เรื่องมีอยู่ว่า..
หมู่บ้านแห่งนี้เคยเป็นที่ราบริมเขา มี “ตาน้ำ” ผุดขึ้นกลางลานหิน และไหลรวมกันเป็นแอ่งน้ำใหญ่ที่ชาวบ้านใช้ดื่มกินและทำนา บริเวณรอบอ่างน้ำมีหินน้อยใหญ่ล้อมรอบสวยงาม คนในละแวกจึงเรียกที่นี่ว่า “บ้านอ่างหิน” ตามลักษณะภูมิประเทศ
แต่ด้วยสำเนียงและการเรียกขานกันแบบปากต่อปาก บางคนกลับออกเสียงเพี้ยนไปในทางที่ไม่สุภาพ ฟังแล้วไม่เหมาะสม
จนกระทั่งวันหนึ่ง “ครูนวล ทับทิม” ครูใหญ่แห่งโรงเรียนบ้านอ่างหินในขณะนั้น ได้เสนอให้เปลี่ยนชื่อหมู่บ้านใหม่เป็น
“บ้านอ่างศิลา”
คำว่า “ศิลา” แปลว่า “หิน” เช่นเดียวกัน แต่ฟังไพเราะและมีความหมายลึกซึ้ง เหมาะสมกับการเป็นชื่อถิ่นที่อยู่อาศัยของผู้คน
นับแต่นั้นเป็นต้นมา ชื่อ “บ้านอ่างศิลา” ก็ถูกใช้เรียกอย่างเป็นทางการจวบจนทุกวันนี้ เป็นชื่อที่ยังคงความหมายเดิมไว้ แต่เพิ่มความสง่างามให้กับหมู่บ้านแห่งแหล่งน้ำและศิลาธรรมชาติแห่งนี้
เรื่องมีอยู่ว่า...
ที่ราบกลางหุบเขาแห่งนี้เคยเป็น ป่าดงดิบอันอุดมสมบูรณ์ เต็มไปด้วยไม้ใหญ่หนาทึบและสัตว์ป่าทั้งเสือ ช้าง และหมูป่า
ผู้กล้ากลุ่มแรกที่เข้ามาตั้งรกราก ใช้ชีวิตด้วยการ เผาถ่านในป่าเพื่อนำไปแลกข้าว ด้วยความยากลำบากและอันตรายรอบด้าน พวกเขาจึงต้องระมัดระวังทุกฝีก้าว
เสียงดังเพียงนิดเดียว อาจนำมาซึ่งการจู่โจมของสัตว์ร้าย — คนในหมู่บ้านจึงพัฒนา “ภาษาสะกิด” ขึ้นมา ใช้การแตะหรือส่งสัญญาณด้วยมือแทนเสียงพูด เพื่อสื่อสารกันในป่าลึก
เมื่อเรื่องนี้เล่าขานต่อกันมา ผู้คนจึงเรียกที่นี่ว่า “บ้านดงสะกิด” เพื่อย้ำเตือนถึงวิถีชีวิตอันสงบนิ่งแต่เปี่ยมด้วยไหวพริบของผู้คนในดง
ต่อมา...เมื่อหมู่บ้านเริ่มมีผู้คนมากขึ้น ชื่อ “ดงสะกิด” ก็ค่อย ๆ เพี้ยนไปเป็น “บ้านดงตากิต” ด้วยสำเนียงพูดและการบันทึกทางราชการ จนกลายเป็นชื่อที่รู้จักในปัจจุบัน — แม้จะเปลี่ยนไป แต่เบื้องหลังชื่อนั้น ยังคงซ่อนเรื่องราวของป่าดงและภาษาเงียบไว้อย่างลึกซึ้ง
เรื่องมีอยู่ว่า...
คนเฒ่าคนแก่เล่าขานกันว่า... บริเวณนี้เคยเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มี ลำห้วยแม่ประจันต์ ไหลผ่านอย่างเงียบสงบ ก่อเกิดเป็น “หนองน้ำ” ขนาดย่อมกลางป่าเขา
รอบหนองน้ำแห่งนั้น มีต้นไม้ชนิดหนึ่งขึ้นปกคลุมแน่นขนัด — ไม่ใช่อื่นไกล แต่เป็น “ต้นไผ่สีสุก” หรือไผ่ป่าที่มีสีทองอ่อน ยามแดดต้องจะเปล่งประกายระยิบระยับเหมือนแสงไฟในยามเย็น
ไผ่เหล่านี้ไม่เพียงแต่ให้ร่มเงา แต่ยังเป็นแหล่งวัตถุดิบของคนพื้นถิ่น ทั้งใช้สร้างบ้าน ทำเครื่องจักสาน และฟืนไฟในยามหนาว ชาวบ้านจึงเคารพและผูกพันกับไผ่มาก
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อหมู่บ้านเริ่มก่อตัวขึ้น ผู้คนจึงพร้อมใจกันตั้งชื่อที่นี่ว่า “บ้านหนองไผ่” — เพื่อจารึกถึงหนองน้ำจากลำห้วยแม่ประจันต์ และไผ่งามที่เคยแผ่เงาทับพื้นที่แห่งนี้ไว้
เรื่องมีอยู่ว่า..
