ขั้นระบุปัญหา
ขั้นรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา
ขั้นออกแบบวิธีการแก้ปัญหา
ขั้นวางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา
ขั้นทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน
ขั้นนำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหา หรือชิ้นงาน
อธิบายการทำงานตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
ใช้เทคนิคหรือวิธีการเพื่อวิเคราะห์ข้อมูลในการแก้ปัญหาตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
ในบทนี้นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการวางแผนและทำงานอย่างเป็นขั้นตอนเพื่อแก้ปัญหา หรือพัฒนางานตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ซึ่งช่วยให้เข้าใจปัญหา หรือพัฒนางานอย่างเป็นระบบ เพื่อให้ได้วิธีการแก้ปัญหาที่ตรงวัตถุประสงค์ในเรื่องที่นักเรียนสนใจ และสามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับการทำงานในชีวิตจริง เช่น การสร้างหรือพัฒนาอุปกรณ์เพื่อทดแทนผู้ที่สูญเสียแขนหรือขา จำเป็นต้องอาศัยกระบวนการพัฒนาแขนหรือขาเทียม ที่สามารถใช้งานได้ตามจุดประสงค์อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องใช้ความรู้ที่เกี่ยวข้องในศาสตร์ต่างๆ มีการออกแบบและสร้าง ทดสอบ ปรับปรุง แก้ไข และประเมินการทำงาน จนสร้างชิ้นงานได้สำเร็จเพื่อการนำไปใช้งานได้จริง
นักเรียนได้เรียนรู้มาแล้วว่า เทคโนโลยี เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างหรือพัฒนาขึ้น เพื่อใช้แก้ปัญหา หรือเพิ่มความสามารถในการทำงานของมนุษย์ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งชิ้นงาน หรือวิธีการ โดยเทคโนโลยี มีการเปลี่ยนแปลงจากสาเหตุหรือปัจจัยหลายด้าน ทั้งความต้ัองการของมนุษย์ ความก้าวหน้าของศาสตร์ต่างๆ โดยเฉพาะวิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ รวมทั้งปัจจัยด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ซึ่งในบทเรียนนี้นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับกระบวนการสร้างสรรค์เทคโนโลยี หรือนวัตกรรม รวมทั้งเทคนิคหรือวิธีการในการวิเคราะเห์ตามการดำเนินงานในแต่ละขั้นของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
ในชีวิตประจำวัน เราอาจประสบปัญหาต่างๆ ทั้งจากการใช้ชีวิตและการทำงาน ซึ่งเราจำเป็นต้องแก้ปัญหาต่างๆ เหล่านี้ เพื่อยกระดับคุณภาพการดำรงชีวิตของเราเอง ซึ่งอาจทำได้โดยสร้างสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ หรือการคิดหาวิธีการเพื่อสนองความต้องการของตนเอง บางปัญหามีความซับซ้อน การแก้ปัญหาจึงจำเป็นต้องอาศัยความรู้ ทักษะ ทรัพยากร และการวางแผนการทำงานอย่างเป็นขั้นตอน เป็นระบบ เพื่อให้การทำงานนั้นบรรลุวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมาย เพื่อให้ไดัวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด ในบทเรียนนี้นักเรียนจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับการทำงานอย่างเป็นระบบ เป็นขั้นตอนเพื่อแก้ปัญหา ซึ่งอยู่บนพื้นฐานของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม ซึ่งมีการศึกษาหาข้อมูลมาเป็นข้อสนับสนุนและเป็นแนวทางในการแก้ปัญหานั้นๆ รวมทั้งเทคนิคหรือวิธีการในการวิเคราะห์ข้อมูลตามแต่ละขั้นของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
การออกแบบเชิงวิศวกรรมเป็นกระบวนการทำงานเพื่อแก้ไขปัญหา หรือพัฒนางานให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด ภายใต้ข้อจำกัด โดยมีขั้นตอนการดำเนินงานประกอบด้วย 6 ขั้นตอน
1. ระบุปัญหา (problem identification) ขั้นตอนนี้เริ่มต้นจากการที่ผู้แก้ปัญหาตระหนักถึงสิ่งที่เป็นปัญหาในชีวิตประจำวันและจำเป็นต้องหาวิธีการหรือสร้างสิ่งประดิษฐ์ เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวในการแก้ไขปัญหาในชีวิตจริงบางครั้งคำถามหรือปัญหาที่เราระบุอ่านประกอบด้วยปัญหาย่อย ในขั้นตอนของการระบุปัญหาเพื่อแก้ปัญหาต้องพิจารณาปัญหาหรือกิจกรรมย่อยที่ต้องเกิดขึ้นเพื่อประกอบเป็นวิธีการในการแก้ปัญหาใหญ่ด้วย
2. รวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา (related information search) หลังจากผู้แก้ปัญหาทำความเข้าใจปัญหาและสามารถระบุปัญหาย่อย ขั้นตอนต่อไปคือการรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับการแก้ปัญหาดังกล่าว ในการค้นหาแนวคิดที่เกี่ยวข้องผู้แก้ปัญหาอาจมีการดำเนินการ ดังนี้ (1) การรวบรวมข้อมูล คือ การสืบค้นว่าเคยมีใครหาวิธีแก้ปัญหาดังกล่าวนี้แล้วหรือไม่ หากมี เขาแก้ปัญหาอย่างไร และมีข้อเสนอแนะใดบ้าง (2) การค้นหาแนวคิด หรือความรู้ทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องและสามารถประยุกต์ในการแก้ปัญหาได้ ในขั้นตอนที่นี้แก้ปัญหาควรพิจารณาและแนวคิดหรือความรู้ทั้งหมดที่สามารถใช้แก้ปัญหาและจดบันทึกแนวคิดไว้เป็นทางเลือก และหลังจากรวบรวมแนวความคิดเหล่านั้นแล้วจึงประเมินแนวคิดเหล่านั้น โดยพิจารณาถึงความเป็นไปได้ ความคุ้มทุน ข้อดีและจุดอ่อน และความเหมาะสมกับเงื่อนไขและขอบเขตของปัญหา แล้วจึงเลือกแนวคิดหรือวิธีการที่เหมาะสมที่
3. ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา (solution desing) หลังจากเลือกแนวคิดที่เหมาะสมในการแก้ปัญหาแล้วขั้นตอนต่อไปคือการนำความรู้ที่ได้รวบรวมมาประยุกต์เพื่อออกแบบวิธีการกำหนดองค์ประกอบของวิธีการหรือผลผลิตทั้งนี้ผู้แก้ปัญหาต้องอ้างอิงถึงความรู้วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และเทคโนโลยีที่รวบรวมได้ ประเมิน ตัดสินใจเลือกและใช้ความรู้ที่ได้มาในการสร้างภาพร่างของชิ้นงานต้นแบบ (prototype) หรือกำหนดเค้าโครงของวิธีการแก้ปัญหา
4. วางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา (planning and development) หลังหลังจากที่ได้ออกแบบวิธีการและกำหนดเค้าโครงของวิธีการแก้ปัญหาแล้วที่ได้ออกแบบวิธีการและกำหนดเค้าโครงของวิธีการแก้ปัญหาแล้วขั้นตอนต่อไปคือการพัฒนาวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงานต้นแบบที่ได้ออกแบบไว้ในขั้นตอนนี้ขั้นตอนต่อไปคือการพัฒนาวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงานต้นแบบที่ได้ออกแบบไว้ในขั้นตอนนี้ผู้แก้ปัญหาต้องกำหนดขั้นตอนย่อยในการทำงานผู้แก้ปัญหาต้องกำหนดขั้นตอนย่อยในการทำงานรวมทั้งกำหนดเป้าหมายและระยะเวลาในการดำเนินการแต่ละขั้นตอนย่อยให้ชัดเจน
5. ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (testing, evaluation and design improvement) เป็นขั้นตอนทดสอบและประเมินการใช้วิธีการหรือชิ้นงานต้นแบบ เพื่อแก้ปัญหา ผลที่ได้จากการทดสอบและประเมินอาจถูกนำมาใช้ในการปรับปรุงและพัฒนาผลลัพธ์ให้มีประสิทธิภาพในการแก้ปัญหามากขึ้น การทดสอบและประเมินผลสามารถเกิดขึ้นได้หลายครั้งในกระบวนการแก้ปัญหา
6. นำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหา หรือชิ้นงาน (presentation)ฺ หลังจากการพัฒนา ปรับปรุง ทดสอบและประเมินวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงานจนมีประสิทธิภาพตามที่ต้องการแล้ว โปรแกรมปัญหาต้องนำเสนอผลลัพธ์ต่อสาธารณชน โดยต้องออกแบบวิธีการนำเสนอข้อมูลที่เข้าใจง่ายและน่าสนใจ
ในระหว่างการแก้ปัญหาด้วยกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมขั้นตอนการดำเนินงานสามารถสลับไปมาหรือย้อนกลับขั้นตอนได้ดังรูปภาพแสดงกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม กล่าวคือในการทำงานตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมนั้น หากชิ้นงานหรือวิธีการแก้ปัญหายังมีข้อบกพร่อง ทำงานหรือใช้งานไม่ได้ อาจต้องย้อนกลับไปทำงานซ้ำในบางขั้นตอน เช่น อาจกลับไปออกแบบวิธีการแก้ปัญหาใหม่ หรืออาจกลับไปรวบรวมข้อมูลเพื่อสร้างแนวทางในการแก้ปัญหาใหม่ เพื่อพัฒนาหรือปรับปรุงผลงานให้ดีขึ้น การย้อนกลับไปดำเนินงานซ้ำที่ขั้นตอนใดของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมไม่มีการกำหนดที่แน่นอนว่าจะต้องย้อนกลับไปที่ขั้นตอนใดขั้นตอนหนึ่ง แต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์นั้นๆ โดยนักเรียนสามารถศึกษารายละเอียดแต่ละขั้นตอนของกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรมดังต่อไปนี้
