การเขียนรายงานหรือการทำรายงานเป็นการสรุปและรายงานผลที่ได้รับจากการทำโครงงานในรูปแบบของเอกสารสิ่งพิมพ์ โดยผู้ทำโครงงานควรนำเสนอด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย กระชับ ชัดเจน ครอบคลุมประเด็นสำคัญ และนำเสนอข้อมูลตามความเป็นจริง ซึ่งผู้ทำโครงงานสามารถนำเค้าโครงของโครงงานมาปรับปรุงและเพิ่มรายละเอียดที่พบในระหว่างการทำโครงงานได้ รูปแบบการทำรายงานการศึกษาค้นคว้าและสร้างองค์ความรู้
ส่วนประกอบรายงานมีส่วนประกอบดังต่อไปนี้
1.1 ปกนอก (Cover) มีวิธีการเขียนดังนี้
1.1.1 ส่วนบน เขียนชื่อรายงานไว้ด้านกลางหน้า
1.1.2 ส่วนกลาง เขียนชื่อ นามสกุล โดยไม่ต้องเขียนคำนำหน้าชื่อ (เด็กหญิง เด็กชาย นาย หรือ นางสาว) อาจเขียนชั้นที่ศึกษาและเลขที่ของผู้ทำรายงานไว้บรรทัดถัดไป
กรณีรายงานที่มีผู้จัดทำ 3 คนขึ้นไป ให้เขียนชื่อคนที่มีตัวอักษรนำหน้าเป็นลำดับแรกของชื่อผู้จัดทำทั้งหมด ตามด้วยคำว่าคณะ แล้วให้เขียนชื่อผู้จัดทำทั้งหมดในหน้าปกใน
1.1.3 ส่วนล่าง แบ่งเป็น 3 บรรทัด
– บรรทัดแรก เขียนชื่อรายวิชา ตามด้วยในวงเล็บรหัสวิชา โดยใช้คำว่า “รายงานฉบับนี้เป็นส่วนหนึ่งของวิชา………….. (รหัสวิชา)”
– บรรทัดที่ 2 เขียนชื่อโรงเรียน “โรงเรียนพิมานพิทยาสรรค์”
– บรรทัดที่ 3 เขียนภาคเรียนที่ และปีการศึกษา ที่เขียนรายงาน
การเขียนหน้าปก ควรกะระยะตัวอักษรที่เขียนให้อยู่กึ่งกลางหน้ากระดาษ โดยเว้นที่ว่างทางด้านซ้ายและขวาให้เท่ากัน และเว้นช่องว่างส่วนบนและล่างให้เท่าๆกัน
ใบรองปก เป็นกระดาษเปล่าหนึ่งแผ่น ต่อจากปกนอก
หน้าปกใน (Title page) เขียนข้อความเดียวกับปกนอก กรณีรายงานที่มีผู้จัดทำ 3 คนขึ้นไป ให้เขียนชื่อผู้จัดทำทุกคน เรียงตามลำดับตัวอักษรของชื่อ หรือตามลำดับชั้น และเลขที่
คำนำ (Preface) ควรแบ่งเป็น 3 ย่อหน้า และควรกล่าวรายละเอียดดังนี้
ย่อหน้าที่ 1 กล่าวถึงจุดมุ่งหมายของการเขียนรายงาน เป็นการเกริ่นนำถึงสาเหตุหรือแรงบันดาลใจที่ศึกษาค้นคว้าในการทำรายงานเรื่องนี้
ย่อหน้าที่ 2 กล่าวถึงขอบเขตของเนื้อหาในรายงานอย่างย่อๆ ว่ากล่าวถึงอะไรบ้าง
ย่อหน้าที่ 3 กล่าวขอบคุณผู้ที่ให้ความร่วมมือ ให้ความช่วยเหลือ หรือให้ความสนับสนุน อันมีส่วนทำให้รายงานฉบับนี้สมบูรณ์
(คำว่า “คำนำ” ให้เขียนไว้กลางหน้ากระดาษ ไม่ต้องขีดเส้นใต้ ใช้รูปแบบอักษร TH Sarabunขนาด 18 พิมพ์หนา เว้น 1 บรรทัด แล้วจึงขึ้นย่อหน้าที่ 1” หรือห่างจากขอบบน 2 นิ้ว )
