Barcamp BKK 5 ตอนห์.. เกรียนส์จัด

บ่ายวันศุกร์

ผมเริ่มรวบรวมความคิดของหัวข้อที่จะพูดเรื่อง "Programmer ต้องมี Six packs" แล้วเริ่มสร้าง content ใน slide ครับ

ตีสองวันเสาร์ (วัน barcamp)

ตีสามครึ่ง...

ตีห้า

ซ้อมพูดหนึ่งรอบ ใช้เวลาไป 38 นาที ถือว่า ok แล้ว รอบจริงน่าจะพูดใน 30 นาทีได้ เพราะปรกติพูดรอบสองจะใช้เวลาน้อยลงประมาณ 20% ไปนอนฮะ

ไปถึงงาน

เบลอมาก เพราะยัง jet lack ไม่หาย (เพิ่งเคยเป็นครั้งแรกฮะ) งงๆนิดหน่อยที่กลางวันง่วงจนทนไม่ไหว หิวไม่เป็นเวลา ลอยไปลอยมาในงานไม่ค่อยรู้เรื่องฮะ ผมเข้าฟังเรื่องอะไรบ้างนะ?..

ปั่น Fixie เร็วส์ (@roofimon)

พี่รูฟโชว์จักรยานประเภทต่างๆให้ดู แล้ววิเคราะห์ให้ฟังว่าแต่ละแบบปั่นในเมืองแล้วจะเป็นยังไง แล้วปั่น fixie แล้วมันหล่อยังไง เผย nature ของ fixie นิสๆว่ามันไม่ใช้จักรยาน มันเป็นอวัยวะ

สรุปแล้ว

ปั่น fixed gear: green, clean และ lean ฮะ

งานวิจัยเกี่ยวกับ Agile (Nalinpat / ไทย)

ภาพโดย: พี่ Pom

อันนี้น่าสนใจมาก เพราะ Agile เป็นหนึ่งในไม่กี่หัวข้อที่เกิดจากฝั่ง industry แล้วค่อยถูกดึงเข้าไปในโลกการศึกษา (ปรกติสิ่งใหม่ๆมักจะถูกคิดค้นจากโลกการศึกษาแล้วค่อยมาทำให้มัน viable ในด้าน industry แล้วจึงเริ่มแพร่หลาย)

อ. เจี๊ยบ (Nalinpat) ท่านเอาเนื้อหาที่ทำในงานวิจัยมากางให้ดู มีการ map Agile practice ต่างๆกับ PMBOK และ CMMI ตามปรกติแล้วถ้าทำ Agile เข้าที่ซักหน่อยจะได้ CMMI level 3 เป็นธรรมชาติ

ระหว่าง session มีพูดถึงเรื่องการ encourage knowledge sharing แล้วอิงไปถึงเรื่องการ reward แล้วอ.ก็ทักว่าการ reward ไม่ควรเป็นเงิน เพราะมันจะทำให้ทีมแก่งแย่งกันเอง ก็เลยมีคนถามขึ้นมาว่า reward ยังไงดีที่ไม่ใช้เงิน? แอบตอบไปว่าให้ลองศึกษา gamification ดู (ตอนบ่ายมี session เรื่องนี้ด้วย) คนเราไม่จำเป็นต้องทำทุกอย่างเพื่อความคุ้มค่าเสมอไป (ไม่งั้นจะมีคนบริจาคได้ยังไง?) บางครั้งคนเราก็ไล่ตามอะไรที่ไม่มีความหมาย เช่น ผมไปล่า batch foursq อยู่พักนึง เพราะอยากรู้ว่าไอ้ที่ปิดอยู่มีอะไรบ้าง? แล้วไม่อยาก search internet ดูเฉลย เพราะรู้สึกว่าเป็นการโกง

ผมถามอ.เจี๊ยบด้วย ว่า Agile หลายเรื่องมัน abstract (ใช้ความรู้สึกซะมาก) เวลาทำงานวิจัย พวก metrics ต่างๆที่จะเอามาวัดผลจะทำยังไง (ปรกติถ้าไม่มี formal method ในการวัด ท่าสำรองคือการเก็บแบบสอบถามเพื่อวัดความรู้สึก แต่มันจะแม่นได้ต้องมี sample space ที่กว้างมากๆ) อ. แนะนำว่าแบบสอบถามก็ใช้ด้วย แล้วก็มีการ observe แล้วก็มีเทคนิคในการวัด value ของ technology << อันนี้น่าสนใจแต่จำชื่อไม่ได้ ไว้อยากใช้แล้วค่อยไปถามอ.เจี๊ยบใหม่ ^ ^"

