เทคนิคพื้นฐานที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือ การปรับเปลี่ยนรูปปากให้เหมาะสมกับการเป่าในระดับเสียงต่างๆ โดยจะต้องไม่เกิดการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม
เปลี่ยนระดับเสียงโดยการเปลี่ยนทิศทางของลม
สิ่งที่ต้องทำเมื่อเป่าระดับเสียงที่แตกต่างกันคือ การเปลี่ยนทิศทางของลม
เนื่องจากระดับเสียงแต่ระดับละเสียงมีทิศทางของลมที่เหมาะสมกับตัวมันเองอยู่ ฉะนั้นนักฟลูตทุกคนจึงต้องปรับเปลี่ยนรูปปากเพื่อให้เกิดทิศทางของลมที่เหมาะสมกับระดับเสียงต่างๆ เหล่านั้น โดยเฉพาะระดับเสียงที่ห่างกันมากก็ยิ่งจะต้องปรับเปลี่ยนทิศทางของลมมากขึ้น และจะต้องเปลี่ยนในทันทีทันใด มิใช่ค่อยๆ เปลี่ยน
เสียงฟลูตแบ่งออกเป็น 3 ระดับเสียง ได้แก่
1. ระดับเสียงต่ำ (Low Registers)
2. ระดับเสียงกลาง (Middle Registers)
3. ระดับเสียงสูง (High Registers)
นักฟลูตย่อมปรับเปลี่ยนทิศทางของลมในการเป่าระดับเสียงทั้ง 3 ระดับเสียงโดย
1. ระดับเสียงต่ำ (Low Registers) – เป่าให้ทิศทางของลมลงข้างล่าง
2. ระดับเสียงกลาง (Middle Registers) – เป่าให้ทิศทางของลมเป็นกลางๆ คือไม่ลงข้างล่างนักและไม่ขึ้นข้างบนนัก
3. ระดับเสียงสูง (High Registers) – เป่าให้ทิศทางของลมขึ้นข้างบน
นักฟลูตย่อมปรับเปลี่ยนทิศทางของลมโดยการปรับเปลี่ยนรูปปาก
วิธีการปรับเปลี่ยนทิศทางของลมเพื่อให้เหมาะสมกับระดับเสียงต่างๆ คือ การปรับเปลี่ยนรูปปาก
ถ. ปรับเปลี่ยนรูปปากอย่างไร?
ต. ปรับเปลี่ยนรูปปากโดยการเลื่อนกระดูกคาง กล่าวคือ :-
1. ระดับเสียงต่ำ (Low Registers) – เป่าให้ทิศทางของลมลงข้างล่าง โดยการเลื่อนกระดูกคางไปข้างหลัง
2. ระดับเสียงกลาง (Middle Registers) – เป่าให้ทิศทางของลมเป็นกลางๆ คือไม่ลงข้างล่างนักและไม่ขึ้นข้างบนนัก โดยการเลื่อนกระดูกคางให้ไม่ไปข้างหน้ามากนัก และไม่ไปข้างหลังมากนัก
3. ระดับเสียงสูง (High Registers) – เป่าให้ทิศทางของลมขึ้นข้างบน โดยการเลื่อนกระดูกคางไปข้างหน้า
นอกจากนั้นริมฝีปากเบื้องบนก็อาจต้องปรับเปลี่ยนตามสมควรพร้อมๆ กับกับการเลื่อนกระดูกคางดังกล่า
แรงอัดของลมที่เหมาะสมกับการเป่าระดับเสียงต่างๆ
การเป่าฟลูตที่ถูกวิธีจะต้องมีแรงอัดของลม (Air Pressure) ที่เพียงพอ ซึ่งเกิดจากการเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณท้อง
“Support” หมายถึง การเกร็งกล้ามบริเวณท้องเมื่อเป่าฟลูต เพื่อให้เกิดแรงอัดของลมที่เหมาะสม
เมื่อเรานอนโดยการยกไหล่และขาทั้ง ๒ ข้างขึ้น (เป็นรูปตัว V) กล้ามเนื้อบริเวณท้องของเราก็จะเกิดอาการเกร็งโดยอัตโนมัติ
หรือ เมื่อเราออกแรงผลักวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง กล้ามเนื้อบริเวณท้องของเราก็จะเกิดอาการเกร็งโดยอัตโนมัติเช่นเดียวกัน
เมื่อเราเป่าฟลูต เราก็จะต้องออกแรงเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณท้องดังกล่าวเช่นเดียวกัน เพื่อให้เกิดแรงอัดของลมที่เหมาะสม
อันที่จริง การเล่นเครื่องเป่า (Wind Instruments) ทุกประเภท ก็จะต้องออกแรง Support ด้วยวิธีเดียวกันนี้ เพราะถ้าไม่ออกแรงที่ท้องก็จะเป่าให้เกิดเสียงไม่ได้
สิ่งที่แตกต่างกันระหว่างการเป่าฟลูตกับการเป่าเครื่องเป่าชนิดอื่นๆ คือ ฟลูตเป็นเครื่องเป่าที่เป่าให้เกิดเสียงได้โดยการเกร็งปากแทนเกร็งท้อง (ซึ่งไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง) นี้เป็นสิ่งที่จะต้องระมัดระวังเป็นอย่างมาก
ถ. นักฟลูตย่อมปรับแรงอัดของลมให้เหมาะสมกับการเป่าในระดับเสียงต่างๆ อย่างไร?
