ามิใช่สิ่งที่เราจะต้องไขว่คว้าหาเอาเอง แต่เป็นสิ่งที่เราได้รับมา เป็นของประทานจากพระหัตถ์ของพระบิดาเจ้า
เคียร่า ยังพูดอีกว่า เด็กๆ มอบความวางใจในบิดาอย่างเต็มเปี่ยม และเรียนรู้จากบิดา เช่นเดียวกัน “บุตรแห่งพระวรสาร” มอบทุกสิ่งในพระเมตตาของพระเจ้า ลืมอดีตที่ผ่านไปแล้ว เริ่มชีวิตใหม่ในแต่ละวัน พร้อมที่จะฟังเสียงของพระจิตเจ้าเสมออย่างสร้างสรรค์ เด็กไม่อาจหัดพูดด้วยตัวเองได้ จะต้องมีคนสอนให้ว่าจะพูดอย่างไร ศิษย์ของพระเยซูเจ้าก็ต้องเรียนรู้จากพระวาจาของพระเจ้า จนกว่าจะสามารถพูด และเจริญชีวิตตามพระวรสาร
เด็กชอบเลียนแบบคุณพ่อของตน ดังนั้น “บุตรแห่งพระวรสาร” ก็เช่นเดียวกัน พวกเขาก็รักทุกคนเพราะว่าพระบิดาเจ้าสวรรค์ “ทรงโปรดให้ดวงอาทิตย์ของพระองค์ขึ้นเหนือคนดี และคนไม่ดีอย่างเท่าเทียมกันทรงโปรดให้ฝนตกลงมาเหนือคนชอบธรรม และคนอธรรมไม่แตกต่างกัน” บุตรแห่งพระวรสารจะรักคนอื่นก่อน เพราะพระบิดาเจ้าทรงรักเราก่อน แม้ในขณะที่เรายังเป็นคนบาป เรารักโดยไม่คาดหวังสิ่งใด เช่นเดียวกับพระบิดาเจ้าสวรรค์ของเรา
“ผู้ใดที่ถ่อมตนลงเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ คนนี้ ผู้นั้นจะยิ่งใหญ่ที่สุดในอาณาจักรสวรรค์”
ในประเทศโคลัมเบีย วินเซน และครอบครัวประสบปัญหามากมายในช่วงโรคระบาดโควิดนี้ โดยเฉพาะในช่วงกักกันตัว เขาได้เขียนว่า พอเริ่มเคอร์ฟิวไม่ออกไปไหน ชีวิตประจำวันของเราต้องปรับเปลี่ยนโดยสิ้นเชิง ภรรยาและลูกคนโต 2 คน ต้องเตรียมสอบระดับมหาวิทยาลัย ลูกคนเล็กไม่คุ้นเคยกับการเรียนด้วยตัวเอง เราต่างคนต่างไม่มีเวลาช่วยเหลือใครได้ เมื่อผมมองสถานการณ์เช่นนี้ ผมบอกตัวเองว่า นี่เป็นโอกาสดีที่จะนำ “ศิลปะแห่งความรัก” จากพระวรสารมาปฏิบัติ ผมเริ่มด้วยการจัดห้องครัวให้เป็นระเบียบ จัดเตรียมอาหารในแต่ละมื้อในรูปแบบใหม่ แม้ผมจะทำอาหารไม่เก่ง ทั้งไม่ชำนาญในเรื่องทำความสะอาด ผมเพียงพยายามทำในสิ่งที่ทำได้เพื่อลดภาระของแต่ละวัน เชื่อไหม กิจการแห่งความรักที่ผมได้ทำแค่วันเดียว ได้ยืดยาวไปเป็นเวลาหลายเดือนได้ช่วยให้แต่ละคนทำงานของตนจนสำเร็จ พวกเขาได้มาช่วยทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า
พวกเราได้เรียนรู้ว่า พระวาจาจากพระวรสารเป็นความจริง ความรักที่เรานำมาปฏิบัติ จะช่วยให้เราทำทุกสิ่งทุกอย่าง อย่างเป็นระเบียบ
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต เดือนกรกฎาคม 2021
“จงกล้าหาญเถิดลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดแล้ว” (มัทธิว 9:22)
ขณะที่พระเยซูเจ้าทรงดำเนินไปตามทาง ผู้คนมากมายติดตามพระองค์ ชายคนหนึ่งที่สิ้นหวังได้เข้ามาวิงวอน ขอให้พระองค์เสด็จไปช่วยรักษาบุตรสาวของเขาที่กำลังจะตาย และขณะที่พระองค์กำลังเสด็จไปก็เกิดอีกเหตุการณ์หนึ่ง หญิงคนหนึ่งที่ต้องทุกข์ทรมานเพราะโรคตกโลหิต เป็นโรคนี้มาหลายปี เธอลำบากมาก เธอไม่อาจอยู่ร่วมกับคนในครอบครัวและในสังคมอย่างปกติได้ หญิงนั้นมิได้ร้องขอหรืออ้อนวอนพระเยซูเจ้า เธอมิได้ปริปาก แต่เธอเข้ามาทางด้านหลังของพระองค์ และแตะชายพระภูษาของพระเยซูเจ้า เธอคิดว่า "ถ้าฉันได้แตะเสื้อของพระองค์ ฉันก็จะหายจากโรคที่ทรมานนี้''
พระเยซูทรงผินพระพักตร์มามองเธอและกล่าวกับเธอว่า “ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้ได้รับความรอด” เธอไม่เพียงแค่หายเป็นปกติ แต่เธอได้พบกับความรักของพระเจ้าที่มาถึงเธอ ด้วยสายพระเนตรของพระเยซูเจ้า
“จงกล้าหาญเถิดลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดแล้ว”
เหตุการณ์ในพระวรสารของนักบุญมัทธิวนี้ ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งหนึ่งที่สำคัญ พระเจ้าทรงแสวงหาเราตลอดเวลา แต่พระองค์ก็คาดหวังว่าเราจะเป็นฝ่ายริเริ่มบ้าง เพื่อเราจะได้พบกับพระองค์บนหนทางแห่งความเชื่อของเรา ซึ่งอาจมีการพลาดพลั้ง ทำผิด ออกนอกลู่นอกทาง แต่ทุกอย่างมีคุณค่า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งชีวิตอย่างแท้จริง และปรารถนาที่จะถ่ายทอดชีวิตนั้นมาสู่เรา ซึ่งเป็นบุตรของพระองค์ เรามีศักดิ์ศรีสูงส่งในสายพระเนตรของพระองค์ ไม่มีสิ่งใดจะบดบังได้ ดังนั้น พระเยซูเจ้าในวันนี้ทรงกล่าวกับเราว่า
“จงกล้าหาญเถิดลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดแล้ว”
เพื่อจะเจริญชีวิตตามพระวาจานี้ สิ่งที่ เคียร่า ลูบิค ได้เขียนไว้เมื่อครั้งที่เธอได้รำพึงข้อความพระวรสารตอนนี้ อาจช่วยเราได้ เธอเขียนไว้ว่า “ เมื่อเรามนุษย์มีความเชื่อ ก็หมายความว่า เราไม่ไว้วางใจในตนเอง แต่เราไว้วางใจในพระเจ้าผู้ทรงเข้มแข็งกว่าเรา” พระเยซูเจ้าตรัสเรียกหญิงที่หายจากโรคว่า “ลูกเอ๋ย” เพื่อทำให้เธอเห็นว่า พระองค์อยากจะให้อะไรกับเธอ พระองค์มิได้ให้พระพร แห่งการรักษาทางฝ่ายกายเท่านั้น แต่ทรงให้ชีวิตที่จะช่วยให้เธอเป็นคนใหม่อย่างแท้จริง เพราะแท้จริงแล้ว พระเยซูเจ้าทรงทำอัศจรรย์ เพราะบุคคลนั้นพร้อมที่จะรับความรอดพ้นที่พระองค์ทรงนำมาให้คือ การให้อภัย อันเป็นพระพรของพระบิดาเจ้า เมื่อมนุษย์ยอมรับจะก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
เราจะเจริญชีวิตตามพระวาจานี้ได้อย่างไร ในความขาดตกบกพร่องของเรา จงวางใจในพระเจ้า แต่แน่นอน มิได้หมายความว่า เรามิต้องรับผิดชอบใดๆ ไม่ต้องทำสิ่งใดในสิ่งที่เราจะต้องทำ แต่เพราะว่าความเชื่อของเราอาจต้องรับการทดสอบ ดังที่เราเห็นได้ในกรณีของหญิงหม้ายคนนี้ เธอได้เอาชนะอุปสรรค เพราะมีผู้คนมามากมายขวางอยู่ระหว่างเธอกับพระเยซูเจ้า ดังนั้น เราก็เช่นกัน เราต้องรักษาความเชื่อไว้ และต้องไม่สงสัยหรือลังเลเลยเมื่อจะถูกทดสอบ และยิ่งกว่านั้น เราต้องแสดงให้พระเยซูเจ้าเห็นว่า เราเข้าใจถึงพระพรยิ่งใหญ่ที่พระองค์ทรงนำมาให้เราคือ ชีวิตพระ และแสดงความกตัญญูรู้คุณต่อพระองค์ ด้วยการปฏิบัติตนให้สอดคล้องกับพระพรนั้น
“จงกล้าหาญเถิดลูกเอ๋ย ความเชื่อของเจ้าช่วยเจ้าให้รอดแล้ว”
ความมั่นใจนี้จะช่วยนำความรอดพ้นไปสู่ผู้อื่น ด้วยการสัมผัสอย่างนุ่มนวลกับผู้มีความทุกข์ ขาดแคลน ผู้อยู่ในความมืด หรือความผิดหลง
สิ่งนี้ได้เกิดขึ้นกับมารดาชาวเวเนซุเอลาคนหนึ่ง เธอมีความกล้าในการให้อภัย ในตอนนั้นดิฉันมองหาความช่วยเหลือจากทุกแห่ง จนดิฉันได้เข้าร่วมในกลุ่มพระวาจาทรงชีวิต ดิฉันได้ฟังคำอธิบายเกี่ยวกับพระวาจาของพระเยซูเจ้าหลายตอน เช่น บุญของผู้ที่ทำงานเพื่อสันติ เขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า “จงรักศัตรูของเจ้า” ฉันจะทำอย่างไร จะให้ดิฉันยกโทษให้กับคนที่ฆ่าลูกชายของดิฉันรึ แต่เชื่อไหม เมล็ดพระวาจาได้เข้าสู่จิตใจของดิฉัน และทำให้ดิฉันตัดสินใจที่จะให้อภัย ขณะนี้ดิฉันสามารถพูดได้ว่า ดิฉันเป็น “ลูกของพระ” เพราะไม่นานมานี้ ดิฉันได้รับเรียกให้ไปเผชิญหน้ากับฆาตกรที่ฆ่าลูกของดิฉันที่ถูกจับมา ซึ่งเป็น
สิ่งที่ไม่ง่ายเลย แต่พระหรรษทานของพระได้ช่วยดิฉัน ในหัวใจของดิฉันไม่มีความเกลียดชัง ความเจ็บใจหลงเหลืออยู่เลย ดิฉันได้แต่สงสารเขา และดิฉันมอบทุกสิ่งไว้ในพระเมตตาขององค์พระเจ้า
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต
มิถุนายน 2021
“มิใช่ผู้ที่พูดว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า จะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ของเราต่างหาก” (มธ 7:21)
พระวาจาจากพระวรสารนักบุญมัทธิวตอนนี้ เป็นบทสรุปของคำสั่งสอนบนภูเขาของพระเยซูเจ้า ซึ่งหลังจากทรงประกาศเรื่องบุญลาภ พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนให้ผู้ฟังรับรู้ว่า พระเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้ชิดกับพวกเขาด้วยความรัก และทรงบอกด้วยว่า เราควรจะต้องปฏิบัติตนอย่างไร ทรงชี้แนะว่า การทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้าเป็นหนทางที่ตรงที่สุด เพื่อจะบรรลุถึงความสนิทสัมพันธ์กับพระองค์ในพระอาณาจักรสวรรค์
“มิใช่ผู้ที่พูดว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า จะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ของเราต่างหาก”
พระประสงค์ของพระเจ้า คืออะไร เขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพระประสงค์ของพระองค์
เคียร่า ลูบิค ได้แบ่งปันความคิดเห็นของเธอไว้ดังนี้ว่า พระประสงค์ของพระคือ เสียงของพระที่เชิญชวนเรา และพูดกับเราตลอดเวลา เป็นเสมือนสายป่าน หรือพูดให้ถูก เป็นเสมือนสายใยสีทอง ซึ่งถักทอทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จะเกิดขึ้นในชีวิตของเราบนโลกนี้และโลกหน้า เป็นวิธีการที่พระเจ้าทรงเผยแสดงความรักของพระองค์ต่อเรา ความรักนี้เรียกร้องให้เราสนองตอบด้วย เพื่อว่าสิ่งมหัศจรรย์จะได้เกิดขึ้นในชีวิตของเรา พระประสงค์ของพระเป็นเจ้าคือ เป้าหมาย เป็นตัวตนของชีวิตของเรา เป็นความบริบูรณ์พร้อมของเรา
ดังนั้น เพื่อที่จะดำรงอยู่ในพระประสงค์ของพระเจ้าตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นยามสุข ยามทุกข์ หรืออะไรก็ตาม จงกล่าวว่า “ขอให้เป็นไป” เราจะพบว่าเพียงคำพูดธรรมดาๆ นี้ เราจะมีพลังมหาศาล เป็นแรงกระตุ้นที่ช่วยให้เราต้องทำในสิ่งที่ควรทำ ด้วยความรักให้สำเร็จไปอย่างดีและเต็มใจ เช่นนี้ ในแต่ละขณะเราจะทำสิ่งมหัศจรรย์ เป็นคล้ายหินโมเสกที่สวยงามไม่มีสิ่งใดเทียบเท่าในชีวิตของเรา ซึ่งองค์พระเจ้าได้ทรงจัดเตรียมไว้ให้กับชีวิตของเรา องค์พระเจ้า ผู้ทรงกระทำแต่สิ่งที่ดีงาม ยิ่งใหญ่ น่าอัศจรรย์ และแม้ในสิ่งเล็กๆน้อยๆ ก็ทรงสร้างอย่างละเอียดลออและยอดเยี่ยม เช่น มวลดอกไม้เล็กๆ หลากสี ต่างก็มีส่วนเพิ่มพูนความงดงามในธรรมชาติ
“มิใช่ผู้ที่พูดว่า พระเจ้าข้า พระเจ้าข้า จะได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ แต่ผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเรา ผู้สถิตในสวรรค์ของเราต่างหาก”
ในพระวรสารนักบุญมัทธิว บัญญัติสูงสุดของคริสตชนคือ ความเมตตา อันจะทำให้พิธีกรรม และความรักที่เราแสดงออกต่อพระเจ้ามีความครบครัน
พระวาจานี้ช่วยเราแต่ละคนให้มีความสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า แล้วให้มีความสัมพันธ์กับผู้อื่นด้วย โดยการปฏิบัติเป็นรูปธรรม ที่จะช่วยให้เรา “ออก” จากตนเอง นำการคืนดีและความหวังไปสู่ผู้อื่น
เยาวชนกลุ่มหนึ่ง ที่เมืองไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมัน ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไร เพื่อให้เพื่อนๆคนอื่นได้รู้ว่า เราจะมีความสุขได้ ก็ต่อเมื่อเราได้อุทิศตนเองเพื่อผู้อื่น ดังนั้น พวกเราคิดโครงการขึ้นมาโครงการหนึ่ง ให้ชื่อว่า “ชั่วโมงแห่งความสุข” วิธีการง่ายมากคือ ใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วโมงต่อเดือน ในการทำให้คนอื่นมีความสุข พวกเราเริ่มด้วยการมองหาคนที่ต้องการความรักมากกว่าใครๆก่อน พวกเราแนะนำตัวเอง และบอกว่าพวกเราพร้อมจะช่วยเหลือ ซึ่งพวกเราได้รับการตอบรับอย่างดีมาก เช่น เราช่วยเข็นรถเข็นนำผู้สูงอายุไปในสวนสาธารณะ เล่นกับเด็กๆที่พักฟื้นในโรงพยาบาล เล่นกีฬากับผู้ดูแลคนพิการ พวกเรามีความสุขอย่างมากที่ได้ทำสิ่งเหล่านี้ และเราพบว่าเป็นพวกเขาต่างหากที่มีความสุขยิ่งกว่า และกับคนที่พวกเราเชิญชวนให้มาร่วมโครงการนี้ “ใช่” ตอนแรกพวกเขาไม่สนใจหรอก แต่เมื่อเห็นว่าเราได้รับความสุขอย่างแท้จริง ก็เริ่มเห็นพ้องกับพวกเราว่า เมื่อเราให้ความสุขกับผู้อื่น ความสุขนั้นก็จะสะท้อนกลับมาที่เราด้วย
