ความสำคัญของทักษะสังคม
ทักษะสังคมมีความสำคัญต่อการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดี การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ และการทำงานร่วมกับผู้อื่น ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการพัฒนาในอนาคตของเด็ก ทักษะทางสังคมเป็นทักษะสำคัญในการอยู่ร่วมกันในสังคม เป็นกฎกติกา แผนที่ หรือทิศทางในการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับผู้อื่น ทักษะทางสังคมเป็นพฤติกรรมที่แสดงออกผ่านคำพูด สีหน้า ท่าทาง ซึ่งสามารถทำนายผลทางสังคมได้ เช่น เรายิ้ม เพื่อนก็จะยิ้มตอบ ทักษะทางสังคมเป็นทักษะที่จำเป็นในการสร้างและรักษาสัมพันธภาพกับเพื่อน
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับสังคมของเด็กปฐมวัย
1.ทฤษฎีของ Lev Vygotsky "ทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคม (Social Development Theory)" ของ Vygotsky
การเสริมต่อการเรียนรู้ (Scaffolding) หมายถึง บทบาทเชิงปฏิสัมพนัธ์ระหวา่งผู้สอน กับผู้เรียนที่ให้การช่วยเหลือด้วยวิธีการต่าง ๆ ตามสภาพปัญหาที่เผชิญอยู่ในขณะนั้น เพื่อใหผู้เรียนสามารถแก้ปัญหานั้น ด้วยตนเองได้ เขาได้เสนอวิธีการช่วยเสริมต่อการเรียนรู้ไว้ 6 ประการ คือ
1. การสร้างความสนใจ (Recruitment) กระตุ้นให้ผู้เรียนมีความสนใจที่จะเรียนรู้ ด้วยความสมัครใจโดยผู้เรียนจะต้องอยู่ภายใต้ข้อกำหนดของงานหรือการเรียนรู้นั้น
2. รักษาทิศทางการเรียนรู้ (Direction maintenance) ผู้สอนต้องดูแลกวดขันผู้เรียน เป็นพิเศษเพื่อใหเ้รียนรู้ที่จะมุ่งไปสู่จุดมุ่งหมายตั้งไว้
3. กำหนดลกัษณะสำคัญ ที่ควรพิจารณาของสิ่งที่จะเรียนรู้ใหเ้ด่นชัด (Marking critical features) เช่น ผู้สอนเมื่ออธิบายเนื้อหาสาระบางอย่างที่ต้องการให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เพื่อให้ผู้เรียนเข้าใจได้ง่าย
4. ควบคุมความคับข้องใจของผู้เรียน (Frustration control) รับรู้ต่ออารมณ์ของผเู้รียน ที่แสดงออกมา
5. ควรมีการสาธิต (Demonstration) หรือมีแบบอย่างให้กับผู้เรียนในการแก้ปัญหา การเรียนรู้
6. การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เรียน ในการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่พัฒนาการความคิด ความเข้าใจ
สรุปจากแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ทางสังคมของไวก็อตสกี้ เน้นความสำคัญของปฏิสัมพันธ์ทางสังคมในกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาเขามองว่าเด็กเรียนรู้ผ่านการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น เช่น ผู้ปกครอง ครู และเพื่อน การเรียนรู้เกิดขึ้นในบริบททางสังคม และภาษามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเชิงปัญญา เขตการพัฒนาที่ใกล้เคียง (Zone of Proximal Development - ZPD) : นี่คือความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เด็กสามารถทำได้เองและสิ่งที่เด็กสามารถทำได้ภายใต้การช่วยเหลือจากผู้อื่น ตัวอย่างเช่น เด็กอาจไม่สามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ด้วยตัวเอง แต่สามารถทำได้เมื่อได้รับการสนับสนุนจากผู้ที่มีประสบการณ์
ที่มา yotube : Sprouts ประเทศไทย
ทฤษฎีพัฒนาการการทางสติปัญญาของ Vygotsky
ที่มา yotube : Anchalee Prommawiang
ทฤษฎีของ Albert Bandura "ทฤษฎีการเรียนรู้ผ่านการสังเกต (Social Learning Theory)" ของ Bandura
บันดูรามีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมากเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือการเลียนแบบ เนื่องจากมนุษย์มีปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบ ๆ ตัวอยู่เสมอ
บันดูราเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมาก เป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต (Observational Learning) หรือการเลียนแบบจากตัวแบบ (Modeling) สำหรับตัวแบบไม่จำเป็นต้องเป็น ตัวแบบที่มีชีวิตเท่านั้น แต่อาจจะ เป็นตัวแบบ สัญลักษณ์ เช่น ตัวแบบที่เห็นในโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เกมส์คอมพิวเตอร์ หรืออาจจะเป็น รูปภาพ การ์ตูน หนังสือ นอกจากนี้ คำบอกเล่า ด้วยคำพูดหรือข้อมูลที่เขียนเป็นลายลักษณ์- อักษรก็เป็นตัวแบบได้
สาเหตุที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งในการเรียนรู้ด้วยการสังเกต คือ ผู้เรียนจะต้องเลือกสังเกตสิ่งที่ต้องการเรียนรู้โดยเฉพาะ และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้เรียนจะต้องมีการเข้ารหัส (Encoding) ในความทรงจำระยะยาวได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ผู้เรียนต้องสามารถที่จะประเมินได้ว่าตนเลียนแบบได้ดีหรือไม่ดีอย่างไร และจะต้องควบคุมพฤติกรรมของตนเองได้ด้วย
ขั้นตอนการเรียนรู้โดยการสังเกตหรือเลียนแบบมี 2 ขั้น
ขั้นที่ 1 ขั้นการได้รับมาซึ่งการเรียนรู้ (Acquisition) ทำให้สามารถแสดงพฤติกรรมได้ สิ่งเร้าหรือการรับเข้า > บุคคล
ขั้นที่ 2 เรียกว่าขั้นการกระทำ (Performance) ซึ่งอาจจะกระทำหรือไม่กระทำก็ได้ สิ่งเร้าหรือการรับเข้า > บุคคล
บันดูราได้ให้ความแตกต่างระหว่างการเรียนรู้ (Learning) กับการกระทำ(Performance)ซึ่งสำคัญ มาก เพราะคนเราอาจจะเรียนรู้อะไรหลายอย่างแต่ไม่ จำเป็นต้องแสดงออกทุกอย่าง เช่นเราอาจจะเรียนรู้วิธี การ ทุจริตในการสอบว่าต้องทำอย่างไรบ้าง แต่ถึง เวลาสอบจริงเราอาจจะไม่ทุจริตก็ได้
สรุปจากแนวคิดทฤษฎีการเรียนรู้ผ่านการสังเกตของแบนดูรา เน้นความสำคัญของการเรียนรู้แบบการสังเกตหรือเลียนแบบจากตัวแบบ ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งตัวบุคคลจริง ๆ เช่น ครู เพื่อน หรือจากภาพยนตร์โทรทัศน์ การ์ตูน การเรียนรู้โดยการสังเกตประกอบด้วย 2 ขั้น คือ ขั้นการรับมาซึ่งการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางพุทธิปัญญา และขั้นการกระทำ ตัวแบบที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของบุคคลมีทั้งตัวแบบในชีวิตจริงและตัวแบบที่เป็นสัญลักษณ์
ทฤษฎีการเรียนรู้ของ“อัลเบิร์ต แบนดูรา”
ที่มา yotube : 020 Mind Thanjira
วิธีการส่งเสริมทักษะสังคมเด็กปฐมวัย
1. การส่งเสริมทักษะด้านความเข้าใจหรือตระหนักรู้ด้านสังคม (Social awareness) ควรมีการจัดกิจกรรมเสริมทักษะการเอาใจใส่ผู้อื่น รวมไปถึงสามารถทำความเข้าใจพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เป็นผลมาจากสังคม ค่านิยม และจริยธรรมที่ ฝึกทักษะการทำความรู้จักและเข้าใจผู้อื่น และปฏิบัติต่อผู้อื่นได้อย่างสุภาพ จัดกิจกรรมพัฒนาเด็กด้วยวิธีที่หลากหลาย เช่น การอ่านหนังสือนิทานแล้วให้เด็กได้สะท้อนถึงอารมณ์ ความคิด และความรู้สึกทั้งของตนเองและตัวละครในเรื่องที่อ่านเสริมสร้างให้เด็กมีวินัยในตนเองและมีความรับผิดชอบ รักษากฎ กติกา มารยาทในการอยู่ร่วมกับผู้อื่น เห็นข้อดีของตัวเองที่น่าภาคภูมิใจ มีความสุข ความพอใจในการปฏิบัติกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ฝึกทักษะให้เด็กทำงานบ้าน เช่น เสิ ร์ฟน้ำ จัดโต๊ะอาหาร ล้างจาน ทำอาหาร เลี้ยงน้อง รดน้ำต้นไม้กรอกน้ำใส่ตู้เย็น เป็นต้น ส่งเสริมการทำงาน และอยู่ร่วมกันในสังคมอย่างมีความสุข สามารถทำงานด้วยตนเองและทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ สำเร็จ ยอมรับฟังความคิดเห็น และแสดงความคิดเห็นของตนเองด้วยกิริยาวาจาสุภาพ สามารถจัดการกับปัญหาความขัดแย้ง และปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเหมาะสม จัดกิจกรรมให้เด็กเรียนรู้มารยาททางสังคม เรียนรู้ที่จะทำกิจกรรม อยู่ร่วมกับผู้อื่นที่นอกเหนือไปจากคนในครอบครัว