6.1 ขั้นระบุปัญหา (problem identification)
การระบุปัญหาเป็นการทำความเข้าใจสถานการณ์ของปัญหาหรือความต้องการนั้นๆ อย่างละเอียด โดยวิเคราะห์เงื่อนไขหรือข้อจำกัดของสถานการณ์เพื่อตัดสินใจเลือกปัญหาหรือความต้องการที่จะดำเนินการแก้ไข แล้วกำหนดขอบเขตของปัญหาให้ชัดเจน ซึ่งจะนำไปสู่การหาแนวทางในการแก้ปัญหาต่อไป การระบุปัญหาและการกำหนดขอบเขตของปัญหาให้มีความชัดเจนเราสามารถนำเทคนิคหรือวิธีการต่างๆมาช่วยในการวิเคราะห์ปัญหา เพื่อให้ทราบถึงองค์ประกอบหลักและสาเหตุของปัญหา เช่น การวิเคราะห์องค์ประกอบของปัญหาด้วย 5W1H การหาสาเหตุของปัญหาด้วยผังก้างปลา (fishbone diagram)
ปัจจุบันประเทศไทยมีความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร โดยพบว่าแนวโน้มของจำนวนประชากรผู้สูงอายุมีมากขึ้น การดำรงชีวิตของผู้สูงอายุมีแนวโน้มอยู่คนเดียวสูงขึ้น ผู้สูงอายุยังมักมีปัญหาสุขภาพหลายด้านตามการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายที่เสื่อมลงเมื่ออายุเพิ่มขึ้น เช่น สายตาที่พร่ามัว การเคลื่อนไหวร่างกายที่ยากลำบากขึ้น ปัญหาในเรื่องความจำซึ่งอาจทำให้ลืมรับประทานยา ปัญหาสุขภาพดังกล่าวส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน
จากสถานการณ์ข้างต้นพบว่าผู้สูงอายุประสบปัญหาจากการใช้ชีวิต เช่น
ปัญหาในเรื่องความจำทำให้ลืมรับประทานยาไม่ครบหรือกินยามากเกินประมาณที่แพทย์สั่ง
ความยากลำบากในการเดินและทรงตัวเพื่อเคลื่อนที่ในชีวิตประจำวัน
ปัญหาการมองเห็นที่ไม่ชัดเจนซึ่งส่งผลทำให้เกิดอุบัติเหตุในชีวิตประจำวันได้ง่าย เช่น สะดุดหกล้ม การเดินชนสิ่งของ
ผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินทำให้ต้องสื่อสารเสียงดัง
รูปแสดงแผนผังความคิดแสดงปัญหาที่พบจากการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุ
จากแผนผังความคิดแสดงปัญหาต่างๆ ของผู้สูงอายุ ดังรูป ปัญหาหนึ่งที่ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุ เกิดปัญหาสูญเสียการได้ยิน ซึ่งผู้สูงอายุมีความสามารถในการรับเสียงลดลง หรือมีภาวะหูอื้อ หรือหูตึง ทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตในการสื่อสารกับผู้อื่นน้อยลง เกิดความสูญเสียความมั่นใจในคุณค่าตนเอง และยังส่งผลต่อการดำเนินชีวิตของคนรอบข้างที่อาจทำให้เกิดปัญหาอื่นตามมา เช่น การตะโกนสื่อสาร จึงเป็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุและคนรอบข้างอีกด้วย
จากปัญหาการสูญเสียการได้ยินของผู้สูงอายุ เราสามารถทำความเข้าใจของปัญหาได้ชัดเจนขึ้นด้วยการใช้เทคนิคการวิเคราะห์องค์ประกอบของปัญหา จากการตั้งคำถาม 5W1H ซึ่งจะทำให้ได้ข้อมูลเพื่อนำไปสู่การแก้ปัญหาได้ตรงกับความต้องการอย่างเหมาะสมทำไมต้องว่ากัน
5W1H เป็นเทคนิคการวิเคราะห์รูปแบบหนึ่งด้วยการใช้ทักษะการตั้งคำถามใช้เพื่อการจำแนกองค์ประกอบของสิ่งต่างๆซึ่งอาจเป็นวัตถุสิ่งของเหตุการณ์หรือปัญหาเพื่อให้ได้องค์ประกอบต่างๆที่เชื่อมโยงกับสิ่งที่ต้องการวิเคราะห์ได้อย่างชัดเจนสามารถนำไปใช้เป็นข้อมูลเพื่อการแก้ปัญหาได้ตรงความต้องการมากที่สุดการตั้งคำถาม 5W1H ประกอบด้วย
Who ปัญหาหรือความต้องการเกิดขึ้นกับใคร เป็นการบอกรายละเอียดของผู้ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือความต้องการ เช่น อายุ เพศ อาชีพ พฤติกรรม