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต พฤษภาคม 2021
“พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ใดดำรงอยู่ในความรัก ย่อมดำรงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเขา” (1 ยอห์น 4:16)
“พระเจ้าเป็นองค์ความรัก” เป็นคำจำกัดความที่ชัดเจนยิ่งในพระคัมภีร์ คำนี้ปรากฏเพียง 2 ครั้ง ในบทจดหมาย หรือคำตักเตือน ซึ่งผู้แต่งพระวรสารได้กล่าวขึ้น ผู้เขียนบทความนี้ ตามที่เราเชื่อกัน เป็นศิษย์ของนักบุญยอห์นอัครสาวก ท่านเขียนจดหมายนี้ถึงกลุ่มคริสตชนในสมัยแรก ที่กำลังประสบความทุกข์ยากอันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจกัน ความแตกแยกทั้งในด้านความเชื่อ และด้านความประพฤติ
พระเจ้าเป็นองค์ความรัก พระองค์ทรงชีวิตในพระองค์เอง มีความสนิทสัมพันธ์แนบแน่นต่อกันและกันในฐานะที่เป็นพระตรีเอกภาพ ความรักอันบริบูรณ์นี้ได้เผยแพร่ให้กับสิ่งที่พระองค์ทรงสร้างด้วย และใครที่ยอมรับความรักนี้ พระองค์ก็ทรงบันดาลให้กลับกลายเป็นบุตรของพระองค์ มีดีเอ็นเอ (DNA) แบบเดียวกันกับพระองค์ คือ มีความสามารถที่จะรัก ความรักของพระองค์เป็นความรักที่ให้เปล่า ช่วยเราให้เป็นอิสระจากความหวาดกลัว
เพื่อที่จะทำให้พระสัญญาในเรื่องความรักกันและกันคือ เราดำรงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าทรงดำรงอยู่ในเราเป็นจริงได้ เราจำเป็นต้อง “ดำรงอยู่” ในความรักแบบเดียวกันนี้ กระตือรือร้น มีพลัง และสร้างสรรค์ เพราะเหตุนี้ ศิษย์ของพระคริสต์มีหน้าที่ต้องรักกันและกัน ยอมมอบชีวิตให้กันและกันได้ แบ่งปันข้าวของกับคนที่ขาดแคลนได้ ความรักเช่นนี้จะช่วยให้ชุมชนคริสตชนเป็นปึกแผ่น ซื่อสัตย์ และเป็นแบบอย่างที่ดี
“พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ใดดำรงอยู่ในความรัก ย่อมดำรงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเขา”
นี่เป็นพระวาจาที่ชัดเจน จริงจังสำหรับพวกเราในปัจจุบันนี้ด้วย เพราะบ่อยครั้งเราต้องประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ ไม่คาดคิด ไม่อาจควบคุมได้ ดั่งเช่นโรคระบาด เหตุการณ์น่าเศร้าของเราเองหรือของผู้อื่น เราอาจตกใจ มึนงง มองไม่เห็นทางออก เราคิดอยากจะปิดตัวเองไม่อยากติดต่อกับใคร คล้ายกับสร้างกำแพงปิดล้อมตนเอง เพื่อป้องกันการคุกคามจากผู้อื่น แทนที่จะสร้างสายสัมพันธ์เพื่อติดต่อกับผู้อื่น
ในสภาพที่เลวร้ายเช่นนั้น เรายังจะเชื่อในความรักของพระเจ้าได้หรือ เราจะยังคงรักต่อไปได้อย่างไร
โจซี เป็นชาวเลบานอน เธออาศัยอยู่ต่างประเทศ เมื่อเธอได้ข่าวเกี่ยวกับการระเบิดอันรุนแรงที่ท่าเรือเบรุตในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2020 เธอได้แบ่งปันความรู้สึกของเธอกับกลุ่มที่เจริญชีวิตพระวาจาเช่นเดียวกับเธอว่า “หัวใจดิฉันปวดร้าว โกรธ เจ็บใจ เศร้า ไม่รู้จะทำอย่างไร มีคำถามหนักอึ้งในใจว่า ความทุกข์ระทมที่ประเทศเลบานอนต้องรับมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไม่พออีกหรือ ดิฉันคิดไปถึงเขตนั้นทั้งเขตที่ถูกระเบิดราบเป็นหน้ากลอง ดิฉันเกิดและเติบโตที่นั่น แต่บัดนี้ดิฉันสูญเสียญาติมิตร เพื่อนฝูง บ้างบาดเจ็บ บ้างก็ต้องอพยพโยกย้ายออกไป ตึก โรงเรียน โรงพยาบาล ที่ดิฉันรู้จักดีถูกทำลายไม่เหลือซาก
ดิฉันพยายามอยู่ใกล้ชิดกับคุณแม่และน้องๆ และตอบข่าวสารมากมายที่ส่งมาถึงดิฉัน ที่แสดงถึงความรัก ความเห็นใจ หรือสวดภาวนาให้ ดิฉันรับฟังพวกเขาทั้งๆ ที่ดิฉันยังเจ็บปวดจากบาดแผลที่ยังไม่หาย ดิฉันอยากเชื่อ และที่จริงดิฉันเชื่อว่าการรู้จักบุคคลที่กำลังทนทุกข์นี้ เป็นการเรียกร้องจากพระเจ้าให้ดิฉันสนองตอบด้วยความรักที่พระเจ้ามอบไว้ในจิตใจของเรา ถึงแม้ใบหน้าจะเปียกโชกด้วยน้ำตา แต่ดิฉันยังมองเห็นแสงสว่างในชาวเลบานอนมากมาย โดยเฉพาะเยาวชน ซึ่งลุกขึ้น มองซ้ายมองขวา และให้การช่วยเหลือกับคนที่ขาดแคลน ดิฉันเองรู้สึกมีความหวังเมื่อเห็นคนรุ่นใหม่เข้าสู่การเมืองอย่างจริงจัง พวกเขามั่นใจว่าทางแก้ปัญหาอยู่ที่การเจรจา ความปรองดอง การเปิดใจ เพราะเราทุกคนเป็นพี่น้องกัน”
“พระเจ้าทรงเป็นความรัก ผู้ใดดำรงอยู่ในความรัก ย่อมดำรงอยู่ในพระเจ้า และพระเจ้าย่อมทรงดำรงอยู่ในเขา”
เคียร่า ลูบิค ได้ให้คำแนะนำอันมีคุณค่ามากว่า เราควรนำพระวาจาตอนนี้มาเป็นหลักในการดำเนินชีวิตอย่างไร เธอบอกว่า “เราไม่อาจแยกกางเขนออกจากเกียรติมงคล และไม่อาจแยกผู้ถูกตรึงกางเขนออกจากผู้กลับคืนชีพ ทั้งสองส่วนนี้เป็นรหัสธรรมของพระเจ้าผู้เป็นองค์ความรัก เมื่อเรามอบเป็นเครื่องบูชาแด่พระองค์แล้ว เราก็พยายามที่จะไม่คิดถึงมันอีก แต่มุ่งทำสิ่งที่พระเจ้ามอบหมายให้เราทำให้สำเร็จ ในที่ที่เราอยู่ พยายามรักกันและกัน รักคนรอบข้าง หากเราทำได้ เราจะได้เห็นผลลัพธ์ที่เราไม่ได้คิดหรือคาดหวัง ใจของเราจะเปี่ยมด้วยสันติสุข เปี่ยมด้วยความรัก ความยินดี แสงสว่าง และเมื่อเรามีประสบการณ์เช่นนี้มากขึ้น เราก็จะช่วยผู้อื่นให้มีสันติสุข แม้ในยามทุกข์ให้มีความสงบสุขในท่ามกลางความปั่นป่วน เช่นนี้เราจะเป็นเครื่องมือนำความยินดีไปสู่ผู้คนมากมาย พาพวกเขาให้ได้พบความสุขอันแท้จริง อันเป็นยอดปรารถนาของมนุษย์ทุกคน
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิตเดือนเมษายน 2021
“เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน” (ยอห์น 10:11)
รูปแบบวิถีชีวิตในพระคัมภีร์ อันเป็นวิถีชีวิตของคนเลี้ยงสัตว์ คนเร่ร่อน สบายๆ ไม่เร่งรีบ มันช่างแตกต่างจากวิถีชีวิตประจำวันของเราในปัจจุบัน ที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพ การแข่งขัน กระนั้นก็ตาม บางครั้งเรารู้สึกได้ถึงความจำเป็นที่จะต้องมีเวลาหยุด มีเวลาที่จะได้พักผ่อน หรือรู้สึกว่าเราต้องการใครสักคนที่ยินดีต้อนรับเรา
องค์พระเยซูเจ้าทรงเป็นมากกว่าใครสักคนที่พร้อมจะต้อนรับเรา ทรงพร้อมที่จะให้เราได้พักผ่อนพร้อมที่จะมอบชีวิตเพื่อเราแต่ละคน
ในพระวรสารของนักบุญยอห์น ในส่วนที่เรานำพระวาจาตอนนี้มา พระเยซูเจ้าทรงยืนยันกับเราว่าทรงประทับอยู่กับเราแต่ละคน ดังที่ทรงสัญญาไว้กับชาวอิสราเอลโดยทางประกาศก
พระเยซูเจ้าทรงเป็นนายชุมพาบาล เป็นผู้นำที่รู้จักแกะ และรักแกะของตน ซึ่งก็คือประชากรที่เหนื่อยล้า และบางครั้งก็หลงทาง พระองค์มิใช่คนแปลกหน้าที่ไม่ใส่ใจฝูงแกะ ทรงไม่ใช่โจรที่มาขโมย หรือ คนหลอกลวงที่มาเพื่อฆ่า ทำให้ฝูงแกะกระจัดกระจาย ทั้งไม่ใช่คนใช้ที่ทำงานเพียงเพื่อจะได้ค่าจ้าง
“เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน”
แน่นอน ฝูงแกะที่พระเยซูเจ้าทรงหมายถึงคือ บรรดาศิษย์ของพระองค์ทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาป และไม่ใช่แค่นั้น พระเยซูเจ้าทรงรู้จักมนุษย์ทุกคน ทรงจำชื่อแต่ละคนได้ และทรงใส่พระทัยดูแลแต่ละคนด้วยความรัก
พระองค์ทรงเป็นนายชุมพาบาลแท้จริง ทรงนำเราสู่ชีวิต และมิใช่แค่นั้น ทรงแสวงหาเราทุกครั้งที่เราเดินหลงทาง ทรงมอบชีวิตเพื่อเรา เป็นการปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดา ซึ่งเป็นการทำให้เราแต่ละคนมีความสนิทสัมพันธ์กับพระองค์อย่างสมบูรณ์ และทำให้เรากลับมาเป็นพี่เป็นน้องกันอีกครั้ง หลังจากที่เราสูญเสียสิ่งนี้ไปเพราะบาปของเรา
เราแต่ละคนสามารถจดจำเสียงของพระเจ้าได้ รับรู้ได้ว่าพระวาจานั้นกล่าวกับตน และติดตามเสียงนั้นด้วยความไว้วางใจ เหนือสิ่งอื่นใด เรามั่นใจได้ว่า เราได้รับความรัก ความเข้าใจ การให้อภัยอันไม่มีขีดจำกัดจากพระองค์ผู้ทรงให้ความมั่นใจกับเราว่า
“เราเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ผู้เลี้ยงแกะย่อมสละชีวิตเพื่อแกะของตน”
หากเรามีประสบการณ์ว่าพระเจ้าทรงประทับอยู่กับเรา ถึงแม้จะเป็นเพียงชั่วครู่ สงบเงียบ แต่ทรงอานุภาพ จิตใจของเราจะกระตือรือร้น เราอยากแบ่งปัน อยากใส่ใจผู้อื่นให้มากขึ้น เราจะยินดีต้อนรับผู้อื่นด้วยการเลียนแบบพระเยซูเจ้า เราจะพยายามรู้จักผู้อื่นให้มากขึ้น ไม่ว่าเขาจะเป็นบุคคลในครอบครัว เพื่อนร่วมงาน หรือคนบ้านใกล้เรือนเคียง เพื่อร่วมทุกข์ร่วมสุขกับทุกคนที่อยู่กับเรา
แน่นอน เราสามารถใช้จินตนาการของตนอันเนื่องมาจากความรัก ในการที่ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เพื่อช่วยเสริมสร้างชุมชนที่เปิดกว้าง รักกันฉันพี่น้อง พร้อมที่จะอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ที่อยู่รอบข้าง ด้วยความอดทนและเข้มแข็ง
เมื่อครั้งที่เคียร่า ลูบิค ได้อ่านและนำพระวาจาตอนนี้มารำพึง เธอได้เขียนไว้ว่าพระเยซูเจ้าตรัสอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับพระองค์เองว่า “ไม่มีใครมีความรักยิ่งใหญ่กว่า การสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหาย” (ยอห์น 15:13) และพระองค์เองได้ปฏิบัติเช่นนั้น ดังที่ทรงกล่าวไว้ ความรักของพระองค์เป็นความรักแบบบูชายัญคือ เป็นความรักที่พร้อมจะมอบให้ มอบให้ได้แม้กระทั่งชีวิต พระเป็นเจ้าทรงปรารถนาที่จะได้เห็นความรักในระดับนี้จากพวกเราด้วย อย่างน้อยก็จากการตัดสินใจ และความตั้งใจของเรา ความรักในลักษณะนี้เท่านั้น ที่เราเรียกได้ว่าเป็นความรักแบบคริสตชน มิใช่เป็นความรักแบบใดก็ได้ หรือผิวเผิน แต่ต้องเป็นความรักอันยิ่งใหญ่ที่ยอมทุ่มเททั้งชีวิต เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตคริสตชนของเรา จะเป็นชีวิตที่มีคุณภาพยิ่งวันยิ่งมากขึ้น และเราจะเห็นผู้คนมากมายทั้งชายหญิงจากทั่วทุกมุมโลก เข้ามาห้อมล้อมองค์พระเยซูเจ้า เพราะพวกเขาติดใจในพระสุรเสียงของพระองค์
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิตเดือนมีนาคม 2021
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้ารู้จักทางของพระองค์ โปรดทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่ข้าพเจ้า” (สดุดี 25:4)
บทสดุดีนี้กล่าวถึงชายผู้หนึ่งที่รู้สึกถึงการถูกคุกคามและตกอยู่ในอันตราย จึงต้องการหาหนทางที่ถูกต้องไปสู่ความปลอดภัย แล้วเขาจะร้องขอความช่วยเหลือจากใคร
ด้วยตระหนักถึงความเปราะบางของตนเอง ที่สุดเขาจึงเงยหน้าร้องหาพระเจ้าของชาวอิสราเอล พระเจ้าผู้มิเคยทรงทอดทิ้งประชากรของพระองค์เลย แต่ทรงนำทางพวกเขาไปในการเดินทางอันยาวไกล ผ่านทะเลทรายไปสู่ดินแดนพันแห่งธสัญญา
ประสบการณ์ “การก้าวเดินไปกับพระเจ้า” เติมเต็มให้กับนักเดินทางไกลด้วยความรู้สึกสัมผัสได้ถึงความหวังอีกครั้งหนึ่ง นับว่าเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสุดของความใกล้ชิดใหม่กับพระเจ้า ด้วยการมอบความไว้วางใจไว้กับความรักที่สัตย์ซื่อของพระองค์ ถึงแม้ว่าตนเองจะไม่สัตย์ซื่อก็ตาม
ในภาษาของพระคัมภีร์ การเดินทางไปกับพระเจ้านั้นเป็นบทเรียนในชีวิต เป็นเวลาของการเรียนรู้ที่จะระลึกได้ถึงแผนการณ์แห่งการกอบกู้ของพระองค์
