บีม ปี 4 คณะรัฐศาสตร์ สาขาการเมืองการปกครอง
ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ในตำแหน่งเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
จริง ๆ มันเป็นโครงการของกรุงเทพมหานคร Bangkok Metropolitan Administration (BMA) ที่ร่วมกับคณะเลย เพราะฉะนั้นก็คือส่งผ่านคณะเลยค่ะ ไม่รู้ว่าปี 3 ได้ทำกันหรือยังแต่เดี๋ยวจะมีใบที่คณะให้ทำจะมีความคล้ายกับ resume และเราแค่ส่งใบนั้นแล้วที่เหลือก็รอคณะส่งไฟล์ให้กับเขาได้เลย
คือมันจะมีบอกว่า กทม. เปิดรับสมัครแล้วเราก็ไปลงชื่อกับคณะใน MS Team เขาจะมีเปิด Team ไว้ให้พอถึงเวลาก็มาลงชื่อซึ่งก็คือจริง ๆ ทำกับคณะโดยตรงเลยไม่ได้ส่งอะไรไปพิเศษ แล้วก็อีกอย่างใบนั้นจะมีจากทั้งสองฝั่งเลยนะทั้งฝั่งภาคไทยและฝั่ง BIR ซึ่งของฝั่งไทยก็จะมีเขียนว่า เราสามารถทำอะไรในออฟฟิศได้บ้าง สามารถใช้เครื่องอะไรได้บ้าง
แต่ BMA มันร่วมกับคณะเพราะฉะนั้นยังไงก็น่าจะต้องส่งใบนี้ไป ทีนี้ในส่วนของด้านล่างที่เราต้องตอบมันก็จะมีคำถามข้างล่างว่าเราอยากทำอะไรคือตอนเราตอบเราเขียนไปเลยว่าเราอยากทำสื่อแต่คือเราไม่รู้ว่าเขาจะใช้ใบนี้ในการส่งให้ BMA เลยเราก็เขียนไปแค่คร่าว ๆ ตอนแรกเราคิดว่าเราต้องกรอกที่เป็นของ BMA อีกรอบเพราะว่าเพื่อนเราที่ฝึกกระทรวงมหาดไทยจะมีให้กรอกอีกรอบว่าเรามีความสามารถอะไรหรืออยากทำอะไรเพิ่มเติมแต่ว่าอันนี้คือเขาส่งของอันนั้นไปเลยเพราะฉะนั้นเขียนตรงที่ให้เขียนว่าอยากทำอะไรดี ๆ ตอนนั้นเราเขียนไปว่าเราอยากทำสื่อซึ่งสื่อในความหมายของเราหมายถึงสำนักข่าวแต่ว่าพี่ที่ BMA ตีความคำนั้นว่าเป็นสื่อสารองค์กรแล้วก็จะให้เราเขียนข่าวในเพจของ BMA แล้วก็ทำพวก TikTok เพราะว่าเราเขียนไปด้วยว่าสามารถตัดต่อได้นิดหน่อยซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการทำตอนไป ด้วยความที่เราสมัคร BMA มันมีหน้าที่ชัดเจนว่าพัฒนาโครงการร่วมกับผู้ว่าและรองผู้ว่า ซึ่งเราสมัครไปเพราะอันนั้น เขาไปดูใบที่เขาให้กรอกมากกว่า แต่สุดท้ายเราคุยได้นะว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจะทำเราขอทำในส่วนของพัฒนาโครงการได้ไหม พี่เขาก็ให้ทำ
