บทที่ 1 สมองกับการเรียนรู้ภาษา
พิณทิพย์ ทวยเจริญ (2547, หน้า 169-173) ได้กล่าวถึงบทบาทของสมองในการเรียนรู้และพัฒนาภาษาไว้ว่าเซลล์สมองในส่วนที่เกี่ยวกับภาษา การเรียนรู้และการสั่งสมความคิดจะทำงานประสานกับการรับประสบการณ์จากสังคม ใน วัยเด็กเล็กสมองของเด็กยังยืดหยุ่น ดังนั้นหากเด็กเล็กได้รับความกระทบกระเทือนที่บริเวณภาษาในสมองซีกซ้าย สมองซีกขวาจะ รับช่วงการทำงานด้านภาษาได้ นอกจากนี้ความยืดหยุ่นของสมองในวัยเด็กทำให้เกิดการสร้างรูปแบบทางประสาทที่สัมพันธ์กับการออกเสียงได้อย่างรวดเร็วตามลักษณะทางเสียงที่เกิดขึ้นในสังคมรอบ ๆ ตัวเด็ก เมื่อเด็กอยู่ในแวดวงของคนที่พูดภาษาใดก็ตาม สมองจะสร้างรูปแบบทางประสาท (neuronal patter) ในการออกเสียงภาษานั้น ๆ ได้เหมือนกับเจ้าของภาษา ดังนั้นเมื่อเด็กเติบโตอยู่ในต่างประเทศและพ่อแม่ยังคงพูดภาษาแม่ด้วยทำให้เด็กมีโอกาสเรียนรู้สองภาษา หรือเกิดภาวะทวิภาษา (bilingualism) ได้โดยง่าย
สมองมีกลไกช่วยให้มนุษย์รับรู้ภาษาแม่พร้อมทั้งพัฒนาการรู้คิด โดยสรุปพัฒนาการแบ่งออกเป็นช่วง ๆ ดังนี้
1. ช่วงตาดูหูฟัง หลังจากคลอดมาแล้วหากเด็กคนนั้นไม่ได้มีความผิดปกติทางสมอง สิ่งที่สมองต้องทำงานเป็น อันดับแรกในส่วนที่สัมพันธ์กับภาษาในช่วงตาดูหูฟังคือ ในขณะที่เด็กทารกจับตามองสิ่งของรอบตัวนั้น หูของเด็กจะรับฟังเสียงต่าง ๆ รอบตัวไปด้วยซึ่งรวมทั้งเสียงพูดของบุคคลรอบด้านด้วยเช่นกัน สมองของเด็กจะทำงานในลักษณะที่กล่าวแล้ว ข้างต้น คือ เมื่อเสียงผ่านหูเข้าไปสมองจะบั่นทีกรูปแบบของเสียงต่าง ๆ ไว้ และถ้าเสียงเหล่านั้นมีความหมายต่อเด็ก ความคิดสรุปเกี่ยวกับเสียงนั้น ๆ ก็จะเกิดขึ้นและพัฒนาต่อไปโดยเก็บรายละเอียดได้มากขึ้นจนสามารถนำไปใช้ได้เมื่อกลไกการทำงานของอวัยวะเกี่ยวกับการพูดในปากแข็งแรงขึ้นซึ่งจะสัมพันธ์กับการทำงานของบริเวณภาษาที่เกี่ยวกับการพูด
2. ช่วงฟังพูด เมื่อเด็กเจริญวัยขึ้น เช่น ประมาณ 1 ขวบไปแล้วจะอยู่ในวัยรับรู้และพูด การทำงานของสมองใน ส่วนที่บังคับให้กล้ามเนื้ออวัยวะในการพูดเริ่มพัฒนาดีขึ้นกว่าในวัยหารก เด็กเริ่มใช้คำพูดสื่อความได้แต่เสียงพูดยังไม่ชัดเจนตามรูปแบบภาษาแม่มากนักและจำนวนคำที่ใช้มีไม่มาก แต่แสดงให้เห็นว่ามีการพัฒนาการใช้ถ้อยคำและรับรู้ถ้อยความ (เข้าใจความหมาย) ซึ่งสอดคล้องกับสภาวะการเดิบโตของสมอง กล่าวคือเมื่อเด็กได้ยินถ้อยคำต่าง ๆ สมองของเด็กจะบันทึกลักษณะคำหรือลักษณะเด่นของคำนั้น ๆ ไว้เพื่อสร้างเป็นความคิดสรุปเกี่ยวกับถ้อยคำดังกล่าว พร้อมที่จะให้กลไกของสมองที่ทำงานเกี่ยวกับการออกเสียงพูดได้ทำหน้าที่ต่อไป