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้ารู้จักทางของพระองค์ โปรดทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่ข้าพเจ้า”
บ่อยครั้ง ในการดำเนินชีวิตของเรา เราคาดเอาว่าเราสามารถพึ่งพาตนเองได้ แต่แล้วก็ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิด เราสับสน ตระหนักใจ และพบว่าตนเองมีขีดจำกัดและมีข้อบกพร่อง เราต้องการที่จะได้เข็มทิศของชีวิตกลับคืนมา เพื่อชี้ทางที่ถูกต้องในการก้าวเดินไปจนถึงจุดหมายปลายทาง
บทสดุดีนี้ช่วยเราได้เป็นอย่างมาก เพราะกระตุ้นให้เราให้มีประสบการใหม่ หรือรื้อฟื้นการพบเป็นการส่วนตัวแบบใหม่กับพระเจ้าและนำเราสู่ความไว้วางใจในมิตรภาพของพระองค์
บทสดุดีนี้ช่วยให้เรากล้าที่จะน้อมรับข้อคำสอนของพระองค์ ที่เชิญชวนให้เราหลีกเลี่ยงการปิดตัวเองของเราอย่างสิ้นเชิง แล้วติดตามพระองค์ ไปในหนทางแห่งความรักที่พระองค์ทรงก้าวเดินเป็นอันดับแรก เพื่อที่จะมาพบกับเรา
บทสดุดีนี้ยังเป็นคำภาวนาที่อยู่เคียงข้างเราตลอดทั้งวัน และในทุกๆขณะไม่ว่าจะเป็นความชื่นชมยินดีหรือความทุกข์ลำบาก ก็จะทำให้เป็นช่วงเวลาของการเดินทางของเรา
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า โปรดให้ข้าพเจ้ารู้จักทางของพระองค์ โปรดทรงสอนมรรคาของพระองค์แก่ข้าพเจ้า”
ประสบการณ์จากประเทศสวิสเซอร์แลนด์ เฮดี้ แต่งงาน และมีบุตร 4 คน เธอพยายามเจริญชีวิตตามพระวาจาทรงชีวิตมาเป็นเวลานาน เธอป่วยหนักและทราบดีว่าเธอกำลังก้าวไปสู่เป้าหมายของการสิ้นสุดการเดินทางของเธอบนโลกนี้
เคที่ เพื่อนสนิทของเธอเล่าว่า “ทุกๆครั้งที่มีคนมาเยี่ยม รวมถึงพยาบาลที่ดูแลเธอด้วย เฮดี้จะมองดูความต้องการของผู้อื่นเสมอ เธอให้ความสนใจผู้อื่นตลอดเวลา แม้ว่าช่วงเวลานี้จะเป็นการยากมากสำหรับเธอที่จะต้องพูดกับทุกคน แต่เธอก็ขอบคุณทุกคนที่มาเยี่ยมและแบ่งปันประสบการณ์ของเธอให้ฟัง เธอเป็นความรักเพียงอย่างเดียวเท่านั้น การตอบรับกับน้ำพระทัยพระของเธอนั้นเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ชีวิตของเธอสะดุดตา สะดุดใจเพื่อนๆ ญาติพี่น้อง พระสงฆ์ ทุกคนประทับใจที่เธอให้ความสนใจต่อผู้ที่มาเยี่ยม ด้วยความเข้มแข็งของเธอนี้ก่อให้เกิดผลของความเชื่อในความรักของพระเจ้า”
เคียร่า ลูบิค ผู้ก่อตั้งคณะโฟโคลาเร พูดถึงชีวิตที่เป็น “การเดินทางศักดิ์สิทธิ์” “การเดินทางศักดิ์สิทธิ์” คือสัญลักษณ์ของเส้นทางที่เราเดินทางไปหาพระเจ้า... ทำไมเราไม่ทำให้ชีวิตเดียวที่เรามี เป็นการเดินทาง เป็นการเดินทางอันศักดิ์สิทธิ์ เพราะผู้ศักดิ์สิทธิ์คือ พระผู้ทรงรอคอยเราอยู่... แม้แต่ผู้ที่มิได้มีความเชื่อทางศาสนาก็สามารถทำให้ชีวิตของเขาเป็นผลงานชิ้นเอกได้ และด้วยความซื่อสัตย์สุจริต จึงดำเนินการเดินทางด้วยความมุ่งมั่นทางศีลธรรมอย่างจริงจัง.... ถ้าชีวิตคือ “การเดินทางอันศักดิ์สิทธิ์” ที่เดินไปตามเส้นทางแห่งพระประสงค์ของพระเจ้า การก้าวเดินของเราเรียกร้องให้เราก้าวหน้าต่อไปในทุกๆวัน.. แต่เมื่อเราหยุด... ควรหรือที่เราจะละทิ้งความพยายามของเราไป ท้อใจกับความผิดพลาดของเรา เปล่าเลย เพราะในช่วงเวลาแบบนี้ มีคำสำคัญมากคำหนึ่ง นั่นคือ “เริ่มต้นใหม่อีกครั้ง” ด้วยการมอบความไว้วางใจของเราทั้งหมดไว้กับพระหรรษทานของพระเจ้าแทนที่ ความสามารถของเราเอง ... และที่สำคัญก็คือ เราก้าวเดินไปด้วยกัน เป็นหนึ่งเดียวกันในความรัก ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน องค์พระผู้ศักดิ์สิทธิ์จะประทับอยู่ท่ามกลางพวกเรา พระองค์จะทรงเป็น “หนทาง” ให้กับเรา พระองค์จะทรงทำให้เราเข้าใจถึงพระประสงค์ของพระได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น จะทรงประทานให้เรามีความปรารถนา มีความสามารถที่จะทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ทุกสิ่งทุกอย่างจะง่ายขึ้น ถ้าเราเป็นหนึ่งเดียวกัน เราจะประสพถึงความชื่นชมยินดีที่พระเจ้าทรงสัญญาให้กับผู้ที่ก้าวเดินใน “หนทางศักดิ์สิทธิ์”
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิตเดือนกุมภาพันธ์ 2021
“จงเป็นผู้เมตตากรุณา ดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด” (ลูกา 6:36)
นักบุญลูกาชอบใช้คำว่า “เมตตากรุณา” เพื่อเน้นให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ของความรักของพระเจ้า
ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ คำนี้แสดงให้เห็นถึงความรักของพระเจ้าในรูปแบบของแม่ ที่บรรยายถึงการที่พระองค์ทรงดูแลเอาใจใส่ต่อสิ่งสร้างของพระองค์ ทรงเลี้ยงดู ทรงบรรเทาใจและมิทรงเหนื่อยกับการต้อนรับเขา ประกาศกอิสยาห์กล่าวว่าพระเจ้าทรงสัญญากับประชากรของพระองค์ว่า “มารดาปลอบโยนบุตรฉันใด เราก็จะปลอบโยนท่านทั้งหลายฉันนั้น ท่านจะได้รับการปลอบโยนในกรุงเยรูซาเล็ม”
ความเมตตากรุณาเป็น คุณลักษณะที่ได้รับการยอมรับ และประกาศตามประเพณีของชาวมุสลิมด้วย ในบรรดา 99 พระนามของพระเจ้าที่สวยงามของพระเจ้า ผู้ที่กลับมาอยู่บนริมฝีปากของมุสลิม ที่ซื่อสัตย์บ่อยมากที่สุด คือ“พระผู้ทรงเมตตากรุณา” และ “ผู้ทรงสันติ”
พระวรสารตอนนี้บรรยายว่าพระเยซูเจ้าทรงยื่นข้อเสนอที่เด่นชัด และท้าทายต่อหน้าฝูงชนที่มาจากแดนใกล้และแดนไกล พระองค์ทรงบอกให้ทุกๆคนเลียนแบบพระเจ้า พระบิดา ให้มีความรักเมตตากรุณาแบบพระเจ้า
สิ่งนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นเป้าหมายที่เป็นไปไม่ได้และไม่สามารถบรรลุผลได้
“จงเป็นผู้เมตตากรุณา ดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด”
จากมุมมองของพระวรสารนี้ ถ้าเราต้องการที่จะเลียนแบบพระบิดา เราควรจะติดตามพระเยซูเจ้าทุกๆวัน และเรียนรู้จากพระองค์ในการเป็นคนแรกที่จะรัก ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำต่อเราเสมอ
บอนฮูเฟอร์ นักเทววิทยาลูเธอรัน ได้บรรยายประสบการณ์ด้านชีวิตจิตว่า “คริสตชนร้องเพลงทุกวันว่า ข้าพเจ้าได้รับความเมตตากรุณา ข้าพเจ้าก็ยังได้รับของประทานนี้ด้วยเมื่อตอนที่ข้าพเจ้าผมได้ปิดหัวใจต่อพระเจ้า เมื่อข้าพเจ้าหลงทางและหาทางกลับไม่ได้ เป็นเวลานั้นเองที่พระวาจาของพระเจ้าทรงมาถึงข้าพเจ้า ทำให้เข้าใจได้ว่าพระองค์ทรงรักข้าพเจ้า พระเยซูเจ้าทรงหาข้าพเจ้าเจอ พระองค์ทรงอยู่ใกล้ชิดกับข้าพเจ้า พระองค์แต่เพียงผู้เดียว พระองค์ทรงปลอบใจ ทรงยกโทษความผิดทั้งหมดของข้าพเจ้า และมิได้ทรงตำหนิในความผิดบาป เมื่อข้าพเจ้าเป็นศัตรูกับพระองค์ มิได้ปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ พระองค์ยังทรงปฏิบัติกับข้าพเจ้าดุจดังมิตรสหาย เป็นเรื่องยากที่ข้าพเจ้าจะเข้าใจได้ว่า ทำไมพระเจ้าจึงทรงรักข้าพเจ้ามากเช่นนั้น ทำไมข้าพเจ้าถึงเป็นที่รักของพระองค์เช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่เข้าใจเลยว่าพระองค์ทรงต้องการและสามารถเอาชนะใจของข้าพเจ้าด้วยความรักของพระองค์ได้อย่างไร ข้าพเจ้าสามารถพูดได้แต่เพียงว่า ข้าพเจ้าได้รับความเมตตากรุณา”
“จงเป็นผู้เมตตากรุณาดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด”
พระวาจานี้เชิญชวนให้เราเปลี่ยนแปลงชีวิตของเราอย่างน่าทึ่ง ทุกครั้งที่เราพบกับสถานการณ์ที่ทำให้เรารู้สึกขุ่นเคืองใจ แทนที่เราจะใช้ท่าทีแห่งการปฏิเสธ ตัดสินในแบบที่ยอมกันไม่ได้ และแก้แค้น เราสามารถเลือกที่จะแสดงให้เห็นถึงการให้อภัยและความเมตตากรุณาได้
นี่มิใช่เรื่องการกระทำตามหน้าที่ แต่เป็นการตอบรับคำเชิญของพระเยซูเจ้า ให้ผ่านพ้นจากการตายจากความเห็นแก่ตัว ไปสู่ชีวิตที่แท้ของความสนิทสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวและมิตรภาพ เราจะค้นพบด้วยความชื่นชมยินดีที่เราได้รับดีเอ็นเอแบบเดียวกันกับของพระบิดาเจ้า พระผู้มิทรงกล่าวโทษผู้ใดเลย แต่ทรงประทานโอกาสอีกครั้งให้ทุกๆคน และทรงเปิดขอบฟ้าแห่งความหวัง
การเลือกแบบนี้จะทำให้เราได้เตรียมพื้นที่สำหรับความสัมพันธ์แบบพี่แบบน้อง ที่ผู้คนจะสามารถพัฒนาไปสู่การอยู่ร่วมกันแบบสันติและสร้างสรรค์
“จงเป็นผู้เมตตากรุณา ดังที่พระบิดาของท่านทรงพระเมตตากรุณาเถิด”
เคียร่า ลูบิค ผู้ก่อตั้งคณะโฟโคลาเร ให้คำแนะนำการรำพึงถึงพระวาจาทรงชีวิตของนักบุญมัทธิว เรื่องความสุขของผู้ที่ได้ปฏิบัติความเมตตากรุณาว่า “เนื้อหาเรื่องความเมตตากรุณา และการให้อภัยมีอยู่ทั่วทั้งพระวรสาร... ความเมตตากรุณาเป็นการแสดงออกอันดับสุดท้ายของความรัก ของความรักเมตตา ทำให้ความรักสำเร็จไป และทำให้ความรักสมบูรณ์แบบ... ขอให้เราพยายามเจริญชีวิตความรักนี้เพื่อผู้อื่นด้วยความเมตตากรุณาในทุกๆความสัมพันธ์ของเรา ความเมตตากรุณาคือความรักที่รู้ดีว่าเราจะต้อนรับเพื่อนพี่น้องอย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนพี่น้องที่ยากจนที่สุด และต้องการความช่วยเหลือมากที่สุด ความเมตตากรุณาเป็นความรักที่ไม่มีมาตรวัด มีอยู่มากมาย เป็นสากล และเป็นภาคปฏิบัติ เป็นความรักที่ก่อให้เกิดความรักซึ่งกันและกันซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของความเมตตากรุณา ถ้าไม่มีความเมตตากรุณา ก็จะเป็นเพียงความยุติธรรมที่ทำให้เกิดความเท่าเทียมกัน ไม่มีความเป็นพี่เป็นน้องกัน แม้จะดูว่าเป็นเรื่องที่ยากและอาจหาญ ขอให้เราถามตัวเองต่อหน้าเพื่อนพี่น้องทุกๆคนว่า “ถ้าเราเป็นมารดาของคนนี้ เราจะปฏิบัติกับเขาอย่างไร” นี่คือข้อคิดที่จะช่วยให้เราเข้าใจ และเจริญชีวิตตามแบบดวงพระทัยของพระเจ้าได้”
เลติเซีย มากริ
“จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด ท่านจะเกิดผลมาก” (ยอห์น 15:5-9)
ทุกปีคริสตชนจาก ทุกนิกายทั่วโลกจะจัดสัปดาห์แห่งการภาวนา เพื่อวิงวอนขอพระพรแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันจากพระบิดา ทั้งนี้ตามพระประสงค์ของพระเยซูคริสตเจ้า
พระองค์ทรงปรารถนาสิ่งนี้นั่นคือ “เพื่อโลกจะได้เชื่อ” (ยอห์น 17:21) หมายความว่าความเป็นนำหนึ่งใจเดียวกันนี้เปลี่ยนแปลงโลกได้ สร้างเสริมให้เกิดความรักความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียว ความเป็นพี่น้องกัน และความเป็นปึกแผ่น ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนี้คือพระพรของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นที่เราจะวิงวอนขอพระบิดาด้วยความเพียรและไว้วางใจ
มีคนกลุ่มหนึ่งในประเทศสเปนที่เจริญชีวิตตามพระวาจาทรงชีวิต ได้มีประสบการณ์ว่าเรื่องนี้เป็นจริง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในช่วงสัปดาห์แห่งการภาวนาเพื่อเอกภาพคริสตชน พวกเขารู้สึกว่าได้รับแรงกระตุ้นให้ภาวนาวอนขอพรหรรษทานแห่งความเป็นหนึ่งเดียวกันและเพื่อสร้างสะพานเชื่อมกับผู้อื่น มาร์การิตาแบ่งปันว่า “เราได้ติดต่อกับผู้ที่ทำงานด้านคริสตศาสนสัมพันธ์ในสังฆมณฑลและคุณพ่อเจ้าอาวาสวัดต่างๆ พระสงฆ์ออร์โธด๊อกซ์ และศิษยาภิบาลคริสตจักรต่างๆ
เราได้อธิบายความคิดของเรา” แล้วเราคริสตชนร่วมกันไปสวดภาวนาในอาคารของวัดต่างๆ วันหนึ่งเราไปสวดภาวนาที่วัดคาทอลิก อีกวันหนึ่งเราไปที่วัดออร์โธด๊อกซ์ ทุกครั้งพวกเราได้รับการเติมเต็มด้วยความชื่นชมยินดี ที่มาจากการประทับอยู่ของพระเจ้า พระองค์ทรงเปิดหนทางไปสู่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน”สำหรับปี 2021 นี้ กลุ่มแกรนด์แชมป์ ประเทศฝรั่งเศส ที่อุทิศตนเพื่องานการคืนดีระหว่างคริสตชนในนิกายต่างๆ ได้นำเสนอพระวาจาทรงชีวิตจากพระวรสารนักบุญยอห์นที่เหมาะสม เพื่อเป็นแสงสว่างสำหรับการดำเนินชีวิตว่า
จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด ท่านจะเกิดผลมาก
นี่คือคำเชิญที่เรียกร้องขอให้เราเจริญชีวิตและทำงาน เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคริสตชนทุกนิกายในช่วงเวลาพิเศษนี้ และกระทำต่อไปตลอดทั้งปีในชีวิตของเรา ความแตกแยกในอดีตเป็นบาดแผลที่จำเป็นต้องได้รับการสมานให้หาย ด้วยพระเมตตาของพระเจ้าเป็นอันดับแรก และด้วยการอุทิศตนของพวกเราที่มีความเคารพต่อกันและกัน พร้อมกับการเป็นประจักษ์พยานชีวิตในพระวรสารนี้
พระวาจาของพระเยซูเจ้าแสดงให้เราเห็นว่าเราควรจะกระทำสิ่งใด นั่นคือ เราควรจะ “ดำรงอยู่” ในความรักของพระองค์ด้วยเหตุนี เราควรกระชับความสัมพันธ์ส่วนตัวของเรากับพระองค์ให้มั่นคง ด้วยการมอบความวางใจในพระองค์ และเชื่อในพระเมตตาของพระองค์ ในความเป็นจริงนั้นพระเยซูเจ้า “ทรงดำรงอยู่” กับเราอย่างสัตย์ซื่อเสมอมา
ในขณะเดียวกัน พระองค์ทรงเชิญเราให้ตัดสินใจเด็ดขาดที่จะยืนเคียงข้างกับพระองค์ เพราะเราได้มอบชีวิตของเราให้เป็นของขวัญแด่พระบิดาเจ้า พระองค์ทรงแนะนำให้เราเลียนแบบพระองค์ทุกครั้งที่เราพบเห็นความต้องการของแต่ละคนที่เราพบปะด้วยใจสุภาพ ทุกคนที่ผ่านเข้ามาในชีวิตประจำวัน พระองค์ทรงขอให้เรากระทำเช่นนี้ด้วยความใจกว้าง โดยไม่ต้องการรับผลตอบแทนใดๆ ทั้งนี้เพื่อที่จะเกิด “ผลมาก”
จงดำรงอยู่ในความรักของเราเถิด ท่านจะเกิดผลมาก
เคียร่า ลูบิค ได้กล่าวสุนทรพจน์ในงานครบรอบ 500 ปี การปฏิรูปที่เมืองเจนีวา ในเดือนตุลาคม ปี 2002 ว่า “จำเป็นต้องใช้ความรักมากเท่าใดให้เข้าไปในโลกนี้ พระเยซูเจ้าตรัสว่าโลกจะจดจำพวกเราได้ โดยผ่านทางพวกเรา โลกจะจดจำพระองค์ได้จากความรักซึ่งกันและกัน และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ‘ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา’ (ยอห์น 13:35) เราเข้าใจสิ่งนี้ว่า ณ ขณะปัจจุบันนี้เรียกร้องให้เราแต่ละคนมีความรักต่อกันและกัน เรียกร้องความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ความเป็นมิตร ความเป็นปึกแผ่น ปัจจุบันนี้ยังเรียกร้องให้คริสตศาสนจักรต่างๆหันเข้าหากันในการสมานความแตกแยกที่มีเป็นเวลาหลายศตวรรษ นี่คือการปฏิรูปที่สวรรค์เรียกร้องจากเรา นี่คือก้าวแรกที่จำเป็นและสำคัญในการนำพาทุกๆคนไปสู่ความเป็นพี่น้องสากล ความจริงแล้วโลกจะเชื่อถ้าเรารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกัน พระเยซูเจ้าตรัสว่า ‘ขอให้ทุกคนเป็นหนึ่งเดียวกันเพื่อโลกจะได้เชื่อ’ (เทียบ ยอห์น 17:21) พระเจ้าทรงมีพระประสงค์เช่นนี้ ขอพระเจ้าทรงประทานพระหรรษทานให้กับเรา เพื่อที่จะเตรียมสำหรับเรื่องนี้ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้เห็นความสำเร็จก็ตาม”
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิตเดือนธันวาคม 2020
“องค์พระเจ้าทรงเป็นความสว่างและทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใด” (สดุดี 27:1)
“หลังจากลูกสาวชื่อมารีอานาคลอด แพทย์บอกว่าสมองของลูกผิดปกติขั้นร้ายแรง จะเดินไม่ได้และพูดไม่ได้ เรารู้สึกว่าพระเจ้าทรงขอให้เรารักลูกในแบบที่ลูกเป็น เรามอบความวางใจทั้งหมดไว้กับพระองค์” อัลบา คุณแม่ชาวบราซิลเล่าต่อว่า “มารีอานามีชีวิตอยู่ได้ 4 ปีแล้ว ชีวิตของลูกเป็นความรักให้กับทุกๆคนที่มาหาเยี่ยมเยียนเรา ถึงแม้ลูกเรียก “แม่” หรือ “พ่อ” ไม่ได้ แต่ในความเงียบนั้นมีแสงสว่างเจิดจ้าในดวงตาของลูกที่สื่อทุกอย่างออกมา เราไม่สามารถสอนให้ลูกรักเป็นคนแรก แต่ลูกได้สอนให้เราออกแรงรักเป็นคนแรก และในการปฏิเสธตนเองเพื่อที่จะรัก ลูกเป็นของขวัญจากความรักของพระเจ้าสำหรับทุกคนในครอบครัว เพราะทุกสิ่งที่ลูกเป็นนั้นสามารถกล่าวได้ว่า “ความรักไม่จำเป็นต้องอธิบายออกมาเป็นคำพูด”
สิ่งเหล่านี้อาจจะเกิดขึ้นกับเราแต่ละคนเช่นกัน การคิดว่าสิ่งนั้นเป็นไปไม่ได้ที่เราจะจัดการ เราจำเป็นต้องได้รับแสงสว่างเพื่อส่องสว่างให้เราเห็นทางข้างหน้า แม้มีเพียงแสงริบหรี่ก็ตาม และเราจะเดินมุ่งไปอย่างมั่นคงปลอดภัยในชีวิตใหม่
“องค์พระเจ้าทรงเป็นความสว่างและทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใด”
คำภาวนาของบทสดุดีนี้บอกเราว่า ในทุกมุมโลกและในทุกยุคสมัย ผู้คนได้ผ่านประสบการณ์ความมืดมิดของความเจ็บปวด ความกลัว และความว้าเหว่ สถานการณ์ดูเหมือนว่าเป็น “ศัตรู” ที่สุมรุมเข้ามา
ดูเหมือนว่าผู้ประพันธ์บทสดุดีนี้อาจถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม และถูกทอดทิ้งจากคนอื่นๆ เขาเพียงรอการตัดสิน เขาไม่รู้ว่าชะตาชีวิตของเขาจะเป็นอย่างไร อะไรจะเกิดขึ้น เขาได้เพียงแต่พึ่งพระเจ้า โดยทราบดีว่าพระเจ้ามิเคยทอดทิ้งประชากรของพระองค์เลย โดยเฉพาะในเวลาที่ถูกทดลองและทุกข์ยาก เขารู้จักการกระทำของพระเจ้าที่จะช่วยให้เขาเป็นอิสระ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ประชากรนั้นมั่นใจว่า จะได้พบกับแสงสว่างในพระเจ้า และได้รับการปกป้องคุ้มครองอย่างปลอดภัย
เพราะพวกเขาตระหนักถึงความอ่อนแอของตน จึงเปิดตนเองหาพระเจ้าและวางใจในพระองค์ ต้อนรับการประทับอยู่ของพระองค์เข้ามาในชีวิต พวกเขารอคอยชัยชนะอย่างมั่นใจในหนทางแห่งความรักของพระองค์ที่มิสามารถคาดล่วงหน้าได้
“องค์พระเจ้าทรงเป็นความสว่างและทรงช่วยข้าพเจ้าให้รอดพ้น ข้าพเจ้าจะกลัวผู้ใด”
นี่จึงเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้ว ที่เราจะจุดประกายความวางใจของเราในความรักของพระบิดาเจ้า ผู้ทรงปรารถนาให้ลูกๆของพระองค์มีความสุข พระองค์ทรงพร้อมที่จะรับเอาความวิตกกังวลทั้งหมดของเราเอาไว้เพื่อว่าเราจะได้ไม่ปิดตัวเราเอง แต่เรามีอิสระที่จะแบ่งปันแสงสว่าง และความหวังของเราให้กับผู้อื่นได้
เคียร่า ลูบิค ผู้ก่อตั้งคณะโฟโคลาเร ให้ข้อคิดไว้ว่า “พระวาจาทรงชีวิตนำทางเราจากหนทางที่มืดมิดไปสู่ความสว่าง ออกจากคำว่า “ฉัน” ไปสู่คำว่า “เรา” ... นี่คือคำเชิญให้เรารื้อฟื้นความเชื่อของเราว่า พระเจ้ามีอยู่จริงและพระเจ้าทรงรักฉัน... เมื่อฉันกำลังจะพบกับใครก็ตาม ฉันควรจะเชื่อว่าพระเจ้าทรงมีสิ่งที่จะบอกกับฉันผ่านทางคนๆนั้น ฉันกำลังทำงานอยู่ ในขณะนี้ก็เช่นกัน ฉันวางใจในความรักของพระองค์ต่อไป เมื่อมีคนทำให้ฉันทุกข์ใจ ฉันเชื่อว่าพระเจ้าทรงรักฉัน จะมีบางสิ่งเติมเต็มความชื่นชมยินดีให้กับฉัน พระเจ้าทรงรักฉัน พระองค์ประทับอยู่ที่นี่กับฉัน พระองค์ทรงประทับอยู่กับฉันเสมอ พระองค์ทรงทราบทุกสิ่งเกี่ยวกับตัวฉัน ทรงแบ่งปันทุกๆความคิดของฉัน ทุกๆความชื่นชมยินดี ทุกๆความปรารถนา พระองค์ทรงแบ่งปันความกังวลใจทุกอย่าง และทุกๆสิ่งท้าทายที่ฉันเผชิญในชีวิต แล้วความเชื่อแบบนี้จะสามารถรื้อฟื้นขึ้นมาได้อย่างไร ...โดยการแสวงหาการประทับอยู่ของพระองค์ท่ามกลางเรา พระองค์ทรงสัญญาว่าจะประทับอยู่ในที่ๆมีสองคนหรือมากกว่ามารวมเป็นหนึ่งเดียวกันในพระนามของพระองค์ ขอให้เราไปพบกับคนอื่นๆที่เจริญชีวิตตามพระวาจาทรงชีวิต ในความรักซึ่งกันและกันซึ่งเป็นจิตวิญญาณแห่งพระวรสาร ขอให้เราแบ่งปันประสบการณ์ของเรา แล้วเราจะมีความชื่นชมยินดีในผลของการประทับอยู่ของพระองค์ ซึ่งเป็นความชื่นชมยินดี สันติ แสงสว่าง และความกล้าหาญ พระองค์จะทรงดำรงอยู่กับเราแต่ละคน เราจะรู้สึกว่าพระองค์ทรงใกล้ชิดเราในเวลาที่เราทำงาน และในการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา”
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต เดือนพฤศจิกายน 2020
“ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน” (มัทธิว 5:4)
มีใครบ้างที่ไม่เคยโศกเศร้าเลย มีใครบ้างที่ไม่ทราบเลยว่ามีคนอื่นที่ทุกข์ใจจนร้องไห้หลั่งน้ำตา ปัจจุบันสื่อต่างๆนำภาพจากทั่วโลกมาถึงเรา ทำให้เราเสี่ยงกับการเคยชินที่มองเห็นความทุกข์ จนเรารู้สึกไม่ใยดีต่อความทุกข์ปวดรวดร้าวของผู้คนรอบข้าง
มีหลายครั้งที่พระเยซูเจ้าทรงหลั่งน้ำตา (ยน.11:35) ทรงมองเห็นน้ำตาของประชากรของพระองค์ ที่ทนทุกข์กับการถูกยึดครองดินแดนของตนจากชาวต่างชาติ ผู้คนมารุมล้อมพระองค์ คนป่วย คนยากจน แม่หม้าย เด็กกำพร้า คนบาป คนพวกนี้ที่คนอื่นหลีกเลี่ยงไม่อยากพบ แต่พวกนี้อยากได้ยินพระวาจาของพระองค์ แล้วได้รับการรักษาทั้งทางกายและวิญญาณ
ในพระวรสารนักบุญมัทธิวนี้ พระเยซูเจ้าทรงเป็นพระเมสสิยาห์ผู้ทรงทำให้พันธสัญญาของพระเจ้า ที่ทรงมีต่อชาวอิสราเอลนั้นสำเร็จไป ด้วยเหตุนี้พระเยซูเจ้าทรงประกาศว่า
“ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน”
พระเยซูเจ้ามิได้ทรงนิ่งเฉยต่อความทุกข์ยากลำบากของเรา พระองค์ทรงต้องการให้ดวงใจของเรา ได้รับการรักษาให้พ้นจากความขมขื่นของความเห็นแก่ตัว ทรงต้องการเติมความสันโดษของเราให้เต็ม และประทานความเข้มแข็งให้กับทุกสิ่งที่เรากระทำ
นี่คือสิ่งที่เคียร่า ลูบิค ผู้ก่อตั้งคณะโฟโคลาเรได้เขียนอธิบายพระวาจาทรงชีวิตตอนนี้ไว้ว่า
“จากพระวาจาทรงชีวิตนี้ พระเยซูเจ้ามิได้ทรงต้องการนำพาผู้คนที่ไม่มีความสุข ให้ถอนตัวออกไปอยู่เฉยๆ ด้วยการให้คำสัญญาว่าจะให้รางวัลในอนาคต แต่พระองค์ทรงคิดถึงปัจจุบัน ข้อความจริงก็คือ พระอาณาจักรของพระเจ้านั้นอยู่ ณ ที่นี่แล้ว พระอาณาจักรอยู่ในพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับเป็นขึ้นมาจากความตายหลังจากพระมหาทรมานอันยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงชนะความตาย พระอาณาจักรนั้นอยู่ในตัวเราด้วย ในดวงใจของเราที่เป็นคริสตชน เพราะพระเจ้าทรงประทับอยู่ในตัวเรา พระตรีเอกภาพทรงสถิตอยู่ในตัวเรา ด้วยเหตุนี้ เราจึงสามารถได้รับประสบการณ์ความสุขแท้ที่พระเยซูเจ้าทรงสัญญาไว้ได้(...) ความทุกข์ยังคงมีอยู่ แต่เรากลับมีพลังใหม่ ที่ทำให้เราสามารถเผชิญหน้ากับการประจญทดลองต่างๆในชีวิต และสามารถช่วยผู้ที่กำลังต่อสู้ดิ้นรนอยู่ได้อีกด้วย เพราะมีความเข้มแข็งใหม่ที่สามารถเอาชนะความทุกข์ และมองเห็นความทุกข์ ต้อนรับความทุกข์ ด้วยวิธีแห่งการไถ่กู้แบบเดียวกับพระเยซูเจ้าได้ทรงกระทำ”
“ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้า ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน”
เราสามารถเรียนรู้ได้จากพระเยซูเจ้าถึงวิธีที่จะเป็นประจักษ์พยาน เป็นเครื่องมือแห่งความรักสร้างสรรค์ และอ่อนละมุนของพระบิดาเจ้าเพื่อกันและกัน คำสอนของพระองค์คือจุดเริ่มต้นของโลกใหม่ ที่การอยู่ร่วมกันนั้นได้รับการเยียวยารักษาจากต้นเหตุ สิ่งนี้จะดึงดูดให้เกิดการประทับอยู่ของพระเจ้าท่ามกลางเรา และนี่จะเป็นแหล่งพลังแห่งการปลอบประโลมใจ ที่เช็ดน้ำตาทุกหยดให้แห้งได้
ชาวเลบานอนชื่อ ลีนาและฟิลิปเป แบ่งปันประสบการณ์ให้กับเพื่อนๆที่อยู่ห่างไกลว่า
