โรงละครกระดาษเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่ได้รับความนิยมทั่วโลก แต่ละประเทศก็มีวิธีการเรียกและความเข้าใจที่แตกต่างกันไปเล็กน้อย นอกจากนี้ แต่ะละประเทศได้ให้คำนิยามต่างๆ ไว้ดังนี้
โรงละครกระดาษ หมายถึง กิจกรรมที่ใช้กระดาษสร้างฉากและตัวละครเพื่อแสดงละครเรื่องราวต่างๆ มักใช้ในโรงเรียนอนุบาลหรือชั้นประถมศึกษา เพื่อส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของเด็ก
紙芝居 (Kamishibai) หมายถึง "โรงละครกระดาษ" โดยตรง เป็นศิลปะการเล่าเรื่องผ่านภาพที่วาดบนกระดาษ โดยผู้เล่าเรื่องจะใช้ไม้ไผ่หรือไม้สั้นๆ ปัดเปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ มักใช้ในการเล่าเรื่องราวพื้นบ้านหรือนิทาน
纸影戏 (Zhǐ yǐng xì) หมายถึง "ละครเงาจากกระดาษ" เป็นการแสดงที่ใช้แสงส่องผ่านภาพที่วาดบนกระดาษ เพื่อสร้างเงาที่เคลื่อนไหวบนฉาก มักใช้ในการแสดงเรื่องราวตำนานหรือเทพเจ้า
Paper theater, Puppet theater หมายถึง "โรงละครกระดาษ" หรือ "โรงละครหุ่นกระดาษ" หมายถึงการแสดงที่ใช้หุ่นกระดาษเป็นตัวละคร มีความหลากหลายรูปแบบ ทั้งการใช้มือถือหรือการใช้เชือกในการควบคุม
Théâtre de papier หมายถึง "โรงละครกระดาษ" หมายถึงการแสดงที่ใช้กระดาษเป็นวัสดุหลักในการสร้างฉากและตัวละคร มักเน้นความสวยงามของภาพและการออกแบบ
แม้ว่าแต่ละประเทศจะมีชื่อเรียกและรูปแบบที่แตกต่างกัน แต่โรงละครกระดาษก็มีจุดร่วมที่สำคัญคือการใช้กระดาษเป็นสื่อในการสร้างสรรค์และเล่าเรื่องราว ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ของผู้คนทุกเพศทุกวัย
ที่มา : Thai PBS
ความสำคัญ
1. การเล่านิทานของผู้แสดงทำให้โลกนิทานโผล่ออกมา และขยายกว้างขึ้นสู่กลุ่มคนฟัง นั่นเพราะกล่องที่เปรียบเสมือนโรงละครเล็กๆ ได้ช่วยแยกโลกความจริงกับโลกนิทานออกจากกัน เมื่อเปิดกล่องก็เหมือนเปิดม่านการแสดง ได้เห็นผู้แสดงค่อยๆทำการเล่านิทานจากตัวละครกระดาษเป็นการนำพาโลกนิทานเข้าสู่โลกความจริง เข้าไปสู่การรับรู้ของกลุ่มผู้ฟัง
2. ทำให้เด็กๆ จดจ่อและมีสมาธิ นั่นเพราะเมื่อผู้เล่าเริ่มเล่า ผู้ฟังจะจดจ่อต่อว่า จะมีตัวละครอะไรโผล่มา และทั้งจังหวะการขยับตัวละคร จังหวะการใช้น้ำเสียง จังหวะการกลั้นหายใจ ยังมีผลต่อกลุ่มผู้ฟังมีความจดจ่อและมีสมาธิในการฟังนิทานมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ในจังหวะที่ผู้เล่าดำเนินเรื่องด้วยการเปลี่ยนภาพพื้นหลังกล่อง ผู้ฟังก็จะสนใจแผ่นภาพถัดไปโดยอัตโนมัติ เป็นการกระตุ้นให้เกิดความตื่นเต้นอยากรู้เรื่องราวต่อและสร้างให้เกิดสมาธิ
