การประเมินพัฒนาการเด็กอายุ 3-6 ปี เป็นการประเมินพัฒนาการทางด้านร่างกายอารมณ์ จิตใจ สังคม และสติปัญญาของเด็ก โดยถือเป็น กระบวนการต่อเนื่องและเป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรมปกติที่ จัดให้เด็กในแต่ละวัน ผลที่ได้จากการสังเกตพัฒนาการเด็ก ต้องนำมาจัดทำสารนิทัศน์ หรือจัดทำข้อมูลหลักหลักฐานหรือเอกสารอย่างเป็นระบบ ด้วยการรวบรวมผลงานสำหรับเด็กเป็นรายบุคคลที่สามารถบอกเรื่องราวหรือประสบการณ์ที่เด็กได้รับว่าเด็กเกิดการเรียนรู้และมีความก้าวหน้าเพียงใด ทั้งนี้ ให้นำข้อมูลผลการประเมินพัฒนาการเด็กมาพิจารณาปรับปรุง วางแผนการจัดกิจกรรม และส่งเสริมให้เด็กแต่ละคนได้รับการพัฒนาตามจุดมุ่งหมายของหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง การประเมินพัฒนาการควรยึดหลัก ดังนี้
1. วางแผนการประเมินพัฒนาการอย่างเป็นระบบ
2. ประเมินพัฒนาการเด็กครบทุกด้าน
3. ประเมินพัฒนาการเด็กเป็นรายบุคคลอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องตลอดปี
4. ประเมินพัฒนาการตามสภาพจริงจากกิจกรรมประจำวัน ด้วยเครื่องมือและวิธีการที่หลากหลาย ไม่ควรใช้แบบทดสอบ
5. สรุปผลการประเมินจัดทำข้อมูลและนำผลการประเมินไปพัฒนาเด็ก
สำหรับวิธีการการประเมินที่เหมาะสมและควรใช้กับเด็กอายุ 3-6 ปี ได้ แก่ การสังเกตุการบันทึกพฤติกรรม การสนทนากับเด็ก การสัมภาษณ์ การวิเคราะห์ข้อมูลจากผลงานเด็กที่เก็บอย่างมีระบบ
การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยเป็นหลักสูตรของสถานศึกษาที่เปิดสอนระดับปฐมวัย แต่ละแห่งวางแผนหรือกำหนดแนวทางการจัดการศึกษา เพื่อส่งเสริมให้เด็กบรรลุมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตัวบ่งชี้และสภาพที่พึงประสงค์ ตามที่หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกำหนด สถานศึกษาต้องคำนึงถึงวิสัยทัศน์ จุดเน้น ภูมิปัญญาท้องถิ่น สภาพบริบทและความต้องการของชุมชน มาออกแบบหลักสูตรสถานศึกษา ดังนี้
1. จุดหมายหมายของหลักสูตรสถานศึกษา
สถานศึกษาต้องดำเนินการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาบนพื้นฐานหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยโดยสถานศึกษาต้องเชื่อมโยงมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ในหลักสูตรการศึกษา ปฐมวัยไปสู่การจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาและสะท้อนให้เห็นหลักการของหลักสูตรสถานศึกษาปฐมวัยเช่นการประสานความร่วมมือระหว่างครอบครัวชุมชนคณะกรรมการสถานศึกษาผู้สอนปฐมวัย และผู้มีส่วนร่วมเกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก
2. การสร้างหลักสูตรสถานศึกษา
หลักสูตรสถานศึกษาต้องสนองต่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเศรษฐกิจและปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับธรรมชาติและการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยการสร้างหลักสูตรสถานศึกษาควรดำเนินการ ดังนี้
