บทที่ 1 การสร้างงานศิลปะจากธรรมชาติ
บทที่ 1 การสร้างงานศิลปะจากธรรมชาติ
ฌัง เดอ ลา ฟงเตน ( Jean de La Fontaine, 1621-95 ) กวีและนักเขียนนิทานชาวฝรั่งเศสได้กล่าวว่า “ ศิลปะคือบุตรแห่งความจำเป็น “
เกอเท ( Goethe, 1749-1832 ) กวีชาวเยอรมันกล่าวว่า “ ศิลป ก็เป็นเพียงศิลปะ เพราะศิลปะไม่ใช่ธรรมชาติ “ ( Art is art only because it is not nature )
เฮอเบิร์ต รีด ( Herbert Read 1893 ) นักวิจารณ์ศิลปะชั้นนำชาวอังกฤษได้ให้นิยามความ หมายของศิลปะไว้ว่า “ ศิลปะคือการแสดงออก “ ( ART is expression ) โดยยึดหลักว่า อารมณ์และความรู้สึกเป็นสิ่งผลักดันให้เกิดการแสดงออกมาทางศิลปะ
ท่านศาสตราจารย์ศิลป พีระศรี ( C. Feroei, พ.ศ. 2435-2505 ) ได้ให้ความหมายของศิลปะไว้ว่า “ ศิลปะ หมายถึง งานอันเป็นความพากเพียรของมนุษย์ ซึ่งจะ ต้องใช้ความพยายามด้วยมือและด้วยความคิด
จากความหมายของศิลปะที่กล่าวมานั้น "ศิลปะจากธรรมชาติ" หมายถึง กระบวนการสร้างสรรค์ที่มนุษย์ใช้แสดงออกถึงความคิด ความรู้สึก และประสบการณ์ต่างๆ ผ่านสื่อต่างๆ ศิลปะไม่เพียงแต่เป็นการสร้างสรรค์เพื่อความสวยงาม แต่ยังเป็นการสื่อสาร การแสดงออก และการตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว การสร้างงานศิลปะจากธรรมชาติก็คือการนำธรรมชาติมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นของเรานั่นเอง
ที่มา : TEACHERS as LEARNERS
ธรรมชาติของเด็กปฐมวัยกับศิลปะ
ธรรมชาติและศิลปะเป็นสองสิ่งที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับเด็กปฐมวัย ธรรมชาติเปรียบเสมือนห้องเรียนขนาดใหญ่ที่เปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้และค้นพบสิ่งใหม่ๆ ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้สามารถนำมาเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะได้อย่างไม่จำกัด
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้อง
ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย และได้นำมาใช้ในการจัดกิจกรรมศิลปะจากวัสดุธรรมชาติ มีดังนี้
วิคเตอร์ โลเวนเฟลด์ (Viktor Lowenfeld, 1947) นักจิตวิทยาการศึกษาได้ทำการศึกษาค้นคว้าพัฒนาการทางศิลปะ และการคิดสร้างสรรค์จากงานผลศิลปะ โดยให้เด็กแสดงออกทุกอย่าง อย่างอิสระ พบว่าเด็กมีพัฒนาการในการวาด ขีดเขี่ยเป็น 5 ขั้นดังนี้
1. ขั้นขีดเขี่ย (Scribbling Stage) ประมาณอายุระหว่าง 2-4 ปี ขั้นนี้แบ่งระยะของพัฒนาการได้ออกเป็น 4 ขั้น คือ