ต. นักฟลูตย่อมปรับแรงอัดของลมให้เหมาะสมกับการเป่าในระดับเสียงต่างๆ ดังนี้ :-
1. ระดับเสียงต่ำ (Low Registers) – เป่าด้วยแรงอัดไม่มากนัก (เกร็งท้องไม่มากนัก – อุปมาเหมือนการผลักดันคนที่มีรูปร่างเล็ก)
2. ระดับเสียงกลาง (Middle Registers) – เป่าด้วยแรงอัดปานกลาง (เกร็งท้องปานกลาง – อุปมาเหมือนการผลักดันคนที่มีรูปร่างปานกลาง)
3. ระดับเสียงสูง (High Registers) – เป่าด้วยแรงอัดมากเป็นพิเศษ (เกร็งท้องมาก – อุปมาเหมือนการผลักดันคนที่มีรูปร่างใหญ่)
ขนาดของช่องริมฝีปากที่เปลี่ยนไปเมื่อเปลี่ยนระดับเสียง
ขนาดของช่องริมฝีปาก (Aperture) จะเปลี่ยนไปดังนี้คือ
1. ระดับเสียงต่ำ (Low Registers) – ช่องริมฝีปากเล็ก (แต่ใหญ่กว่าระดับเสียงอื่นๆ )
2. ระดับเสียงกลาง (Middle Registers) – ช่องริมฝีปากเล็กพอประมาณ
3. ระดับเสียงสูง (High Registers) – ช่องริมฝีปากเล็กมาก
อย่าหมุนฟลูตไปมาเพื่อเปลี่ยนระดับเสียง
ข้อผิดพลาดที่มักพบบ่อย คือ การเปลี่ยนระดับเสียงโดยการหมุนฟลูตไปมา กล่าวคือ นักเรียนมักหมุนฟลูตเข้าหาตัวเพื่อให้ริมฝีปากล่างปิดรูเป่า (Embouchure Hole) มากขึ้น เมื่อเป่าเสียงสูง
วิธีการหมุนฟลูตไปมาเพื่อเปลี่ยนระดับเสียง เป็นวิธีการที่ไม่ถูกต้อง และถือว่าเป็นวิธีการที่ผิดพลาดอย่างมาก เพราะจะไม่สามารถทำให้เล่นเทคนิคขั้นสูงได้ เนื่องจากไม่มีใครเป่าโดยการหมุนฟลูตไปๆ มาๆ เร็วๆ ได้ (ทำให้เป่าโน้ตยากๆ เร็วๆ ไม่ได้)
วิธีการที่ถูกต้องคือการเปลี่ยนระดับเสียงด้วยการปรับรูปปากเพื่อให้เกิดทิศทางของลมที่เหมาะสมกับระดับเสียงนั้นๆ ดังที่ได้กล่าวมาแล้ว
จงเปลี่ยนระดับเสียงด้วยการปรับเปลี่ยนทิศทางของลม (ปรับเปลี่ยนรูปปาก) เท่านั้น อย่าเปลี่ยนระดับเสียง (ด้วยการปิดรูเป่ามากขึ้นหรือน้อยลง) โดยการหมุนฟลูตไปมา
ริมฝีปากล่างจะปิดรูเป่ามากขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเมื่อเป่าเสียงสูง
จริงอยู่ ในการเป่าเสียงสูง (High Registers) ริมฝีปากล่างจะปิดรูเป่ามากขึ้น แต่ก็จะมากขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
หากเป่าด้วยวิธีการที่ถูกต้อง นักฟลูตก็จะไม่ต้องหมุนฟลูตเข้าหาตัว (เพื่อให้ริมฝีปากล่างปิดรูเป่ามากขึ้น) เพื่อให้เกิดเสียงสูง เพราะฉะนั้นในการเป่าเสียงสูง แม้ริมฝีปากล่างจะปิดรูเป่ามากขึ้น แต่ก็จะไม่เกินครึ่งหนึ่ง (1/2) ของรูเป่าทั้งหมด
อย่าบีบปากหรือเกร็งกล้ามเนื้อแก้มเมื่อเป่าเสียงสูง
สิ่งที่ผิดพลาดอีกประการหนึ่งที่พบได้บ่อยคือ นักเรียนมักไม่ออกแรง “Support” อย่างเพียงพอเมื่อเป่าเสียงสูง จึงเป่าให้เกิดเสียงได้ยาก และเนื่องจากเป่าแล้วไม่ค่อยมีเสียง จึงเกิดความพยายามเกร็งกล้ามเนื้อบริเวณแก้ม (ต้องระมัดระวัง)
Reference:-
Philippe Bernold : La Technique d’Embouchure, 3° édition (La Stravagenza)
Henri Altès : Célèbre Méthode Complète de flûte (Leduc)