शेती
śētī ►
ภาคการเกษตร
वायू प्रदूषण
vāyū pradūṣaṇa ►
มลพิษทางอากาศ
वारुळ
vāruḷa ►
จอมปลวก
कालवा
kālavā ►
คลอง
समुद्रकिनारा
samudrakinārā ►
ชายฝั่ง
खंड
khaṇḍa ►
ทวีป
खाडी
khāḍī ►
ลำห้วย
धरण
dharaṇa ►
เขื่อน
वाळवंट
vāḷavaṇṭa ►
ทะเลทราย
वाळूची टेकडी
vāḷūcī ṭēkaḍī ►
เนินทราย
मैदान
maidāna ►
ทุ่งหญ้า
वन
vana ►
ป่าไม้
हिमनदी
himanadī ►
ธารน้ำแข็ง
ओसाड जमीन
ōsāḍa jamīna ►
พุ่มไม้เตี้ย
बेट
bēṭa ►
เกาะ
जंगल
jaṅgala ►
ป่า
लँडस्केप
lam̐ḍaskēpa ►
ภูมิทัศน์
पर्वत
parvata ►
ภูเขา
निसर्ग उद्यान
nisarga udyāna ►
อุทยานธรรมชาติ
कळस
kaḷasa ►
จุดสูงสุด
ढीग
ḍhīga ►
กอง
निषेध मोर्चा
niṣēdha mōrcā ►
ประท้วงเดินขบวน
पुनर्प्रक्रिया
punarprakriyā ►
การรีไซเคิล
समुद्र
samudra ►
ทะเล
धूर
dhūra ►
ควัน
द्राक्षांचा मळा
drākṣān̄cā maḷā ►
ไร่องุ่น
ज्वालामुखी पर्वत
jvālāmukhī parvata ►
ภูเขาไฟ
अपव्यय करणे
apavyaya karaṇē ►
ของเสีย
अपव्यय करणे
apavyaya karaṇē ►
ของเสีย
बेदाणा
bēdāṇā ►
เรดเคอร์เรนต์
ปัจจุบันคำว่า " พินทุ " มีความหมายแปลว่า จุด หรือ วงกลม ซึ่งอาจหมายถึง วงกลมหรือจุดที่ทำขึ้นโดยเฉพาะเท่านั้น เช่น จุดแต้ม
บนพื้นผิวลูกเต๋า หรือจุดแต้มที่ปรากฏในสัญลักษณ์ทางภาษาต่างๆ หรือในบางที่ก็อาจเรียกว่า(conjugated point)จุดสังยุตก็มี
According to the biography
หนังสือชีวประวัติหลวงปู่จันทา ถาวโร วัดป่าเขาน้อย
สิกขาบท ๘ สุราปานวรรค ว่าด้วยเรื่องการแห่งความพินทุ
( นวมฺปน ภิกฺขุนา จีวรลาเภณ ติณฺณํ ทุพฺพณฺณกรณานํ อญฺญตรํ ทุพฺพณฺณกรนํ อาทาตพฺพํ นีลํ วา กทฺทมํ วา กาฬสามํวา อนาทา เจ ภิกฺขู ติณฺณํ ทุพฺพณฺณกรณานํ อญฺญตรํ ทุพณฺณกรนํ นวํ จีวรํ ปริภุญฺเชยฺย ปาจิตฺติยํ )
* สวดมคธ โดย พระอาจารย์ชิต ฐิตจิตฺโต > > > > > > >
* ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2556 นับเป็นเริ่มแรก [การแปลความปัจจุบัน]
ความเข้าใจเรื่อง ' มุขปาฐะ ' เป็นจุดเกิดการพูดคุยและการบันทึกเรื่องราวนี้ มีหลายคำถาม หลายอย่างมากมาย ว่า อย่างไร ? จึงเรียกว่าการพินทุ บุคคลผู้เป็นเลิศในโลก ท่านส่งเสริมวรรณกรรมและการศึกษาของท่านเองอย่างไร การที่ใครจะสามารถกล่าวว่า บรรดาคำสอนและปริยายของพุทธคำสอนขาดการพัฒนาสังคมแนวรหัสนัย เมื่อเกิดพฤติกรรมก็ดัดแต่งและแปลงสู่ความจริง จนเกิดความล้าหลัง หากต้องเข้าใจสักหน่อยว่า การที่เรียกว่า " พินทุ " นั่นเอง คือการพัฒนาสังคมแนวรหัสนัย ให้สมบูรณ์และเกิดประโยชน์ นักบวชสมณะผู้ศึกษาธรรมวินัยคำสอน ย่อมพึงทราบได้แท้ ว่าโลกทองของการสร้างรหัสนัยนั้น ๆ จะเกิดขึ้นได้อย่างไร ? ในธรรมวินัยแห่งภิกษุนักบวชเถรวาทในส่วนหนึ่งนั้น(ภิกฺขุปาฏิโมกฺขปาลิ สปฺปาณวคฺโค สตฺตโม)มีบันทึกในบรรดานี้อยู่ว่า ศาสดาย่อมปรับถือโทษว่าเป็นความผิด หากขาดซึ่งพินทุ ( บาลีว่า นวมฺปน ภิกฺขุนา จีวรลาเภณ ติณฺณํ ทุพฺพณฺณกรณานํ อญฺญตรํ ทุพฺพณฺณกรนํ อาทาตพฺพํ นีลํ วา กทฺทมํ วา กาฬสามํวา ,อนาทา เจ ภิกฺขู ติณฺณํ ทุพฺพณฺณกรณานํ อญฺญตรํ ทุพณฺณกรนํ นวํ จีวรํ ปริภุญฺเชยฺย ,ปาจิตฺติยํ ) แปลว่า การเขียนคือการทำให้เสียสี ด้วยสีสามประการนั้น ภิกษุพึงกระทำ ภิกษุควรกระทำ คือกระทำสีเขียว สีเทา สีดำสีใดสีหนึ่งแก่ปัจจัยซึ่งถือเป็นสิ่งครองตนที่ได้มา หากไม่ทำเสีย ก็ถือเป็นความผิดแต่บัดนั้น. การสร้างอัตตลักษณ์ย่อมต้องเป็นสิ่งควบคู่ และพึงดำเนินไปด้วยกันกับการแสวงหาสัจจธรรม ดังนี้ หากเข้าใจว่าศาสนาพุทธขององค์พระภควาจะขาดซึ่งการพัฒนาอัตตลักษณ์ผ่านแนวจารีตสังคมซึ่งถือบรรดามีจากรหัสนัย ก็เห็นว่าจะยังพลาดไปจากข้อนี้
สุขพินทุคือ ?
สุขจากการอ่าน สุขจากการฟัง สุขจากการคิดพิจารณ์ครวญใคร่ สุขจากการพิเคราะห์ นับเนื่องจาก สุขพินทุ แต่ไม่ใช่ สุขพินทุ..!