2.1 ศึกษาธรรมความเข้าใจหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยคู่มือหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยและเอกสารประกอบหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยรวมทั้งศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับตัวเด็กและครอบครัวสภาพปัจจุบันสภาพต่างๆที่เป็นปัญหาจุดเด่นภูมิปัญญาท้องถิ่นความต้องการของชุมชนและท้องถิ่น
2.2 จัดทำหลักสูตรสถานศึกษาโดยกำหนดปรัชญาการศึกษาวิสัยทัศน์ภารกิจหรือพันธกิจเป้าหมายมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ตัวบ่งชี้สภาพที่พึงประสงค์โดยโครงสร้างหลักสูตรประกอบด้วยการวิเคราะห์สาระการเรียนรู้รายปีเพื่อกำหนดประสบการณ์สำคัญและสาระที่ควรเรียนรู้ในแต่ละช่วงอายุระยะเวลาเรียนการจัดประสบการณ์การสร้างบรรยากาศการเรียนรู้สื่อและแหล่งการเรียนรู้การประเมินพัฒนาการและการบริหารจัดการหลักสูตรซึ่งสถานศึกษาอาจกำหนดโครงสร้างหลักสูตร ได้ตามความเหมาะสมและความจำเป็นของสถานศึกษาแต่ละแห่ง
2.3 ประเมินหลักสูตรของสถานศึกษา ปฐมวัยแบ่งออกเป็นการประเมินก่อนนำหลักสูตรไปใช้ในการประเมินเพื่อตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร องค์ประกอบของหลักสูตรหลังจากที่ได้จัดทำแล้วโดยอาศัยความคิดเห็นจากผู้ใช้หลักสูตร ผู้มีส่วนร่วมในการจัดทำหลักสูตร ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิในด้านต่างๆ การประเมินระหว่างการดำเนินการใช้หลักสูตรการประเมินเพื่อตรวจสอบว่าหลักสูตรสามารถนำไปใช้ได้ดีเพียงใด ควรมีการปรับปรุงแก้ไขในเรื่องใด และการประเมินหลักการการใช้หลักสูตรการประเมินเพื่อตรวจสอบหลักสูตรทั้งระบบหลังจากที่ได้ใช้หลักสูตรครบแต่ละช่วงอายุ เพื่อสรุปผลว่าหลักสูตรที่จัดทำควรมีการปรับปรุงหรือพัฒนาได้ดีขึ้นอย่างไร
การจากการศึกษาระดับปฐมวัย (เด็กอายุ 3-6 ปี) สำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะสามารถนำหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยไปปรับใช้ ได้ ทั้งในส่วนของโครงสร้างหลักสูตร สาระการเรียนรู้ การจัดประสบการณ์ และการประเมินพัฒนาการให้เหมาะสมกับสภาพบริบท ความต้องการ และศักยภาพของเด็กแต่ละประเภทเพื่อพัฒนาให้เด็กมีคุณภาพตามมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์ที่หลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกำหนดโดยดำเนินการ ดังนี้
1. การกำหนดเป้าหมายคุณภาพเด็ก ซึ่งหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยได้กำหนดมาตรฐานคุณลักษณะที่พึงประสงค์และสาระการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางเพื่อให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาเด็กสถานศึกษาหรือผู้จัดการสถานศึกษาสำหรับกลุ่มเป้าหมายเฉพาะสามารถเลือก หรือปรับใช้ตัวบ่งชี้และสภาพที่พึงประสงค์ในการพัฒนา เพื่อนำไปจัดทำแผนการจัดการศึกษาเฉพาะบุคคลให้ครอบคลุมพัฒนาการของเด็กทั้งทางด้านร่างกายอารมณ์ จิตใจสังคม และสติปัญญา
