มลพิษ หมายความว่าอะไร ?
ของเสีย วัตถุอันตราย และมลสารอื่นๆ รวมทั้งกากตะกอนหรือสิ่งตกค้างจากสิ่งเหล่านั้น ที่ถูกปล่อยทิ้งจากแหล่งกำเนิดมลพิษ หรือที่มีอยู่ในสิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ ซึ่งก่อให้เกิด หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม หรือภาวะที่เป็นพิษภัยอันตรายต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนได้ และให้หมายความรวมถึงรังสี ความร้อน แสง เสียง กลิ่น ความสั่นสะเทือน หรือเหตุรำคาญอื่นๆ ที่เกิดหรือถูกปล่อยออกจากแหล่งกำเนิดมลพิษด้วย หรืออาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพสิ่งแวดล้อม หรือภาวะที่เป็นพิษภัยอันตรายต่อสุขภาพ
ประเภทของมลพิษ
เป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดปัญหาหนึ่งของประเทศเมื่อเปรียบเทียบกับปัญหามลพิษอื่นๆปัญหามลพิษทางน้ำมักเกิดกับเมืองใหญ่ๆแหล่งน้ำที่สำคัญของประเทศถูกปนเปื้อนด้วยสิ่งสกปรกและสารมลพิษต่างๆทำให้ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากแหล่งน้ำได้เต็มที่ ซึ่งส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และการพัฒนาทางเศรษฐกิจและสังคม
สาเหตุการเกิดมลพิษทางน้ำ ส่วนใหญ่เกิดจากน้ำทิ้งจากที่อยู่อาศัย ซึ่งมักจะมีสารอินทรีย์ปนเปื้อนมาด้วย น้ำทิ้งดังกล่าวมักเป็นสาเหตุของการที่น้ำมีสีดำ และมีกลิ่นเน่าเหม็น น้ำที่มีสารพิษตกค้างอยู่ เช่น น้ำจากแหล่งเกษตรกรรมที่มีปุ๋ยและยากำจัดศัตรูพืช น้ำทิ้งที่มีโลหะหนักปนเปื้อนจากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น สารเหล่านี้จะถูสะสมในวงโคจรโซ่อาหารของสัตว์น้ำ และมีผลต่อมนุษย์ภายหลัง
น้ำที่อยู่ในระดับรุนแรง ซึ่งประชาชนทั่วไป เรียกว่า " น้ำเสีย " มีลักษณะที่เห็นได้ชัดเจน คือ ตะกอนขุ่นข้น สีดำคล้ำ ส่งกลิ่นเน่าเหม็น ก่อให้เกิดความรำคราญต่อชุมชน และอาจมีฟองลอยอยู่เหนือน้ำเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตาม ลักษณะของน้ำเสียบางครั้งเราอาจมองไม่เห็นก็ได้ ถ้าน้ำนั้นปนเปื้อนด้วยสารพิษ เช่น ยาปราบศัตรู หรือยาฆ่าแมลง แร่ธาตุ เป็นต้น
1. การบำบัดน้ำเสีย
2. การกำจัดขยะมูลฝอยและสิ่งปฏิกูล
3. การให้การศึกษาและความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหามลพิษทางน้ำแก่ประชาชน
4. การใช้กฎหมาย มาตรการ และข้อบังคับ
5. การศึกษาวิจัยคุณภาพน้ำและสำรวจแหล่งที่ระบายน้ำเสียลงสู่แม่น้ำ