ในอดีตกาล พื้นที่แห่งนี้เคยเป็นแอ่งกว้างกลางหุบเขา มีหนองน้ำใหญ่น้ำใส
เย็นฉ่ำ กินพื้นที่ถึงห้าไร่ เป็นแหล่งอาศัยของนกนานาชนิด ทั้งนกยาง นกกระสา และนกเจ้าบ้านที่ส่งเสียงร้องก้องทุกเช้าเย็น
รอบ ๆ หนองน้ำ มีพืชประหลาดขึ้นอยู่แน่นขนัด — หญ้าชนิดหนึ่งที่คนโบราณเรียกกันว่า “หญ้าปล้อง” ด้วยลักษณะคล้ายต้นข้าว แต่สูงกว่า ใบเรียวยาวกว่า และช่วงปล้องตามลำต้นก็กว้างเด่นชัด ใครที่เคยเห็นจะจำได้ไม่มีลืม เพราะยามมันออกดอก สีขาวของมันจะไหวตามลม เหมือนสายหมอกคลุมผืนน้ำในยามรุ่งสาง
ชาวบ้านรุ่นปู่ย่าจึงตั้งชื่อหมู่บ้านแห่งนี้ว่า “บ้านหนองหญ้าปล้อง” — เพื่อระลึกถึงหนองน้ำอันอุดมสมบูรณ์และพืชพรรณอันเป็นเอกลักษณ์ของถิ่นนี้
ต่อมา...เมื่อทางการตั้งเป็นเขตการปกครองใหม่ ชื่อ "หนองหญ้าปล้อง" ก็ถูกใช้เป็นชื่อของอำเภอ
เรื่องมีอยู่ว่า...
พื้นที่แห่งนี้เป็นดินแดนสงบเงียบกลางหุบเขา เต็มไปด้วยต้นไม้พื้นเมืองนานาชนิด แต่สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือ “ต้นปรง” — ไม้ป่าลำต้นเตี้ย ใบเรียวยาวแผ่เป็นพุ่มสวยเหมือนมงกุฎเขียวสด
ต้นปรงขึ้นอยู่หนาแน่นไปทั่วหมู่บ้าน ไม่ว่าเดินไปทางใดก็จะเห็นปรงขึ้นเรียงรายเหมือนต้อนรับผู้มาเยือน คนรุ่นปู่ย่าจึงพากันเรียกที่นี่ว่า “บ้านจับปรง” ตามลักษณะที่ต้องฝ่าดงปรงเข้าไป
แต่กาลเวลาผ่านไป คำพูดจากปากต่อปากก็เริ่มแปรเปลี่ยน — จาก “จับปรง” ค่อย ๆ เพี้ยนเป็น “จะโปรง” ด้วยสำเนียงท้องถิ่นที่พูดเร็ว และเสียงสูงต่ำไม่ชัด
เมื่อทางราชการเข้ามาจัดตั้งหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ จึงใช้ชื่อที่ชาวบ้านเรียกติดปากว่า
“บ้านจะโปรง” สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แม้ต้นปรงบางส่วนจะหายไปตามกาลเวลา แต่ชื่อบ้านก็ยังคงเตือนใจถึงอดีตของผืนป่าแห่งนี้เสมอ
เรื่องมีอยู่ว่า...
เมื่อหลายสิบปีก่อน...มีกลุ่มชาวบ้านจาก “บ้านกาจับ” ตำบลห้วยโรง อำเภอเขาย้อย พากันเดินทางข้ามเขามายังพื้นที่ป่าในอำเภอหนองหญ้าปล้อง ด้วยตั้งใจจะหาที่ทำกิน สร้างชีวิตใหม่ พวกเขาใช้แรงกายแรงใจถางป่า ปลูกพืชไร่ เลี้ยงสัตว์ และเผาถ่านเพื่อเลี้ยงชีพ อยู่ใกล้ลำห้วยที่ให้ความชุ่มชื้นแก่พื้นดิน
แต่เมื่อถึงฤดูแล้ง น้ำในลำห้วยเหือดแห้งไปจนแทบหยดสุดท้าย ชาวบ้านจึงพากัน “ขุดพุ” — คือขุดลงไปใต้ดินจนได้น้ำผุดซึมขึ้นมาให้ใช้ดื่มกิน เป็นภูมิปัญญาง่าย ๆ แต่เปี่ยมด้วยความร่วมแรงร่วมใจ
บริเวณที่ขุดพุนั้น มี ต้นไทรใหญ่ ขึ้นเด่นตระหง่านอยู่ริมห้วย รากของมันหยั่งลึกแตะน้ำใต้ดินเช่นเดียวกับที่ชาวบ้านพยายามขุดหา ดูราวกับมันคือผู้เฝ้าดูแลและชี้ทางให้คนในหมู่บ้าน
ชาวบ้านจึงตั้งชื่อที่นี่ว่า “บ้านพุไทร” — พุ จากน้ำที่ผุดขึ้นใต้ดิน และ ไทร จากต้นไม้ใหญ่ผู้ยืนหยัดเคียงข้างแหล่งน้ำนั้น
นับแต่นั้นเป็นต้นมา “บ้านพุไทร” ก็คือบ้านของผู้บุกเบิกที่รู้จักพึ่งพาธรรมชาติ และรู้จักปรับตัวอยู่กับผืนดินอย่างเคารพและกลมกลืน
ถ้ำบนภูเขา กับบันไดดินแห่งตำนาน
เรื่องมีอยู่ว่า...