“สวัสดีเพื่อนรัก ขอบคุณมากสำหรับคำอวยพรวันปาสกาที่พิเศษในปีนี้ พวกเราสบายดี พวกเราก็ระวังตัวไม่ให้ติดโควิด แต่ว่าเราต้องอยู่แนวหน้าของ “องค์กร พาร์ไรเนจ ลิบัน” จึงไม่สามารถอยู่บ้านได้ตลอดเวลา เราออกไปช่วยงานทุกๆสองวัน เพื่อนำสิ่งของที่จำเป็นไปให้กับครอบครัวต่างๆ ที่ขัดสน เช่น เงิน เสื้อผ้า อาหาร ยารักษาโรค ฯลฯ ก่อนโควิดแล้วที่สถานการณ์ด้านเศรษฐกิจที่นี่ยากลำบากมาก เหมือนกับทุกประเทศทั่วโลก ตอนนี้สถานการณ์ของเรากลับยิ่งแย่ลงอีก แต่พระญาณเอื้ออาทรของพระนั้นไม่เคยขาดเลย สัปดาห์ที่แล้วมีชาวเลบานอนที่อยู่ต่างประเทศส่งเงินมาให้กับเรา เขาขอให้ลีนาดำเนินการช่วยเหลือ 12 ครอบครัวให้มีอาหารรับประทานสัปดาห์ละ 3 วัน ตลอดเดือนเมษายน นี่เป็นการยืนยันที่งดงามถึงความรักของพระเจ้า ที่มิทรงหยุดยั้งความใจกว้างของพระองค์”
เลติเซีย มากริ
Parrainage Liban องค์กร พาร์ไรเนจ ลิบัน ช่วยครอบครัวที่ขัดสนในประเทศเลบานอน โดยไม่แยกชาติพันธุ์และศาสนา เพื่อช่วยให้พวกเขาสามารถช่วยตัวเองได้ องค์กรนี้เริ่มทำงานในปี 1993 ขอบคุณกลุ่มครอบครัวที่นำพระวาจาของพระเจ้าลงไปในภาคปฏิบัติที่ได้ริเริ่มกิจกรรมนี้ โดยการช่วยเหลือหญิงคนหนึ่งที่มีลูก 5 คน สามีต้องโทษอยู่ในเรือนจำ นับแต่นั้นมาทางกลุ่มได้ช่วยเหลือครอบครัวต่างๆ มากกว่า 200 ครอบครัวแล้ว โดยได้รับเงินสนับสนุนจากภาคเอกชนและธุรกิจประมาณ 100 ราย
“เพราะทุกคนที่ ยกตนขึ้น จะถูกกด ให้ ่ตำ ลงแต่ทุกคน ที่ถ่อมตนลงจะได้ รับการยกย่องให้ สูงขึ้น” (ลูกา 6:11)
พระวรสารชี้ให้เห็นว่าพระเยซูเจ้า ทรงยินดีรับคำ เชิญร่วมรับประทาน อาหารกับผู้อื่น เพราะเป็นโอกาสที่จะ ได้พบกัน ผูกมิตรและกระชับความ สัมพันธ์ พระเยซูเจ้าสังเกตเห็นพฤติ กรรมของแขกที่มางาน มีที่ที่ดีที่สุด สงวนไว้สำ หรับบุคคลสำคัญ
พระเยซูเจ้าทรงคิดถึงอีกงาน เลี้ยงหนึ่ง สำ หรับบรรดาลูกๆในบ้านของพระบิดา เป็นงานเลี้ยงใหญ่ที่ มอบให้กับผู้ที่ไม่มี “สิทธิที่จะได้รับ” เพราะมิได้เป็นผู้สูงศักดิ์
ในความเป็นจริงแล้ว ที่ที่ดีที่สุดนี้สงวนไว้สำ หรับผู้ที่ถ่อมตนเป็น คนสุดท้าย เพราะให้บริการรับใช้ผู้อื่น พระองค์จึงทรงประกาศว่า
เพราะทุกคนที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำ ลงแต่ทุกคนที่ถ่อม ตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น
การทำตนเองให้เป็นจุดรวมความสนใจ ด้วยความโลภ ความ หยิ่งจองหอง ตั้งข้อเรียกร้อง และการบ่นว่า ทำ ให้เราตกลงไปในการ ประจญ แห่งการเคารพพระเท็จเทียม ด้วยเหตุนี้ สิ่งแรกที่พระเยซู เจ้าทรงขอจากพวกเราก็คือให้ลงมาจาก “แท่น” แห่งอัตตาของเราเอง แล้วรับพระเจ้าเข้าแทนที่ ให้พระเจ้าเป็นจุดศูนย์รวมชีวิต เราถวาย เกียรติแด่พระเจ้า
เป็นเรื่องสำคัญที่เราจะมีว่างให้พระเจ้า สร้างความสนิทสัมพันธ์ กับพระเจ้าให้แน่นแฟ้น และเรียนรู้วิธีเผยแพร่ข่าวดี ด้วยการวางตัว เราเองให้อยู่ในที่สุดท้าย แท้จริงแล้ว การถ่อมตัวลงเช่นนี้ คือการ เลือกสถานที่ ที่องค์พระเจ้าทรงเลือกนั่นเอง แม้ว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็น พระเจ้า แต่พระองค์ทรงเลือกรับสภาพเป็นมนุษย์ และทรงประกาศ ความรักของพระบิดาเจ้าให้กับมนุษย์ทุกคน
เพราะทุกคนที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำ ลงแต่ทุกคนที่ถ่อม ตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น
นี่คือบทเรียนที่เราเรียนรู้ ถึงวิธีสร้างความเป็นพี่เป็นน้อง เรา เรียนรู้ที่จะมีส่วนร่วมในการสร้างกลุ่มที่มีชาย หญิง ผู้ใหญ่ เด็ก ทั้ง แข็งแรงและเจ็บป่วย ที่ต่างมีความสามารถในการสร้างสะพาน และ รับใช้สังคมเพื่อความดีงามร่วมกัน
เราสามารถเข้าหาพี่น้องแต่ละคน โดยไม่มีความกลัวในแบบ เดียวกับพระเยซูเจ้า เราสามารถเดินเคียงข้างไปด้วยกันทั้งในยามสุข และในยามทุกข์ เราสามารถเห็นคุณค่าของพี่น้อง เราสามารถแบ่งปัน ทรัพย์ทางวัตถุ และทรัพย์ทางชีวิตฝ่ายจิต กระตุ้นให้เพื่อนบ้านมีความ หวังและให้อภัย เราจะบรรลุถึงความรักเมตตาและเป็นอิสระ
ในโลกที่เจ็บป่วยนี้ ที่ต่างปรารถนาความสำ เร็จส่วนตน จึงนำ พา ไปสู่สังคมที่แตกร้าว การปฏิบัติตนในหนทางที่กล่าวมานั้น หมายถึง การเดินทวนกระแสของสังคม นั่นคือ การปฏิวัติการประกาศข่าวดีทั้ง ครบ นี่คือกฎของกลุ่มคริสตชนตามที่นักบุญเปาโลทรงนิพนธ์ว่า “ให้ คุณค่าผู้อื่นสูงกว่าตนเองด้วยความถ่อมตน”
เพราะทุกคนที่ยกตนขึ้นจะถูกกดให้ต่ำ ลงแต่ทุกคนที่ถ่อม ตนลงจะได้รับการยกย่องให้สูงขึ้น
เคียร่า ลูบิค ให้ข้อคิดว่า “พวกเธอสังเกตเห็นไหมว่า ในโลกนี้ ทุกสิ่งทุกอย่างเรียงลำดับสลับที่กันอย่างสิ้นเชิง กฎของอัตตาเหนือ กว่าสิ่งใด และเรารู้ซึ้งถึงผลที่ตามมาอันแสนจะเจ็บปวด เช่น มีความ อยุติธรรม และการล่วงละเมิดทุกรูปแบบ อย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้า มิได้เน้นโดยตรงไปที่รูปแบบของการกระทำผิดเหล่านี้ แต่ทรงคิดถึง รากของมัน ซึ่งทำ ให้สิ่งเหล่านี้ออกมาจากใจของมนุษย์ เราต้องปรับ เปลี่ยนใจของเรา ถ้าเราปรารถนาจะได้รับท่าทีใหม่ๆนี้ และสร้างความ สัมพันธ์ที่ยุติธรรมและเที่ยงแท้ การถ่อมตนมิได้หมายถึง แค่เพียงว่า ไม่มีความทะเยอทะยานเท่านั้น แต่เราจำต้องตระหนักรู้ถึงวิธีทำตนให้ ว่างเปล่า โดยรู้ตัวว่าเรา ่ตำต้อยเพียงใดเมื่ออยู่ต่อหน้าพระเจ้า ให้เรา วางตัวเราไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ในแบบที่เด็กๆกระทำ
แล้วเราจะถ่อมตนได้ในแบบใด ด้วยการทำตามแบบที่พระเยซู เจ้าทรงกระทำ ทำกิจกรรมแห่งความรักภาคปฏิบัติให้กับพี่น้องชาย หญิง พระเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่าทุกสิ่งที่เราทำต่อผู้อื่นนั้น เท่ากับ กระทำต่อพระองค์เอง ดังนั้น จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราวางตนในตำแหน่งที่ ต่ำแล้วรับใช้ผู้อื่น แน่นอนว่าเราจะได้รับการยกตนขึ้นในโลกใหม่ และ ในชีวิตหน้า สถานการณ์ที่กลับกันนี้มีอยู่แล้วในพระศาสนจักร นั่นคือ ผู้ที่ออกคำสั่งจักต้องเป็นผู้รับใช้ผู้อื่น ดังนั้น สถานการณ์นี้เปลี่ยนแปลง ไปในแนวนี้ และด้วยวิธีนี้ พระศาสนจักรจึงเป็นสัญลักษณ์ของโลกที่ จะมาถึง พระวาจาทรงชีวิตนี้ได้มีผู้เจริญชีวิตแล้ว
เลติเซีย มากร
พระวาจาทรงชีวิตเดือนกันยายน 2020
“จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น” (ลูกา 6:38)
พระเยซูเจ้าเสด็จลงมาจากภูเขาพร้อมกับบรรดาศิษย์ และประทับอยู่ ณ ที่ราบแห่งหนึ่ง ที่นั่นมีศิษย์กลุ่มใหญ่ และประชาชนจำนวนมากจากทั่วแคว้นยูเดีย จากกรุงเยรูซาเล็ม จากเมืองไทระ และจากเมืองไซดอนที่มาฟังพระองค์...” นี่คือพระวาจาที่นักบุญลูกาผู้นิพนธ์พระวรสารใช้แนะนำคำเทศน์สอนของพระเยซูเจ้า ซึ่งเปิดเผยให้เห็นถึงการประกาศถึงความสุขแท้จริง การเรียกร้องของพระอาณาจักรพระเจ้า และคำสัญญาของพระบิดาที่มีต่อลูกๆของพระองค์
พระเยซูเจ้าทรงประกาศข่าวดีของพระองค์อย่างเป็นอิสระให้กับมนุษย์ทั้งชายและหญิง ทุกเผ่าพันธุ์ ทุกวัฒนธรรม ที่ต่างพากันมาฟังพระองค์ ข่าวดีของพระองค์เป็นสากล และตรัสกับเราทุกๆคน เราสามารถต้อนรับและเข้าใจพระวาจาของพระองค์ พระวาจาจะทำให้เราก้าวหน้าขึ้นจนบรรลุถึงความสมบูรณ์ เพราะพวกเราถูกสร้างขึ้นมาโดยพระเจ้าองค์ความรัก และจากพระฉายาลักษณ์ของพระองค์เอง
“จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น”
พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยให้เราเห็นถึงความใหม่ของพระวรสาร นั่นคือ พระบิดาทรงรักลูกๆของพระองค์แต่ละคนเป็นการส่วนตัว ด้วยความรัก “ที่เอ่อล้น” และทรงประทานให้ทุกคนมีความสามารถเปิดหัวใจให้แก่พี่น้องชายหญิง ด้วยความใจกว้างที่เพิ่มมากขึ้น พระวาจาของพระเยซูเจ้านั้นเรียกร้องมาก และเร่งเร้าให้เรา“ให้”จากสิ่งที่เรามี ไม่เพียงแต่ข้าวของ วัตถุต่างๆ และยังรวมทั้งท่าทีแห่งการยินดีต้อนรับ ความเมตตา การยกโทษ ความใจกว้าง และสะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติของพระเจ้าด้วย
ภาพของประทานที่อัดแน่นจนล้น ทำให้เราเข้าใจถึงมาตรวัดความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อพวกเรา ความรักที่ไม่มีขอบเขตจำกัด พระเจ้าทรงเติมเต็มคำสัญญาของพระองค์ให้กับเรา ในแบบที่เกินเลยความคาดหวังของเรา ความรักอันมากมายมหาศาลของพระเจ้า จะทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ พ้นจากความวิตกกังวลที่เราอาจจะมี เพราะเรามีการคำนวณและมีแผนการอันมีขอบเขตจำกัด ซึ่งทำให้เราไม่พอใจกับการไม่ได้รับจากผู้อื่นตามมาตรวัดของเราเอง
“จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น”
จากคำเชิญของพระเยซูเจ้านี้เอง เคียร่า ลูบิค ผู้ก่อตั้งคณะโฟโคลาเร เขียนไว้ว่า “คุณเคยได้รับของขวัญจากเพื่อนแล้วรู้สึกว่า จำเป็นต้องให้ตอบแทนไหม... ถ้าคำตอบคือ ใช่ เราจะสามารถจินตนาการได้ว่า สิ่งนี้ก็เป็นเช่นเดียวกันกับพระเจ้า พระเจ้าคือองค์ความรัก พระองค์ทรงประทานกลับคืนให้เราในทุกสิ่งที่เราได้ให้กับเพื่อนบ้านในพระนามของพระองค์... พระเจ้ามิได้ทรงกระทำแบบนี้เพื่อทำให้เรามั่งคั่ง แต่พระองค์ทรงกระทำเพราะว่า ยิ่งเรามีมากเท่าใด เราสามารถให้ได้มากเท่านั้น ด้วยเหตุว่าพระเจ้าทรงเป็นองค์ความดีงาม เราได้แบ่งปันกระจายทุกสิ่งไปในกลุ่มที่อยู่รอบๆตัวเรา... แน่นอนทีเดียว อันดับแรก พระเยซูเจ้าทรงคิดประทานรางวัลให้เรา นั่นคือ เราจะได้อยู่ในสวรรค์ แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกตอนนี้ก็คือ การได้โหมโรงและได้หลักประกันแล้ว
“จงให้ แล้วพระเจ้าจะประทานแก่ท่าน ท่านจะได้รับเต็มสัดเต็มทะนานอัดแน่นจนล้น”
อะไรจะเกิดขึ้น ถ้าพวกเราทุกคนต่างผูกมัดตนเองในการรักแบบนี้ แน่นอนว่าสิ่งนี้จะกลายเป็นพื้นฐานของการปฏิวัติทางสังคม
เฮซุส ชาวสเปน แบ่งปันประสบการณ์ว่า “ภรรยาและผมเปิดบริษัทดำเนินกิจการฝึกอบรมและการจัดการธุรกิจ ก่อนหน้านี้เรามีความกระตือรือร้นมากในหลักการของระบบเศรษฐกิจแห่งการแบ่งปัน และได้เรียนรู้ถึงวิธีการนำเอาไปประยุกต์ใช้ในการทำงานกับผู้อื่นในทุกรูปแบบ คือ กับพนักงาน ลูกจ้าง ลูกค้า บริษัทคู่แข่ง บริษัทจัดส่งสินค้า การจ่ายค่าจ้างแรงงาน การหาทางเลือกในการเลิกจ้าง การเคารพต่อราคาสินค้า นโยบายการชำระเงิน ข้อตกลงในระยะยาว หลักสูตรการรวมธุรกิจ การแบ่งปันประสบการณ์ของเรา รวมถึงคำแนะนำด้านจริยธรรม-คุณธรรม และการเสียสละรายได้ของเรา เหล่านี้เองที่บริษัทต่างๆจำนวนมากมีความไว้วางใจเราและทำให้เรารอดพ้นจากวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2008 ไปได้
ต่อมา เราได้ติดต่อผ่านทางหน่วยงานองค์กรการกุศลเพื่อสาธารณะประโยชน์แห่งหนึ่ง ทำให้เราได้พบกับครูคนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในประเทศไอวอรี่โคสท์ อัฟริกา เขาต้องการที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้กับหมู่บ้านของเขา ด้วยการเปิดห้องทำคลอดให้แก่สตรีตั้งครรภ์ เราได้ศึกษาโครงการนี้และได้เสนอมอบเงินทุนที่จำเป็นให้เขา เขาแทบไม่เชื่อว่าเราพร้อมที่จะทำเช่นนี้ ผมได้อธิบายให้เขาฟังว่า เราต้องการที่จะแบ่งปันรายได้บริษัทของเราให้โครงการนี้ ปัจจุบันห้องคลอดที่ก่อสร้างโดยชาวมุสลิมและชาวคริสต์นี้มีชื่อว่า “ความเป็นพี่เป็นน้องกัน” อันเป็นสัญลักษณ์ถึงความเป็นอยู่ร่วมกัน