3. สร้างการสื่อสารระหว่างผู้เล่ากับผู้ฟัง เมื่อผู้ฟังเกิดความรู้สึกร่วมไปกับนิทาน ความรู้สึกนั้นจะมาประสานกับความรู้สึกของผู้เล่า เกิดเป็นความรู้สึกร่วมกัน จึงเป็นการรับรู้เรื่องราวที่แตกต่างจากการอ่านนิทานภาพโดยเปิดอ่านเองทีละหน้า เพราะจะมีการสื่อสารกันระหว่างผู้เล่าและผู้ฟังผ่านโลกนิทานเกิดขึ้น
พัฒนาเด็กปฐมวัย
เด็กๆ ได้ฝึกฟังเรื่องราวที่เล่าผ่านโรงละครกระดาษ ทำให้เข้าใจภาษาและคำศัพท์ใหม่ๆ มากขึ้น โดยเฉพาะการสร้างบทสนทนาให้ตัวละคร ช่วยฝึกทักษะการพูดและการสื่อสาร พร้อมทั้งสร้างเรื่องราวใหม่ๆ ผ่านตัวละครและฉากที่ตนเองสร้างขึ้น ทำให้จินตนาการกว้างไกลขึ้น
การทำโรงละครกระดาษเป็นกลุ่ม ช่วยให้เด็กๆ ได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น การแบ่งปัน และการเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นช่วยให้เด็กได้แสดงออกทางอารมณ์และความคิดเห็นผ่านการแสดงบทบาทของตัวละคร
การเล่นโรงละครเป็นกิจกรรมที่สนุกสนาน ช่วยให้เด็กๆ ได้ผ่อนคลาย ลดความเครียด และรู้จักควบคุมอารมณ์ของตนเอง
การช่วยกันออกแบบฉากและตัวละคร ช่วยพัฒนาทักษะความคิดสร้างสรรค์ สร้างเรื่องราวใหม่ๆ ช่วยให้เด็กๆ มีจินตนาการที่กว้างไกล
ตัวอย่างการทำโรงละครกระดาษ
ยามิชิไบ (Yamishibi)
1. ถ้าต้องการสร้างคามิชิไบเรื่องใหม่ขึ้นมา ต้องคิดก่อนว่า อยากสร้างเรื่องแบบไหน ถ้าเป็นเรื่องที่ผู้สร้างสนใจ มีข้อมูล มีการค้นพบด้วยตนเอง หรือเป็นสิ่งที่อินมากๆ ก็ทำให้ผู้สร้างมีอารมณ์ร่วมและสร้างสรรค์คามิชิไบได้ง่ายขึ้น
2. การเริ่มต้นสร้างเรื่องใหม่อาจยากเกินไป ก็สามารถเอานิทานพื้นบ้าน นิทานเก่าแก่ นิทานปรับปรามาปรับใช้ได้ เพราะ นิทานพื้นบ้านโครงเรื่องจะไม่ซับซ้อน มีประเด็นที่ต้องการจะสื่อชัดเจน และสามารถจับใจคนฟังได้
3. จังหวะการดึงกระดาษเป็นอีกหนึ่งคีย์เวิร์คสำคัญของคามิชิไบ ดังนั้นเมื่อต้องเปลี่ยนฉาก ต้องคิดให้ละเอียดว่า ภาพต่อไปจะเป็นอะไร ประโยคจบของฉากนี้คือตรงไหน ดังนั้นการคิดเนื้อเรื่อง ทั้งภาพและประโยคจึงสำคัญมาก แต่การคิดในหัวอย่างเดียวอาจจะยาก จึงควรเขียนสตอรี่บอร์ด ตีช่องตามจำนวนแผ่นกระดาษขึ้นมาก่อน จากนั้นก็เขียนโครงเรื่องคร่าวๆ ลงรายละเอียดทั้งภาพและประโยคสนทนา
4. เวลาเริ่มเปิดม่านโรงละครจะเริ่มจากบอกชื่อเรื่องก่อน ส่วนใหญ่ประโยคเปิดเรื่องจะเป็นการบอกรายละเอียดที่ชัดเจนว่า ตัวละครคือใคร อยู่ที่ไหน เพื่อให้เด็กๆ จินตนาการ แล้วพาตัวเองไปจดจ่อกับตัวละครให้เร็วที่สุด แถมยังชวนให้เด็กๆ พูดออกเสียงชื่อตัวละคร นิทานเรื่องนี้ก็เกิดการสื่อสารระหว่างผู้แสดงกับผู้ฟัง ทำให้คามิชิไบสนุกยิ่งขึ้น
5. ถ้าใช้เทคนิคการสร้างประโยคสนทนาให้ตัวละคร จะทำให้คามิชิไบมีเสน่ห์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะการใช้คำเลียนเสียงธรรมชาติ เช่น ในนิทานเรื่อง Otousan ใช้เสียงตอนคุณพ่อแบกกลองขึ้นภูเขาว่า ‘ฮึบ ฮึบ ฮึบ’