ส่วนใหญ่เกิดจากควันของยานพาหนะและจากโรงงานอุตสาหกรรม ควันดังกล่าวมีผลต่อสุขภาพของมนุษย์โดยตรง ควันจากโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งที่มี ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์หรือไนโตรเจนออกไซด์ เป็นองค์ประกอบ เมื่อรวมกับละอองน้ำในอากาศจะกลายเป็น สารละลายกรดซัลฟิวริกหรือกรดไนตริก กลายเป็นฝนกรด ตกลงมาอันเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตและยังทำให้สิ่งก่อสร้างเกิดการสึกกร่อนได้
สาเหตุการเกิดมลพิษทางอากาศ แบ่งเป็น 2 กลุ่มใหญ่
แหล่งกำเนิดจากยานพาหนะ ในบริเวณที่ใกล้ถนนที่มีการจราจรติดขัด จะมีปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงกว่าในบริเวณที่มีการจราจรคล่องตัว สารมลพิษที่ระบายเข้าสู่บรรยากาศที่เกิดจาก การคมนาคมขนส่ง ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ ก๊าซออกไซด์ของไนโตรเจน สารประกอบไฮโดรคาร์บอน ฝุ่นละอองขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน สารตะกั่วและก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์
แหล่งกำเนิดจากโรงงานอุตสาหกรรม มลพิษทางอากาศจากแหล่ง กำเนิดอุตสาหกรรม เกิดจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงและกระบวนการผลิต ซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อคุณภาพอากาศในบรรยากาศและอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในชุมชน โดยทั่วไปหรือก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญ
1. ทําลายสุขภาพ อากาศเสียทําให้เกิดโรค แพ้อากาศ โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ โรค เกี่ยวกับการไหลเวียนของโลหิต ผลที่เกิดในระยะยาวอาจทําให้ถึงแก่ชีวิตได้
2.ทําลายสิ่งก่อสร้างและเครื่องใช้โดยเฉพาะสิ่งก่อสร้างที่ทําด้วยโลหะทําให้เกิดการสึกกร่อน
3. ทําให้ทัศนวิสัยแย่ลง และมีผลทําให้อุณหภูมิอากาศลดต่ำลงกว่าปกติได้ ทัศนวิสัยแย่ลง ก่อให้เกิดอุบัติเหตุทั้งในอากาศและท้องถนน
1. พยายามใช้เครื่องยนต์ที่ไม่ค่อยมีมลพิษ แก้ไขกระบวนการผลิต และลดมลพิษจากยานพาหนะ
2. ใช้รถขนส่งมวลชน รถเมล์ รถไฟฟ้ารถไฟไต้ดินให้มากขึ้น
3. ช่วยกันสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีการเกษตร โดยนำวัสดุที่เหลือใช้มาใช้เป็นพลังงาน
มลพิษทางเสียง คือ สภาวะที่มีระดับเสียงที่ดังและยาวนานจนก่อให้เกิดทั้งความรำคาญ และอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ โดยความรุนแรงขึ้นอยู่กับระดับความดังจากแหล่งกำเนิดเสียง ระยะทางระหว่างแหล่งกำเนิดเสียงกับผู้ได้ยิน และระยะเวลาในการได้ยินเสียงนั้น
