2. องค์ประกอบและประเภทของดนตรีสากล
ดนตรี คือ งานศิลปะที่สามารถรับรู้ด้วยการฟังเป็นสำคัญ และเกิดจากการเรียบเรียงเสียง อย่างเป็นระบบ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิดความกลมกลืน หรือขัดแย้งกันของเสียง ขึ้นอยู่กับสุนทรียะทางดนตรีและมีอิทธิพลกับความรู้สึกนึกติดของผู้ฟัง ดนตรีทุกชาติทุกภาษาจะมีโครงสร้างและองค์ประกอบตล้ายคลึงกัน จะแตกต่างกันบ้างก็เนื่องจากพื้นฐานทางวัฒนาธรรม
ดนตรีสากล เป็นดนตรีที่ถูกสร้างสรรค์จนได้รับการยอมรับจากคนทั่วโลก การศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับดนตรีสากล จึงต้องรู้ในเรื่องต่อไปนี้
2.1 องค์ประกอบของดนตรีสากล มีดังนี้
2.1.1 จังหวะ (Time or Rhythm)
ดนตรี เป็นเสียงที่เกิดขึ้น และดำเนินไปตามเวลาเป็นความสัมพันธ์ ของเสียง กับเวลา เราเรียกว่า จังหวะ ก็คือ การเคลื่อนไหวที่กระทำอย่างต่อเนื่อง สม่ำเสมอ จังหวะเพลงจะดำเนินอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ จังหวะเป็นส่วนประกอบพื้นฐานของดนตรีที่สำคัญของดนตรีทุกประเภท เพราะดนตรีคืองานศิลปะที่จะต้องอาศัยการทำให้เกิดเสียงที่พอดีกับระยะเวลา หรือพอดีกับระยะจังหวะที่กำหนด ลักษณะของระยะเวลาที่เกิดขึ้นในดนตรี มี 2 แบบคือ แบบสม่ำเสมอ(Regularity) และแบบซับซ้อน(Diversity) จังหวะ ประกอบด้วย
2.1.1.1 ความเร็วของจังหวะ (Tempo) ดนตรีมีการกำหนดอัตราความเร็วของจังหวะต่างๆ โดยมีเครื่องมือที่เป็นตัวกำหนดความเร็วของจังหวะ เราเรียกว่า เมโทรนอม (Metronome) หรือเรียกอีกอย่างว่า เครื่องกำหนดจังหวะ โดยบอกว่า ใน 1 นาที จะมีจังหวะเคาะที่สม่ำเสมอกี่ครั้ง เช่น 60 ครั้ง/ 1 นาที , 80 ครั้ง/ 1 นาที 120 ครั้ง / 1 นาท เป็นต้น
2.1.1.2 อัตราจังหวะ (Meter) ทางดนตรีจะมีการจัดกลุ่มจังหวะเป็น 2,3,4 จังหวะ (ใน 1 ห้องเพลง) ตามธรรมชาติของความหนักเบาของจังหวะที่เกิดขึ้น
2.1.2 เสียง (Tone) เสียง คือคลื่นความถี่ ที่เกิดจาก การสั่นสะเทือน ของวัตถุที่เป็นต้นกำเนิดเสียง เช่น เสียงพูดของมนุษย์ เกิดจากการสั่นสะเทือนของเส้นเสียง ที่อยู่ภายในลำคอ เสียงกลอง เกิดจากการสั่นสะเทือนของหนังกลอง เมื่อถูกตีด้วยไม้กลอง เสียงระฆังเกิดจากการสั่นสะเทือนของตัวระฆังเมื่อถูกตีด้วยไม้ เสียงกีตาร์ เกิดจากการสั่นของสายกีตาร์ เมื่อถูกดีด เป็นต้น
