ผู้จัดทำข้อตกลง
ผู้จัดทำข้อตกลง
ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะ ครูชำนาญการ
สถานศึกษา โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม
สังกัด สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษาอุดรธานี
ส่วนที่ 1 ข้อตกลงในการพัฒนางานตามมาตรฐานตำแหน่ง
1. ภาระงาน จะมีภาระงานเป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กำหนด
🎉 🎉 ภาคเรียนที่ 2/2567🎉🎉
-รายวิชาประวัติศาสตร์ ม.3 จำนวน 6 ชั่วโมง 40 นาที/สัปดาห์
-รายวิชาต้านทุจริต ม.1 จำนวน 6 ชั่วโมง 40 นาที/สัปดาห์
-รายวิชาต้านทุจริต ม.6 จำนวน 2 ชั่วโมง 30 นาที/สัปดาห์
-กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนลูกเสือ/เนตรนารี จำนวน 1 ชั่วโมง 40 นาที/สัปดาห์
-กิจกรรมชุมนุม จำนวน - ชั่วโมง 50 นาที/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 ชั่วโมง 40 นาที/สัปดาห์
- งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
- กิจกรรมหน้าเสาธง โฮมรูม จำนวน 1 ชั่วโมง 40 นาที/สัปดาห์
- เวรประจำวัน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 8 ชั่วโมง / สัปดาห์
- การมีส่วนร่วมชุมชนการเรียนรู้ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
- การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
- การจัดทำสื่อการเรียนการสอน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
- การจัดทำหลักสูตรการวัดและประเมินผล จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
•─────────• ✨ •─────────•
รวมภาระงาน จำนวน 31 ชั่วโมง..10....นาที/สัปดาห์
• ────── ✾ ────── •
- รายวิชาประวัติศาสตร์ ม.3 จำนวน 7 ชั่วโมง 50 นาที/สัปดาห์
- รายวิชาต้านทุจริต ม.5 จำนวน 7 ชั่วโมง 50 นาที/สัปดาห์
-กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนลูกเสือ/เนตรนารี จำนวน 1 ชั่วโมง 40 นาที/สัปดาห์
-กิจกรรมชุมนุม จำนวน - ชั่วโมง 50 นาที/สัปดาห์
1.2 งานส่งเสริมสนับสนุนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 5 ชั่วโมง 40 นาที/สัปดาห์
- งานระบบดูแลช่วยเหลือนักเรียน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
- กิจกรรมหน้าเสาธง โฮมรูม จำนวน 1 ชั่วโมง 40 นาที/สัปดาห์
- เวรประจำวัน จำนวน 1 ชั่วโมง/สัปดาห์
1.3 งานพัฒนาคุณภาพการจัดการศึกษาของสถานศึกษา จำนวน 8 ชั่วโมง / สัปดาห์
- การมีส่วนร่วมชุมชนการเรียนรู้ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
- การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
- การจัดทำสื่อการเรียนการสอน จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
- การจัดทำหลักสูตรการวัดและประเมินผล จำนวน 2 ชั่วโมง/สัปดาห์
•─────────• ✨ •─────────•
รวมภาระงาน จำนวน 32 ชั่วโมง/สัปดาห์
• ────── ✾ ────── •
2. งานที่จะปฏิบัติตามมาตรฐานตำแหน่ง ครู
ด้านการจัดการเรียนรู้
ด้านการส่งเสริมและสนับสนุนการจัดการเรียนรู้
ด้านการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ
ส่วนที่ 2 ข้อตกลงในการพัฒนางานที่เป็นประเด็นท้าทาย
1. สภาพปัญหาการจัดการเรียนรู้และคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียน
การจัดการเรียนรู้ในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ ๆ ในยุคที่เทคโนโลยีดิจิทัลมีบทบาทสำคัญต่อการดำเนินชีวิตของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระบวนการศึกษา เพื่อพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนให้สามารถปรับตัวและเติบโตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการจัดการเรียนรู้จึงเป็นแนวทางหนึ่งที่สามารถยกระดับประสิทธิภาพการเรียนรู้ให้สูงขึ้นได้อย่างมีนัยสำคัญ