สารบัญ (Table of Contents) หมายถึง บัญชีหัวข้อสำคัญและหัวข้อย่อยในรายงานทั้งหมด โดยเขียนเรียงลำดับที่ปรากฏในรายงานตั้งแต่หน้าแรกจนถึงหน้าสุดท้ายพร้อมทั้งบอกเลขหน้าด้วยว่า หัวข้อนั้น ๆ อยู่หน้าใด เพื่อสะดวกในการค้นคว้า กรณีที่มีภาพหรือตารางภายในรายงาน ให้มีสารบัญภาพ (List of Figures) และสารบัญตาราง (List of Tables) ด้วย โดยการกำกับลำดับภาพหรือตารางให้นับตามบท เช่น ถ้าเป็นภาพที่ 1 ของบทที่ 1 ให้กำกับว่า “ภาพที่ 1.1” หรือ “Figure 1.1” ถ้าเป็นภาพที่ 4 ในบทที่ 2 ให้กำกับว่า “ภาพที่ 2.4”หรือ “Figure 2.4”
(คำว่า “สารบัญ” ให้เขียนไว้กลางหน้ากระดาษ ไม่ต้องขีดเส้นใต้ ใช้รูปแบบอักษร TH Sarabun ขนาด 18 พิมพ์หนา เว้น 1 บรรทัด แล้วจึงขึ้นย่อหน้าที่ 1” )
หลักการและเหตุผล
วัตถุประสงค์
สมมติฐาน
ขอบเขตของการดำเนินงาน
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ
นิยามศัพท์เฉพาะ
อธิบายเพิ่มเติมในส่วนที่ 2 ดังนี้
2.1 บทนำ (Introduction) เป็นส่วนที่บอกเหตุผลและวัตถุประสงค์ในการทำรายงานเรื่องนั้นชี้แจงขอบเขตของเรื่อง บอกให้ทราบว่าการทำรายงานนั้นมีความมุ่งหมายอย่างไร งานค้นคว้ากว้างหรือแคบเพียงใด ใช้วิธีดำเนินการศึกษาค้นคว้าอย่างไร มีการจัดระเบียบข้อมูลอย่างไรมีสมมติฐานของการศึกษาค้นคว้าอย่างไร
บทนำเป็นสิ่งแรกที่จะทำให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับความคิดและกลวิธีการเขียนของผู้เขียน มีส่วนสำคัญในการจุดประกายความสนใจของผู้อ่านให้อยากติดตามอ่านต่อไป ถ้าบทนำไม่น่าสนใจ สับสน หรือคลุมเครือ ผู้อ่านจะไม่สนใจอยากอ่าน ดังนั้นบทนำจึงต้องชัดแจ้ง น่าอ่าน และกระตุ้นความสนใจของผู้อ่าน
2.2 เนื้อหา (Body of Paper) คือข้อมูลทั้งหมดที่ได้จากการเลือกสรร จากการศึกษาค้นคว้าทั้งหมดและได้จัดระเบียบข้อมูลนั้นอย่างดี ถ้ามีเนื้อเรื่องมาก ควรแบ่งเป็นบท ถ้าเป็นเรื่องเล็กๆ ก็แบ่งเป็นหัวข้อเรื่อง ตัวเรื่องจะประกอบด้วยหัวข้อใหญ่ หัวข้อรอง หัวข้อย่อย แต่ละหัวข้อจะมีสารัตถะขยายความ ได้แก่ เรื่องราว ข้อเท็จจริง ข้อมูล ภาพ แผนภูมิ ฯลฯ ในการเขียนเนื้อหา ถ้าผู้เขียนเรียบเรียงจากการค้นคว้าจากแหล่งอื่น เช่น หนังสือ วารสารสัมภาษณ์ ฯลฯ ผู้เขียนควรระบุด้วยว่าข้อความตอนใด ได้มาจากแหล่งใด ตามหลักการเขียนอ้างอิงแบบนาม-ปี เพื่อเป็นแนวทางสำหรับผู้อ่านที่ต้องการศึกษาเพิ่มเติมและเพื่อแสดงมารยาทในการเขียนรายงานวิชาการของผู้เขียน