ปิดท้ายอ.แนะนำเรื่องทุนให้เปล่าในหลายๆประเทศในยุโรป น่าสนใจมาก ไว้ hyper productivity จะกลายเป็นงานวิจัยป.เอกผมเมื่อไหร่ผมจะค่อยมาดูอีกที ยุโรปเป็นที่นึงที่ผมอยากทำงานวิจัยเพราะประทับใจจากตอนไป AOP conference ที่เบลเยี่ยม แต่ตอนนี้ผมยังไม่สนใจป.เอก เพราะนั่นคือการจะทำให้ hyper productivity apply ได้กับคนทั้งโลก (ถ้ามันจะ apply ไม่ได้ มันต้องมีขอบเขตอธิบายชัดเจนว่าเมื่อไหร่มันจะ work เมื่อไหร่จะไม่ work) ตอนนี้คนที่ผมอยากทำให้เร็วส์ขึ้นที่สุดคือตัวเอง (-___-+) อันดับคนรอบๆตัวทั้งหลายที่ผมพูดให้ฟัง

Programmer ต้องมี sixpack (@Juacompe / ไทย)

หลังจากนั้นลอยไปลอยมาจนถึงเวลาพูดของตัวเอง รีบวิ่งไป setup (เพราะซ้อมมาแล้วว่าจะต้องใช้เวลาเกือบเต็ม 30 นาที)

ภาพโดย: พี่ Pom, Natty

Programmer must have six packs

เรื่องเล่าจากการสัมภาษณ์งานรับคน (@zyracuse <featuring by Yam>/ ไทย)

พี่หนุ่มเผยทริกเด็ดๆในการสัมภาษณ์งาน วิธีสัมภาษณ์พี่หนุ่มลึกซึ้งมาก แต่ที่สุดแล้วก็เพื่อให้ได้คนที่เหมาะสมกับงาน พี่แยมเสริมว่าคนไปสัมภาษณ์งานถึงจะรู้แล้วว่าตัวเองจะเจอคำถามอะไร แทนที่จะตอบตามโพย ตอบตามความรู้สึกจริงๆดีกว่า เพราะตอนสัมภาษณ์เตี๊ยมได้ ตอนทำงานจริงเตี๊ยมไม่ได้ฮะ ผมมองเหมือนกันว่าการสัมภาษณ์เหมือนหาคู่รักฮะ ถ้าเข้ากันไม่ได้แต่แรก อย่าฝืนให้เสียเวลาดีกว่า เพราะมันเสียเวลาทั้งสองฝ่ายฮะ

The Pomodoro Technique® - The individual Agility (@korn4d - EN/ท)

อันนี้เด็ดมว้ากกกฮะ เคยได้ยินเรื่อง Pomodoro จากน้องนนท์ แล้วน้อง Amp ก็เพิ่งแนะนำหนังสือ (กำลังจะซื้อ) แล้วได้มาฟัง session พี่กร พี่กรอธิบายได้ดีมาก Pomodoro คือการแบ่งเวลาเป็น pomodo โดย 1 pomodo จะมี 25 นาที + พัก 5 นาที และทุกๆ 4 pomodo จะพักเยอะขึ้น 15 นาทีแทน ระหว่าง pomodo จะต้องไม่โดน interrupt ฮะ ถ้าโดน interrupt ไม่ว่าจะว่อกแว่กเอง (แอบไปเช็ค fb) หรือโดนแม่ไล่ไปซื้อกับข้าว (หลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ) สรุปว่า pomodo นั้นเสียไปฮะ ต้องกลับไปเริ่มตั้งต้นนับ 25 นาทีใหม่

ทีนี้เวลาเรา estimate งาน ให้ estimate เป็น pomodo ฮะ ถ้างานเล็กๆ (ใช้ไม่ถึง 25 นาที) ให้เอามารวมกันหลายๆงานให้เต็ม pomodo ฮะ ถ้าเหลือเศษนิดหน่อยให้ใช้เวลานั้นตรวจทานหรือเก็บรายละเอียดฮะ

พอเราทำแล้วใช้เวลาขาด หรือ เกิน pomodo ที่ estimate ไว้ เราก็จะได้รู้ว่าเรา over-/under-estimate งานอะไรไปตอนจบวัน คราวหน้าจะได้กะได้แม่นขึ้นฮะ (pomodo ที่โดน interrupt ก็จะโดน mark ไว้ด้วย จะได้เอากลับมาทบทวนได้ฮะ)

ฟังแล้วอินสุดๆ นี่มันทำให้ productive ขึ้นนี่นา (เพราะ responsiveness สุดขึ้น + การขีดงานที่เสร็จทีละอันๆ เพิ่ม motivation)

อีกอย่างที่สำคัญมากๆที่ได้รู้เพิ่มคือ พี่กรบอกว่าไอ้ task list นี่ต้องใช้ดินสอเขียนเอาฮะ เพราะการเขียน estimate pomodo และการบิดลูก pomodoro เป็น commitment ที่จิตเราสร้างให้ตัวเองฮะ ส่วนการขีดฆ่าเป็น achievement ฮะ (เพราะอย่างนี้นี่เอง Agile เค้าถึงให้ทำ physical บอร์ด อย่าใช้ tool)

