เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Inteligence : AI) หมายถึง เทคโนโลยีการสร้าง เครื่องจักรให้มีคุณลักษณะทางด้านสติปัญญาและความฉลาดเหมือนมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นการคิดได้แบบ มนุษย์ การกระทำได้แบบมนุษย์ การคิดอย่างมีเหตุผล และการกระทำอย่างมีเหตุผล
โดยศาสตร์ที่เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มีความสามารถทางสติปัญญาและการ เรียนรู้เหมือนมนุษย์ คือ การเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Leaning : ML) ซึ่งหมายถึง ศาสตร์ที่ทำให้ คอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรสามารถเรียนรู้ที่จะเข้าใจความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ถูกป้อนเข้า (Input) และ สร้างผลลัพธ์การตอบสนองต่อข้อมูล (Output) ขึ้นมาได้เองโดยไม่ต้องได้รับการป้อนคำสั่งเข้าไปใหม่ทุก ครั้งที่คอมพิวเตอร์หรือเครื่องจักรได้รับข้อมูลใหม่เป็นการนำศาสตร์ด้านคณิตศาสตร์และสถิติขั้นสูงมา ประยุกต์เข้ากับความรู้ด้านการจัดการข้อมูลและการเขียนโปรแกรม
ปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์นับเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ได้รับความสนใจมาก เนื่องจากเทคโนโลยี ปัญญาประดิษฐ์ก่อให้เกิดประโยชน์ในงานหลากหลายประเภท และช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ให้แก่องค์กรได้ ทั้งยังมีแนวโน้ม ที่จะถูกใช้ร่วมกับเทคโนโลยี Cloud Computing และข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ซึ่งทำให้เกิดการส่งถ่ายข้อมูลไปมาระหว่างเครื่องจักรในระบบเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เมื่อ เครื่องจักรหนึ่งสามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ขึ้นมาได้ จะสามารถถ่ายทอดองค์ความรู้นี้ไปยังเครื่องจักรอื่น ๆ ภายในเวลาอันรวดเร็ว จึงทำให้เกิดการพัฒนาความรู้ใหม่ที่ต่อยอดจากความรู้เดิมอยู่ตลอดเวลา
เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ทำงานโดยรวบรวมข้อมูลปริมาณมหาศาลด้วยความเร็ว ประมวลผล ซ้ำ ๆ ผ่านขั้นตอนการประมวลผลที่ชาญฉลาด ช่วยให้ซอฟต์แวร์สามารถเรียนรู้จากรูปแบบและลักษณะ ของข้อมูลได้อย่างอัตโนมัติเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เป็นแขนงของการศึกษาที่กว้างขวาง อันประกอบไป ด้วย ทฤษฎีมากมาย วิธีการและเทคโนโลยี รวมถึงแขนงย่อยหลัก ๆ ได้แก่
1. การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learing) ในการสร้างแบบจำลองการวิเคราะห์แบบอัตโนมัติ โดย ใช้วิธีการจากโครงข่ายประสาทเทียม สถิติ การวิจัยดำเนินการ (Operations Research) และหลัก ฟิสิกส์ในการค้นหาข้อมูลเชิงลึก ที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลโดยไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมในการค้นหา
2. การเรียนรู้ของเครื่อง (Machine Learing) ในการสร้างแบบจำลองการวิเคราะห์แบบอัตโนมัติ โดย ใช้วิธีการจากโครงข่ายประสาทเทียม สถิติ การวิจัยดำเนินการ (Operations Research) และหลัก ฟิสิกส์ในการค้นหาข้อมูลเชิงลึก ที่ซ่อนอยู่ในข้อมูลโดยไม่จำเป็นต้องเขียนโปรแกรมในการค้นหา
3. การเรียนรู้เชิงลึก (Deep Learning) ใช้โครงข่ายประสาทเทียมขนาดใหญ่ที่มีหน่วยประมวลผล หลายชั้นโดยอาศัยประโยชน์จากความก้าวหน้าในศักยภาพของคอมพิวเตอร์และเทคนิคในการ เรียนรู้รูปแบบของข้อมูลปริมาณมหาศาลที่มีความซับซ้อนที่ได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นแล้ว แอป พลิเคชันแบบทั่วไปนั้นหมายถึงการจดจำภาพและคำพูด