Where ปัญหาหรือความต้องการเกิดขึ้นที่ไหน เป็นการบอกสถานที่ สภาพแวดล้อม หรือตำแหน่งที่เกิดปัญหาหรือความต้องการ
When ปัญหาหรือความต้องการเกิดขึ้นเมื่อใด เป็นการบอกช่วงเวลาหรือสถานการณ์ที่เกิดปัญหาหรือความต้องการ
What ปัญหาหรือความต้องการคืออะไร เป็นการบอกลักษณะของปัญหา หรือผลที่เกิดจากปัญหา หรือความต้องการคืออะไร
Why ทำไมจึงเกิดปัญหาหรือความต้องการ เป็นการบอกสาเหตุของปัญหาหรือความต้องการ
How ปัญหาหรือความต้องการมีลักษณะอย่างไร เป็นการบอกความต้องการที่เกิดจากผลของปัญหามีลักษณะอย่างไร และแนวทางการแก้ปัญหาหรือสนองความต้องการควรทำอย่างไร
ตัวอย่างการวิเคราะห์ปัญหาของผู้สูงอายุสูญเสียการได้ยิน ด้วยการตั้งคำถาม 5W1H
คำถาม : ปัญหาหรือความต้องการเกิดขึ้นกับใคร (Who)
ตัวอย่างคำตอบ : ผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยิน หรือมีภาวะหูอื้อ หูตึง
คำถาม : ปัญหาหรือความต้องการนี้เกิดขึ้นที่ไหน (Where)
ตัวอย่างคำตอบ : บ้าน หรือสถานที่ซึ่งผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินอาศัยอยู่ หูของผู้สูงอายุที่สุญเสียการได้ยิน
คำถาม : ปัญหาหรือความต้องการเกิดขึ้นเมื่อใด (When)
ตัวอย่างคำตอบ : เมื่อมีการสื่อสารระหว่างผู้สูงอายุกับญาติผู้อื่น
คำถาม : ปัญหาหรือความต้องการคืออะไร (What)
ตัวอย่างคำตอบ : ผู้สูงอายุมีความสามารถในการรับเสียงลดลง หรือมีภาวะหูอื้อ หรือหูตึง ทำให้ผู้สูงอายุมีคุณภาพชีวิตในการสื่อสารกับผู้อื่นน้อยลง
คำถาม : ทำไมถึงเกิดปัญหาหรือความต้องการ (Why)
ตัวอย่างคำตอบ : ผู้สูงอายุมีปัญหาที่เกิดจากความเสื่อมของอวัยวะ หรือระบบประสาทภายในหู หรือสาเหตุอื่นที่ทำให้เกิดการสูญเสียการได้ยิน
คำถาม : ปัญหาหรือความต้องการมีลักษณะอย่างไร (How)
ตัวอย่างคำตอบ: ต้องการวิธีการที่ช่วยให้ผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยิน หรือมีภาวะหูอื้อ หรือหูตึง สามารถได้ยินเสียงได้ดีขึ้น
จากการวิเคราะห์องค์ประกอบของปัญหาด้วย 5 W 1 H ข้างต้น ทำให้เข้าใจองค์ประกอบของปัญหาได้ชัดเจนขึ้น เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการแก้ปัญหาต่อไป
กิจกรรม 6.1 ตอนที่ 1 การวิเคราะห์องค์ประกอบของปัญหาด้วย 5W1H
ให้นักเรียนเลือกปัญหาจากสถานการณ์ที่สนใจ แล้วช่วยกันวิเคราะห์องค์ประกอบของปัญหาด้วยการตั้งคำถาม 5W1H
ปัญหาจากสถานการณ์ที่นักเรียนสนใจ คือ ...................................................................................................................
ให้นักเรียนวิเคราะห์องค์ประกอบของปัญหาที่นักเรียนสนใจด้วยการตั้งคำถาม 5W1H
......................................................................................................................................................................................................................................
เมื่อวิเคราะห์ปัญหาที่สนใจด้วยการใช้คำถาม 5 W 1 H จนเข้าใจองค์ประกอบของปัญหาแล้ว เพื่อให้การกำหนดกรอบหรือขอบเขตของปัญหามีความชัดเจนมากขึ้น ควรมีการวิเคราะห์หาสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับการเกิดปัญหานั้น เนื่องจากปัญหา 11 อาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ การหาสาเหตุของการเกิดปัญหาอาจใช้การวิเคราะห์ด้วยผังก้างปลา (Fish Bone diagram) เพื่อนำไปสู่การกำหนดกรอบหรือขอบเขตของปัญหาที่ชัดเจนขึ้น เพื่อหาแนวทางในการแก้ปัญหาต่อไป
สามารถใช้การวิเคราะห์ด้วยผังก้างปลาเพื่อหาสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการสูญเสียการได้ยินของผู้สูงอายุได้ดังรูป
รูปแสดงผังก้างปลาแสดงสาเหตุของปัญหาการสุญเสียการได้ยินของผู้สูงอายุ