“คราวนี้เป็นตาของคุณพ่อตัวจริง
ฮึบ ฮึบ ฮึบ
เราจะแพ้พ่อสัตว์ประหลาดได้ยังไง เราต้องไม่แพ้เด็ดขาด
ฮึบ ฮึบ ฮึบ”
การพูดคำว่า ‘ฮึบ ฮึบ ฮึบ’ หลายครั้ง เด็กๆ จะรู้สึกเหมือนเขากำลังปีนขึ้นภูเขาอยู่ ยิ่งทำให้เด็กๆ อินมากขึ้น ดังนั้นเวลาเขียนคามิชิไบ ควรเน้นบทพูดมากกว่าบทบรรยาย เพื่อให้คนฟังรู้สึกถึงสถานการณ์จริงมากขึ้น
6. ด้านการวาดภาพประกอบคามิชิไบ ต้องคำนึงว่า แม้จะคนดูจะอยู่ไกลก็ต้องเห็นภาพชัดเจน ดังนั้น ภาพประกอบของคามิชิไบ เมื่อมองเพียงแว็บเดียว ต้องรู้เลยว่า จุดไหนเป็นจุดสำคัญของเรื่อง จึงไม่ควรใส่รายละเอียดมากเกินไป
7. การแสดงระยะของภาพคามิชิไบก็มีส่วนสำคัญ บางภาพแสดงระยะใกล้ ซูมให้เห็นสีหน้าตัวละครชัดเจน แล้วให้ภาพถัดไป เป็นภาพมุมกว้าง ที่เห็นตัวละครเต็มตัว ก็จะให้ความรู้สึกแตกต่าง ภาพแต่ละภาพมีระยะไม่ซ้ำกัน
8. จำไว้เสมอว่า เมื่อมองจากมุมคนดู คามิชิไบจะเคลื่อนที่จากขวามาซ้าย ดังนั้น การออกแบบภาพจะต้องคำนึงถึงทิศทางการเคลื่อนที่เป็นสำคัญ อีกทั้งจังหวะการดึงก็สำคัญมาก อย่างในคามิชิไบเรื่อง Otousan มีการใช้เทคนิคการดึงภาพที่หลากหลาย เช่น บางแผ่นจะค่อยๆ ดึงช้าๆ เพื่อให้รู้ว่าพื้นที่เปลี่ยนไป บางแผ่นจะดึงครึ่งแผ่นค้างไว้สักครู่ แล้วค่อยดึงเร็วๆ หรือบางแผ่นจะดึงเร็วๆ อย่างไรก็ตาม การออกแบบวิธีการดึงทุกแผ่น ผู้แสดงอาจจะเหนื่อยเกินไป แนะนำให้เปลี่ยนวิธีการดึงเป็นบางฉาก จะทำให้เรื่องน่าสนใจขึ้น
9. สิ่งสำคัญที่ต้องระวัง คือลำดับภาพ และลำดับประโยค นั่นเพราะ ประโยคด้านหลังของภาพแผ่นที่ 1 จะเป็นของภาพที่ 2 ทำให้บทที่เขียนไว้เหลื่อมกัน 1 แผ่น เมื่อเริ่มทำการแสดง ผู้แสดงพูดประโยคของภาพที่ 1 จนจบ ค่อยดึงภาพที่ 1 ออก เมื่อภาพที่ 2 ขึ้นเต็ม แล้วเก็บภาพที่ 1 เรียบร้อย ค่อยเริ่มพูดประโยคของแผ่นที่ 2
10. เมื่อเริ่มทำคามิชิไบ เราควรเริ่มทำขนาดจิ๋วก่อน ผ่านการเขียนด้วยลายมือ ทั้งภาพและประโยคด้านหลัง จากนั้นลองเล่าหลายๆ รอบ ค่อยร่างภาพขนาดจริง แล้วนำไปใส่ในกล่องบุไต อาจจะมองเห็นว่า ภาพเรายังไม่ชัดเจน หรือยังไม่เต็มที่มากนัก ก็ปรับปรุงแก้ไข เมื่อผ่านการทดลองหลายๆ รอบ ก็จะได้คามิชิไบฉบับจริง อย่างไรก็ตาม เมื่อลองไปแสดง อาจจะมีการปรับแก้ไขอีกครั้งก็ได้ เพราะเวลาที่นำไปแสดงให้ผู้ฟังดู จะมองเห็นอากัปกิริยา และจุดบกพร่องที่ชิ้นงานควรปรับปรุง
คามิชิไบ เป็นอีกหนึ่งกลวิธีเล่านิทาน ที่ช่วยสร้างปฎิสัมพันธ์ให้ผู้แสดงและผู้ฟัง แถมสิ่งที่สำคัญที่สุด ยังช่วยสร้างสรรค์การเรียนรู้ให้เด็กๆ ซึ่งผู้ปกครอง คุณครู นักการศึกษา ผู้ดูแลเด็กๆ ก็สามารถออกแบบคามิชิไบของตัวเอง ให้เหมาะกับที่บ้านและที่โรงเรียนได้