โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เข้าใจง่าย จัดการได้ และอยู่ร่วมกับมันอย่างมั่นใจ
โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่พบบ่อย แต่ยังคงมีคนจำนวนมากเข้าใจผิดว่าเป็นโรคติดต่อ ความจริงแล้ว โรคสะเก็ดเงินไม่ใช่โรคติดต่อ และไม่ใช่เรื่องน่ารังเกียจ แต่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันร่วมกับ ปัจจัยทางกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรมบางอย่างที่กระตุ้นให้เกิดโรค
โรคสะเก็ดเงินเกิดขึ้นได้อย่างไร
โดยปกติแล้ว ผิวหนังของคนเราจะใช้เวลาประมาณ 28 วัน ในการผลัดเซลล์ แต่ในผู้ป่วยโรคสะเก็ดเงิน ระบบภูมิคุ้มกัน โดยเฉพาะเซลล์ T-cells จะถูกกระตุ้นให้หลั่งสารอักเสบ (เช่น TNF-α, IL-17, IL-23) ออกมามากผิดปกติ ทำให้ผิวหนังเร่งสร้างเซลล์ใหม่ในเวลาเพียง 3–5 วัน เท่านั้น การสะสมอย่างรวดเร็วของเซลล์ผิวที่ตายแล้วนี้เองที่ทำให้เกิดเป็น ผื่นแดงหนา มีสะเก็ดสีขาวเงิน ปกคลุมตามมา
ชนิดของโรคสะเก็ดเงิน
โรคสะเก็ดเงินมีหลายรูปแบบ โดยที่พบบ่อย ได้แก่
Plaque psoriasis – พบบ่อยที่สุด มีผื่นแดงนูนและสะเก็ดเงินหนาปกคลุม
Guttate psoriasis – มักเกิดตามหลังการติดเชื้อ เช่น คออักเสบ มีผื่นเล็ก ๆ กระจายทั่วตัว
Inverse psoriasis – พบตามข้อพับ เช่น รักแร้ ขาหนีบ มักไม่มีสะเก็ดหนามาก
Pustular psoriasis – มีตุ่มหนองเล็ก ๆ ร่วมกับผื่นแดง
Erythrodermic psoriasis – รุนแรงที่สุด ผื่นแดงและสะเก็ดกระจายทั่วร่างกาย อาจเป็นอันตรายได้
อาการที่สังเกตได้
ผื่นแดงนูน ที่มีขอบเขตชัดเจน
มีสะเก็ดหนาสีขาวเงินปกคลุม
มักพบบริเวณ ข้อศอก หัวเข่า หนังศีรษะ หลังส่วนล่าง
บางรายอาจมีอาการคัน เจ็บ หรือผิวแตกจนมีเลือดออก
ผู้ป่วยบางส่วนอาจมี ข้ออักเสบสะเก็ดเงิน (Psoriatic Arthritis) ร่วมด้วย
ปัจจัยกระตุ้นที่ควรระวัง
แม้สาเหตุหลักจะมาจากระบบภูมิคุ้มกัน แต่ปัจจัยภายนอกบางอย่างสามารถทำให้อาการกำเริบได้ เช่น:
ความเครียด และการพักผ่อนไม่เพียงพอ
การติดเชื้อ เช่น คออักเสบ
การดื่มแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
ยาบางชนิด เช่น ยาลดความดันบางกลุ่ม
การเกาผิวหรือมีบาดแผล
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยสะเก็ดเงินมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ และโรคอ้วน ดังนั้นจึงควรใส่ใจสุขภาพโดยรวมควบคู่กันไปด้วย
แนวทางการรักษา
แม้โรคสะเก็ดเงินยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาสามารถควบคุมอาการและทำให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตได้ใกล้เคียงปกติ
1. การรักษาภายนอก
ยาทาสเตียรอยด์
ครีมวิตามินดี (calcipotriol)
แชมพูหรือโลชั่นที่มีกรดซาลิไซลิก
2. การรักษาด้วยแสง (Phototherapy)
การฉายแสง UVB ช่วยลดการอักเสบและการหนาตัวของผิวหนัง
3. ยารับประทานหรือยาฉีด
เช่น Methotrexate, Cyclosporine
ยาชีวภาพ (Biologics) เช่น Adalimumab, Secukinumab, Ustekinumab ซึ่งออกฤทธิ์ตรงต่อกลไกภูมิคุ้มกัน
การดูแลตัวเองที่สำคัญ
ใช้มอยส์เจอร์ไรเซอร์บำรุงผิวให้ชุ่มชื้นเสมอ
จัดการความเครียด และพักผ่อนให้เพียงพอ
หลีกเลี่ยงแอลกอฮอล์และการสูบบุหรี่
ออกกำลังกายอย่างเหมาะสม
ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ เพื่อลดความเสี่ยงโรคร่วม
พบแพทย์ตามนัดและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด
สรุป
โรคสะเก็ดเงินเป็นโรคผิวหนังเรื้อรังที่เกิดจากความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกัน ร่วมกับปัจจัยด้านกรรมพันธุ์ สิ่งแวดล้อม และพฤติกรรม ไม่ใช่โรคติดต่อ แม้จะยังไม่มีวิธีรักษาให้หายขาด แต่ด้วยการรักษาที่ทันสมัยและการดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี ผู้ป่วยสามารถควบคุมอาการได้ และใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ
สิ่งสำคัญคือ การเข้าใจว่าโรคนี้ไม่ใช่ความผิดหรือความน่ารังเกียจ แต่เป็นเพียงหนึ่งในโรคเรื้อรังที่สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างปกติ หากมีความรู้และการดูแลที่ถูกต้อง
ย่าหลงเชื่อโฆษณาที่อ้างว่ามียาหรือสมุนไพรที่รักษาโรคสะเก็ดเงินให้หายขาดได้ ปัจจุบันยังไม่มียาใดที่รักษาให้หายขาด 100% การรักษาที่ถูกต้องควรอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์ครับ
บทความโดย
นายแพทย์ กิจจา จำปาศรี