เรารู้สึกว่าไม่ได้ใช้เรซูเม่ยื่นขนาดนั้น อย่างที่บอกว่ามันเป็นเอกสารที่คณะให้มาแล้วเขาก็ส่งให้โดยตรงเลย เพราะฉะนั้นเราว่าเขาไม่ได้ดูเรซูเม่ แต่ว่าเราเคยจัดงานเรื่องเรซูเม่เคยเข้าไปขอบริษัท consult resume ถ้าพูดในแง่ของคนที่จะสมัครเอกชนนะในเรซูเม่ต้องเขียนด้วยว่าเราเคยทำอะไรมาบ้างให้เขียนเป้าไปเลยไม่ต้องอธิบายยาว ๆ และอย่าใส่พวกหลอดพลังเอาแบบที่มันชัดไปเลย เช่น ได้คะแนน IELTS เท่าไหร่ เขียนให้สั้นและกระชับ แล้วพยายามเขียนภายใน 1 หน้ากระดาษ
คณะจะบอกว่าเป็น First come First serve แต่พี่ที่ BMA บอกว่าเขามีการกรองประมาณหนึ่ง ซึ่งอันนี้เราก็ไม่แน่ใจว่าเขากรองเรื่องอะไรบ้าง แต่เราคิดว่าเกรดสำคัญอยู่ แต่เขาก็ไม่ได้กำหนดขั้นต่ำนะ
กลุ่มงานของเรา คือ เลขานุการผู้ว่ากทม. ใน Description ที่เขาให้มา คือ ร่วมดำเนินการหรือพัฒนาโครงการที่อยู่ในความดูแลของผู้ช่วยเลขานุการผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ และจัดทำข้อเสนอเพื่อพัฒนาโครงการนโยบายของผู้ว่าราชการกรุงเทพฯ มันเป็นการร่วมพัฒนาโครงการอธิบาย ง่าย ๆ ก็คือเป็น Policy Maker
สิ่งที่เราต้องทำช่วงแรกก็คือเรียนรู้นโยบายทั้งหมดของผู้ว่ากทม. แล้วหาสิ่งที่เราอยากจะพัฒนาต่อจากสิ่งที่เขามีหรือทำใหม่ก็ได้คือเราอยู่ 2 เดือนสิ่งที่ทำหลัก ๆ คือ ที่เราพูดมาแต่ว่ามันก็จะมีงานอันอื่น ๆ เพราะว่าในช่วงอาทิตย์แรกเขาก็จะไม่ให้เราเลือกว่าเราอยากทำอะไรเหมือนให้ไปศึกษาก่อนมากกว่า เพราะฉะนั้น งานช่วงแรกของเราคือการสังเกตการณ์ (observe)
จริง ๆ มันเป็นโอกาสที่ดีมากเพราะได้เข้าไปนั่งฟังในขณะที่เขาประชุมเรื่องนโยบายกันจริง ๆ กับรองผู้ว่าทวิดาเพราะเราอยู่กับอาจารย์ทวิดาอยู่หน้าห้องประมาณนั้น ที่เรา observe ส่วนใหญ่จะเป็นของอาจารย์ทวิดา เพราะไม่สามารถไปยุ่งเรื่องของรองผู้ว่าคนอื่นได้ เช่น ตอนที่เขาทำเรื่องว่าอยากพัฒนาให้เด็กอ่านออกในวัยเด็ก เขาก็จะเชิญ UN และสำนักต่าง ๆ แล้วก็มาคุยกันในห้องประชุมว่ามันสามารถเป็นอะไรได้บ้างแล้วเขาก็ให้เราหาข้อบกพร่องของนโยบายด้วย สมมุติว่า เราอยากจะทำเรื่องนั้นเราคิดว่ามันมีอะไรที่เป็นช่องโหว่แล้วเราจะทำอะไรได้บ้าง แล้วก็จะมีทำเรื่องสื่อประชาสัมพันธ์บ้างนิดหน่อยอย่างตัด TikTok บางอัน ไม่ได้เยอะมาก แล้วก็ทำพวกเขียนข่าวในเพจด้วย เขาก็ลองให้เราทำดูเพราะใบที่เราส่งไปตอนนั้นมันเป็นสื่อ แต่ว่าสุดท้ายเราก็ไม่ได้ไปเจาะลึกกับงานสื่อเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นงานหลักของเราจะเป็นการพัฒนานโยบายคือหาว่าเราอยากทำอะไรแล้วเราจะมีประชุมทุกอาทิตย์ อารมณ์แบบว่าต้องพิจารณาให้ทีมงานของอาจารย์ดูว่างานที่ทำมันถึงไหนแล้ว แล้วเราทำอะไรได้หรือไม่ได้บ้าง