สาเหตุการเกิดมลพิษทางเสียง คือการที่เราได้ยินเสียงที่ดังเกินไป และระดับความดังมากกว่าที่หูของเราจะรับไหว เสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อประสาทหู ซึ่งปกติแล้วมลพิษทางเสียงนั้นจะเกิดกับคนที่ทำงานอยู่ในโรงงาน หรือใกล้เครื่องจักรอุตสาหกรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะต้องทำงานอยู่ในสภาพแวดล้อมที่มีเสียงดังมาก อย่างเช่น โรงงานทอผ้า โรงงานปั๊มโลหะ หรือผู้ที่อาศัยอยู่ในย่านจราจรคับคั่ง โดยเฉพาะคนที่อยู่ใกล้สนามบินมากๆ
ความดังของเสียงที่ดังและนานเกินไป จะเข้าไปทำให้อวัยวะรับเสียง โดยเฉพาะเซลล์ขนและประสาทรับเสียงเสื่อมสภาพเร็วขึ้น ทำให้เราไม่สามารถได้ยินเสียงทั่วไปในสภาวะระดับปกติ หรือที่เรียกกันว่า ‘หูตึง’
อีกทั้งถ้าเรายังคงฝืนตัวเองอยู่ในที่ที่มีมลพิษทางเสียง หรือในที่ทำงานเสียงดังอยู่ โดยไม่มีอุปกรณ์ป้องกันเสียงดัง ก็จะทำให้เกิดปัญหา หูหนวกตามมาได้เลย ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่มาก จะทำให้เราไม่สามารถได้ยินและติดต่อพูดคุยกับคนอื่นๆ ได้ตามปกติ ทำให้ดำรงชีวิตได้อย่างยากลำบากมากขึ้น กลายเป็นคนพิการที่ไม่มีทางรักษาให้หายได้
การป้องกันอันตรายจากมลพิษทางเสียงนั้นสามารถทำได้หลากหลายวิธีเช่นเริ่มต้นจากการขอความร่วมมือของฝ่ายที่เกี่ยวข้อง สร้างโครงสร้างที่ป้องกันเสียงและใช้วัสดุที่สามารถลดเสียงได้ อีกทั้งการบำรุงรักษาเครื่องจักรให้เกิดเสียงน้อยที่สุดก็เป็นอีกวิธีที่จะทำให้ลดความเสี่ยงในเรื่องของระดับเสียงไปได้แต่สิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับองค์กรและสำหรับพนักงานทุกคนก็คือ การจัดหาและดูแลให้พนักงานได้สวมใส่อุปกรณ์ป้องกันเสียงที่ดีและมีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นที่อุดหู หรือที่ครอบหูต่างๆ และบังคับสวมใส่อย่างเข้มงวด ให้ความรู้เกี่ยวกับอันตรายของมลพิษทางเสียง เพื่อปลูกจิตสำนึกให้รู้จักรักและระมัดระวังตัวเอง
ขยะอันตราย ( hazardous waste )
คือ ขยะ วัสดุที่ไม่ใช้แล้ว ผลิตภัณฑ์เสื่อมสภาพ หรือภาชนะบรรจุต่างๆ ที่มีองค์ประกอบหรือปนเปื้อนวัตถุสารเคมีอันตรายชนิดต่างๆ ที่มีลักษณะเป็นสารพิษ สารไวไฟ สารเคมีที่กัดกร่อนได้ สารกัมมันตรังสี และเชื้อโรคต่างๆ ที่ทำให้เกิดอันตรายแก่บุคคล สัตว์ พืช ทรัพย์สิน หรือสิ่งแวดล้อม
สาเหตุการเกิดขยะอันตราย สาเหตุที่พบบ่อยมาก ซึ่งจะเห็นได้จาก
1.การทิ้งขยะลงตามพื้น หรือแหล่งน้ำ โดยไม่ทิ้งลงในถังรองรับที่จัดไว้ให้ และโรงงานอุตสาหกรรมบางแห่งลักลอบนำสิ่งปฏิกูลไปทิ้งตามที่ว่างเปล่า
2.การผลิตหรือใช้สิ่งของมากเกินความจำเป็น เช่น การผลิตสินค้าที่มีกระดาษหรือพลาสติกหุ้มหลายชั้น และการซื้อสินค้าโดยห่อแยกหรือใส่ถุงพลาสติกหลายถุง ทำให้มีขยะปริมาณมาก