ในระยะหลัง หลายปีที่ผ่านมานี้ บริษัทของเรามีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต สิงหาคม 2020
“ใครจะพรากเราจากความรักของพระคริสตเจ้าได้” (โรม 8:35)
จดหมายของนักบุญเปาโลถึงชาวโรมมีเนื้อหาที่มั่งคั่งมากเป็นพิเศษ ที่บ่งบอกถึงพลังของพระวรสารซึ่งมีอยู่ในชีวิตของผู้ที่ต้อนรับพระวาจา ทำให้เกิดการปฏิวัติแห่งการประกาศพระวรสารว่า ความรักของพระเจ้าทรงปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระ
นักบุญเปาโลได้ผ่านประสบการณ์นี้ ท่านต้องการที่จะเป็นประจักษ์พยานโดยผ่านทางคำพูดและการกระทำของท่าน ความสัตย์ซื่อต่อการเรียกของพระเจ้านำพาท่านไปยังกรุงโรมสถานที่ที่ท่านจะมอบชีวิตแด่พระเจ้า
ใครจะพรากเราจากความรักของพระคริสตเจ้าได้
ก่อนหน้านี้นักบุญเปาโลได้ยืนยันว่า “พระเจ้าทรงอยู่ข้างเรา” ความรักของพระเจ้าที่มีต่อเราเป็นความรักที่ซื่อสัตย์ที่มีต่อคู่สมรส ซึ่งจะไม่มีวันทอดทิ้งเจ้าสาวเลย เจ้าสาวที่พระองค์ทรงเลือก พระองค์ทรงผูกมัดตลอดนิรันดร และทรงมอบชีวิตของพระองค์ให้
พระเจ้ามิได้เป็นผู้พิพากษา แต่พระองค์ทรงเป็นผู้ปกป้องเราด้วยพระองค์เอง
ดังนั้นจึงไม่มีสิ่งใดที่จะพรากเราไปจากพระองค์ได้ เมื่อเราได้พบกับพระเยซูเจ้า พระบุตรสุดที่รักของพระบิดา
จึงไม่มีความยากลำบากใดๆเลย ไม่ว่าจะใหญ่หรือเล็ก ไม่ว่าจะอยู่ในตัวเราหรืออยู่รอบตัวเรา ที่เป็นอุปสรรคที่ไม่เอาชนะได้เพื่อไปถึงความรักของพระเจ้า ความจริงแล้ว นักบุญเปาโลกล่าวว่าใครก็ตามที่เชื่อในพระเจ้าในขณะอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น แล้วมอบความไว้วางใจให้กับพระองค์ ก็จะชนะทุกสิ่ง
ในยุคของ “ซุปเปอร์ฮีโร่”หรือ มนุษย์นั้นสุดยอด คาดหวังจะครอบงำด้วยการใช้ความหยิ่งทรนงและอำนาจนี้เอง แต่ในทางตรงข้าม พระวรสารกลับยื่นข้อเสนอให้เรามีความสุภาพอ่อนโยนและเปิดตนเองให้กับความคิดของผู้อื่น
“ใครจะพรากเราจากความรักของพระคริสตเจ้าได้”
เคียร่า ลูบิค ผู้ก่อตั้งคณะโฟโคลาเรให้คำแนะนำที่จะช่วยให้เราเจริญชีวิตตามพระวาจาเดือนนี้ว่า “แน่นอนว่าเราเชื่อ หรืออย่างน้อยที่สุดเราพูดว่าเราเชื่อในความรักของพระเจ้า อย่างไรก็ตาม บ่อยครั้งนั้นความเชื่อของเรามิได้กล้าหาญอย่างที่ควรจะเป็น เมื่อเผชิญหน้ากับความยากลำบาก เช่นในเวลาที่เจ็บป่วยหรือถูกประจญ เราจึงปล่อยตัวเองให้ถูกครอบงำด้วยความสงสัยว่า “พระเจ้าทรงรักฉันจริงหรือ” ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม เราไม่ควรจะมีความสงสัยใดๆ แล้วไม่ต้องรีรอใดๆเลย เราควรปลดปล่อยตัวเราเองด้วยความวางใจในความรักของพระบิดาเจ้า เราควรเอาชนะความมืดและความรู้สึกว่างเปล่าที่เราอาจจะมีด้วยการกอดไม้กางเขนไว้ แล้วกระทำทุกสิ่งที่สามารถกระทำได้ ด้วยการรักพระเจ้าในการทำตามพระประสงค์และรักเพื่อนพี่น้องของเรา ถ้าเราทำเช่นนี้พร้อมกับพระเยซูเจ้า เราจะรู้สึกถึงความเข้มแข็งและความชื่นชมยินดีแห่งการกลับคืนชีพ เราจะได้ผ่านประสบการณ์ด้วยตัวของเราเองว่านี่เป็นเรื่องที่จริงแท้ ที่ทุกๆสิ่งเปลี่ยนแปลงไปถ้าเรามอบตัวเราเองให้กับความรักของพระองค์ ทุกสิ่งที่เป็นลบจะกลับกลายเป็นบวก ความตายจะกลายเป็นแหล่งกำเนิดของชีวิตและแสงสว่างอันเจิดจ้าจะพังทลายเงามืดให้หายไป”
“ใครจะพรากเราจากความรักของพระคริสตเจ้าได้”
แม้แต่ในขณะเกิดโศกนาฎกรรมของสงคราม ถ้ามีใครสักคนยังคงเชื่อในความรักของพระเจ้าต่อไป เขาผู้นั้นจะสามารถทำให้แสงริบหรี่แห่งมนุษยชาตินั้นฝ่าฟันอุปสรรคให้ผ่านพ้นไปได้ “ณ คาบสมุทรบอลข่าน ประเทศของเราตกอยู่ในช่วงเวลาแห่งความขัดแย้งของสงคราม พวกทหารที่เคยรบอยู่ในแนวหน้ามาเข้าร่วมกับกองร้อยของเรา บ่อยครั้งที่พวกเขามีความเจ็บปวดบอบช้ำทางจิตใจมากเพราะได้เห็นความตายของญาติพี่น้องและเพื่อนต่อหน้าต่อตา สิ่งเดียวที่ฉันสามารถกระทำได้ก็คือ พยายามให้ความรักกับพวกเขาทีละคนๆในช่วงเวลาพักที่เงียบสงบซึ่งหายากมากนั้น ฉันคุยกับพวกเขาถึงสิ่งที่พวกเขาถึงสิ่งที่อยู่ในใจ ถึงแม้หลายคนมิได้เป็นผู้ที่มีความเชื่อในศาสนาก็ตาม แต่เราได้พูดถึงพระเจ้า เมื่อได้โอกาส ฉันได้นำเสนอให้เชิญพระสงฆ์มาทำพิธีบูชาขอบพระคุณ พวกเขาทุกคนต่างเห็นด้วย และมีเพื่อนทหารบางคนที่ไปสารภาพบาปเป็นครั้งแรกในรอบยี่สิบปี ฉันรู้สึกว่าฉันสามารถพูดได้ว่า พระเจ้าทรงประทับอยู่กับพวกเรา”
เลติเซีย มากริ
พระวาจาทรงชีวิต กรกฎาคม 2020
“เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา” (มัทธิว 12:50)
พระวรสารนักบุญมัทธิวนี้กล่าวถึงชีวิตของพระเยซูเจ้าที่ดูเหมือนว่าไม่สำคัญ พระมารดาและบรรดาญาติของพระองค์มาที่เมืองคาเปอร์นาอุม ซึ่งพระเยซูเจ้าประทับอยู่กับอัครสาวก กำลังประกาศความรักของพระบิดาให้กับทุกคน พระมารดาและญาติเดินทางมาไกลและอยากจะมาพูดคุยกับพระองค์ พระมารดาและญาติมิได้ตรงไปยังสถานที่ ที่พระองค์ทรงอยู่ แต่ส่งข้อความไปให้ว่า “พระมารดาและพี่น้องของพระองค์ ที่กำลังยืนอยู่ข้างนอกต้องการจะพูดกับพระองค์”
ครอบครัวเป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับชาวอิสราเอลเพราะประชากรอิสราเอลโดยรวมแล้วนับว่าเป็น “บุตร” ของพระเจ้าและเป็นทายาทตามคำสัญญาของพระเจ้า ยิ่งกว่านั้นพวกเขายังเห็นพ้องต้องกันว่าเป็น “พี่น้องชายหญิง” กันและกัน แต่พระเยซูเจ้าทรงเปิดมุมมองที่ไม่มีใครคาดคิด พระองค์ทรงชี้ไปยังอัครสาวกและผู้ติดตามกล่าวว่า
“เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา”
พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยมิติใหม่ว่า ไม่ว่าใครก็ตามจะสามารถรู้สึกได้ถึงการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวนี้ ถ้าผู้นั้นผูกมัดตนเองในการรู้จัก และปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาเจ้า
ใครก็ตามไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่หรือเด็ก ชายหรือหญิง แข็งแรงหรือเจ็บป่วย ทุกวัฒนธรรมและทุกฐานะในสังคม ใครก็ตาม หมายถึงทุกคนที่ถูกสร้างขึ้นในพระฉายาของความรักของพระเจ้า แท้จริงแล้วทุกคนได้รับการสร้างจากพระเจ้า ทุกคนจึงสามารถเข้าไปในความสัมพันธ์ แห่งการรู้จักและเป็นมิตรกับพระเจ้าได้
ด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงสามารถกระทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าได้ นั่นคือการรักพระเจ้าและรักกันและกัน ถ้าเรารัก พระเยซูเจ้าทรงจดจำเราได้ว่าเราเป็นครอบครัวของพระองค์ เป็นพี่เป็นน้องของพระองค์ นี่จึงเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่มาก ทำให้เราประหลาดใจว่า การทำตามพระประสงค์ปลดปล่อยเราให้เป็นอิสระจากอดีต จากความกลัว จากวิธีที่เรามองสิ่งต่างๆ ด้วยมุมมองนี้เอง ข้อจำกัดและความเปราะบางต่างๆของเราสามารถเป็น “กระดานกระโดด” ที่ผลักดันเราให้กระทำได้จนสำเร็จ เป็นการกระโดดที่มีคุณภาพในการกระทำทุกสิ่ง
“เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา”
ในทำนองเดียวกัน เป็นตัวเราด้วยที่สามารถเป็น “มารดา” ของพระเยซูเจ้า ในแบบเดียวกับที่พระแม่มารีย์ที่ได้ทรงน้อมรับ พร้อมกระทำทุกสิ่งสำหรับพระเจ้า ตั้งแต่ทรงตั้งครรภ์จนกระทั่งถึงเชิงเขากัลวาลีโอ แล้วต่อมาจึงมีการกำเนิดพระศาสนจักรขึ้นมา เราเช่นกันที่สามารถให้กำเนิดและการเกิดใหม่ให้กับพระเยซูเจ้าในตัวของเราได้ ด้วยการเจริญชีวิตตามพระวรสาร และความรักซึ่งกันและกันของเราจะสามารถมีส่วนร่วม ในการก่อให้เกิดการประทับอยู่ของพระเยซูเจ้าในกลุ่มต่างๆของเราได้
เคียร่า ลูบิค ได้กล่าวกับกลุ่มคนที่กระตือรือล้นในการเจริญชีวิตตามพระวาจาของพระเจ้าว่า “‘จงเป็นครอบครัว’ มีใครในท่ามกลางพวกคุณที่กำลังทุกข์เพราะถูกประจญด้านชีวิตฝ่ายจิตและศีลธรรมไหม ขอให้เราเข้าใจคนอื่นในแบบเดียวกับในความเป็นแม่ จงให้แสงสว่างแก่เขา โดยผ่านทางคำพูดหรือตัวอย่างของเรา อย่าปล่อยให้เขาขาดแคลนความอบอุ่นแห่งครอบครัว แต่ให้เราเพิ่มความอบอุ่น มีใครในพวกท่านที่กำลังทุกข์ทรมานฝ่ายกายไหม พวกเขาอาจจะเป็นพี่น้องชายหญิงอันเป็นที่รักของเรา ...ก่อนกระทำกิจการใด ขอให้เรามีจิตแห่งครอบครัวเป็นอันดับแรกกับพี่น้องชายหญิง ขอให้นำอุดมการณ์ของพระเยซูคริสตเจ้าไปด้วย... ท่านจะกระทำเพียงการพยายามสร้างสรรค์ให้เกิดความรอบคอบ ความระมัดระวัง ด้วยการมีความตั้งใจมั่น การมีจิตแห่งครอบครัว นี่คือจิตที่สุภาพ จิตที่ปรารถนาให้กับทุกๆคนอย่างดีที่สุด มิใช่ความหยิ่ง แต่เป็นความรักเมตตาที่แท้จริง”
“เพราะผู้ที่ปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นเป็นพี่น้องชายหญิงและเป็นมารดาของเรา”
ในชีวิตประจำวัน เราสามารถค้นพบภาระหน้าที่ที่พระบิดาเจ้าทรงมอบความไว้วางใจให้กับเราแต่ละคนเพื่อที่จะสร้างครอบครัวมนุษย์ที่ยิ่งใหญ่
ที่เมืองฮอมส์ ประเทศซีเรีย มีเด็กมากกว่าหนึ่งร้อยห้าสิบคน ส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ไปเรียนพิเศษในอาคารที่เป็นของพระศาสนจักรออโธดอกซ์กรีก ผู้อำนวยการชื่อซานดรากล่าวว่า “เราคือทีมงานครูและผู้เชี่ยวชาญต่างๆ เป้าหมายของเราคือการสร้างสรรค์ให้เกิดบรรยากาศครอบครัวที่ให้การต้อนรับและให้การสนับสนุนส่งเสริม งานของเราคือการเสวนาและส่งเสริมให้เกิดคุณค่าดีงามต่างๆ มีเด็กหลายคนได้รับบาดเจ็บและมีประสบการณ์ที่เป็นทุกข์ เด็กบางคนเฉยเมยเฉื่อยชาและบางคนก้าวร้าว พวกเราต้องการที่จะสร้างให้เกิดความมั่นใจในตนเองในตัวของพวกเขาและให้มีความไว้วางใจกัน หลายครอบครัวเป็นทุกข์เสียใจกับการสูญเสียอันยิ่งใหญ่ หรือถูกแยกออกจากกันเพราะสงคราม ณ ที่นี้พวกเขาได้พบกับน้ำใจ และความหวังที่จะเริ่มต้นใหม่อีกครั้งหนึ่ง”
เลติเซีย มากริ
“ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา
ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”
(มัทธิว 10:40)
พระวรสารนักบุญมัทธิวตอนนี้เล่าถึง พระเยซูเจ้าทรงเลือกอัครสาวกทั้ง 12 คน แล้วพระองค์ทรงส่งออกไปให้เทศน์สอนถึงข่าวดี
พระเยซูเจ้าทรงเรียกชื่ออัครสาวกทีละคนๆ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวที่พวกเขาได้มีกับพระองค์ และติดตามพระองค์ตั้งแต่เริ่มแรกของพันธกิจ พวกเขาได้เรียนรู้ถึงวิถีทางของพระองค์ในการกระทำสิ่งต่างๆ เช่น ทรงใกล้ชิดกับผู้ป่วย คนบาป คนที่ถูกผีสิง และคนที่อยู่ชายขอบของสังคม คนที่ใครๆต่างหลีกเลี่ยงรวมถึงสาปแช่งด้วย หลังจากพระเยซูเจ้าทรงกระทำสัญลักษณ์ที่เป็นภาคปฏิบัติแห่งความรักให้กับประชากรของพระองค์แล้ว พระเยซูเจ้าทรงเตรียมประกาศถึงพระอาณาจักรของพระเจ้าที่ใกล้เข้ามาแล้ว
ด้วยเหตุนี้ บรรดาอัครสาวกจึงถูกส่งออกไปในพระนามของพระเยซูเจ้า ในฐานะที่เป็น “ทูต” ของพระเยซูเจ้าที่ได้รับการต้อนรับจากทุกคน
บ่อยครั้งบุคคลสำคัญในพระคัมภีร์ ที่เปิดใจจากต้อนรับแขกผู้มาเยือนที่ไม่คาดคิด พวกเขาพบว่าพระเจ้าเองที่ได้เสด็จมาเยี่ยมพวกเขาแม้แต่ในปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัฒนธรรมที่ยังคงรักษาความเป็นชุมชนอย่างแน่นแฟ้น พวกเขาถือว่า แขกผู้มาเยือนนั้นคือแขกผู้ศักดิ์สิทธิ์ และเขาจัดที่นั่งที่ดีที่สุด ถึงแม้ว่าเจ้าบ้านจะยังไม่รู้จักกับแขกก็ตาม
“ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา
ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”
พระเยซูเจ้าทรงสั่งสอนอัครสาวกทั้ง 12 คน พวกเขาต้องออกเดินทางด้วยเท้าเปล่า มีย่ามใบเล็ก เสื้อผ้าชุดเดียว ... พวกเขาต้องมองตัวเองว่าเป็นแขก ที่เต็มใจรับการให้การต้อนรับจากผู้อื่นด้วยความสุภาพถ่อมตน พวกเขามีหน้าที่ต้องให้การดูแลเอาใจใส่ ช่วยเหลือคนยากจนด้วยใจอิสระ และมอบของประทานแห่งสันติสุขให้กับทุกๆคนที่พบเห็น พวกเขาทำแบบเดียวกันกับพระเยซูเจ้า คือต้องอดทนเมื่อเผชิญหน้ากับความเข้าใจผิด การถูกเบียดเบียน และแน่ใจว่าความรักของพระบิดานั้นจะช่วยพวกเขาได้
ด้วยหนทางนี้เอง ผู้โชคดีที่ได้พบกับบรรดาอัครสาวกจึงได้รับประสบการณ์จริงแห่งความอ่อนโยนของพระเจ้า
“ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”
คริสตชนทุกคนต่างมีพันธกิจแบบเดียวกับอัครสาวก นั่นคือ การเป็นประจักษ์พยานความรักของพระเจ้าที่เราได้พบมาแล้ว โดยผ่านทางการกระทำ เราควรทำเช่นนี้เป็นอันดับแรก จากนั้นจึงพูด ในขณะเดียวกันให้คงไว้ซึ่งท่าทีแห่งความอ่อนโยนด้วย เพื่อว่าความรักของพระเจ้าจะกลายเป็นความจริง ที่นำความชื่นชมยินดีให้กับคนจำนวนมาก เพราะว่าพวกเขาได้รับการยอมรับจากพระเจ้าถึงแม้ว่าจะมีความอ่อนแอตามประสามนุษย์ ประจักษ์พยานแรกที่พวกเขาสามารถกระทำได้ก็คือ การยินดีต้อนรับเพื่อนบ้านของเขาด้วยความอบอุ่น
บ่อยครั้ง สังคมให้ความสำคัญกับการแสวงหาความสำเร็จ และการไม่ต้องพึ่งพาใครแบบเห็นแก่ตัว แต่ว่าคริสตชนต่างได้รับเรียกให้แสดงให้ผู้คนเห็นถึงความสวยงามของการเป็นครอบครัว ที่รู้ว่าแต่ละคนขาดแคลนอะไร แล้วให้ความรักซึ่งกันและกันนั้นเป็นตัวขับเคลื่อนไป
“ผู้ที่ต้อนรับท่านทั้งหลาย ก็ต้อนรับเรา
ผู้ที่ต้อนรับเรา ก็ต้อนรับพระองค์ผู้ทรงส่งเรามา”
เคียร่า ลูบิค ได้เขียนถึงเรื่องการต้อนรับตามแบบพระวรสารว่า “...พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้เห็นถึงความรักของพระบิดาเจ้าสวรรค์ที่เต็มเปี่ยมในการต้อนรับเราแต่ละคน ด้วยเหตุนี้เองเราควรจะมีความรักเช่นนี้ให้แก่กันและกัน... ขอให้เราพยายามที่จะเจริญชีวิตตามพระวาจาทรงชีวิตนี้ในครอบครัวของเรา ในสังคม ในชุมชน และในที่ทำงาน เราสามารถกระทำได้ด้วยการกำจัดความรู้สึกของการตัดสินคน การเลือกปฏิบัติ อคติ ความไม่พอใจ หรือ ความไม่อดทนต่อเพื่อนพี่น้องของเรา บ่อยครั้งที่ท่าทีเหล่านี้อย่างง่ายดายในใจของเรา ซึ่งทำให้เราดูเหมือนว่าเป็นคนที่เย็นชา เป็นผู้บ่อนทำลาย ท่าทีเหล่านี้เป็นเหมือนกับสนิมที่เกาะเป็นชั้นหนากีดกันไม่ให้มีความรักซึ่งกันและกัน... การยอมรับผู้ที่แตกต่างจากเรา คือรากฐานของความรักแบบคริสตชน นี่คือจุดเริ่มต้น เป็นก้าวแรกในการสร้างอารยธรรมแห่งความรักและวัฒนธรรมของความเป็นมิตร ที่พระเยซูเจ้าทรงเรียกร้องจากเราในวันนี้”
เลติเซีย มากริ
“ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้ว เพราะวาจาที่เรากล่าวกับท่าน” (ยอห์น 15:3)
หลังอาหารค่ำมื้อสุดท้ายกับบรรดาอัครสาวก พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นไปห้องชั้นบน และเดินไปยังภูเขามะกอกเทศ พร้อมกับอัครสาวก 11 คน ยูดาส อิสคาริโอท จากไปแล้วและในไม่ช้าจะทรยศต่อพระองค์
เป็นช่วงเวลาที่สำรวมและสะเทือนใจ ระหว่างอาหารค่ำนั้นพระเยซูเจ้าทรงกล่าวอำลาเป็นเวลานาน เพราะพระองค์ประสงค์จะตรัสถึงสิ่งที่สำคัญให้กับอัครสาวกที่ใกล้ชิดที่สุด และทรงประทานพระวาจาที่ไม่มีวันลืมเลือนได้
อัครสาวกของพระองค์เป็นชาวยิวที่รู้พระคัมภีร์ดี พระองค์ทรงเตือนให้พวกเขาระลึกถึงเถาองุ่น ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ เถาองุ่นหมายถึงชาวยิวผู้เป็นชนชาติที่พระเจ้าทรงดูแลเอาใจใส่ พระเจ้าทรงเป็นชาวสวนที่เชี่ยวชาญและเอาใจใส่อย่างดี บัดนี้ พระเยซูเจ้าตรัสถึงตัวพระองค์เองว่า เป็นเถาองุ่นที่หล่อเลี้ยงชีวิตสาวกของพระองค์ ด้วยความรักของพระบิดา ด้วยเหตุนี้ พวกเขาต้องมุ่งเน้นในการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระองค์
“ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้ว เพราะวาจาที่เรากล่าวกับท่าน”
วิธีหนึ่งที่จะคงไว้ซึ่งการเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า คือการต้อนรับพระวาจาของพระองค์ พระวาจาทำให้พระเจ้าเสด็จเข้าไปยังดวงใจของเราเพื่อทำให้ “บริสุทธิ์” คือดวงใจของเราถูกชำระให้สะอาดปราศจากความเห็นแก่ตัว เพื่อคู่ควรกับการผลิดอกออกผลที่มีคุณภาพมากมาย
พระบิดาทรงรักเราและทรงทราบดีกว่าเรา ถึงสิ่งที่จะทำให้เรารู้สึกได้รับการปลดปล่อยจากภาระหนัก มีอิสระจากภาระเหล่านี้ที่ไม่มีประโยชน์ และไม่จำเป็นที่เรายึดติดอยู่ จากการตัดสินผู้อื่นในด้านลบ การกระวนกระวายใจในการแสวงหา ทำให้ทุกสิ่งดำเนินไปเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง จากภาพลวงตาในการเก็บรักษาทุกอย่างเอาไว้และทุกคนต้องอยู่ภายใต้การควบคุม แม้ว่าในใจของเรายังมีแรงบันดาลใจและโครงการดีๆ แต่ว่าสิ่งเหล่านี้อาจจะเข้ามาแทนที่ของพระเจ้าได้ ซึ่งทำให้เราสูญเสียความร้อนรนในการเจริญชีวิตพระวรสาร นี่จึงเป็นเหตุผลที่บางครั้งพระเจ้าทรงเข้ามาเกี่ยวข้องในชีวิตของเรา โดยผ่านทางสถานการณ์และประสบการณ์ต่างๆอันเจ็บปวด แต่ในความเป็นจริงพระเจ้าทรงดูแลเราด้วยความรักอยู่เสมอ
ความชื่นชมยินดีอันเต็มเปี่ยม คือผลของพระวรสารที่ได้สัญญากับผู้ที่ยอมให้ตัวเองนั้นถูกตัดแต่ง และต่อเติมด้วยความรักของพระเจ้า นี่คือความชื่นชมยินดีพิเศษสุด ซึ่งเกิดขึ้นได้แม้แต่ท่ามกลางน้ำตา และเอ่อล้นออกมาจากหัวใจอย่างท่วมท้น เปรียบเหมือนกับการที่เราได้ลิ้มรสของการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า
“ท่านทั้งหลายก็สะอาดอยู่แล้ว เพราะวาจาที่เรากล่าวกับท่าน”
การเจริญชีวิตตามพระวาจาทรงชีวิต ทำให้เราก้าวออกจากตัวเอง และออกไปพบกับเพื่อนพี่น้องด้วยความรัก เริ่มต้นจากคนที่อยู่ใกล้เราที่สุดก่อน ในครอบครัว ในเมืองของเรา และในทุกๆพื้นที่ของชีวิต ทำให้เราสามารถสร้างมิตรภาพ ก่อให้เกิดเครือข่ายของความสัมพันธ์เชิงบวก โดยมีเป้าหมายในการปฏิบัติตามพระบัญญัติของความรักซึ่งกันและกัน เสริมสร้างความเป็นครอบครัว
เคียร่า ลูบิค ได้เขียนบทรำพึงถึงพระวาจาจากนักบุญยอห์นตอนนี้ว่า “เราจะเจริญชีวิตในแบบใด เพื่อเราสมควรจะได้รับคำสรรเสริญจากพระเยซูเจ้า เราสามารถนำพระวาจาของพระเจ้าทุกๆคำมาปฏิบัติ หล่อเลี้ยงด้วยพระวาจาทีละขณะ ทีละตอน และทำให้การมีชีวิตอยู่ของเรานั้นเป็นผลงานของการประกาศพระวรสารใหม่ที่ดำเนินต่อไป การเจริญชีวิตแบบนี้ทำให้เรามีความคิด และความรู้สึกที่เหมือนกับพระเยซูเจ้า เราจะเจริญชีวิตพระเยซูเจ้าใหม่ในโลก แสดงให้เห็นความบริสุทธิ์และความโปร่งใสของพระวรสารที่ให้กับสังคม แต่บ่อยครั้งกลับถูกบิดเบือนจากปีศาจและบาป
ดังนั้น ในเดือนนี้ถ้าเป็นไปได้ (ถ้าคนอื่นๆเห็นด้วยกับข้อตั้งใจของเรา) ให้เราลองดำเนินชีวิตตามพระบัญญัติของความรักซึ่งกันและกันเป็นพิเศษ สำหรับนักบุญยอห์น ผู้นิพนธ์พระวรสารนั้น [... ] พระวาจาของพระเยซูคริสตเจ้ากับพระบัญญัติใหม่นั้นเกี่ยวโยงกัน ตามความคิดของท่านนั้น ความรักซึ่งกันและกันที่เราเจริญชีวิตตามพระวาจานี้ก่อให้เกิดผลมากมาย คือความบริสุทธิ์ ความศักดิ์สิทธิ์ การปราศจากบาป การบังเกิดผลมากมาย และความใกล้ชิดสนิทสัมพันธ์กับพระเจ้า ถ้าเราเจริญชีวิตโดยลำพัง เราจะไม่สามารถต้านทานกับแรงกดดันของโลกได้นาน แต่ในความรักซึ่งกันและกัน เราจะพบกับความสามารถในการปกป้องชีวิตคริสตชนที่แท้จริงได้”
เลติเซีย มากริ
“ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข”
(ยอห์น 20:29)
นักบุญยอห์นอธิบายหลายครั้งหลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพ และเสด็จมาหาบรรดาอัครสาวก มารี มักดาลา และสาวกคนอื่นๆ พระองค์ทรงมีรอยแผลที่ถูกตรึงบนกางเขน แต่การปรากฏพระกายของพระองค์กลับทาให้หัวใจของทุกคนที่เห็นพระองค์เต็มเปี่ยมด้วยความชื่นชมยินดี และมีความหวังขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง แต่อัครสาวกโทมัสได้พลาดโอกาสนั้น หลายคนได้เล่าให้โทมัสฟังถึงประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์ใจ เพราะต้องการจะส่งความชื่นชมยินดีแบบเดียวกันนี้ให้กับโทมัส แต่ว่าโทมัสไม่ยอมรับกับประจักษ์พยานของพวกเขาได้ เพราะต้องการที่จะเห็นและสัมผัสกับพระเยซูเจ้าด้วยตัวเอง
ไม่กี่วันต่อมาพระเยซูเจ้าทรงปรากฎกายอีกครั้งหนึ่งต่อหน้ากลุ่มอัครสาวก ซึ่งมีโทมัสอยู่ที่นั่นด้วย โทมัสประกาศถึงความเชื่อของเขาว่าเขาเป็นของพระผู้ทรงกลับคืนพระชนมชีพทั้งครบ ด้วยคาพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพระองค์และพระเจ้าของข้าพระองค์” พระเยซูเจ้าทรงตอบว่า
“ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็น ก็เป็นสุข”
พระวรสารตอนนี้เขียนขึ้นหลังจากการได้เห็นเป็นประจักษ์พยานถึงชีวิต ความตายและการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า การส่งต่อของเนื้อหาพระวรสารไปยังชนรุ่นต่อๆมานั้น มีพื้นฐานของประจักษ์พยานที่ได้รับการประกาศแล้วส่งต่อไปนี่จึงเป็นการเริ่มต้นของพระศาสนจักร ที่ประชากรของพระเจ้าประกาศข่าวดีของพระเยซูเจ้าต่อไปด้วยการเจริญชีวิตตามพระวาจาของพระองค์
เช่นเดียวกัน เราได้พบกับพระเยซูเจ้า พระวรสารและความเชื่อของคริสตชนโดยผ่านทางพระวาจาและประจักษ์พยานของผู้อื่นแล้วเราจึงเชื่อด้วยเหตุนี้เอง “เราจึงเป็นผู้ที่มีบุญ”
“ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็น กเ็ ป็ นสุข”
เพื่อที่จะเจริญชีวิตตามพระวาจาทรงชีวิตนี้ เคียร่า ลูบิค ผู้ก่อตั้งคณะโฟโคลาเรได้เขียนสิ่งที่มีประโยชน์สาหรับพวกเราว่า “พระเจ้ามีพระประสงค์เน้นยา้ ความมั่นใจให้กับเราและทุกๆคน ที่มิได้มีชีวิตในสมัยเดียวกับพระเยซูเจ้าว่า ความเชื่อที่พวกเรามีเป็นความเป็นจริงแบบเดียวกับของบรรดาอัครสาวก พระเยซูเจ้าต้องการที่จะบอกเราว่า พวกเราไม่ได้มีข้อเสียเปรียบอันใดเลย เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ที่ได้เห็นพระองค์ ความจริงก็คือเรามีความเชื่อและความเชื่อนี้เป็นหนทางใหม่แห่ง “การมองเห็น” พระเยซูเจ้า ด้วยความเชื่อนี้เอง เราจะสามารถพบพระองค์และพบกับพระองค์ในห้วงลึกในใจของเราด้วยความเชื่อนี้เอง เราค้นพบพระองค์ได้ เมื่อมีสองหรือสามคนรวมตัวเป็นหนึ่งเดียวกันในพระนามของพระองค์ หรือในพระศาสนจักรซึ่งเป็นการสืบทอดของพระองค์
พระวาจาของพระเยซูเจ้าคือ คาเชิญให้เรารื้อฟื้นความเชื่อของเราขึ้นมาใหม่ ไม่ต้องรอการสนับสนุน หรือสัญญาณแห่งความก้าวหน้าในชีวิตฝ่ายจิตของเรา ไม่ต้องมีข้อสงสัยใดๆกับการประทับอยู่ของพระเยซูคริสตเจ้าในชีวิตของเรา และในประวัติศาสตร์ด้วย ถึงแม้จะดูเหมือนว่าพระองค์ทรงอยู่ห่างไกลจากเราก็ตาม พระองค์มีพระประสงค์ให้เราเชื่อในความรักของพระองค์ถึงแม้ว่าเราจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลา บาก หรือเหตุการณ์ที่เป็นไปไม่ได้ก็ตาม”
“ผู้ที่เชื่อแม้ไม่ได้เห็น กเ็ ป็ นสุข”