1.1 Disorder Scribbling (2 ปี) การขีดเขียนยังเป็นแบบสะเปะสะปะ กล่าวคือ การขีดเขียนจะเป็นเส้นยุ่งเหยิง โดยปราศจากความหมาย ทั้งนี้เนื่องจากการประสานงานของกล้ามเนื้อยังไม่ดี เช่น การบังคับกล้ามเนื้อเล็ก ๆ ยังทำไม่ได้ จะทดลองง่าย ๆ โดยให้เด็กวัยนี้กำมือ แล้วให้เด็กยกนิ้วมือทีละนิ้ว หรือสองนิ้วก็ได้ เด็กจะทำได้ไม่ได้ หรือลองให้เด็กชกเรา เด็กจะยกแขนชกพร้อม ๆ กัน ทั้ง 2 แขน เป็นต้น
1.2 Longitudinal Scribbling ขั้นขีดเป็นเส้นยาว เด็กจะเคลื่อนแขนขีดได้เป็นเส้นแนวยาว ขีดเขี่ยซ้ำ ๆ หลายครั้ง ทั้งแนวตั้งและแนวนอน แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการทางกล้ามเนื้อว่าเด็กค่อย ๆ ควบคุมกล้ามเนื้อของการเคลื่อนไหวของตนเองให้ดีขึ้น ระยะนี้เด็กจะเริ่มรู้สึกสนุกและสนใจเป็นครั้งแรก
1.3 Circular Scribbling เป็นขั้นที่เด็กสามารถขีดลากเป็นวงกลม ระยะนี้การประสานงานของกล้ามเนื้อ(mortor coodination) ดีขึ้น การประสานงานของกล้ามเนื้อมือ และสายตา (Eye-hand coodination) ดีขึ้น เด็กสามารถขีดเส้น ซึ่งมีเค้าเป็นวงกลมเป็นระยะ เด็กเคลื่อนไหวได้ตลอดทั้งแขน
1.4 Noming Scribbling ขั้นให้ชื่อรอยขีดเขียน การขีดเขียนชักมีความหมายขึ้น เช่น จะวาดรูป น้อง พี่ พ่อ แม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวเด็ก ขณะขีดเขียนไปเด็กก็จะบรรยายไปด้วยถ่ายทอดออกมาในรูปการขีดเขียนและความคิดคำนึงในภาพ
2. ขั้นเริ่มขีดเขียน (Pre-Schematic Stage) (4-7 ปี) เป็นระยะเริ่มต้นการขีดเขียนภาพอย่างมีความหมาย การขีดเขียนจะปรากฏเป็นรูปร่างขึ้น สัมพันธ์กับความจริงของโลกภายนอกมากขึ้น มีความหมายกับเด็กมากขึ้น
3. ขั้นขีดเขียน (Schematic Stage) (7-9 ปี) เป็นขั้นที่ขีดเขียนให้คล้ายของจริง และความเป็นจริง
4. ขั้นวาดภาพของจริง (The Drawing Realism) (9-11 ปี) เป็นขั้นเริ่มต้นการขีดเขียนอย่างของจริง เนื่องจากระยะนี้ตามหลักจิตวิทยาพัฒนาการ เด็กเริ่มรวมกลุ่มกัน โดยแยกชาย หญิง เด็กผู้ชายชอบผาดโผน เดินทางไกล เด็กผู้หญิงสนใจเครื่องแต่งตัวเพื่อแต่งตัว งานรื่นเริง ฉะนั้น การขีดเขียนจะแสดงออกในทำนองต่อไปนี้ คือใช้สีตามความเป็นจริง แต่อาจเพิ่มความรู้สึก เช่น บ้านคนจนอาจใช้สีมัว ๆ บ้านคนรวยใช้สีสด ๆ มีชีวิตชีวา และประสบการณ์ของเด็กจะทำให้การออกแบบดีขึ้น เป็นธรรมชาติขึ้นรู้จักการวางหน้าที่ของวัตถุต่าง ๆ
5. ขั้นตอนการใช้เหตุผล (The Stage of Reasoning) (11-12 ปี) ขั้นการใช้เหตุผล ระยะเข้าสู่วัยรุ่น เป็นระยะที่เด็กแสดงออกมาอย่างไม่รู้สึกตัว เช่น เอาไม้บรรทัด ดินสอมาร่อนแล้วทำเสียงอย่างเครื่องบิน เป็นต้น