ตอนนั้นเราทำเรื่องคนพิการในรถเมล์ว่ามันสามารถใช้ได้จริงหรือไม่ แล้วมัน Universal Design จริงหรือไม่ ซึ่งไม่ใช่แค่เฉพาะคนพิการนะแต่พื้นฐานเรา คือ เริ่มมาจากคนพิการเราพยายามที่จะทำให้รถเมล์ไทยใส่ Universal Design เข้าไปให้ได้เยอะที่สุด เช่น ทำไมราวจับต้องเป็นสีเหลืองเพราะว่าสำหรับคนตาบอดสีสีเหลืองจะเป็นสีที่เขา catch ได้มากที่สุด หรือว่าพื้นที่สำหรับรถเข็นวีลแชร์ทุกวันนี้บนรถเมล์มันไม่ได้ใช้งานได้ดีในทุกคันเพราะว่าสเปคที่เขาให้กับบริษัทเอกชนที่เข้ามาทำสัมปทานมันกว้างมากมันไม่ได้จำกัดสเปคขนาดนั้นพอไปดูจริงมันเลยไม่สามารถตอบโจทย์คนพิการได้
ซึ่งจริง ๆ เราดีไซน์ไว้เฉย ๆ เพราะข้อจำกัดอย่างหนึ่งก็คือ พอเราไปฝึกงานที่นี่แล้วเราเป็นเด็กรัฐศาสตร์ ไอเดียอยากทำนู่นทำนี่เรารู้อยู่แล้วว่าเมืองเรามันไม่ดี แต่สุดท้ายวิธีการทำงาน คือ เราจะพิชชิ่งกับพี่เขาแล้วพี่เขาก็จะบอกว่าอันนี้ทำได้ ทำไม่ได้เพราะว่าอย่าลืมว่ากรุงเทพฯมันเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ
ง่าย ๆ มันคือส่วนท้องถิ่น เพราะฉะนั้นกฎหมายมันมีแค่นี้ ไม่ว่าเราจะทำอะไรมันติดไปหมด เวลาเราทำอะไรสักอย่างเราก็ต้องไปดูว่ามันเป็นอำนาจเราหรือเปล่า คือ เราอยู่กับคำนี้มาตลอด 2 เดือนเลยว่ามันเป็นอำนาจของเราหรือเปล่า และเราทำได้หรือเปล่า
เพราะฉะนั้นถ้าพูดไปในเรื่องดีไซน์ของเรารถเมล์ที่เป็นของกรุงเทพฯจริง ๆ มีน้อยมาก อันนี้คือเป็นโปรเจกต์จบฝึกงานของเราแหละ แต่ว่าเราไม่สามารถไปเปลี่ยนรถเมล์ของสัมปทานเจ้าอื่นได้เพราะมันจะไปอยู่ของส่วนกลางอย่างองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพฯ (ขสมก.) แต่เราก็คือไปออกแบบสัญลักษณ์บนป้ายรถเมล์ เพราะว่าทุกวันนี้รถเมล์ทุกสายของกรุงเทพฯ ไม่ได้มีรถสำหรับคนพิการทุกแบบ แล้วบางเส้นทางก็ไม่ได้มีทุกคันเพราะฉะนั้น สิ่งที่เขาเสียไปก็คือ เขาไม่รู้ว่าเส้นทางไหนมี เส้นทางไหนไม่มี และบางเส้นทางไม่ได้มีทุกคัน มันก็ทำให้เขาเสียเวลาว่าเมื่อไหร่คันนั้นจะมาถึงเราก็พัฒนาต่อจาก Smart bus คือ ตอนนี้กรุงเทพฯมีป้ายดิจิทัลด้วยเราเลยพัฒนาว่า