จากการหาสาเหตุของการเกิดปัญหาการสูญเสียการได้ยินของผู้สูงอายุโดยใช้การวิเคราะห์ด้วยผังก้างปลาพบว่าเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ โดยอาจเป็นสาเหตุเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงตามวัยในทางเสื่อมลงในร่างกายของผู้สูงอายุ ซึ่งบางสาเหตุหากทำการแก้ไขการได้ยินอาจกลับมาเป็นปกติหรือดีขึ้น เช่น ภาวะขี้หูอุดตัน แต่บางสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับระบบการได้ยินของผู้สูงอายุ เช่น ใบหู เยื่อแก้วหู กระดูกในหู เซลล์ขนที่เกี่ยวข้องกับการรับเสียง เส้นประสาทรับเสียง ส่วนของร่างกายเหล่านี้เสื่อมลงจนส่งผลต่อระบบการได้ยิน จะเป็นสาเหตุที่ดำเนินการแก้ไขได้ยากหรือต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญแก้ไข นอกจากนี้การดำเนินชีวิตที่สัมผัสกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุสูญเสียการได้ยิน เช่น การได้รับเสียงดังมากเกินไป การสูบบุหรี่ รวมถึงการใช้ยาที่มีพิษต่อหู การเป็นโรคเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับระบบไหลเวียนโลหิต ก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้สูงอายุสูญเสียการได้ยินได้เช่นกัน
ดังนั้นการหาแนวทางแก้ไขปัญหาผู้สูงอายุเสียการได้ยิน จึงจำเป็นต้องแก้ไขให้ตรงกับสาเหตุของปัญหา บางสาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาต้องใช้ผู้มีความรู้ความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ รวมถึงเครื่องมือและอุปกรณ์โดยเฉพาะเพื่อดำเนินการแก้ไข ดังนั้นการตัดสินใจเลือกสาเหตุของปัญหาเพื่อมาแก้ไข จำเป็นต้องพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ความสามารถของผู้ที่จะดำเนินการแก้ไข รวมถึงทรัพยากรข้อจำกัด เพื่อประกอบการตัดสินใจ จากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุสูญเสียการได้ยิน การสูญเสียการได้ยินจากประสาทหูเสื่อมสามารถเกิดขึ้นได้กับผู้สูงอายุทุกคน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้สูงอายุและพูดที่สื่อสารด้วย จึงอาจกำหนดเป็นขอบเขตของปัญหาเพื่อหาแนวทางการแก้ไขได้ดังนี้
“ปัญหาการสูญเสียการได้ยินของผู้สูงอายุ ที่เกิดขึ้นจากประสาทหูเสื่อมลงตามวัย ส่งผลให้ความสามารถในการได้ยินเสียงลดลง จึงต้องหาวิธีการที่ช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถได้ยินเสียงได้ดีขึ้น หรือมีระดับการได้ยินปกติ”
ดังนั้นการหาแนวทางการแก้ไขที่ช่วยให้ผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินสามารถได้ยินเสียงได้ดีขึ้นนั้น สามารถดำเนินการได้หรือไม่อย่างไร นักเรียนจะได้ศึกษาขั้นรวบรวมข้อมูล และแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหาตามกระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม
กิจกรรม 6.1 ตอนที่ 2 การหาสาเหตุและกำหนดขอบเขตของปัญหาที่สนใจ
ให้นักเรียนหาสาเหตุของปัญหาที่เลือกไว้ในกิจกรรมที่ 6.1 ตอนที่ 1 โดยใช้การวิเคราะห์ด้วยผังก้างปลา แล้วสรุปเป็นขอบเขตของปัญหาที่จะดำเนินการแก้ไข
ให้นักเรียนวิเคราะห์หาสาเหตุและปัจจัยของปัญหาที่สนใจด้วยผังก้างปลา
สาเหตุของปัญหาที่ตัดสินใจเลือกเพื่อแก้ไข คือ..........
นักเรียนสามารถกำหนดขอบเขตของปัญหาที่สนใจได้ คือ .........
6.2 ขั้นรวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา (related information search)
เมื่อระบุและกำหนดขอบเขตของปัญหาที่ต้องการและแก้ไขแล้ว การดำเนินการต่อไปคือการรวบรวมข้อมูลและความรู้ทุกด้านที่เกี่ยวข้องกับปัญหาหรือความต้องการ เช่น ความรู้ด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ เทคโนโลยี ในขั้นนี้ควรมีการจดบันทึกผลการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพื่อพัฒนาแนวทางในการแก้ปัญหา ซึ่งก่อนการรวบรวมข้อมูลควรมีการกำหนดประเด็นในการสืบค้น ซึ่งอาจเริ่มจากการตั้งคำถามเกี่ยวกับสิ่งที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหาภายใต้ขอบเขตของปัญหาที่ระบุไว้ โดยใช้เทคนิคที่เรียกว่า การระดมสมอง (brainstorming)
เกร็ดน่ารู้