กระบวนการทำงานของสมองในลักษณะดังกล่าวเห็นได้จากข้อมูลทางภาษาของเด็กไทย เช่น เด็กได้ยินถ้อยคำ
'ไปดูนก" จากแม่หรือพี่เลี้ยง และมองเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของผู้พูดพร้อมทั้งลักษณะรูปปากของผู้พูด และเมื่อได้ออกนอกบ้านไปดูนก การเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก และต่อมายังคงได้ยินข้อความนี้ทุกครั้งที่แม่จะให้ทำ กิจกรรมเดิม ข้อความเช่นนี้จะถูกบันทึกลงไปในสมองครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นคือการสื่อสารทางประสาทที่สมองได้รับจะ ก่อให้เกิดรูปแบบทางประสาทอย่างสม่ำเสมอ จนในที่สุดรูปแบบทางประสาทเกี่ยวกับข้อความนี้จะคงตัวเกิดเป็นแนวคิดและได้ข้อสรุปเกี่ยวกับความหมายของข้อความ ส่งผลให้เกิดความจำขึ้นครั้งต่อไปเด็กจะเข้าใจทันทีเมื่อได้ยินข้อความ ดังกล่าวและนี่คือที่มาของการเข้าใจความหมาย
ตัวอย่างทักษะการฟังพูด
ตัวอย่างง่าย ๆ จากข้อมูลของเด็กไทยตัวอย่างเดิมที่ได้แสดงไว้ตอนต้นคือ "ไปดูนก" ในการพูดทุกครั้งผู้ใหญ่มีการลงน้ำหนักที่ "ไป" และ "นก" มากกว่า "ดู" ระหว่าง "ไป" และ "นก" น้ำหนักตกลงบน "นก" มากกว่าเล็กน้อย ดังนั้นทั้ง 2 คำนี้จึงมีความเด่นชัดที่สมองจะสร้างรูปแบบได้ดีกว่า "ดู" อย่างไรก็ตามสมองบริเวณที่สัมพันธ์กับการพูดยังไม่สามารถสร้างกลไกในการออกเสียงคำ "ไป" และ "นก" ได้ดีเท่ากัน เพราะตามกระบวนการออกเสียงนั้น "นก" ออกเสียงได้ลำบากกว่า "ไป" ดังนั้นเด็กจึงเลือกเปล่งคำว่า "ไป" ซึ่งมีความยุ่งยากในการทำงานของกล้ามเนื้ออวัยวะในการออกเสียง น้อยกว่า ในช่วงนั้นเด็กไทยผู้นี้ได้ใช้คำว่า "ไป" สื่อความเพื่อกิจกรรมนี้เรื่อยมาจากอายุก่อน 1 ขวบเล็กน้อยจนถึงอายุ
ประมาณ 14 เดือน หลังจากนั้นเด็กมีพัฒนาการของกล้ามเนื้อในการออกเสียงมากขึ้นประกอบกับการมีประสบการณ์มาก ขึ้น การสื่อความด้วยคำพูดจึงพัฒนาขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงวัยประมาณ 5-8 ขวบ ซึ่งเด็กควรจะพูดได้ชัดเจนและมีการเลือกสรร ถ้อยคำพูดได้ดีเกือบเท่าผู้ใหญ่แต่จำนวนคำศัพท์ยังคงมีไม่มาก