ให้มีสัญลักษณ์สำหรับคนพิการบอกไว้ด้วยว่าคันไหนมีหรือไม่มียังไง ซึ่งเป็นโครงการที่ทำเองคนเดียวนะ ตอนแรกเราก็คิดว่าจะให้ทำด้วยกัน 6 คน 1 โครงการ แต่มันเป็น 6 คน 6 งาน แล้วก็ตอนสุดท้ายที่จบฝึกงาน พี่เขาให้นำเสนอกับหน่วยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง อย่างเช่น ของเราก็เป็นสำนักจราจรเขาก็เชิญมาฟัง แล้วก็มีอาจารย์ลงไปทำด้วย
ที่ฝึกงานของเราอยู่ศาลาว่าการหนึ่ง ซึ่งมันอยู่ตรงเสาชิงช้าค่าหอก็ประมาณ 5,000-6,000 บาท เรามีรถด้วยแล้วส่วนใหญ่ที่พักแถวนั้นไม่ได้ให้รถจอดเลย ถ้าจอดต้องเสียเงินเพิ่ม ค่าข้าวแถวนั้นแพงมาก ศาลาว่าการหนึ่งไม่มีโรงอาหาร ฉะนั้น เราต้องหากินข้าวแถวนั้นซึ่งมันเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วยค่าข้าวคือ 70-80 บาท แต่มันก็จะมีตลาดข้างหน้าศาลาว่าการทุกวันยกเว้นวันจันทร์แล้วมันก็มีแค่ตอนเช้าเท่านั้น ถ้าอยากจะประหยัดค่าใช้จ่ายก็ซื้อตอนเช้าไว้กินตอนเที่ยงได้
แต่เขาก็มีเลี้ยงข้าวบางมื้อในกรณีที่แบบว่าไป observe ข้างนอกเขาก็จะมีจัดไว้ให้ แต่ไม่ได้มีแบบว่าสวัสดิการแล้วก็สิ่งที่ได้อีกอย่างหนึ่งก็คือเหมือนเพื่อนคนหนึ่งของเราสนใจเรื่องต่างประเทศแล้วเพื่อนมีไปประชุมเขาก็จะส่งเราไปประชุมแล้วเอามาแก้ไขปัญหาของเรา มีจัดรถตู้ให้เราด้วย แต่เราไม่รู้ว่าถ้าเป็นปีต่อ ๆ ไปเขาจะจัดให้หรือเปล่าเพราะว่าเราเป็นเด็กฝึกปีแรกของเขาเขาเลยให้ ไม่รู้ว่าปีต่อ ๆ ไปเขาจะยังมีอยู่หรือเปล่า
พี่เลี้ยงเราจะมีพี่หน้าห้องอาจารย์ทวิดากับพี่ผู้ช่วยเลขานุการหลัก ๆ จะเป็น 2 คนนี้แต่ที่จริงเราคิดว่าเรามีพี่เลี้ยงหลายคนมากหมายถึงว่าทีมงานอาจารย์ทวิดาเขาเป็น Policy Maker กันหมด แล้วเราต้องพิชชิ่งกับคนกลุ่มคนนี้ทุกอาทิตย์เพื่อที่จะหา solution ในท้ายที่สุด ซึ่งพี่เลี้ยงคือมีส่วนช่วยมาก เขาก็คือถามเราตลอดว่าไปดูกฎหมายหรือยัง
จริง ๆ ทุกคนเขาเป็นทีมทำนโยบายให้ตั้งแต่สมัยที่หาเสียงก็มี เพราะฉะนั้นคือเขาเป็นตัวจริง คือเป็นโอกาสดีมากนะที่เราได้เรียนรู้กับเขา
เข้างาน 08.30 น. - 16.30 น. แต่ว่าถ้าเราอยากจะอยู่ต่อก็อยู่ได้ เราจะอยู่ต่อบ่อยหน่อยเพราะว่าเราทำ Research ไม่เสร็จ แล้วก็แอบไม่เป็นเวลานิดหน่อยตรงที่ทุกอาทิตย์เราต้องพิชชิ่งกับพี่เขาแล้วพี่เขางานเยอะมาก เพราะฉะนั้น ศุกร์เย็นเราจะพิชชิ่งกับพี่เขามันก็จะเกินเวลาไปประมาณนึง แต่วันอื่น ๆ จริง ๆ 4 โมงครึ่งก็กลับได้แหละ แต่มันก็ไม่มีใครกลับกัน เราก็ไม่ค่อยกล้ากลับเท่าไหร่แต่เขาก็พยายามไล่ให้เรากลับนะแบบถึงเวลาแล้วให้กลับเลย
