1.6 ศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนา การเรียนรู้
1.6 ศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์ เพื่อแก้ปัญหาหรือพัฒนา การเรียนรู้
การดำเนินการ (Operation) เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ตามข้อตกลง
ข้าพเจ้าได้ดำเนินการใช้กระบวนการวิจัยเชิงปฏิบัติการ (Action Research) เพื่อศึกษาผลกระทบของการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการเรียนรู้วิชาคณิตศาสตร์เรื่องอัตราส่วนตรีโกณมิติ กลุ่มตัวอย่างคือนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 3 จำนวน 38 คน ขั้นตอนการดำเนินการเริ่มจากการวางแผนและออกแบบการเรียนรู้โดยใช้ AI ตามกระบวนการ 5E (Engage, Explore, Explain, Elaborate, Evaluate) จากนั้นดำเนินการทดลองสอนโดยให้นักเรียนใช้ AI ช่วยแก้โจทย์และเรียนรู้แบบโต้ตอบ และเก็บข้อมูลประกอบด้วยแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (Pre-test และ Post-test) แบบสอบถามทัศนคติ และการสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง วิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้สถิติ เช่น ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และการทดสอบที (t-test) เพื่อเปรียบเทียบผลสัมฤทธิ์ก่อนและหลังเรียน
ผลลัพธ์ (Outcomes) ของงานตามข้อตกลง
ผู้เรียนได้รับการแก้ปัญหาหรือพัฒนาในด้านการเรียนรู้ คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และพัฒนาด้านสมรรถนะสำคัญของผู้เรียน
วิจัยในชั้นเรียน
ชื่อเรื่อง การพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ผ่านกระบวนการสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับการใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI)
เป็นฐานในการศึกษา การแก้โจทย์ปัญหาอัตราส่วนตรีโกณมิติ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้เชิงรุก Active learning
ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3
ผู้วิจัย นายอานนท์ กุลนะลา ตำแหน่ง ครู วิทยฐานะครูชำนาญการ
ปีที่ทำวิจัย ปีการศึกษา 2567
บทคัดย่อ
การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนเมื่อใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นเครื่องมือเสริมการเรียนการสอนในวิชาคณิตศาสตร์ โดยเฉพาะหัวข้ออัตราส่วนตรีโกณมิติ รวมถึงศึกษาทัศนคติของนักเรียนต่อการใช้ AI ในการเรียนรู้ กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ นักเรียนระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 จากโรงเรียนเพ็ญพิทยาคม จำนวน 38 คน ซึ่งได้รับการคัดเลือกโดยวิธีการสุ่มแบบเจาะจง (Purposive Sampling) วิธีการดำเนินการวิจัยใช้การออกแบบการเรียนการสอนตามกระบวนการเรียนรู้แบบสืบเสาะหาความรู้ (5E) ร่วมกับการใช้ AI ในการช่วยแนะนำแนวทางการแก้โจทย์และให้ข้อเสนอแนะเชิงวิเคราะห์ เครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนก่อนและหลังเรียน แบบสอบถามทัศนคติของนักเรียนต่อ AI และแบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลประกอบด้วย ค่าเฉลี่ย (Mean) ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน (Standard Deviation) การทดสอบที (t-test) และการวิเคราะห์สหสัมพันธ์เพียร์สัน (Pearson’s Correlation Coefficient) เพื่อหาความสัมพันธ์ระหว่างการใช้ AI กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ผลการศึกษาพบว่า
1. คะแนนเฉลี่ยหลังเรียนของนักเรียน (78.65) สูงกว่าคะแนนก่อนเรียน (56.32) อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.05)
2. การวิเคราะห์สหสัมพันธ์แสดงให้เห็นว่าการใช้ AI มีความสัมพันธ์เชิงบวกกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน (r = 0.72, p < 0.05) ซึ่งแสดงให้เห็นว่า AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเรียนรู้ของนักเรียนอย่างมีนัยสำคัญ
3. ทัศนคติของนักเรียนที่มีต่อ AI พบว่าคะแนนเฉลี่ยอยู่ที่ 4.35 จาก 5.00 (SD = 0.72) โดย 85% ของนักเรียนเห็นว่า AI ช่วยให้เรียนรู้ได้ดีขึ้น