จากประสบการณ์ในการจัดการเรียนรู้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พบว่านักเรียนส่วนใหญ่ยังขาดทักษะในการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการประสบความสำเร็จในชีวิตและการทำงานในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวิชาประวัติศาสตร์ที่ต้องอาศัยการคิดเชื่อมโยงเพราะประวัติศาสตร์เป็นเรื่องราวของสังคมมนุษย์ไม่ว่าชนชาติใด ซึ่งเกิดขึ้นในอดีต เรื่องราวที่เพิ่งผ่านพ้นไปไม่นานมักมีผู้รู้เห็นเหตุการณ์ที่ยังมีชีวิตอยู่เป็นผู้บอกเล่า ส่วนเรื่องราวที่ผ่านพ้นไปนานแล้ว ย่อมต้องอาศัยบันทึกในรูปแบบต่างๆ จึงจะทราบเหตุการณ์ในอดีตนั้นๆได้อย่างไรก็ตาม หลักฐานทุกชิ้นถูกบันทึกโดยคนซึ่งอาจเป็นผู้เกี่ยวข้องในเหตุการณ์โดยตรง การบันทึกจึงอาจใส่อคติลงไป ทำให้ข้อมูลไม่ตรงกับความเป็นจริง หรือหากผู้บันทึกไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ก็ยังอาจบันทึกเรื่องราวตามมุมมองของตนที่อาจขาดตกบกพร่อง ดังนั้น ในการศึกษาประวัติศาสตร์จึงต้องพึงระลึกไว้เสมอว่าจะถือเอาข้อมูลทางประวัติศาสตร์ใดๆ ว่าถูกต้องแน่นอนนั้นไม่ได้ และเพื่อให้การศึกษาประวัติศาสตร์มีความแม่นยำและน่าเชื่อถือมากขึ้น จึงต้องใช้วิธีการทางประวัติศาสตร์ในการศึกษา เพราะเป็นกระบวนการสืบค้นเรื่องราวในอดีต โดยการพิจารณาหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทั้งที่เป็นเอกสารชั้นต้นและชั้นรอง ประกอบกับการเก็บข้อมูลภาคสนาม วิเคราะห์และสังเคราะห์ข้อมูลเพื่อให้สามารถนำเสนอองค์ความรู้ทางประวัติศาสตร์ที่ค้นพบได้อย่างแม่นยำมากที่สุด วิธีการทางประวัติศาสตร์แบ่งได้เป็น 5 ขั้นตอนดังนี้
1. การกำหนดหัวเรื่องที่จะศึกษา
2. การรวบรวมหลักฐาน
3. การประเมินคุณค่าของหลักฐาน
4. การวิเคราะห์ สังเคราะห์ และจัดหมวดหมู่ข้อมูล
5. การเรียบเรียงหรือการนำเสนอ
สำหรับการเรียนแบบสืบเสาะหาความรู้ 5E นับเป็นการเรียนการสอน ที่ให้ความสําคัญกับผู้เรียนเป็นสำคัญ คือการฝึกให้ผู้เรียนรู้จักค้นคว้าหาความรู้โดยใช้กระบวนการทางความคิดหาเหตุผล เพื่อเป็นแนวทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องด้วยตนเอง ในขณะที่คุณครูเองก็มีส่วนสำคัญด้วย 5E ที่คุณครูและผู้เรียนต่างมีบทบาทและหน้าที่ในแต่ละขั้นตอนดังนี้ บทบาทผู้สอน เพื่อสนับสนุนให้ผู้เรียนแสดงบทบาทอย่างเต็มที่ คุณครูควรเตรียมสื่อฯ การเรียนการสอน และออกแบบกิจกรรมเพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และสิ่งที่คุณครูควรทําใน 5 ขั้นตอนดังนี้
1.การสร้างความสนใจ (Engagement) โดยผู้สอนควรสร้างความสนใจ สร้างความอยากรู้อยากเห็น
2.การสํารวจและค้นหา (Exploration) ส่งเสริมให้ผู้เรียนทํางานร่วมกัน การสํารวจ ตรวจสอบ สังเกต
3.การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) โดยผู้สอนส่งเสริมให้ผู้เรียนอธิบายแนวคิด หรือให้คําจํากัดความ ด้วยคําพูดของผู้เรียนเอง
4.การขยายความรู้ (Elaboration) โดยผู้สอนคาดหวังให้ผู้เรียนได้ใช้ประโยชน์จากการชี้บอก ส่วนประกอบต่าง ๆ ในแผนภาพคําจํากัดความและอธิบายสิ่งที่เรียนรู้มาแล้ว
5.การประเมินผล (Evaluation) โดยผู้สอนสังเกตผู้เรียนในการนําแนวคิดและทักษะใหม่ไปประยุกต์ใช้ประเมิน ความรู้และทักษะผู้เรียน