3.การเก็บและทำลาย หรือนำขยะไปใช้ประโยชน์ไม่มีประสิทธิภาพ จึงมีขยะตกค้าง กองหมักหมม และส่งกลิ่นเหม็นไปทั่วบริเวณจนก่อปัญหามลพิษให้กับสิ่งแวดล้อม
1. เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลง และพาหะของโรค
2. เป็นบ่อเกิดของโรค
3. ก่อให้เกิดความรำคาญ
4. ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม
5. ทำให้เกิดการเสี่ยงต่อสุขภาพ
1. หลีกเลี่ยงการใช้โฟมหรือพลาสติก
2. ซ่อมแซมแก้ไขเครื่องใช้ที่ชำรุดให้นำกลับมาใช้ใหม่แทนการทิ้งเป็นขยะ
3. ควรนำวัสดุที่ใช้แล้ว เช่น กระดาษ แก้ว พลาสติก มาแปรรูปกลับมาใช้ได้ใหม่
4. นำของที่ใช้แล้วบางชนิดมาดัดแปลงใช้ใหม่ให้เกิดประโยชน์
5. ควรแยกขยะตามประเภท เช่น ขยะเปียก ขยะแห้ง ขวดพลาสติก ฯลฯ
ฝุ่น
เป็นอนุภาคขนาดเล็กของของแข็งในอากาศที่มีแหล่งที่มาจากหลาย ๆ ที่ เช่น ฝุ่นจากดินที่ถูกลมพัดขึ้นมา, ฝุ่นจากการระเบิดของภูเขาไฟ หรือจากมลภาวะต่าง ๆ
ฟูม
ของแข็งที่มีขนาดเล็กกว่า 1 ไมครอน เกิดจากการควบแน่น(condensation) ของไอจากปฏิกิริยาทางเคมีบางอย่าง
ฝุ่นละออง
ของแข็งขนาดเล็กที่ลอยอยู่ในอากาศหรือน้ำ ซึ่งเกิดจากธรรมชาติหรือมนุษย์โดยนับเป็นมลพิษทางอากาศและมลพิษทางน้ำประเภทหนึ่ง
หมอกควัน
ปรากฏการณ์ที่ฝุ่น ควัน และอนุภาคแขวนลอยในอากาศ รวมตัวกันในสภาวะที่อากาศปิด หมอกควันเกิดได้ง่ายในสภาพอากาศแห้ง
เส้นใย
วัสดุหรือสารใดๆ ทั้งที่เกิดจาก ธรรมชาติและมนุษย์สร้างขึ้น มีลักษณะเป็นเส้นยาว และบาง อัตราส่วนระหว่างความยาวต่อเส้นผ่านศูนย์กลางเท่ากับหรือ มากกว่า 100 เท่า
แก๊ส
เป็นหนึ่งในสี่สถานะของสสาร ในภาวะที่อุณหภูมิและความดันเหมาะสม สารหลายชนิดสามรถเปลี่ยนสถานะเป็นของแข็ง ของเหลว หรือแก๊สได้ ธาตุที่เป็นอโลหะ
ไอระเหย
เมื่อสูดสารเคมีที่เป็นก๊าซ หรือไอระเหยเข้าไป จะทำให้เกิดการระคายเคือง และการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ
กรด
เป็นสสารซึ่งทำปฏิกิริยากับเบส โดยทั่วไป กรดสามารถระบุได้ด้วยรสเปรี้ยว, สมบัติทำปฏิกิริยากับโลหะอย่างแคลเซียม และเบสอย่างโซเดียมคาร์บอเนต
ด่าง
น้ำมะนาวและอาหารอื่นๆ ที่มีรสเปรี้ยว อย่างไรก็ตามเมื่อถูกค้นพบว่าทำไมสิ่งเหล่านี้จึงมีรสเปรี้ยวนั่นเพราะความเป็นกรดนั่นเอง ในความเป็นจริงแล้วคำว่ากรด
สารทำละลาย
สารส่วนใหญ่ที่อยู่ในสถานะเป็นของเหลว มีความสามารถละลายสารอีกชนิดหนึ่งท่ีเป็นตัวถูกละลายได้ ในสารละลายใดๆ ตัวทำละลายส่วนใหญ่มักมีมากกว่าตัวถูกละลาย แต่ไม่จำเป็นเสมอไป
ไซยาไนด์