การระดมสมอง (brainstorming) คือการร่วมกันแสดงความคิดเห็นที่หลากหลาย ระหว่างสมาชิกเพื่อหาแนวทางที่จะนำไปสู่การแก้ปัญหา หรือเป็นเทคนิคที่ช่วยวิเคราะห์หาแนวทางในการตั้งหัวข้อปัญหา การใช้เทคนิคระดมสมองให้มีประสิทธิภาพมีแนวปฏิบัติดังต่อไปนี้
เปิดโอกาสให้สมาชิกทุกคนได้แสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ
รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
มีการแสดงความคิดเห็นให้ได้จำนวนมาก โดยที่ไม่ต้องดูข้อเท็จจริงและให้เหตุผล
สามารถแสดงความคิดออกนอกกรอบได้
ไม่มีการวิจารณ์ในระหว่างที่มีการแสดงความคิดเห็น
หลีกเลี่ยงการปะทะคารม
รวบรวมผลการระดมสมองไปปรับปรุงต่อ
การระดมสมองโดยทั่วไปควรจะเปิดประเด็นปัญหาที่ง่ายและสนุกก่อน ซึ่งอาจจะไม่ต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะทำจริงก็ได้ ทั้งนี้เพื่อเป็นการบริหารสมองของสมาชิกกลุ่มก่อนเข้าเรื่อง
ตัวอย่างประเด็นที่ใช้ในการรวบรวมข้อมูลเพื่อหาแนวทางการแก้ไขปัญหาการสูญเสียการได้ยินของผู้สูงอายุที่ประสาทหูเสื่อม
ลักษณะอาการ หรือระบบการได้ยินของผู้สูงอายุที่ประสาทหูเสื่อม
ผลกระทบจากการสูญเสียการได้ยินของผู้สูงอายุ
การส่งเสริมให้การได้ยินมีประสิทธิภาพดีขึ้น
เมื่อได้ประเด็นในการสืบค้นแล้วสามารถรวบรวมข้อมูลจากแหล่งเรียนรู้ได้อย่างหลากหลาย เช่น
การสืบค้นจากเอกสารบทความงานวิจัย
การสืบค้นข้อมูลจากอินเทอร์เน็ต
การสอบถามจากผู้เชียวชาญ
การศึกษาดูงานจากสถานประกอบการ เช่น ร้านจำหน่ายอุปกรณ์การแพทย์ โรงพยาบาล
เกร็ดน่ารู้
แนวทางหนึ่งในการรวบรวมข้อมูลเพื่อใช้ในการแก้ปัญหาหรือความต้องการ คือการสืบค้นข้อมูลจากฐานข้อมูล หรือเว็บไซต์ ซึ่งรวบรวมเกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ หรือนวัตกรรม เช่น ข้อมูลเกี่ยวกับสิทธิบัตร หรือทรัพย์สินทางปัญญาที่มีผู้คิดค้นไว้ แล้วนำข้อมูลที่ได้ไปพัฒนาต่อยอดองค์ความรู้ในการสร้างสรรค์เทคโนโลยี หรือนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อช่วยแก้ไขปัญหาหรือความต้องการ ในการนำความรู้ดังกล่าวมาต่อยอด ผู้นำมาใช้ควรมีความคิดที่ไม่ละเมิด หรือมีความตระหนักในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญาของผู้อื่น เช่น ภายหลังที่ได้เทคโนโลีหรือนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นมา หากผู้ต่อยอดต้องการจดสิทธิบัตร สามารถยื่นจดสิทธิบัตรได้แต่ต้องขออนุญาตจากเจ้าของสิทธิบัตรเดิมก่อน
เมื่อได้รวบรวมข้อมูลตามประเด็นที่กำหนดไว้แล้ว สามารถนำหัวข้อประเด็นและข้อมูลดังกล่าวมาสรุปเป็นแผนที่ความคิดให้เห็นถึงความเชื่อมโยงของข้อมูลกับปัญหาที่ต้องการหาแนวทางแก้ไข
รูปแสดงแผนที่ความคิดแสดงความเชื่อมโยงของข้อมูลเกี่ยวกับการสูญเสียการได้ยินของผู้สุงอายุเนื่องจากประสาทหูเสื่อม
กิจกรรม 6.2 ตอนที่ 1 การรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่สนใจ
ให้นักเรียนช่วยกันระดมสมองกำหนดประเด็นในการรวบรวมข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่นักเรียนสนใจ ซึ่งได้กำหนดขอบเขตของปัญหาแล้วในกิจกรรม 6.1 แล้วรวบรวมข้อมูลตามประเด็นและสรุปความเชื่อมโยงข้อมูลด้วยแผนที่ความคิด
ให้นักเรียนช่วยกันระดมสมองเพื่อกำหนดประเด็นในการสืบค้นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่สนใจ
1.1 ปัญหาที่สนใจคือ...
1.2 ประเด็นในการสืบค้นที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่สนใจคือ ...
ให้นักเรียนรวมรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่สนใจ ตามประเด็นที่กำหนดให้ จากแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ เช่น วารสาร สารานุกรม อินเทอร์เน็ต หรือการสัมภาษณ์จากผู้รู้ หรือปราชญ์ชาวบ้าน โดยต้องบันทึกข้อมูล แหล่งอ้างอิง แล้วเตรียมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับปัญหาที่สนใจนำเสนอในรูปแบบแผนที่ความคิด...