อีกทั้ง ในปัจจุบันเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ได้รับการพัฒนาให้มีศักยภาพในการปรับปรุงกระบวนการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย AI สามารถนำ มาใช้เพื่อสนับสนุนการเรียนรู้แบบเฉพาะบุคคล (Personalized Learning) ช่วยให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ตามความต้องการ นอกจากนี้ AI ยังสามารถ
วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อระบุจุดอ่อนของนักเรียน และเสนอแนวทางปรับปรุงที่เหมาะสมได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งช่วยเพิ่มแรงจูงใจในการเรียนรู้และพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหาของผู้เรียนได้
จากสถานการณ์ดังกล่าว การพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการส่งเสริมการเรียนรู้ใน วิชาประวัติศาสตร์ โดยนำ AI มาช่วยในการออกสร้างแบบสร้างชิ้นงาน ใบงาน แบบฝึกหัด โดยได้ใช้ Metaverse ในการสร้างห้องเรียนเสมือนจริง เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ ใช้ Canva มาช่วยในการออกสร้างแบบสร้างชิ้นงาน ใบงาน แบบฝึกหัด สอดคล้องกับสาระ มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้และจุดประสงค์การเรียนรู้ในแผนการจัดการเรียนรู้เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์จึงจำที่ต้องใช้ทักษะการเชื่อมโยงและการประยุกต์ใช้ความรู้ จึงมุ่งเน้นการพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ที่
นำ AI มาใช้เพื่อช่วยสนับสนุนการเรียนรู้ของนักเรียนในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ให้สามารถเรียนรู้และเข้าใจเนื้อหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังสามารถพัฒนาทักษะการคิดวิเคราะห์และการแก้ปัญหา ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
2. วิธีการดำเนินการให้บรรลุผล
วิธีการดำเนินการให้บรรลุผลสามารถดำเนินการตามขั้นตอนต่อไปนี้
1. การวางแผนการวิจัย (Research Planning)
- กำหนดวัตถุประสงค์การวิจัย: เพื่อพัฒนารูปแบบการเรียนรู้ที่ใช้ AI ในการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
- กำหนดสมมติฐานการวิจัย: การเรียนรู้ผ่าน AI จะช่วยเพิ่มผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์
- กำหนดประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
2. การออกแบบรูปแบบการจัดการเรียนรู้ (Learning Design)
พัฒนารูปแบบการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดการเรียนรู้ Metaverse ในการสร้างห้องเรียนเสมือนจริง
เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ และตอบคำถามทบทวนบทเรียนด้วยการใช้ Canva สร้างคำถาม นักเรียนสร้างชิ้นงานด้วยการใช้ Canva สร้าง โปสเตอร์สรุปความรู้
3. การพัฒนาเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย (Tool Development)
- แผนการจัดการเรียนรู้ เรื่อง วิธีการทางประวัติศาสตร์
- แบบทดสอบก่อนและหลังเรียน (Pre-test และ Post-test): เพื่อวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
- แบบสอบถามความพึงพอใจ: เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการจัดการเรียนรู้
4. การทดลองใช้ (Implementation)
- นำรูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่พัฒนาแล้ว ไปใช้กับกลุ่มทดลอง เพื่อเปรียบเทียบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น
5. การเก็บรวบรวมข้อมูล (Data Collection)