2.3 บทสรุป (Conclusion) มิใช่การย่อความโดยนำเนื้อหาสาระมากล่าวซ้ำ แต่เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลและสาระสำคัญเพื่อประมวลแง่มุมต่างๆ ที่น่าสนใจ แล้วนำเรียบเรียงเป็นบทสรุป ภาษาที่ใช้ในการนำเสนอเรื่องมักเป็นภาษาทางการ ใช้วิธีเขียนด้วยการลำดับความใช้ คำง่าย มีการใช้เหตุผลนำเสนอ นิยมใช้ถ้อยคำสำนวนของผู้เขียนเอง เป็นการเขียนย้ำหรือเน้นประเด็นสำคัญของเนื้อหาหรือสรุปผลของการศึกษาค้นคว้า
ในแต่ละบท ให้ระบุเลขที่บทและหัวข้อใหญ่ของแต่ละบท โดยคำว่า“บทที่…” และหัวข้อใหญ่ของแต่ละบท ให้เขียนไว้กลางหน้ากระดาษ ไม่ต้องขีดเส้นใต้ใช้รูปแบบอักษร TH Sarabun ขนาด 18 พิมพ์หนา โดยเขียน “บทที่…” ไว้บรรทัดแรก และบรรทัดถัดมาเป็นหัวข้อของบทนั้น แล้วเว้น 1 บรรทัด แล้วจึงขึ้นในส่วนของเนื้อหา
บรรณานุกรม
ภาคผนวก
ประวัติผู้ค้นคว้า
ใบรองปกหลัง
ปกหลัง
3.1 เอกสารอ้างอิงหรือบรรณานุกรม (References หรือ Bibliography) เป็นบัญชีประมวลรายชื่อหนังสือ วารสารและเอกสารต่างๆที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้า ถ้าเป็นบัญชีที่แสดงเฉพาะเอกสารที่ใช้ในรายงานหรือที่ปรากฏในอ้างอิงแบบนาม-ปี ให้ใช้คำว่า “เอกสารอ้างอิง” แต่ถ้ามีเอกสารอื่นๆ ที่ใช้ในการศึกษาค้นคว้าที่นอกเหนือจากที่ปรากฏในอ้างอิงแบบนาม-ปีในรายงาน ให้ใช้คำว่า “บรรณานุกรม”
(คำว่า “เอกสารอ้างอิง” หรือ “บรรณานุกรม” ให้เขียนไว้กลางหน้ากระดาษ ไม่ต้องขีดเส้นใต้ ใช้รูปแบบอักษร TH Sarabunขนาด 18 พิมพ์หนา เว้น 1 บรรทัด แล้วจึงเขียนบรรทัดแรกตามรูปแบบการเขียนที่กำหนดในบทที่ 2”
3.2 ภาคผนวก (Appendix) เป็นเรื่องที่นำมาเพิ่มเติมรายงานให้สมบูรณ์ แต่มิใช่เนื้อหาโดยตรงของเรื่อง จัดแยกไว้ท้ายเล่ม ถ้ามีหลายเรื่องก็จัดเป็นภาคผนวก ก ภาคผนวก ข ตามลำดับ
ในการเขียนภาคผนวก ให้เขียนไว้ส่วนท้ายสุดของเล่ม โดยให้เขียนคำว่า “ภาคผนวก” ไว้ตรงส่วนกลางของหน้ากระดาษ ไม่ต้องขีดเส้นใต้ ใช้รูปแบบอักษร TH Sarabun ขนาด 18 พิมพ์หนา แล้วหน้าถัดไปบรรทัดแรก ให้เขียนคำว่า “ภาคผนวก” ไว้ตรงส่วนกลางของหน้ากระดาษ ไม่ต้องขีดเส้นใต้ ใช้รูปแบบอักษร TH Sarabun 18 พิมพ์หนา แล้วเว้น 1 บรรทัด จึงเริ่มเขียนรายละเอียดของภาคผนวก