สารเคมีอันตรายที่ออกฤทธิ์ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อเข้าสู่ร่างกายอาจเข้าไปยับยั้งการทำงานของเซลล์จนอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต ไซยาไนด์เป็นสารเคมีที่มีพันธะคาร์บอนไนโตรเจน (CN) มักนำมาใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตกระดาษ
การเข้าสู่ร่างกายของมลพิษจากสารเคมี
การหายใจเป็นการเข้าสู่ร่างกายที่สำคัญของสารเคมีที่อยู่ในรูปของไอระเหย ก๊าซ ละออง หรือ อนุภาค เมื่อสารเคมีเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ อาจทำลายระบบทางเดินหายใจ หรือเข้าสู่ปอด กระแสเลือดแล้วทำลายอวัยวะภายใน
โดยการสัมผัสหรือจับกันสารพิษ อาจมีผลกระทบที่ค่อนข้างน้อย เช่น เป็นผื่นแดง หรือรุนแรงมากขึ้น เช่น ทำลายโครงสร้างของผิว หรือทำให้อ่อนเพลียหรืออาจซึมเข้าสู่กระแสเลือด ทำลายอวัยวะหรือระบบต่าง ๆ ภายในร่างกายขั้นรุนแรง และอาจตายได้
หากสารที่กินเข้าไปมีฤทธิ์กัดกร่อน จะทำให้เกิดการระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหารสารที่ไม่ละลายในของเหลวในทางเดินอาหารจะถูกขับออกทางอุจจาระ ส่วนสารที่ละลายได้จากถูกดูดซึมผ่านผนังของทางเดินอาหารเข้าสู่กระแสเลือดไปยังอวัยวะภายใน ความเป็นพิษขึ้นอยู่กับชนิดและปริมาณของสารเคมีที่กินเข้าไป
ความร้อนสามารถถ่ายเทระหว่างวัตถุได้สามวิธีคือ การแผ่รังสี การนำความร้อน และการพาความร้อน นอกจากนี้มีกระบวนการถ่ายเทความร้อนอีกแบบหนึ่งคือ ความร้อนแฝง ซึ่งเกิดขึ้นในกระบวนการเปลี่ยนแปลงสถานะ เช่น จากของแข็งเป็นของเหลว หรือจากของเหลวเป็นก๊าซ เป็นต้น
สาเหตุมาจากการอยู่ในที่มีอากาศร้อนอบอ้าวเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งอากาศที่ร้อนและความชื้นสูงด้วย จะทำให้อุณหภูมิในร่างกายสูง ซึ่งจะทำให้มีเลือดมาเลี้ยงบริเวณผิวหนังมากขึ้น เพื่อขับเหงื่อออกจากร่างกาย ถ้ากำลังสูบฉีดเลือดของหัวใจไม่เพียงพอสำหรับเพิ่มกระแสเลือดที่จะไปเลี้ยงผิวหนัง นอกเหนือจากที่ต้องไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและสมองแล้ว ทำให้เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ ถ้าสภาวะนี้เป็นไปเรื่อย ๆ จะทำให้เป็นลมเพราะสมองขาดออกซิเจน จะพบได้เสมอในคนที่เหนื่อยง่าย เสพสุราเรื้อรังเป็นโรคเกี่ยวกับความดัน มีน้ำหนักตัวมากผิดปกติ และไม่เคยชินกับการทำงานหรือออกกำลังกายในที่มีอากาศร้อนอบอ้าวและมีความชื้น นอกจากนี้ร่างกายยังมีการสูญเสียน้ำและเกลือแร่ทางเหงื่อเป็นจำนวนมาก (dehydration) โดยที่ไม่ได้รับสารน้ำเข้าไปทดแทนอย่างเพียงพอ
หน้าซีด ผิวหนังเย็น และชื้น ช่องม่านตาขยาย อุณหภูมิร่างกายปกติ หรือต่ำกว่าปกติ หายใจเร็วและตื้น ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และความอยากอาหารลดลง เวียนศีรษะ อ่อนเพลีย และเป็นลม