ทักษะการสื่อสารสำคัญ ทักษะการพรีเซนต์งานสำคัญมาก
ถ้าเหมือนที่เราพูดคือเรามีพิชชิ่งกับพี่เขาทุกอาทิตย์บางทีพี่เขาก็ไม่ซื้อไอเดียเรา สมมุติบางทีเขานั่งฟังเรา 3 คนแต่ซื้อไอเดีย 1 คนอะไรงี้ เพราะฉะนั้นเรารู้สึกว่ามันสำคัญที่เราต้องจูงใจเขาให้ได้เหมือนกัน
แล้วก็เรามีฐานข้อมูลเยอะมากกับสำนักต่าง ๆ แต่การที่เราจะได้ข้อมูลที่สำคัญเราก็ต้องถามข้อมูลให้มันตรงจุดด้วย ต้องฟังด้วย ถามเขาไปด้วย ต้องพยายามขอข้อมูลเขานิดนึง เราเลยรู้สึกว่าการสื่อสารค่อนข้างสำคัญมาก เพราะว่าเราไม่ได้ไปทำงานในส่วนที่เขามีอยู่แล้ว เราคือเด็กกลุ่มใหม่ที่เขาสร้างขึ้นมาเพราะฉะนั้นถ้าเราอยากได้ข้อมูลเราก็ต้องคุยกับทุกคน
อย่างที่พูดว่าเราไม่ได้ทำงานเป็น Routine เลย คือเราทำนโยบายอย่างเดียวมันไม่ได้จำเป็นสำหรับงานเราเท่าไหร่ คิดว่าโปรแกรมไม่ได้จำเป็นในสิ่งที่เราทำ
เราอยู่ในส่วนการเมืองซึ่งเขาไม่ได้ fixed กับเราว่าเราต้องทำตัวเป็นราชการไหม แต่ว่าก็ต้องมีการระมัดระวังเรื่องการวางตัว มารยาท และการปฏิบัติตัวต่อผู้อื่น
มีเพื่อนคณะเดียวกันไป 6 คนก็จริง แต่เราไม่รู้จักกันเลย แต่ต้องนั่งทำงานด้วยกันตลอดระยะเวลา 2 เดือนมันบังคับให้เราต้องสนิทกัน ทำงานด้วยกันแบ่งปันข้อมูลกัน ทำให้สนิทกันไปเอง ทุกวันนี้เราก็ยังสนิทกันอยู่ตอนนี้ก็มีคุยกันว่าจะกลับไปเยี่ยมพี่เขาด้วยคือค่อนข้างจะสนิทกันมากเหมือนกัน
แนะนำวิชา PA แล้วกันเพราะว่าจริง ๆ หลังจากที่เราฝึกงานเสร็จแล้วเพื่อนที่ฝึกงานด้วยกันไปลงวิชาทำนโยบายสาธารณะของ PA เราก็อยากไปลงนะเพราะว่าเราฝึกมา 2 เดือนแล้วก็รู้สึกว่าเครื่องกำลังร้อนแต่ว่ามันชนกับวิชาปกครองเราไม่สามารถไปเรียนได้ คือถ้าอยากทำเหมือนเรามันก็จะมีความเป็น Policy Maker เพราะฉะนั้นถ้าเรียนเรื่องนโยบายสาธารณะมาก็น่าจะเป็นกรอบให้ได้ว่าเราจะได้เจอกับอะไร จริง ๆ มันดีมากเลยนะเพราะว่าเพื่อนเราที่เรียน PA สามารถ Pitch ได้เลยตั้งแต่ต้น เพราะนั่นคือสิ่งที่เขาเรียนมาแล้วเราก็เลยคิดว่าวิชาคณะก็น่าจะเป็นประโยชน์
แต่ไม่ได้ในแง่ของสาขาเรา เพราะว่าปกครองเรียนเป็น Concept เยอะ มันเลยไม่เข้าใจว่าวิธีการทำงานคืออะไร