วันที่โพสต์: Feb 04, 2020 6:44:55 AM
หลักคิดให้มีพลังแห่งการคิดบวก
ให้คิดแต่สิ่งดี ๆ พูดแต่สิ่งดี ๆ และทำแต่สิ่งดี ๆ ดังพระธรรมคำสอนแห่งองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวไว้สั้นๆ ว่า คิดดี พูดดี ทำดี “ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง”
๑. ความหมายของคำว่า "โลภ"
ความโลภ คือ ความกำหนัดยินดี รัก อยากได้ ในคน สัตว์ สิ่งของ หรืออารมณ์ที่น่าใคร่ มีตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียดดังนี้
๑.๑ อภิชฌาวิสมโลภะ ความโลภอย่างแรงจนกระทั่งแสดงออกมา เช่น ปล้นจี้ ลักขโมย
๑.๒ อภิชฌา ความเพ่งเล็งทรัพย์ของผู้อื่น จ้องๆ จะเอาของเขาละ แต่ยังสงวนท่าที ไม่แสดงออก
๑.๓ โลภะ ความอยากได้ ความโลภ
๑.๔ กามราคะ ความพอใจในกาม รักเพศตรงข้าม ยังมีความรู้สึกทางเพศ หรือยังยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์
๑.๕ รูปราคะ ความยินดีในอารมณ์ของรูปฌานเป็นเรื่องของผู้ฝึกสมาธิจนได้รูปฌานแล้ว
๑.๖ อรูปราคะ ความติดใจยินดีในอารมณ์ของอรูปฌาน เป็นเรื่องของผู้ฝึก สมาธิจนได้อรูปฌานแล้ว
๒. ความหมายของคำว่า "โกรธ"
ความโกรธ คือความไม่ชอบใจ ความคิดร้ายคิดทำลายผู้ที่ทำให้ตนโกรธ มีตั้งแต่หยาบจนถึงละเอียด ดังนี้
๒.๑ พยาบาท ความผูกอาฆาต จองเวร อยากแก้แค้น ไม่ยอมอภัย บางทีข้ามภพข้ามชาติก็ยังไม่ยอม เช่นพระเทวทัตผูกพยาบาทพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ภพในอดีตมา
๒.๒ โทสะ ความคิดร้าย คิดทำลาย เช่นคิดจะฆ่า คิดจะเตะ คิดจะด่า คิดจะเผาบ้าน คิดจะทำให้อาย ฯลฯ
๒.๓ โกธะ ความเดือดดาลใจ คือคิดโกรธแต่ยังไม่ถึงกับคิดทำร้ายใคร
๒.๔ ปฏิฆะ ความขัดใจ เป็นความไม่พอใจลึกๆ ยังไม่ถึงกับโกรธ แต่มันขัดใจ
๓. ความหมายของคำว่า "หลง"
ความหลง คืออาการที่จิตมืดมนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ไม่รู้จักบุญบาป ส่วนความไม่รู้วิทยาการต่างๆ ไม่ใช่โมหะหรือความหลงคนที่มีความรู้ วิทยาการมากเพียงใด มีปริญญากี่ใบก็ตาม หากยังไม่รู้จักบุญบาปไม่รู้ว่าอะไรควรทำไม่ควรทำละก็ ได้ชื่อว่าตกอยู่ในโมหะทั้งนั้น กิเลสตระกูลโมหะมีตั้งแต่หยาบถึงละเอียดดังนี้
๓.๑ มิจฉาทิฏฐิ ความเห็นผิดจากทำนองคลองธรรมเช่น เห็นว่าพ่อแม่ไม่มีพระคุณ เห็นว่าบุญบาปไม่มี เห็นว่าโลกนี้โลกหน้าไม่มี เป็นต้น
๓.๒ โมหะ ความหลงผิด ความไม่รู้ผิดชอบชั่วดี
๓.๓ สักกายทิฏฐิความเห็นว่าเป็นตัวตน เช่น คิดว่าร่างกายนี้เป็นของเราจริงๆ
๓.๔ วิจิกิจฉา ความลังเลสงสัยในการปฏิบัติธรรม เช่น ยังไม่มั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่าบุญบาปมีจริงไหม ทำสมาธิแล้วจะหมดกิเลสจริงหรือ
๓.๕ สีลัพพตปรามาสความติดอยู่ในศีลพรตอันงมงาย เช่น เชื่อหมอดู เชื่อศาลพระภูมิ
๓.๖ มานะ ความถือตัว ถือเขาถือเรา
๓.๗ อุทธัจจะ ความฟุ้งซ่าน เป็นอาการที่จิตไหวกระเพื่อมน้อยๆยังไม่หยุด นิ่งสนิทบริบูรณ์ไม่ได้หมายถึงความฟ้งซ่านไม่รู้เหนือรู้ใต้อย่างที่คนทั่วไปเป็น
๓.๘ อวิชชา ความไม่รู้พระสัทธรรมเช่น ไม่รู้ว่าตัวเรามาจากไหน เกิดมาทำไม ตายแล้วจะไปไหน