2. การประเมินพัฒนาการเด็ก จะต้องคำนึงถึงปัจจัยความแตกต่างของเด็ก อาทิ เด็กที่มีความพิการ แต่ละด้าน อาจต้องมีการปรับการประเมินพัฒนาการที่อู้ต่อสภาพความพิการของเด็ก ทั้งวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ควรให้สอดคล้องกับเด็กกลุ่มเป้าหมายเฉพาะดังกล่าว
3. สถานสถานศึกษาที่มีเด็กกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ ควรได้รับการสนับสนุนครูพี่เลี้ยงให้การดูแลช่วยเหลือและส่งเสริมพัฒนา กรณีที่มีเด็กกลุ่มเป้าหมายเฉพาะมีผลพัฒนาการไม่เป็นไปตามเป้าหมาย ควรมีการส่งเสริมไปยังสถานพัฒนาเด็กที่มีความต้องการพิเศษเพื่อให้ได้รับพัฒนากันต่อไป
การสร้างรอยเชื่อมต่อระหว่างการศึกษาระดับปฐมวัยกับระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 มีความสำคัญอย่างยิ่งส่งผลดีต่อการเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยในการปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงได้เป็นอย่างดีสามารถพัฒนาพัฒนาการเรียนรู้ได้อย่างราบรื่น การเชื่อมต่อของการศึกษาระดับปฐมวัยกับระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1 จะประสบผลสำเร็จได้บุคลากรทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต้อง ดำเนินการดังต่อไปนี้
1. ผู้บริหารสถานศึกษา
ผู้บริหารสถานศึกษาเป็นบุคคลสำคัญที่มีบทบาทเป็นผู้นำในการสร้างโดยเชื่อมต่อระหว่างหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1 โดยต้องศึกษาหลักสูตรทั้งสองระดับเพื่อทำความเข้าใจและจัดระบบการบริหารงานด้านวิชาการที่จะอู้ต่อการสร้างรอยเชื่อมต่อการศึกษาโดยผู้บริหารสถานศึกษาควรดำเนินการดังนี้
1.1 จัดประชุมผู้สอนระดับประถมวัยและผู้สอนระดับประถมศึกษาร่วมกันสร้างความเข้าใจรอยเชื่อมต่อของหลักสูตรทั้งสองระดับให้เป็นแนวปฏิบัติของสถานศึกษาเพื่อผู้สอนทั้งสองระดับจะได้เตรียมการสอนได้สอดคล้องกับวัยเด็ก
1.2 จัดหาเอกสารหลักสูตรและเอกสารทางวิชาการของทั้งสองระดับมาไว้ให้ผู้สอนและบุคลากรอื่นๆได้ศึกษาทำความเข้าใจอย่างสะดวกและเพียงพอ
1.3 จัดกิจกรรมให้ผู้สอนทั้งสองระดับมีโอกาสแลกเปลี่ยนและเผยแพร่ความรู้ใหม่ใหม่ร่วมกัน
1.4 จัดหาสื่อวัสดุอุปกรณ์และจัดสภาพแวดล้อมที่ส่งเสริมการสร้างโดยเชื่อมต่อ
1.5 จากกิจกรรมให้ความรู้กิจกรรมสัมพันธ์ในรูปแบบต่างๆและจัดทำเอกสารเผยแพร่ให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองอย่างสม่ำเสมอเพื่อให้พ่อแม่ผู้ปกครองเข้าใจการศึกษาทั้งสองระดับและให้ความร่วมมือในการช่วยเหลือเด็กให้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ได้ดี
ในกรณีที่สถานศึกษาไม่มีระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ในสถานศึกษาของตนเองผู้บริหารสถานศึกษาควรประสานกับสถานศึกษาที่คาดว่าเด็กจะเข้าเรียนเพื่อสร้างความเข้าใจให้พ่อแม่ผู้ปกครองในการช่วยเหลือเด็กให้สามารถปรับตัวเข้ากับสถานศึกษาใหม่ได้
2.ผู้สอนระดับปฐมวัย
ผู้สอนระดับปฐมวัยต้องศึกษาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานการจัดการเรียนการสอนในระดับชั้นประถมศึกษาปี1 และสร้างความเข้าใจให้กับพ่อแม่ผู้ปกครองและบุคลากรอื่นๆรวมทั้งช่วยเหลือเด็กในการปรับตัวก่อนเลื่อนคลื่นระดับชั้นประถมศึกษาปี1 โดยผู้สอนระดับปฐมวัยควรดำเนินการดังต่อไปนี้
