เรื่องมีอยู่ว่า..
พื้นที่บริเวณนี้ในอดีตมีความอุดมสมบูรณ์มาก เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ป่านานาชนิด
โดยเฉพาะ กระต่ายป่า ที่มักออกมาวิ่งเล่นและหากินในท้องทุ่งโล่ง
ผู้คนที่สัญจรผ่านไปมาจึงเรียกบริเวณนี้ว่า “ทุ่งกระต่าย”
ต่อมา เมื่อมีการตั้งชุมชนถาวร จึงใช้ชื่อนี้ในการตั้งชื่อหมู่บ้านว่า
“บ้านทุ่งกระต่าย” ซึ่งคงอยู่จนถึงปัจจุบัน
เรื่องมีอยู่ว่า...
ชาวกะเหรี่ยงที่อาศัยอยู่ใน บ้านทุ่งกระต่าย ได้อพยพหนีความขัดแย้งกับชาวไทยในพื้นที่เดิม แล้วเข้ามาตั้งถิ่นฐานใหม่บริเวณแห่งนี้ ซึ่งมี ลำห้วยธรรมชาติ ไหลผ่าน
ในอดีต หมู่บ้านเคยใช้ชื่อว่า “บ้านห้วยแห้ง” เพราะในฤดูแล้ง น้ำในลำห้วยลดลงจนแทบแห้งเหือด จากการใช้น้ำของชาวบ้านและสัตว์ป่าที่อาศัยร่วมกัน
ต่อมา เมื่อมีการเปลี่ยนผู้นำชุมชน ได้เกิดแนวคิดสร้างพลังบวกให้กับหมู่บ้าน จึงเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ไพเราะและเป็นมงคลว่า
“บ้านห้วยเกษม” ซึ่งหมายถึง ความสุข ความอุดมสมบูรณ์ และความสงบสุขของผู้คนในชุมชน
เรื่องมีอยู่ว่า...
เมื่อปี พ.ศ. 2504 นายแดง ซึ่งเป็นพรานป่า ได้เดินป่าบริเวณยอดเขา และบังเอิญพบวัตถุคล้าย ช้างหลงฝูง ยืนเด่นอยู่ในระยะไกล ด้วยความตื่นเต้น เขารีบกลับไปแจ้งชาวบ้านให้มาช่วยดู
แต่เมื่อกลับมาถึงที่เกิดเหตุ กลับพบว่า สิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่ช้าง แต่เป็นเพียง ก้อนหินขนาดใหญ่ ที่มีรูปร่างคล้ายช้างเท่านั้น
ชาวบ้านเห็นว่าเป็นเรื่องแปลกและน่าจดจำ จึงตั้งชื่อหมู่บ้านว่า “บ้านหินช้าง”
ต่อมา เมื่อกาลเวลาผ่านไป ผู้คนเรียกชื่อหมู่บ้านด้วยสำเนียงพื้นถิ่นจนเพี้ยนจาก “หินช้าง” กลายเป็น
“ลิ้นช้าง” ซึ่งกลายเป็นชื่อที่ใช้เรียกหมู่บ้านมาจนถึงปัจจุบัน
เรื่องมีอยู่ว่า..
ในอดีต ชาวบ้านในพื้นที่ได้อาศัยน้ำจากลำห้วยสาลิกา ซึ่งไหลผ่านหมู่บ้าน เป็นแหล่งน้ำสำคัญในการดำรงชีวิต ทั้งการอุปโภค บริโภค และทำการเกษตร
จุดที่ผู้คนใช้เป็นทางลงน้ำหรือท่าน้ำนั้น มีต้นไม้ยืนต้นขนาดใหญ่ชื่อว่า “ต้นเสลา” ขึ้นอยู่โดดเด่นริมลำห้วย เป็นที่จดจำของทุกคนในชุมชน
เมื่อทางราชการเข้ามาสำรวจและเปิดให้ตั้งชื่อหมู่บ้านอย่างเป็นทางการ ชาวบ้านจึงตั้งชื่อว่า “บ้านท่าเสลา” เพื่อระลึกถึงสถานที่สำคัญที่มีทั้ง “ท่าน้ำ” และ “ต้นเสลา” อยู่เคียงกัน
เรื่องมีอยู่ว่า...
เมื่อประชากรใน หมู่ 4 บ้านท่าเสลา เพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนพื้นที่เริ่มหนาแน่น ในปี พ.ศ. 2534 ชาวบ้านส่วนหนึ่งจึงแยกตัวออกมา ตั้งเป็นหมู่บ้านใหม่ในบริเวณใกล้เคียง
พื้นที่ใหม่แห่งนี้มี ทรัพยากรธรรมชาติสำคัญคือ “พุน้ำร้อน” ที่ผุดขึ้นกลางป่า เป็นลักษณะเฉพาะที่เด่นชัดของพื้นที่
ด้วยเหตุนี้ จึงได้ตั้งชื่อหมู่บ้านใหม่ว่า “บ้านพุน้ำร้อน” เพื่อให้สื่อถึงภูมิลักษณ์สำคัญของถิ่นฐานใหม่