ลูก pomodoro

ภาพโดย: Amp

How to build self-managing team (@nattyait - EN/ท)

natty เล่าว่า self managing team ดียังไง โดยคร่าวๆแล้วในสถานการณ์ที่ความเปลี่ยนแปลงสูงมากๆ การมี manager ที่คอยสั่งการจะไม่ดีฮะ เพราะ manager นั่นแหละเป็นคอขวด ให้แค่ goal ทีมแล้วปล่อยให้ทีมคิดหาทางไปให้ถึง goal เองดีกว่า

natty เล่าต่อว่าจะสร้างได้ต้องมีอะไรบ้าง ปัจจัยต่างๆเหมือน practice ใน Agile มากฮะ ค่อยๆทำแล้ว trust จะเกิด พอ trust เกิด มันจะไปทำให้ทำ practice อื่นๆใน level ที่สูงขึ้นได้ แล้วผลจากทำอย่างอื่นมากขึ้น trust สูงขึ้นแล้วจะไปเสริมให้ทำอย่างอื่นเพิ่มได้อีก

พี่ Yam เสริมเรื่อง empathy ฮะ เอาใจเขามาใส่ใจเราเป็นเรื่องยาก ประมาณ 80% ของคนคิดว่าตัวเองเข้าใจมัน แต่จริงๆไม่เข้าใจฮะ ถ้าเอาใจเขามาใส่ใจเราอย่างถึงกึ๋น มันต้องรู้สึกไปกับเค้าด้วยฮะ มันต้องเศร้าไปกับเค้า เจ็บไปกับเค้า สุขไปกับเค้า น้ำตาไหลไปกับเค้า แบบนั้นถึงจะเรียกว่าใจถึงใจฮะ

self-managing team in my experience

จาก slide สุดท้าย ถ้าเราเข้าใจผู้ฟังจริงๆ ฟังแล้วพฤติกรรมเราต้องเปลี่ยนฮะ ถ้าไม่เปลี่ยน แสดงว่าใจยังไม่ถึงใจ ไอ้ที่คิดว่าเข้าใจ ยังเข้าไม่ถึงใจฮะ ติดอยู่ซี่โครง

ป้วนเปี้ยนกินเบียร์

เวลานี้เป็นประมาณตีสี่ของที่อเมริกา ง่วงนอนจุงเบยฮะ แทบจะยืนหลับ ลอยไปลอยมาและ update กับ Sajal เรื่องงานของ Sajal ฮะ

Define your own Gamification (@wittawasw - EN/ท.)

ลอยไปลอยมา รู้สึกตัวอีกที session นี้ที่อยากเข้าจะจบแล้วฮะ รีบวิ่งไปเข้า เจอ slide สุดท้ายพอดี ถามว่าคุณคิดว่า gamification คืออะไร? (นี่มัน slide ดักจับคนมาสายชัดๆ -____-") ผมตอบไปตามที่รู้มาฮะ ว่าหลักๆคือการทำให้กิจกรรมต่างๆสนุกขึ้น โดยแปลงให้มันคล้ายกับเกม เกมทุกเกมทำเหมือนกันคือโยนความท้าทายมาให้เราครับ ซึ่งความท้าทายนี้มันจะต้องไม่มากไม่น้อยเกินไป (ไม่งั้นจะท้อ/เบื่อ) และต้องทำให้คนเล่นรู้สึกถึง achievement อยู่เรื่อยๆ (มี reward) จะได้ติดอยู่กับมันฮะ

แล้วผมก็ยกตัวอย่างเรื่อง knowledge gap ฮะ ผมเท้าความถึง 4sq ฮะ ผมเล่าถึงตอนที่ผมล่า batch อยู่พักนึง เพราะความอยากรู้ว่ามันมีอะไรบ้าง หรือบางทีเรานั่งดูละครน้ำเน่าที่ไม่สนุก จริงๆเบื่อสุดๆ แต่ที่ทนเสียเวลาดูเพราะอยากรู้ว่ามันจบยังไง

มีคนนึงเสริมขึ้นมา (เจ๋งมาก) ว่าเริ่มที่ผมเล่าคือ psychological driver อย่างนึง psychological driver มีทั้งหมด 3 อย่างคือ 1. การให้รางวัล 2. การลงโทษ และ 3. การค้นคว้า... <หมดเวลา! จบ session ไป Retrospective / Party! กันฮะ>

Retrospective / Party!

เริ่มโดยทุกคนถือไมค์ทำจากขวดยาธาตุน้ำขาวตรากระต่ายบิน แล้วพูดความรู้สึกของงานนี้คนละประโยคฮะ มีสองคนพูดชม session ผมฮะ ผมก็ฟินสสสสสสส์

แล้วทุกคนก็ได้ post it ไปเขียนสิ่งที่ดี และสิ่งที่ควรปรับปรุงใน barcamp ครั้งนี้ฮะ ได้ผลดังนี้ฮะ

Good >> << Bad

หลังจากนี้เป็นกินเบียร์ยาว แล้วไปต่อที่ร้าน "รสนิยมชมชอบ" จนหมดสติกันไปฮะ

เป็นวันที่ยาวนานและสนุกมาก ขอบคุณทุกๆท่านที่มาทำให้วันนี้เกิดขึ้นฮะ!

ขอบคุณท่านที่เสียเวลาอ่านด้วยฮะ (^/\^) หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความบันเทิงไปบ้างไม่มากก็น้อยนะฮะ