2. การส่งเสริมทักษะทักษะด้านความสัมพันธ์ (Relationship skills) ผู้ปกครองส่งเสริมความสามารถในการสร้าง และรักษาสัมพันธภาพระหว่างผู้เรียนและเพื่อนร่วมห้อง จัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะการทำงานร่วมกับผู้อื่นด้วยการให้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และแก้ไขปัญหาความขัดแย้งโดยไม่ใช้ความรุนแรง พัฒนาเด็กได้หลายวิธี เช่น การพาเด็กไปมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ในสังคม ได้แก่ การบำเพ็ญประโยชน์ในชุมชน การปฏิบัติกิจกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมของท้องถิ่น จัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะการทำความรู้จักกัน สร้างความคุ้นเคย สนิทสนม
จัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะระหว่างบุคคล ได้แก่ การทำให้เด็กทำความรู้จัก ติดต่อเกี่ยวข้องกัน เพื่อสร้างสัมพันธภาพ และสายใย จัดกิจกรรมส่งเสริมทักษะในการให้คำปรึกษากลุ่ม ฝึกให้เด็กการฟังอย่างตั้งใจ ส่งเสริมทักษะความสัมพันธ์ทางสังคมทั้งการพูดสื่อสาร การรู้จักฟัง รู้จักขอบคุณขอโทษ
ให้เด็กสามารถสื่อสารกับคนอื่นให้เข้าใจ มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น
3. การส่งเสริมทักษะความรับผิดชอบในสิ่งที่ตัดสินใจได้ (Responsible decisionmaking) การส่งเสริมการแสดงออกการมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมบนพื้นฐานของมาตรฐานทางจริยธรรม โดยคำนึงถึงความปลอดภัยและบรรทัดฐานทางสังคม กิจกรรมเสริมทักษะการพูดคุยเกี่ยวกับข่าวสารหรื อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวัน แล้วให้เด็กได้ระบุถึงปัญหาที่เกิดขึ้นฝึกทักษะการตัดสินใจอย่างรับผิดชอบ เป็นการฝึกให้เด็กมีเหตุผล แยกแยะปัญหา แก้ปัญหาได้ด้วยการวิเคราะห์และประเมินสถานการณ์โดยอยู่บนพื้นฐานของศีลธรรม จัดกิจกรรมให้เด็กสามารถตัดสินใจอย่างรับผิดชอบ ฝึกทักษะให้เด็กยอมรับผลของการตัดสินใจอย่างมีเหตุผล จัดกิจกรรมให้เด็กตัดสินใจ มีการแสดงออก สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีความสุข ประสบความสำเร็จ และสร้างประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวม สอดคล้องกับงานวิจัยของ พันยศ เงินวัฒนะ (2560) ศึกษาการพัฒนาพฤติกรรมความรับผิดชอบในชั้นเรียนของเด็กปฐมวัยด้วยวิธีการเสริมแรงทางบวก พบว่าพฤติกรรมความรับผิดชอบในชั้นเรียนของเด็กปฐมวัยด้านความรับผิดชอบต่อตนเองมีระดับคะแนน
ที่สูงกว่า ด้านความรับผิดชอบต่อส่วนรวม อันเนื่องมาจากเด็กปฐมวัยเป็นวัยที่เริ่มต้นพัฒนาจากสิ่งใกล้ตัว ซึ่งการพัฒนาพฤติกรรมความรับผิดชอบในชั้นเรียนของเด็กปฐมวัยนั้น เด็กเริ่มต้นจากสิ่งใกล้ตัวคือความรับผิดชอบต่อตนเองไปสู่ความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
ตัวอย่างกิจกรรมในการส่งเสริมทักษะสังคม
การเล่นเกมกลุ่ม เช่น เกมที่ต้องการการทำงานร่วมกันเพื่อบรรลุเป้าหมายร่วมการทำงานร่วมกันในโครงการ
กิจกรรมศิลปะ การทำกิจกรรมที่ต้องการความร่วมมือในการสร้างสิ่งประดิษฐ์หรือศิลปะ