สรุปได้ว่า ก่อนการจัดกิจกรรมศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย สิ่งที่ครูหรือผู้จัดกิจกรรมต้องทำความ เข้าใจก่อนเป็นอันดับแรกคือธรรมชาติและความแตกต่างของเด็กในวัยนี้ การจัดกิจกรรมศิลปะจะต้องสอด รับกับพัฒนาการตามวัย โดยไม่เป็นการบังคับกะเกณฑ์ หากแต่ให้ดำเนินไปด้วยความเป็นธรรมชาติ ความ สนุกสนานการให้กำลังใจและความผ่อนคลาย ประสบการณ์แรกของการเริ่มต้นการทำกิจกรรม ศิลปะ คือการสร้างประสบการณ์ที่มีคุณค่าและน่าจดจำให้แก่ผู้เรียน อันนำไปสู่ความความประทับใจ และ นำไปสู่เจตคติที่ดีในการศึกษาอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ความสำคัญของศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย
ศิลปะไม่ใช่แค่การวาดรูปหรือปั้นดินน้ำมัน แต่เป็นเหมือนสะพานที่เชื่อมโยงโลกภายในของเด็กกับโลกภายนอก เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการพัฒนาเด็กปฐมวัยให้เติบโตอย่างรอบด้าน ทั้งร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปัญญา เมื่อเด็กได้ลงมือสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ไม่ว่าจะเป็นการวาดภาพ ระบายสี ปั้น หรือประดิษฐ์ พวกเขากำลังฝึกฝนกล้ามเนื้อมัดเล็ก พัฒนาทักษะการประสานมือกับตา และเรียนรู้เกี่ยวกับรูปทรง สีสัน และพื้นผิวต่างๆ ไปพร้อมกัน นอกจากนี้ ศิลปะยังช่วยให้เด็กได้แสดงออกถึงความรู้สึกและอารมณ์ที่ซ่อนอยู่ในใจออกมาสู่ภายนอก ซึ่งเป็นการปลดปล่อยความเครียดและสร้างความสุขได้เป็นอย่างดีการทำงานศิลปะร่วมกับเพื่อนๆ ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ การทำงานเป็นทีม การแบ่งปัน และการเคารพความคิดเห็นของผู้อื่น ซึ่งเป็นทักษะสำคัญในการเข้าสังคม การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานของตนเองและของเพื่อนๆ จะช่วยกระตุ้นให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาภาษาในการสื่อสารที่สำคัญที่สุด ศิลปะช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ที่จะคิดอย่างอิสระและสร้างสรรค์ ผลงานศิลปะของเด็กแต่ละคนจึงมีความแตกต่างกันไป ไม่จำเป็นต้องเหมือนแบบอย่างหรือมาตรฐานใดๆ เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดคือกระบวนการสร้างสรรค์และความสุขที่เด็กได้รับจากการทำกิจกรรม
ดังนั้น การส่งเสริมให้เด็กได้มีโอกาสสร้างสรรค์ผลงานศิลปะ จึงเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กได้เรียนรู้และเติบโตอย่างเต็มศักยภาพ และเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดสำหรับอนาคตของเด็ก
แนวทางในการจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์
สร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการสร้างสรรค์:
เตรียมวัสดุอุปกรณ์ให้พร้อม วัสดุที่ใช้ควรมีความหลากหลาย เช่น สีเทียน สีน้ำ ดินน้ำมัน กระดาษแข็ง กระดาษสี ใบไม้ กิ่งไม้ ฯลฯ เพื่อให้เด็กได้เลือกใช้วัสดุที่ตนเองสนใจ จัดพื้นที่ให้กว้างขวางเพื่อให้เด็กได้เคลื่อนไหวและแสดงออกอย่างอิสระ และจัดเตรียมอุปกรณ์ทำความสะอาดเพื่อความสะดวกและความปลอดภัย
เลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับวัยและความสนใจของเด็ก:
เลือกกิจกรรมที่สอดคล้องกับวัยและความสามารถของเด็ก เช่น สำหรับเด็กเล็กอาจเน้นกิจกรรมง่ายๆ เช่น การวาดภาพระบายสี หรือการปั้นดินน้ำมัน ส่วนเด็กโตอาจให้ทำกิจกรรมที่ซับซ้อนมากขึ้น เช่น การสร้างงานประดิษฐ์จากวัสดุเหลือใช้
สังเกตความสนใจของเด็ก: สังเกตว่าเด็กสนใจอะไรเป็นพิเศษ แล้วนำมาเป็นหัวข้อในการจัดกิจกรรม เช่น ถ้าเด็กชอบสัตว์ ก็อาจจัดกิจกรรมให้เด็กวาดภาพสัตว์ หรือทำหน้ากากสัตว์
กระตุ้นให้เด็กเกิดความคิดสร้างสรรค์
ตั้งคำถามเปิด เช่น "หนูอยากวาดรูปอะไรดี?", "หนูจะทำอะไรจากดินน้ำมันดี?"นำเสนอภาพตัวอย่าง หรือเล่าเรื่องราวที่น่าสนใจ เพื่อกระตุ้นจินตนาการของเด็ก หลีกเลี่ยงการชี้นำมากเกินไปเพื่อให้เด็กได้คิดและตัดสินใจด้วยตนเอง
ส่งเสริมการทำงานร่วมกัน
จัดกิจกรรมกลุ่ม เพื่อให้เด็กได้เรียนรู้การทำงานร่วมกับผู้อื่น การแบ่งปัน และการเคารพความคิดเห็นของผู้อื่นและสร้างบรรยากาศที่เป็นกันเองให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและกล้าที่จะแสดงออก
วาดภาพบนใบไม้: ให้เด็กวาดภาพใบหน้าของสัตว์หรือคนบนใบไม้หลากสี
ประดิษฐ์สัตว์จากใบไม้: ใช้ใบไม้ต่างๆ มาประกอบเป็นรูปสัตว์ เช่น ใบมะม่วงเป็นหูช้าง ใบโพธิ์เป็นปีกผีเสื้อ
พิมพ์ลายใบไม้: ใช้ใบไม้พิมพ์ลายลงบนกระดาษหรือดินน้ำมัน
โมบายล์ใบไม้: ร้อยใบไม้หลากสีลงบนเชือกหรือด้าย เพื่อทำเป็นโมบายล์แขวนประดับ
ระบายสีดอกไม้: ใช้ดอกไม้จริงมาจุ่มสีแล้วพิมพ์ลงบนกระดาษ
ประดิษฐ์มงกุฎดอกไม้: ใช้ดอกไม้หลากสีมาทำเป็นมงกุฎสวมหัว
สร้างสรรค์ภาพจากกลีบดอกไม้: นำกลีบดอกไม้มาเรียงเป็นรูปต่างๆ
น้ำหอมจากดอกไม้: ผสมกลีบดอกไม้กับน้ำเพื่อทำน้ำหอมกลิ่นธรรมชาติ
ปั้นรูปสัตว์จากดิน: ปั้นรูปสัตว์ต่างๆ จากดินเหนียวหรือดินทราย
สร้างปราสาททราย: สร้างปราสาททรายริมทะเลหรือในสวน
วาดภาพบนทราย: ใช้ไม้จิ้มฟันวาดภาพบนทราย
ทำเค้กทราย: สร้างเค้กทรายโดยใช้ใบไม้เป็นตกแต่ง
วาดภาพบนน้ำ: ใช้สีผสมน้ำแล้ววาดภาพบนผิวน้ำ
เล่นกับฟองสบู่: เป่าฟองสบู่หลากสี
ทำเรือใบจากใบไม้: ทำเรือใบจากใบตองหรือใบกล้วยแล้วปล่อยลงน้ำ
หินหน้ายิ้ม: เปลี่ยนหินธรรมดาให้เป็นใบหน้าตลกๆ ด้วยการระบายสี
หินตัวอักษร: ฝึกเขียนตัวอักษรบนหินสีสวยๆ
หินลายจุด: สร้างลวดลายจุดๆ สีสดใสบนหิน
หินลายนิ้วมือ: ใช้ปลายนิ้วจุ่มสีแล้วประทับลงบนหิน