จากการรวบรวมข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินจากประสาทหูเสื่อม แนวทางหนึ่งที่ช่วยให้ผู้สูงอายุได้ยินเสียงได้ดีขึ้นคือ การใช้อุปกรณ์ช่วย เช่น ผ่าตัดใส่ประสาทหูเทียม ซึ่งมีประสิทธิภาพสูงในการแก้ไขปัญหาการสูญเสียการได้ยินแต่ต้องดำเนินการแก้ไขโดยแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ รวมทั้งมีค่าใช้จ่ายสูง มีอีกวิธีหนึ่งคือ การใช้อุปกรณ์หรือเครื่องช่วยฟังซึ่งมีการผลิตเพื่อจำหน่ายโดยทั่วไป เครื่องช่วยฟังสามารถปรับใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละคนได้ อย่างไรก็ตามเครื่องช่วยฟังที่มีคุณภาพดีโดยส่วนใหญ่ พัฒนาและนำเข้าจากต่างประเทศ จึงมีราคาสูง
สำหรับนักเรียนการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินจากประสาทหูเสื่อมด้วยการผ่าตัดคงเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้เนื่องจากไม่มีความรู้ความสามารถ แต่การสร้างเครื่องช่วยฟังเพื่อช่วยเหลือผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยินอาจเป็นแนวทางการช่วยเหลือแก้ไขปัญหาการสูญเสียการได้ยิน ที่นักเรียนสามารถทำได้ โดยอาจรวบรวมข้อมูลเครื่องช่วยฟัง ซึ่งมีการผลิตเพื่อจำหน่ายรูปแบบต่างๆ เช่น เครื่องช่วยฟังแบบกล่อง แบบทัดหลังใบหู และแบบใส่ในช่องหู แล้วนำข้อมูลมาเปรียบเทียบทั้งในด้านองค์ประกอบพื้นฐานของอุปกรณ์ ข้อดี และข้อด้อยที่เป็นอุปสรรคต่อการใช้งานดังตารางแสดงการวิเคราะห์เครื่องช่วยฟังแต่ละประเภทเพื่อเป็นข้อมูลในการพัฒนาเครื่องช่วยฟังสำหรับผู้สูงอายุที่สูญเสียการได้ยิน
เครื่องช่วยฟังแบบกล่อง
เครื่องช่วยฟังแบบใส่ในช่องหู
เครื่องช่วยฟังแบบทัดหลังใบหู
วิเคราะห์เครื่องช่วยฟังแต่ละประเภท
เครื่องช่วยฟังแบบกล่อง
ข้อดี
เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสาทหูเสื่อมมากถึงรุนแรงมาก
ปุ่มขยายเสียงมีขนาดใหญ่
ปรับระดับเสียงดัง-เบาได้ตามต้องการ
มีกำลังการขยายเสียงสูง
ใช้ถ่านไฟฉายชนิด AA หรือ AAAที่สามารถหาซื้อได้ทั่วไป
ราคาถูก
ดูแลรักษาง่าย
ข้อจำกัด
การป้องกันเสียงรบกวนน้อย
มีสายหูฟังยาว
อุปกรณ์มีขนาดใหญ่กว่าเครื่องช่วยฟังแบบอื่น
เครื่องช่วยฟังแบบทัดหลังหู
ข้อดี
เหมาะสำหรับผู้ที่มีประสาทหูเสื่อมปานกลางถึงรุนแรงมาก
มีขนาดเล็กกะทัดรัด
ปรับระดับเสียงดัง-เบาได้ตามต้องการ
คุณภาพเสียงดี
ราคาไม่สูงมาก
ข้อจำกัด
ไม่เหมาะสำหรับผู้ที่สวมแว่นตาเนื่องจากต้องคล้องไว้ที่ใบหู
ต้องใช้ถ่านไฟฉายที่มีความจำเพาะกับเครื่องเท่านั้น หรือต้องประจุไฟฟ้าให้กับแบตเตอรี่ภายในเครื่อง
ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิดสิ้นเปลืองมาก
เครื่องช่วยฟังแบบใส่ในหู
ข้อดี
มีขนาดเล็กกะทัดรัดกว่าเครื่องช่วยฟังแบบอื่นๆ
คุณภาพเสียงดี
ป้องกันเสียงรบกวนจากลมภายนอก
ปรับระดับเสียงดัง-เบาได้ตามต้องการ
ข้อจำกัด
ต้องใช้ถ่านไฟฉายที่มีความจำเพาะกับเครื่องเท่านั้น หรือต้องประจุไฟฟ้าให้กับแบตเตอรี่ภายในเครื่อง
ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแหล่งกำเนิดสิ้นเปลืองมาก
ราคาแพง
ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาสูญเสียการได้ยินอย่างรุนแรงมาก
เสี่ยงต่อการเกิดขี้หูอุดตัน
กิจกรรม 6.2 ตอนที่ 2 การเปรียบเทียบและตัดสินเลือกแนวทางในการแก้ปัญหา
ให้นักเรียนเลือกแนวทางการแก้ปัญหา จากข้อมูลที่รวบรวมไว้ในกิจกรรม 6.2 ตอนที่ 1 แล้วสืบค้นเพิ่มเติมว่า แนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าว มีผู้ดำเนินการไว้อย่างไรบ้าง แล้วนำมาเปรียบเทียบข้อดี ข้อด้อย
แนวทางการแก้ไขปัญหาที่นักเรียนสนใจ คือ...................
ให้นักเรียนสืบค้นเพิ่มเติมถึงแนวทางการแก้ปัญหาที่นักเรียนสนใจ มีผู้สร้างหรือพัฒนาไว้แล้วอย่างไร แล้วนำมาเปรียบเทียบในตาราง......................แนวทางแก้ไขปัญหา/อุปกรณ์ /ข้อดี / ข้อจำกัด
แนวทางแก้ปัญหา หรืออุปกรณ์ที่กลุ่มตัดสินใจเลือกเพื่อใช้เป็นแนวทางในการออกแบบวิธีการแก้ไขปัญหา คือ ..................................................................
เหตุผล.............................................................