- การทดสอบก่อนและหลังเรียน: เพื่อวัดความแตกต่างของผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
- แบบสอบถามและการสัมภาษณ์: เพื่อประเมินความพึงพอใจของผู้เรียนที่มีต่อการใช้ เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
ในการจัดการเรียนรู้
- วิเคราะห์เชิงปริมาณ: ใช้สถิติในการวิเคราะห์ข้อมูลผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
(คะแนน Pre-test และ Post-test) และแบบสอบถามความพึงพอใจ เช่น ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบสมมติฐาน (t-test)
- วิเคราะห์เชิงคุณภาพ: วิเคราะห์จากการสัมภาษณ์และการสังเกตพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียน
6. การสรุปผลและการรายงาน (Conclusion and Reporting)
- สรุปผลการวิจัย เพื่อดูว่าการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเรียนรู้ช่วยพัฒนาพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้สูงขึ้น
- จัดทำรายงานผลการวิจัย และนำเสนอผลที่ได้ในการประชุมหรือสัมมนาทางวิชาการ
- นำเสนอแนวทางในการพัฒนาต่อยอด รูปแบบการเรียนรู้ที่ใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ให้ครอบคลุมเนื้อหาวิชาอื่น ๆ
- เผยแพร่ผลการวิจัยผ่านสื่อออนไลน์
3. ผลลัพธ์การพัฒนาที่คาดหวัง
1) นักเรียนในกลุ่มตัวอย่างที่เรียนรู้ผ่านการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดยได้ใช้ Metaverse ในการสร้างห้องเรียนเสมือนจริงเรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยรูปแบบการสอนแบบ 5E
ร้อยละ 70 มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนสูงขึ้น
2) นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการเรียนรู้อยู่ในระดับดีขึ้นไป
ได้รูปแบบการเรียนรู้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยรูปแบบการสอนแบบ 5E ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI
4. ระดับความสำเร็จในการพัฒนางานที่เสนอเป็นประเด็นท้าท้ายการพัฒนาผลสัมฤทธิ์
ทางการเรียน
จากการวิจัยในชั้นเรียนเรื่องการพัฒนาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรายวิชาประวัติศาสตร์ เรื่องวิธีการทางประวัติศาสตร์ สำหรับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 ด้วยรูปแบบการสอนแบบ 5E ร่วมกับการใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ AI นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3/1 โรงเรียนเพ็ญพิทยาคม ภาคเรียนที่ 1 ประจำปีการศึกษา 2568 พบว่าผลการประเมินคุณภาพรายแผนจัดการเรียนรู้แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 1-5 อยู่ในเกณฑ์ดีมาก และคะแนนก่อนเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 8.14 (S.D.=2.18)และคะแนนหลังเรียนมีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 14.33 (S.D.=2.42) นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหลังเรียนเพิ่มขึ้นจากก่อนเรียนอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
ผู้เรียนพึงพอใจต่อการจัดการเรียนการในระดับดีมาก การจัดการเรียนการสอนด้วย AI และ Metaverse ถือเป็นนวัตกรรมการศึกษาที่ตอบโจทย์การเรียนรู้ในยุคดิจิทัลได้อย่างตรงจุด สามารถสร้างความพึงพอใจและผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ที่สูงขึ้นให้กับผู้เรียน ทำให้วิชาประวัติศาสตร์ไม่ใช่เพียงแค่การท่องจำอีกต่อไป แต่เป็นการเรียนรู้ที่สนุกสนานและสามารถประยุกต์ใช้ได้จริง