นำผู้ป่วยเข้าพักในที่เย็น หรือที่มีร่มเงา และอากาศถ่ายเทสะดวก ให้ผู้ป่วยนอนยกเท้าสูง เพื่อป้องกันภาวะช็อค ตลอดจนให้เลือดไหลกลับเข้าสู่หัวใจ และไปเลี้ยงสมองได้มากขึ้น ปลดหรือคลายเครื่องแต่งกายที่คับให้หลวม ยกเว้นกรณีผู้ป่วยมีอาการหนาวสั่น หรืออยู่ในพื้นที่มีการปนเปื้อนสารพิษ ใช้ผ้าชุบน้ำเช็ดตัวหรือเปิดพัดลมให้ผู้ป่วย (ถ้ามี) ถ้าผู้ป่วยมีสติ และสามารถดื่มน้ำได้ ให้ผู้ป่วยดื่มน้ำเย็นประมาณครึ่งแก้วทุก ๆ ๑๕ นาที ถ้ามีอาเจียน หยุดให้น้ำทันที และไม่ควรให้ผู้ป่วยรับประทานเกลือเม็ด สังเกตอาการผู้ป่วยต่อ เมื่ออาการดีขึ้นต้องแนะนำให้พักผ่อนต่ออีกระยะหนึ่ง ไม่ควรรีบร้อนให้ทำงาน
มลพิษของสภาพแวดล้อมทางชีวภาพ หรืออันตรายจากการประกอบอาชีพ คือ โรคที่เกิดจากการทำงานที่ผู้ปฏิบัติงานได้สัมผัสกับเชื้อโรคที่ทำให้ผู้งานเกิดอาการเจ็บป่วยและเป็นโรคต่างๆได้
สาเหตุมาจากปัจจัยทางชีวภาพ โดยทั่วไปหมายถึงสารหรือสิ่งซึ่งมาจากสิ่งมีชีวิต เช่น พืช หรือสัตว์ ส่วนมากมักจะสื่อถึงอันตรายในอาหารที่เกิดจากจุลินทรีย์ ชึ่งได้แก่ แบคทีเรีย, โปรโตซัว, หนอนพยาธิ และไวรัส อันตรายทางชีวภาพมีความสำคัญอย่างยิ่งต่ออุตสาหกรรมอาหาร เพราะทำให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพ เป็นสาเหตุของโรคอาหารเป็นพิษ จุลินทรีย์เหล่านี้จึงอาจติดมากับวัตถุดิบ, อุปกรณ์ที่ใช้ในกระบวนการผลิต, สิ่งแวดล้อมการผลิต และผู้ปฏิบัติต่ออาหาร ซึ่งสามารถถูกทำลาย หรือลดปริมาณโดยการใช้มาตรการควบคุมการผลิตที่เหมาะสม
การติดเชื้อโรค , การเกิดภูมิแพ้ , โรคหนอนพยาธิหลายชนิด การเจริญของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นบนร่างกายของโฮสต์ซึ่งก่อให้เกิดอันตรายหรือเกิดโรคได้ จุลชีพก่อโรคจะมีการพยายามใช้ทรัพยากรของโฮสต์เพื่อใช้ในการเพิ่มจำนวนของตัวเอง จุลชีพก่อโรคจะรบกวนการทำงานปกติของร่างกายโฮสต์ซึ่งอาจทำให้เกิดบาดแผลเรื้อรัง
1. รักษาความสะอาดของผิวหนัง ระวังมิให้ผิวหนังสัมผัสกับสัตว์ที่เป็นโรค
2. เมื่อมีบาดแผลเกิดขึ้น รีบทำความสะอาดแผลทันที่ด้วยน้ำต้มสุกกับสบู่หลายๆ ครั้งหรือน้ำต่างทับทิม แล้ว จึงใส่ยาแผลสดและปิดแผลด้วยผ้าสะอาดหรือปลาสเตอร์
3. ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยัก เมื่อมีบาดแผลที่สกปรกมีดินทรายเปรอะเปื้อน
4. สวมรองเท้าที่ป้องกันน้ำได้ เมื่อต้องทำงานในที่ชื้นแฉะ เพื่อไม่ให้เชื้อโรคทะลุผ่านผิวหนังที่เป็นแผลเข้า สู่ร่างกาย
5. รับประทานอาหารที่ปรุงสุกและดื่มน้ำที่สะอาด