4. ระบบการประมวลผลข้อมูลที่มีการเรียนรู้ (Cognitive Computing) เป็นแขนงย่อยหนึ่งของ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ที่พยายามแสดงปฏิสัมพันธ์ให้เสมือนมนุษย์ผ่านเครื่องจักรกล การใช้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์และการประมวลผลหน่วยความจำ มีเป้าหมายสูงสุด คือ การใช้ เครื่องจักรกลในการเลียนแบบกระบวนการของมนุษย์ผ่านความสามารถในการตีความภาพและ คำพูด และตอบสนองโดยทันที
5. การประมวลผลภาพ (Computer Vision) ใช้การจดจำรูปแบบและการเรียนรู้เชิงลึกในการจดจำ สิ่งที่อยู่ในภาพหรือวิดีโอ เมื่อเครื่องจักรกลสามารถประมวลผล วิเคราะห์และเข้าใจรูปภาพ จะ สามารถจับภาพหรือวิดีโอได้แบบเรียลไทม์และตีความสภาพแวดล้อมได้
6. การประมวลผลภาษาธรรมชาติ (Natural Language Processing : NLP) คือ ความสามารถของ คอมพิวเตอร์ในการวิเคราะห์ เข้าใจและสร้างภาษามนุษย์ ซึ่งรวมถึงคำพูด ขั้นถัดไปของ NLP คือ การโต้ตอบด้วยภาษาธรรมชาติซึ่งช่วยให้มนุษย์สามารถสื่อสารกับคอมพิวเตอร์ได้โดยใช้ภาษาเพื่อ ดำเนินการงานต่าง ๆ สรุป เป้าหมายของเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ คือ การมอบซอฟต์แวร์ที่สามารถหาคำตอบด้วยการคิดหา เหตุผลจากอินพุตที่ใส่เข้าไปและอธิบายคำตอบนั้นผ่านการแสดงผล เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์จะแสดง ปฏิสัมพันธ์เสมือนมนุษย์ผ่านซอฟต์แวร์และให้เหตุผลสนับสนุนการตัดสินใจในงานเฉพาะ หากแต่ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนที่มนุษย์
ตัวอย่างเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ในชีวิตประจำวันหรือเป็นสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวมากที่สุด เช่น
1. การปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ด้วย Face ID
2. สื่อสังคมออนไลน์
3. การส่งอีเมลหรือข้อความต่าง ๆ
4. การค้นหาข้อมูลและแปลภาษา Gooole Search
5. การสั่งงานด้วยเสียง
6. อุปกรณ์สมาร์ตโฮม
7. การเดินทางไปทำงาน เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการเดินทางมากกว่าการบอก เส้นทาง Google Maps และแอปพลิเคชันการเดินทางอื่น ๆ
8. ธุรกรรมทางการเงิน
9. การซื้อขายสินค้าออนไลน์
1.ความสะดวกสบาย: ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลและบริการได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต โดยไม่ต้องพกพาคอมพิวเตอร์เคลื่อนที่มากมาย
2.การแจ้งเตือนและการแจ้งเตือนเป็นเวลาจริง: สามารถรับข้อมูลและการแจ้งเตือนทันทีเมื่อมี เหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้น เช่น การส่งข้อความ การอัปเดตข้อมูล หรือการแจ้งเตือนจากระบบ
1.ข้อจำกัดของหน้าจอ: ขนาดหน้าจอของอุปกรณ์เคลื่อนที่อาจจำกัดการแสดงข้อมูลที่มากมาย หรือซับซ้อน ทำให้บางครั้งการใช้งานอาจไม่สะดวก
2.การใช้งานที่ยึดเหนี่ยวกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต: บางแอปพลิเคชันอาจจำเป็นต้องใช้ อินเทอร์เน็ตเพื่อดึงข้อมูลหรือบริการจากเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งอาจทำให้การใช้งานไม่สามารถทำได้ในบาง สถานการณ์ เช่น ในพื้นที่ที่สัญญาณอินเทอร์เน็ตไม่แข็งแรง