เสียงมีได้หลายลักษณะ ไม่ว่าจะเป็นเสียงดัีง เสียงเบา เสียงสั้น เสียงยาว เสียงทุ้ม เสสียงแหลม เสียงสูง เสียงต่ำ ซึ่งขึ้นอยู่กับต้นกำเนิดเสียงนั้นๆ ซึ่งสามารถอธิบายง่ายๆ คือ
ถ้าต้นกำเนิดเสียง มีการสั่นสะเทือนมาก จะทำให้เกิดเสียง ดัง
ถ้าต้นกำเนิดเสียง มีการสั่น สะเทือนน้อย จะทำให้เกิด เสียงเบา และค่อย
ถ้าต้นกำเนินเสียง มีการสั่นสะเทือนนาน จะทำให้เกิด เสียงยาว
ถ้าต้นกำเนิดเสียง มีการสั่นสะเทือนสั้น จะทำให้เกิด เสียงสั้น
ถ้าต้นกำเนิดเสียงมีขนาดใหญ่ จะทำให้เกิดเสียงทุ้ม
ถ้าต้นกำเนิดเสียงมีขนาดเล็ก จะทำให้เกิดเสียงแหลม
2.1.3 ทำนอง (Melody) เกิดจาการนำเอาเสียงดนตรีที่มีความแตกต่างกันในด้านระดับเสียง สูง - ต่ำ สั้น - ยาว มาเรียงให้เกิดความต่อเนื่องกัน ตามหลักการทางดนตรี โดยมีทิศทางการเคลื่อนที่ของเสียงที่ต่างกันออกไป เช่น ขึ้นสูง ลงต่ำ ข้ามขั้นแบบก้าวกระโดด หรือเคลื่อนที่ขึ้นลงอย่างเป็นลำดับขั้น
ทำนองอาจแบ่งเป็น 2 ลักษณะ คือ ทำนองที่แสดงออกถึงความสนุกสนานร่าเริง สดใส มีชีวิตชีวา และท่วงทำนองที่ที่ถ่ายทอดความรู้สึกเศร้า หดหู่ อึมครึม หม่นหมอง การร้อยเรียงทำนองให้เกิดอารมณ์ความรู้สึกต่างๆของเพลง ตามหลักการทางดนตรีจะอาศัย การเลือกใช้บันไดเสียงที่แตกต่างกันนั่นเอง
บทเพลงที่มีชื่อเสียงของโลกหลายบทเพลง จะมีทำนองที่สำคัญที่สุดของเพลงอยู่เพียงทำนองเดียวเรียกว่า ทำนองหลัก (Theme) ซึ่งสามารถนำเรียบเรียงเปลี่ยนสีลาใหม่ได้หลายรูปแบบ ทำให้เกิดความหลากหลายของทำนองเพลง หลีกเลียงความซ้ำซากจำเจของทำนองเดิม ทำให้สามารถสร้างผลงานดนตรีได้อย่างหลากหลาย
2.1.4 เสียงประสาน (Harmony) เกิดจาการนำเสียงดนตรีต่างๆตั้งแต่ 2 เสียงขึ้นไปมาขับร้องหรือบรรเลง ให้เกิดขึ้นและดังพร้อมกัน ในเวลาเดียวกันและเข้ากับแนวทำนองหลักของเพลงเพื่อให้เกิดความไพเราะหรือขัดหูตามสุนทรียะของดนตรีที่ศิลปินหรือฅีตกวี ต้องการสื่อสารกับผู้ฟัง
เสียงประสานเปรียบเสมือนฉากหลังของทำนองเพลง เป็นส่วนประกอบที่เน้นจังหวะ และเสียงที่ช่วยส่งเสริมให้ทำนองเพลงหลักเกิดความโดดเด่น มีความน่าสนใจและมีผลต่อความรู้สึกของผู้ฟังมากขึ้นนั่นเอง