2.1 เก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับเด็กเป็นรายบุคคลเพื่อส่งต่อผู้สอนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1 ซึ่งจะทำให้ผู้สอนระดับประถมศึกษาสามารถใช้ข้อมูลนั้นช่วยเหลือเด็กในการปรับตัวให้เข้ากับการเรียนรู้ใหม่ต่อไป
2.2 พูดคุยกับเด็กถึงประสบการณ์ที่ดีเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1 เพื่อให้เด็กเกิดเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้
2.3 จัดให้เด็กได้มีโอกาสทำความรู้จักกับผู้สอนตลอดจนการสำรวจสภาพแวดล้อมและบรรยากาศของห้องเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1
2.4 จัดซื้อวัสดุอุปกรณ์หนังสือที่เหมาะสมกับวัยเด็กที่ส่งเสริมให้เด็กได้เรียนรู้และมีประสบการณ์พื้นฐานที่สอดคล้องกับการสร้างรอยต่อในการเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1
3. ผู้สอนระดับประถมศึกษา
ผู้สอนระดับประถมศึกษาต้องมีความรู้ความเข้าใจในการพัฒนาเด็กประถมและมีจิตคติที่ดีต่อการจัดประสบการณ์ตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัยเพื่อนำมาเป็นข้อมูลการพัฒนาการจากการเรียนรู้ระดับชั้นประถม ศึกษาปีที่1 ให้ต่อเนื่องกับการพัฒนาเด็กในระดับปฐมวัยโดยผู้สอนระดับประถมศึกษาควรดำเนินการดังนี้
3.1 จัดกิจกรรมให้เด็กพ่อแม่และผู้ปกครองมีโอกาสได้ทำความรู้จักคุ้นเคยกับผู้สอนและห้องเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่1 ก่อนเปิดภาคเรียน
3.2 จัดสภาพห้องเรียนให้ใกล้เคียงกับห้องเรียนระดับชั้นประถมโดยจัดให้มีมุมประสบการณ์ภายในห้องเรียนเพื่อให้เด็กได้มีโอกาสทำกิจกรรมได้อย่างอิสระเช่นมุมมุมหนังสือมุมของมุมเกมการศึกษาเพื่อช่วยให้เด็กชั้นประถมศึกษาชั้นปีที่หนึ่งได้ปรับตัวและเรียนรู้กันปฏิบัติจริง
3.3 จากกิจกรรมร่วมมือกับเด็กในการสร้างข้อตกลงเกี่ยวกับการปฏิบัติตน
3.4 จากกิจกรรมช่วยเหลือส่งเสริมการเรียนรู้ให้เด็กตามความแตกต่างระหว่างบุคคล
3.5 เผยแพร่ข่าวสารด้านการเรียนรู้และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเด็กพ่อแม่ผู้ปกครองและชุมชน
4. พ่อแม่ผู้ปกครอง
พ่อแม่ผู้ปกครองเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการอบรมเลี้ยงดูและส่งเสริมการศึกษาของบุตรหลานและเพื่อช่วยบุตรหลานของตนเองในการศึกษาต่อชั้นประถมศึกษาปีที่1 พ่อแม่ผู้ปกครองควรดำเนินการดังนี้
4.1 ศึกษาและทำความเข้าใจหลักสูตรของการศึกษาทั้งสองระดับ
4.2 จัดหาหนังสืออุปกรณ์ที่เหมาะสมกับวัยเด็ก
4.3 มีปฏิสัมพันธ์ที่ดีกับบุตรหลานให้ความรักความเอาใจใส่ดูแลบุตรหลานอย่างใกล้ชิด
4.4 ในการทำกิจกรรมร่วมกับบุตรหลานเช่นเล่านิทานอ่านหนังสือร่วมกันสนทนาพูดคุยทำปัญหาในการเรียนให้เสริมแรงและให้กำลังใจ
4.5 ร่วมมือกับผู้สอนและสถานศึกษาในการช่วยเตรียมตัวบุตรหลานเพื่อช่วยให้บุตรหลานของตนปรับตัวได้ดีขึ้น