แอน เยาวชนพิการชาวออสเตรเลียนแบ่งปันประสบการณ์ว่า “ตอนที่ดิฉันเป็นวัยรุ่นก็สงสัยว่าทา ไมหนอจึงยังมีชีวิตอยู่ เพราะความพิการของดิฉันเป็นภาระที่หนักมากเหลือเกิน คุณพ่อคุณแม่ของดิฉันเจริญชีวิตตามพระวาจาทรงชีวิต ท่านได้บอกกับดิฉันว่า “ลูกแอนพระเจ้าทรงรักลูกอย่างมากมายเหลือล้น และพระองค์ทรงมีแผนการพิเศษสาหรับลูก” ท่านทั้งสองช่วยให้ดิฉันไม่ปิดตัวเอง ดิฉันจะทาอะไรไม่ได้มากเพราะความพิการทางกาย ท่านให้กา ลังใจเสมอ ช่วยให้ดิฉันสามารถที่จะ “รักเป็นคนแรก” รักผู้อื่นเหมือนแบบที่พ ระเจ้าท รงรัก เรา ดิฉัน จึงเห็น ว่าสถาน การณ ์ต่างๆ รอบ ตัว ดิฉัน ได้เปลี่ยนแปลงไป และมีผู้คนรอบข้างเข้ามาหาดิฉัน ดิฉันได้เปิดตัวเองกับคนอื่นๆมากขึ้น
คุณพ่อดิฉันเขียนข้อความถึงดิฉัน และบอกว่าลูกจะเปิ ดอ่านได้ตอนที่ท่านจากโลกนี้ไปแล้ว ท่านเขียนเพียงประโยคเดียวว่า “ค่า คืนของพ่อไม่มีวันมืดมิด” นี่เป็นระสบการณ์ในชีวิตประจาวันของดิฉันคือ ดิฉันเลือกที่จะรักและรับใช้ผู้คนรอบข้างเสมอ จึงไม่มีความมืดมิดอีกต่อไป และดิฉันสามารถทาประสบการณ์แห่งความรัก ที่พระเจ้าทรงมีสา หรับดิฉันได้ค่ะ”
เลติเซีย มากริ
“ท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไร ก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิดนี่คือธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก”
(มัทธิว 7:12)
เมื่อเราต้องตัดสินใจทำสิ่งสำคัญในชีวิต มีกี่ครั้งไหมที่เราได้มองหา “เข็มทิศ” เพื่อให้แน่ใจว่าเราได้เลือกสิ่งที่ถูกต้อง ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน มีกี่ครั้งที่เรา
ได้ถามตัวเองว่าอะไรคือแก่นแท้ของพระวรสาร ที่เป็นกุญแจไขเข้าไปยังหัวใจของพระเจ้า และเจริญชีวิตในฐานะที่เป็นลูกของพระองค์
พระวาจาของพระเยซูเจ้านี้ให้คำตอบที่ชัดแจ้งแก่เรา และเข้าใจง่ายรวมถึงการนำไปปฎิบัติในชีวิต พระวาจาทรงชีวิตจากพระวรสารนักบุญมัทธิวนี้เป็นส่วนหนึ่ง
ของบทเทศน์บนภูเขา ที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเราว่า จะเจริญชีวิตคริสตชนได้อย่างเต็มเปี่ ยมในแบบใด คำสอนของพระองค์สรุปได้ในพระวาจาทรงชีวิตเดือนนี้
ปัจจุบันนี้ มีความจำเป็นต้องหาข้อความที่มีความหมายแต่สั้นๆและปฏิบัติได้ผล เราสามารถต้อนรับพระวาจาของพระองค์ว่าเป็นสาระที่มีค่า เพื่อรักษาไว้ให้ไม่
เสื่อมคลาย
“ท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไร ก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิดนี่คือธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก”
เพื่อจะได้เข้าใจให้ดียิ่งขึ้นว่าเราจะทำอะไรเพื่อผู้อื่นดี พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนให้เราเอาใจเขามาใส่ใจเรา และพระองค์ทรงกระทำเช่นนี้ด้วยความรัก เพื่อพวก
เราเมื่อพระองค์ทรงรับเอาธรรมชาติของมนุษย์มาเป็นของพระองค์เอง
ถ้าเราถามตัวเราเองว่าเราคาดหวังอะไรจากพ่อแม่ ลูก เพื่อนร่วมงานนักการเมือง และผู้นำทางศาสนา เราตระหนักได้ว่าเราอยากจะได้รับการต้อนรับ
การรับฟัง การเป็ นพวกเดียวกัน และมีผู้ให้สิ่งของที่จำเป็ นแก่เรา รวมทั้งเรายังต้องการความจริงใจ การยกโทษ การให้กำลังใจ ความอดทน คำแนะนำ การนำทาง
และความรู้... สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว พระองค์ทรงมีท่าทีภายในที่ก่อให้เกิดการกระทำในภาคปฎิบัติ ซึ่งนำพาไปสู่ความสำเร็จสมบูรณ์ตามกฎบัญญัติของพระเจ้า
และความมั่งคั่งทั้งมวลของชีวิตฝ่ ายจิต
พระวาจานี้คือ “กฏทอง” เป็นคำสอนสากลที่บรรจุอยู่ในวัฒนธรรม ศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ซึ่งมนุษยชาติได้พัฒนากฎทองนี้ตลอดช่วงเวลา
อันยาวนาน กฎทองเป็นพื้นฐานของคุณค่าต่างๆที่แท้จริงของมนุษย์ ที่นำพาไปสู่การอยู่ร่วมกันอย่างมีสันติสุข โดยมีความสัมพันธ์ทั้งทางส่วนตัวและทางสังคม
“ท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไร ก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิดนี่คือธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก”
พระวาจาทรงชีวิตนี้กระตุ้นเราให้กระทำอย่างสร้างสรรค์และใจกว้าง เป็นผู้เริ่มต้นกระทำเพื่อประโยชน์ของทุกๆคน และเพื่อสร้างสะพานไปยังผู้คนที่ไม่ได้เป็น
เพื่อนกับเรา พระเยซูเจ้าทรงสอนและกระทำเช่นนี้ พระวาจานี้เรียกร้องเราให้หลีกเลี่ยงการปิ ดตัวของเราเอง เพื่อว่าเราจะสามารถเป็นประจักษ์พยานที่เชื่อถือได้
ถึงความเชื่อของเรา
เคียร่า ลูบิค ให้กำลังใจเรากระทำสิ่งนี้ว่า “ขอให้พวกเราพยายามกระทำเช่นนี้ การเจริญชีวิตในหนทางนี้เพียงวันเดียวนั้นมีค่าถึงชั่วชีวิตทีเดียว... เราจะได้รับ
การเติมเต็มด้วยความชื่นชมยินดี ที่เราจะไม่เคยรู้สึกได้มาก่อนเลย... พระเจ้าทรงประทับอยู่กับเราเพราะว่าพระองค์ทรงประทับอยู่กับผู้ที่กระทำด้วยความรัก...
บางครั้งเราอาจจะเฉื่อยช้าลง รู้สึกหมดกำลังใจ และถูกประจญให้หยุดกระทำ... แต่ว่าอย่าหยุดเลย จงมีความกล้าเถิด พระเจ้าจะทรงประทานพระหรรษทานที่จำเป็น
ให้กับเรา ด้วยเหตุนี้ เราจึงสามารถเริ่มต้นใหม่ได้เสมอ ถ้าเราเพียรทนเราจะมองเห็นว่าโลกรอบตัวเรานั้นกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ เราจะเข้าใจได้ว่าพระวร
สารนั้นทำให้ชีวิตมีเสน่ห์มากขึ้น พระวรสารนำแสงสว่างมาสู่โลก พระวรสารให้รสชาติแก่การมีชีวิต การเป็นอยู่ของเรา และพระวรสารบรรจุหลักการที่แก้ปัญหา
ต่างๆได้ เราจะไม่รู้สึกเป็นปกติสุขเลย จนกว่าเราจะได้สื่อสารประสบการณ์พิเศษของเราให้แก่คนอื่นๆ ให้แก่เพื่อนที่สามารถเข้าใจเรา ให้แก่ญาติพี่น้อง ให้แก่ทุกๆ
คนที่เรารู้สึกได้รับแรงผลักดันให้แบ่งปัน ความหวังจะเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งหนึ่งแน่นอน”
“ท่านอยากให้เขาทำกับท่านอย่างไร ก็จงทำกับเขาอย่างนั้นเถิดนี่คือธรรมบัญญัติและคำสอนของบรรดาประกาศก”
รามิโอเป็ นพนักงานในกลุ่มที่ทำงานยาวนานที่สุด เมื่อเขาได้ข่าวว่าจะมีพนักงานใหม่เข้ามาทำงานในสำนักงาน เขาจึงถามตัวเองว่า “ถ้าผมเข้ามาทำงานใน
สำนักงานนี้เป็ นครั้งแรก ผมจะพบกับอะไร มีอะไรบ้าง ที่จะทำให้ผมรู้สึกว่าสำนักงานนี้น่าทำงาน” เขาจึงเริ่มคิดหาวิธี เพื่อให้ที่ทำงานมีบรรยากาศน่าอยู่ เขาขอ
ความร่วมมือกับเพื่อนๆ จัดหาโต๊ะทำงานเพิ่ม และช่วยกันจัดสถานที่ทำงานให้น่าทำงาน และมีบรรยากาศใหม่ เพื่อว่าเมื่อพนักงานใหม่มาถึง พวกเขาจะได้พบกับ
บรรยากาศที่ดี และพบกับเพื่อนร่วมงานที่มีความเป็นนา้ํ หนึ่งใจเดียวกัน
เลติเซีย มากริ
ทันใดนั้นบิดาของเด็กก็ร้องว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดช่วยความเชื่อเล็กน้อยของข้าพเจ้าด้วยเถิด” (มาระโก 9:24)
พระเยซูเจ้าเสด็จไปยังกรุงเยรูซาเลมพร้อมกับบรรดาอัครสาวกที่เตรียมตัวสาหรับการนัดหมายด้วยความเด็ดเดี่ยว เพราะจะพบกับการไม่ยอมรับจากผู้มีอานาจทางศาสนา จะถูกกล่าวหาที่รุนแรงถึงชีวิตจากทหารโรมัน จะถูกตรึงบนกางเขน และจะเสด็จกลับคืนชีพ
นี่เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจได้สาหรับนักบุญเปโตรและอัครสาวก พระวรสารนักบุญมาระโกช่วยให้เราค่อยๆเข้าใจถึงพันธกิจของพระเยซูเจ้าว่า ความทุกข์ทรมานที่แสนสาหัสของพระองค์นั้น จะเป็นการไถ่มนุษยชาติให้ได้รับความรอด
พระเยซูเจ้าทรงพบปะกับคนมากมายระหว่างการเดินทาง เพราะการเปิดตัวของพระองค์ พระองค์ทรงเข้าใจถึงความต้องการของพวกเขา พระวรสารตอนนี้ พระองค์ทรงตอบกับบิดาที่ร้องไห้ ขอให้พระองค์ทรงรักษาลูกชายที่ป่วยหนักด้วยโรคลมบ้าหมู
เพื่อจะเกิดอัศจรรย์ได้นั้น พระเยซูเจ้าทรงขอให้บิดาของเด็กมีความเชื่อ
ทันใดนั้นบิดาของเด็กก็ร้องว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดช่วยความเชื่อเล็กน้อยของข้าพเจ้าด้วยเถิด”
บิดาของเด็กตอบด้วยเสียงอันดังต่อหน้ าฝูงชนที่รายล้อมพระเยซูเจ้าอยู่คา ตอบนี้ดูเหมือนว่าจะขัดแย้งกัน ชายคนนี้ก็เหมือนกันกับเราที่รู้ว่าความเชื่อของตนช่างเปราะบางเสียจริงๆ จึงเป็นเรื่องยากที่เขาจะวางใจอย่างสมบูรณ์ในความรักของพระเจ้า ในแผนการของพระองค์ที่ทรงมีต่อลูกของเขา
แต่ความเป็นจริงคือ พระเจ้าทรงเชื่อใจเราทุกคน ทรงทา ในส่วนของพระองค์โดยที่เรายังไม่ได้ทา อะไรเลย และเราไม่ต้องตอบรับว่า “พระเจ้าข้า” พระองค์ทรงขอให้เราทา ในส่วนของเราแค่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น พระองค์ทรงขอให้เราจดจา เสียงของพระองค์ที่ตรัสกับเราในมโนธรรม ให้วางใจในพระองค์ และเริ่มต้นปฏิบัติกิจการแห่งความรัก
ทันใดนั้นบิดาของเด็กก็ร้องว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดช่วยความเชื่อเล็กน้อยของข้าพเจ้าด้วยเถิด”
ปัจจุบันเราอยู่ในวัฒนธรรมที่เฉยเมยมากกว่าที่จะทา อย่างจริงจัง ซึ่งเป็ นกุญแจไปสู่ความสา เร็จ และความเฉยเมยสามารถทา ได้ในหลายรูปแบบในทางตรงกันข้าม พระวรสารนา เสนอในอีกรูปแบบหนึ่ง คือเราสามารถมองดู
เข้าไปในความอ่อนแอ ข้อจา กัด ความเปราะบางของเรา นั่นคือจุดเริ่มต้นที่จะสร้างความสัมพันธ์กับพระเจ้า และเข้าไปมีส่วนร่วมกับพระองค์ในสิ่งท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดได้ นั่นก็คือ ทา ให้ครอบครัวมนุษยชาติทั้งมวลมีความเป็นนา้ หนึ่งใจเดียวกัน
ตลอดชีวิตของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงสอนให้เราร้ถู ึงข้อความจริงของการรับใช้และยอมรับว่า “เราเป็นผู้ที่ต่า ต้อยที่สุด” นี่คือตา แหน่งที่สมบูรณ์แบบในการที่จะปรับเปลี่ยนสิ่งที่ดูเหมือนว่าจะพ่ายแพ้ให้กลับกลายเป็นชัยชนะ เปลี่ยนชัยชนะที่ไม่ยั่งยืนและเห็นแก่ตัวให้กลายเป็นชัยชนะที่ยั่งยืน และแบ่งปันไปทั่วทุกๆคน
ทันใดนั้นบิดาของเด็กก็ร้องว่า “ข้าพเจ้าเชื่อ โปรดช่วยความเชื่อเล็กน้อยของข้าพเจ้าด้วยเถิด”
ความเชื่อเป็นของประทานจากพระเจ้า เราสามารถและต้องขยันหมั่นเพียรในการขอความเชื่อ เพื่อว่าเราจะสามารถร่วมมือกับพระองค์ในการให้ความหวังแก่ผู้อื่นได้
เคียร่า ลูบิค ผู้ก่อตั้งคณะเขียนไว้ว่า “เพื่อที่จะเชื่อและรู้สึกได้ว่าพระเจ้าทรงเฝ้ ามองเราอยู่ และรักเรานั้น หมายความว่าทุกๆคา ภาวนา ทุกๆสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะดีหรือไม่ดี การเฉยเมย ความเจ็บป่ วย ในทุกสิ่งนั้น พระเจ้าทรงมองเห็น ถ้าพระเจ้าคือองค์ความรัก สิ่งเป็นจริงที่สุดที่เราสามารถทา ได้ก็คือ การวางใจในพระเจ้าอย่างเต็มที่เราสามารถปรับทุกข์กับพระองค์ได้ บอกพระองค์ถึงความเป็นห่วงกังวล คาวอนขอและทุกสิ่งที่เราวางแผนที่จะทา เราแต่ละคนสามารถยอมมอบตัวเราไว้ในความรักของพระองค์ ด้วยความเชื่อมั่นที่เต็มเปี่ ยมว่าพระเจ้าทรงเข้าใจเรา บรรเทาใจเรา และทรงช่วยเหลือเรา ... เราสามารถพูดกับพระองค์ว่า “พระเจ้าข้า ขอลูกพักพิงอยู่ในความรักของพระองค์ ขออย่าให้ลูกมีชีวิตอยู่ในแต่ละขณะ โดยที่ไม่มีความรู้สึก หรือไม่รู้ตัวว่าพระองค์ทรงรักลูก และพระองค์ทรงรักทุกๆคน ดังนั้น เราจะสามารถรักได้ต่อไปความรักทา ให้ความเชื่อของเราแข็งแกร่งและแน่วแน่มั่นคง เราจะไม่เพียงแต่เชื่อในความรักของพระองค์เท่านั้น แต่ว่าเรายังสามารถรู้สึกได้ถึงความรักที่มีอยู่ภายในจิตวิญญาณของเรา และแล้วเราจะมองเห็นอัศจรรย์เกิดขึ้นรอบๆตัวของเรา”
เลติเซีย มากริ