เมื่อหลายสิบปีก่อน มีกลุ่มชาวบ้านจากอำเภอบ้านลาด เดินทางฝ่าภูเขาและลำห้วย มาตั้งหลักปักฐานในพื้นที่ป่าเขาแห่งนี้ เพื่อหวังจะเริ่มชีวิตใหม่ด้วยการทำเกษตรกรรม
เมื่อชุมชนเริ่มก่อตัว พวกเขาได้ออกสำรวจพื้นที่โดยรอบ และพบกับ ภูเขาลูกหนึ่ง ที่ซ่อน “ถ้ำ” ไว้ภายใน ถ้ำแห่งนั้นมีทางขึ้นเป็น ขั้นบันไดดินธรรมชาติ เรียงตัวเป็นชั้น ๆ ราวกับมีมือใครสร้างไว้แต่โบราณ
ภาพภูเขาที่มีถ้ำ และบันไดดินทอดตัวขึ้นไป กลายเป็นภาพที่ชาวบ้านจดจำและกล่าวถึงบ่อยครั้ง จึงตกลงเรียกชื่อหมู่บ้านใหม่ว่า “บ้านเขาบันได” – เพื่อจารึกไว้ถึงสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ ที่เปรียบเสมือนเป็นหัวใจของชุมชน
ต่อมาในปี พ.ศ. 2522 บ้านเขาบันไดได้ แยกตัวออกจากบ้านอ่างศิลา และตั้งขึ้นเป็นหมู่บ้านใหม่อย่างเป็นทางการ กลายเป็นชุมชนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะ และเรื่องเล่าอันน่าภาคภูมิ
เรื่องมีอยู่ว่า...
พื้นที่แห่งนี้มี หนองน้ำ ใสสะอาด อยู่กลางป่าละเมาะ บริเวณรอบ ๆ หนองมีต้นไม้ชนิดหนึ่งขึ้นอยู่หนาแน่น — นั่นคือต้น “สะแก” ไม้พื้นถิ่นที่ใบเขียวเข้ม โคนต้นสูงสง่า ให้ร่มเงาและความชุ่มชื้นแก่ผืนน้ำเบื้องล่าง
ชาวบ้านในละแวกนั้นจึงพากันเรียกชื่อหมู่บ้านว่า “หนองแก” มาจากหนองน้ำและต้นสะแกที่เป็นเอกลักษณ์ของถิ่นนี้
ต่อมา... เมื่อประชากรในหมู่บ้านเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะเด็ก ๆ ที่เริ่มมีจำนวนมากขึ้น จึงมีการยื่นขอจัดตั้งโรงเรียนขึ้นในหมู่บ้าน เพื่อให้ลูกหลานได้เรียนหนังสือใกล้บ้าน
แต่เมื่อตรวจสอบแล้วพบว่า ชื่อ “โรงเรียนหนองแก” มีอยู่แล้วใน อำเภอบ้านลาด ซึ่งอาจก่อให้เกิดความสับสน
ชาวบ้านและผู้นำชุมชนจึงมีมติเปลี่ยนชื่อโรงเรียนใหม่ว่า
“โรงเรียนสะแกงาม” — เพื่อสื่อถึงความงามของต้นไม้ประจำถิ่น และรักษาอัตลักษณ์เดิมไว้
เมื่อชื่อโรงเรียนเปลี่ยนไป ชื่อหมู่บ้านก็เปลี่ยนตามไปด้วย กลายเป็น “บ้านสะแกงาม”
เรื่องมีอยู่ว่า...
