ประวัติความเป็นมา
สืบทอดฝีมือและเอกลักษณ์งานแทงหยวกกล้วย ประกอบแลแห่นาคของชาวนครไทยมาตั้งแต่ปี 2517 เพราะอยากจะสืบสานงานแทงหยวกประดับแลแห่นาค ที่เป็นประเพณีหนึ่งเดียวในประเทศหรือในโลกนี้ก็ว่าได้ และยินดีที่สอนให้เด็ก ๆ ได้ทำเป็นเพื่อหารายได้เสริมให้กับครอบครัว ให้คนรุ่นหลังได้สืบสานอนุรักษ์ไว้ เพราะไม่อยากให้ศิลปะอันดีงามของไทยสูญหายไป จนได้ไปเป็นวิทยากรสอนการแทงหยวกกล้วยให้แก่สถาบันการศึกษาต่าง ๆ อีกมาก เด็กนักเรียนจะเรียกว่า อาจารย์เดียร์ปราชญ์ชาวบ้าน
อำเภอนครไทย
แทงหยวกเพื่อตกแต่งแลที่ใช้แห่นาค ในสมัยก่อนเมื่อมีงานแห่นาค ช่างแทงหยวกจะมารวมตัวกันช่วยแทงหยวกตกแต่งแลโดยไม่คิดค่าจ้าง มีการคิดลายใหม่ขึ้นมาเพิ่มบ้างแต่ ยังคงลายเดิมไว้ ในปัจจุบันการแทงหยวกได้กลายมาเป็นอาชีพเสริมหลังจากการทำนา เมื่อถึงเดือน ๔ เดือน ๕ เป็นช่วงเดือนบวชพระจึงมีคนมาจ้างทำและให้เงินเป็นค่าตอบแทนในการทำในปัจจุบันการแทงหยวกเป็นการสืบทอดกันมาจากรุ่นสูรุ่น โดยจะมีการครอบครูให้แก่ลูกหลานผู้สืบทอด โดยช่างแทงหยวกที่บ้านหัวร้อง ตำบลนครไทย คือ นายประทุม จอดดวงจันทร์ นายแจว ทรัพย์อยู่ และนายสิทธิศักดิ์ วิเชียรสวรรค์ ได้รับการถ่ายทอดมาจาก นายคัด จอดดวงจันทร ปราชญชาวบาน ดานการแทงหยวกของอำเภอนครไทย นอกจากนี้ยังพบชางแทงหยวกที่ตำบลนาบัว อำเภอนครไทย ที่ได้สืบ ทอดจากบรรพบุรุษ คือ นายบุญลือ สีดารักษ์ และนายสำราญ หมื่นพันธ์ ลวดลายการแทงหยวกประกอบแลแห่นาคจะทำลวดลายที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา คือลายธรรมจักร ลายนาค ลายดอกบัว และยังมีลายอื่นๆ อีก เช่น ลายดอกพิกุล ลายดอกจันทร์ ลายหนวดเสือ และลายเถาวัลย์ ปัจจุบันการแทงหยวกไม่มีการกำหนดลาย แล้วแต่ช้างจะเป็นผู้คิดประดิษฐ์ขึ้นตามจินตนาการของตนเอง จึงเกิดความแตกต่างกันของลาย ในขณะที่ส่วนประกอบอื่น ๆ จะมีลวดลายเหมือนกัน คือ ลายฟันปลา ลายฟันสาม ลายน่องสิงห์ และลายเถาวัลย์ เป็นต้น