เสียงประสานที่ เกิดขึ้นจากเสียง 2 เสียงดังขึ้นพร้อมกัน เรียกว่า ขั้นคู่เสียง (Interval) เสียงประสานที่เกิดจาก 3 เสียงที่ดังพร้อมกัน เรียกว่า คอร์ด (Chord)
2.1.5 รูปพรรณหรือพื้นผิว (Texture)
พื้นผิว คือการจัดความสัมพันธ์ระหว่างทำนองและเสียงประสาน มี 4 ลักษณะใหญ่ๆ ดังนนี้ คือ
1. พื้นผิวแบบ โมโนโฟนิค (Monophonic Texture) พื้นผิวของดนตรีในลักษณะนี้ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นประเภทบทสวดต่างๆ มีเสียงเพียงเส้นเดียวที่เล่นทำนอง ไม่มีเสียงประสาน
2. พื้นผิวแบบ โฮโมโฟนิค (Homophonic) เป็นเสียงที่มีการประสานเสียงอื่นแทรกเข้ามาในทำนองเพลง มีแนวทำนองที่เป็นทำนอเด่นมากกว่า 1 ทำนอง ประสานเสียงเข่้ามาเพื่อให้ทำนองเกิดความไพเราะน่าฟังมากขึ้น
3. พื้นผิวแบบโพลีโฟนิค
4. พื้นผิวแบบเฮทเทอโรโฟนิค
2.1.6 รูปแบบหรือคีตลักษณ์ (Form)
บทเพลงโดยทั่วไปจะมีการกำหนดรูปแบบและท่อนเพลงไว้อย่างชัดเจน ซึ่งเรียกว่า คีตลักษณ์ รูปแบบของบทเพลงจะขึ้นอยู่กับคตวามประสงค์ของผู้ประพันธ์เพลง ว่าต้องการให้มีรูปแบบเพลงแบบปกติ รูปแบบที่ซับซ้อน ซึ่งส่วนมากแล้วรูปแบบของเพลงที่ผู้ประพันธ์ ที่นิยมกันมี 3 รูปแบบดังนี้
1.รูปแบบเอกกบท เป็นลักษณะ ของเพลบงที่มีทำนองหลักท่อนเดียว หรือ 2 ท่อนก็ได้ ซึ่งท่อนที่เพิ่มขึ้นมาใหม่จะมีทำนองที่ไม่แตกต่างไปจากเดิม มากนัก สัญลักษณ์ที่ใช้ในเพลงเอกบท คือ A เช่น เพลงที่มีลักษณะรูปแบบเพลงเอกบท ที่เป็นที่รู้จัก ได้แก่ เพลง สรรเสริญพระบารมี ซึ่งมีทำนองซ้ำกันในแต่ละท่อน และมีการซ้ำทำนอง แบบ AAA
2. รูปแบบทวิบท เป็นลักษณะของบทเพลงที่มีรูปแบบท่อนทำนองหลักที่ต่างกัน 2 ท่อน หรือมากกว่า แต่ ทำนองเพลงท่อนใหม่ที่เพิ่มขึ้น จะมีลักษณะทำนองทีไม่แตกต่างจากทำนองเดิมมากนักและไม่สลับทำนอง ลักษณะของเพลง สัญลักษร์ของเพลงที่มีรูปแบบ ทวิบท คือ AB นอกจากนี้อาจมีการซ้ำทำนองในท่อนเพลงหลายเที่ยวก็ได้แบบ AA BB
3. รูปแบบ ตรีบท เป็นเพลงที่มีทำนองที่แตกต่างกัน ชัดดเจน อยู่ 2 ทำนองงแต่ นำทำนอง Aย้อน กลับมาบรรเลงใหม่ ทำให้เกิดทำนองที่ต่างกันยและขัดแย่งอยู่ระหว่างกลางของทำนองเดิม สัญลักษณ์ที่ใช้แสดงแทนรูปแบบเพลง แบบ ตรีบท คือ ABA ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมใช้มากในเพลงไทยสากล(เพลงสตริง)ปัจจจุบัน