ในปี พ.ศ. 2536
ประชากรใน หมู่ 4 บ้านหนองหญ้าปล้อง เพิ่มมากขึ้น จนพื้นที่ไม่เพียงพอ จึงมีการแบ่งแยกหมู่บ้านออกมาตั้งใหม่เป็น “หมู่ 9”
พื้นที่ที่ตั้งหมู่บ้านใหม่นั้น เป็น เนินดินสูง ซึ่งชาวบ้านในท้องถิ่นเรียกกันว่า “โคก” — และบนโคกแห่งนี้เอง ก็เป็นที่ตั้งของ วัดหนองหญ้าปล้อง วัดเก่าแก่ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนในพื้นที่
เพื่อให้ชื่อหมู่บ้านสะท้อนถึงภูมิประเทศและความผูกพันกับศาสนา จึงตั้งชื่อว่า
“บ้านโคกวัด” — “โคก” จากความสูงของพื้นที่ และ “วัด” จากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ยืนหยัดอยู่คู่ชุมชน
แม้จะเป็นหมู่บ้านใหม่ที่เพิ่งแยกตัวออกมาไม่นานนัก แต่บ้านโคกวัดก็ยังคงยึดมั่นในรากเหง้าของตน และเติบโตอย่างสงบภายใต้ร่มเงาธรรมะของวัดวาอาราม
เรื่องมีอยู่ว่า...
ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2518
กลุ่มชาวบ้านกลุ่มแรกได้เดินทางเข้ามาบุกเบิกพื้นที่ป่าเขาในเขตอำเภอหนองหญ้าปล้อง เพื่อทำไร่ ปลูกพืช และตั้งถิ่นฐานใหม่ ระหว่างสำรวจพื้นที่ พวกเขาได้พบกับ น้ำพุธรรมชาติที่ผุดขึ้นจากเชิงเขา ซึ่งกลายเป็นแหล่งน้ำหลักของหมู่บ้านในยุคเริ่มแรก คนในพื้นที่จึงเรียกชื่อบ้านว่า “บ้านพุกัง”
ต่อมาในปี พ.ศ. 2525 ได้มีพระธุดงค์รูปหนึ่งเดินทางมาปักกลดอยู่ ริมสระน้ำ ซึ่งตั้งอยู่ในพื้นที่ลุ่มกลางหมู่บ้าน — แปลกประหลาดที่สระน้ำมีอยู่ด้วยกัน 4 สระ วางตัวอยู่ในลักษณะ สี่มุมล้อมรอบหมู่บ้าน เสมือนมีการจัดวางโดยธรรมชาติ
ชาวบ้านเห็นเป็นสิริมงคล จึงนิมนต์พระธุดงค์ให้พำนักอยู่ และร่วมกันสร้าง สำนักสงฆ์ป่าพระมาลัยบ้านสระสี่มุม ขึ้นเป็นศูนย์รวมจิตใจของชุมชน
นับแต่นั้นมา ชื่อหมู่บ้านก็เปลี่ยนจาก “บ้านพุกัง” มาเป็น “บ้านสระสี่มุม” — เพื่อสะท้อนถึงทั้งธรรมชาติอันล้ำค่า และความศรัทธาที่หยั่งรากในใจคน
เรื่องมีอยู่ว่า...
เดิมพื้นที่บริเวณนี้เป็นส่วนหนึ่งของหมู่บ้านหนองไผ่ ซึ่งมีอาณาเขตกว้างใหญ่ ทำให้การดูแลและพัฒนาไม่ทั่วถึง
เมื่อถึงปี พ.ศ. 2540 ชาวบ้านได้ร่วมกันหารือ และมีมติให้แยกออกมาตั้งเป็นหมู่บ้านใหม่
ลักษณะเด่นของพื้นที่ คือมีลำห้วยสายหนึ่งไหลผ่านกลางหมู่บ้าน ซึ่งชาวบ้านเรียกกันว่า “ห้วยสาริกา”
ว่ากันว่าในอดีต บริเวณลำห้วยแห่งนี้เงียบสงบ ร่มรื่น มีนกตัวเล็ก ๆ เสียงใสสีทอง-น้ำตาลมาอาศัยอยู่หลายตัว
ชาวบ้านผู้สูงวัยบอกว่า นั่นคือนกสาริกา — นกที่มักพบในป่าริมลำห้วยในพื้นที่สูง และชอบร้องเพลงคล้ายเสียงคนพูด
แม้จะไม่มีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ชัดเจนเกี่ยวกับชื่อนี้
แต่เมื่อเห็นว่าลำห้วยแห่งนี้เป็นเส้นแบ่งเขตธรรมชาติระหว่าง ตำบลหนองหญ้าปล้องกับตำบลท่าตะคร้อ
และเป็นแหล่งน้ำสำคัญของหมู่บ้านใหม่
จึงพร้อมใจกันตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านห้วยสาริกา”
เพื่อให้ระลึกถึงทั้งลำห้วย และเสียงนกร้องที่เคยอยู่ร่วมกับผู้คนอย่างกลมกลืน