ปัจจัยในการเรียนรู้ทางภาษาของเด็กปฐมวัย
1.สมอง
2.วุฒิภาวะ
3.สิ่งแวดล้อม
พัฒนาการทางภาษาของเด็กแรกเกิด-6ปี
พัฒนาการทางภาษาของเด็กแรกเกิดถึง 6 ปีมีลักษณะเฉพาะในแต่ละช่วงอายุ ดังนี้:
1. แรกเกิด - 6 เดือน:
- การตอบสนองต่อเสียง: เด็กเริ่มตอบสนองต่อเสียงพูดและการกระตุ้นด้วยการมองหรือหันไปทางต้นเสียง
- การส่งเสียง: เด็กจะเริ่มทำเสียงร้องไห้และเสียงคราง ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการสื่อสาร
2. 6 เดือน - 1 ปี:
- การทำเสียงและเสียงอ้อแอ้*: เด็กเริ่มทำเสียงแบบอ้อแอ้และทำตามเสียงที่ได้ยิน
- การพูดคำแรก*: เริ่มพูดคำง่ายๆ เช่น "แม่", "พ่อ", หรือ "บ๊ายบาย"
3. 1 - 2 ปี:
- การใช้คำคำเดียว: เด็กใช้คำเดียวในการสื่อสารความต้องการหรือสิ่งต่างๆ เช่น "น้ำ", "ขนม"
- การรวมคำเป็นประโยค: เริ่มรวมคำสองคำเพื่อสร้างประโยคง่ายๆ เช่น "กินข้าว", "เล่นบอล"
- การเข้าใจคำ*: มีการตอบสนองต่อคำและคำสั่งพื้นฐาน
4. 2 - 3 ปี:
- การใช้ประโยคที่ซับซ้อน: เริ่มสร้างประโยคที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น "ฉันอยากไปสวนสาธารณะ"
- การขยายคลังคำศัพท์: คลังคำศัพท์ขยายอย่างรวดเร็วและสามารถใช้คำที่หลากหลายในการสื่อสาร
5. *3 - 4 ปี:
- การใช้ภาษาเพื่อการเล่าเรื่อง*: เด็กสามารถเล่าเรื่องราวหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันได้
- การเข้าใจและใช้ไวยากรณ์พื้นฐาน*: เริ่มใช้โครงสร้างไวยากรณ์พื้นฐานและเข้าใจหลักการของไวยากรณ์
6. 4 - 6 ปี:
- การใช้ภาษาอย่างหลากหลายและซับซ้อน*: สามารถใช้ภาษาที่ซับซ้อนเพื่อสื่อสารความคิด ความรู้สึก และความต้องการ
- การเล่าเรื่องและสร้างนิทาน*: สามารถสร้างนิทานหรือเล่าเรื่องได้อย่างมีโครงสร้างและชัดเจน
- การเข้าใจคำสั่งที่ซับซ้อน*: สามารถเข้าใจและปฏิบัติตามคำสั่งที่มีความซับซ้อนได้
การติดตามพัฒนาการทางภาษาในแต่ละช่วงอายุช่วยให้ผู้ปกครองและครูสามารถสนับสนุนการเรียนรู้และการพัฒนาของเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพ.
เสียงพยัญชนะในแต่ละวัย
อายุ เสียงพยัญชนะในแต่ละวัย
2.1-2.6 มน ห ย คอ
2.7-3.0 เพิ่มเสียง ว บ ก ป
3.1-3.6 เพิ่มเสียง ท ต ล จพ
3.7-4.0 เพิ่มเสียง ง ด
4.1-4.6 เพิ่มเสียง ฟ
4.7-5.0 เพิ่มเสียง ช
5.1-5.6 เพิ่มเสียง ส
7 ขวบขึ้นไป เพิ่มเสียง ร