จากการเปรียบเทียบเครื่องช่วยฟังแต่ละประเภทพบว่ามีข้อดีและข้อจำกัดแตกต่างกันไป ซึ่งสามารถนำข้อมูลที่ได้จากการเปรียบเทียบมาใช้ในการพัฒนาแนวทางแก้ไขปัญหา ด้วยการออกแบบและพัฒนาเครื่องช่วยฟังขึ้นอย่างเหมาะสม ได้ความรู้ ความสามารถ ทรัพยากรและข้อจำกัด ในขั้นตอนต่อไป
6.3 ขั้นออกแบบวิธีการแก้ปัญหา (solution design)
หลังจากที่ได้รวบรวมข้อมูลตาม ประเด็น จึงนำข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหามาประยุกต์ เพื่อออกแบบแนวทางการแก้ปัญหา แนวทางหนึ่งที่ช่วยให้การออกแบบวิธีการแก้ปัญหาชัดเจนคือ การใช้เทคนิคจำแนก หน้าที่ และคุณสมบัติที่จำเป็น และควรมีต่อการออกแบบแก้ปัญหานั้น เช่น การใช้เทคนิค function analysis diagram
6.3.1 การวิเคราะห์องค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหาด้วย function analysis diagram
เพื่อให้การออกแบบเครื่องช่วยฟังได้อย่างเหมาะสม จึงต้องมีการวิเคราะห์องค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาเครื่องช่วยฟัง เช่น ชิ้นส่วนที่จำเป็นต้องมีในอุปกรณ์ และหน้าที่ในการใช้งาน ซึ่งวิธีหนึ่งเพื่อให้ได้ข้อมูลนี้คือการวิเคราะห์ด้วย function analysis diagram
จากการวิเคราะห์องค์ประกอบพื้นฐานของเครื่องช่วยฟังโดยการวิเคราะห์ด้วย function analysis diagram พบว่าเครื่องช่วยฟังที่ผลิตเพื่อจำหน่ายถึงแม้มีหลากหลายรูปแบบตามที่รวบรวมข้อมูลไว้ แต่โดยทั่วไปมีองค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็นต่อการทำงานของอุปกรณ์เหมือนกัน ประกอบด้วย
อุปกรณ์รับเสียง ซึ่งทำหน้าที่เปลี่ยนสัญญาณเสียงเป็นสัญญาณไฟฟ้า เช่น ไมโครโฟนขนาดเล็ก
วงจรขยายเสียง ซึ่งทำหน้าที่รับสัญญาณไฟฟ้าจากไมโครโฟน เครื่องขยายสัญญาณไฟฟ้าที่เปลี่ยนมาจากสัญญาณเสียงให้ตรงกับระดับการได้ยินของผู้ใช้งาน
อุปกรณ์ถ่ายทอดเสียง การที่แปลงสัญญาณไฟฟ้ามาเป็นเสียง ได้ทำการส่งสัญญาณเสียงมันเข้าไปในหูของผู้ใช้งาน เช่นลำโพง
รูปแสดงองค์ประกอบพื้นฐานของเครื่องช่วยฟังแบบทัดหลังใบหู จากการวิเคราะห์ด้วย function analysis daigram
กิจกรรม 6.3 ตอนที่ 1 การวิเคราะห์องค์ประกอบที่จำเป็นต่อการแก้ปัญหาด้วย function analysis diagram
ให้นักเรียนจำแนกองค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็นและควรมี ตามแนวทางการแก้ไขปัญหาที่นักเรียนสนใจ จากนั้นรวบรวมข้อมูล โดยการวิเคราะห์ด้วย function analysis diagram แล้วเขียนเป็นภาพ 2 มิติ หรือ 3 มิติ ที่ระบุรายละเอียดถึงหน้าที่และคุณสมบัติของแต่ละองค์ประกอบพื้นฐาน
6.3.2 การสร้างทางเลือกในการแก้ปัญหา
เมื่อได้ข้อมูลองค์ประกอบพื้นฐานที่จำเป็นต่อการพัฒนาแนวทางแก้ปัญหาแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการออกแบบแนวทางแก้ปัญหาให้มีรายละเอียดที่ชัดเจนขึ้นและอาจสร้างไว้หลายแนวทาง จากนั้นจึงตัดสินใจเลือกแนวทางแก้ปัญหาที่เหมาะสมกับเงื่อนไขและขอบเขตของปัญหามากที่สุด โดยพิจารณาจากปัจจัยต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ข้อดี ข้อเสีย ความสอดคล้องกับทรัพยากรทางเทคโนโลยีที่มีอยู่ ปัจจัยที่ขัดขวางหรือข้อจำกัด ผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การนำไปใช้เพื่อแก้ปัญหา ความประหยัด ความปลอดภัย การบำรุงรักษา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะของวิธีการหรือแนวทางการแก้ปัญหา ในการตัดสินใจเลือกแนวทางในการแก้ปัญหา เราสามารถใช้ตารางช่วยประเมินเพื่อตัดสินใจเลือก สำหรับประเด็นในการตัดสินใจสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม
ตัวอย่างการออกแบบเครื่องช่วยฟังเพื่อช่วยแก้ปัญหาผู้สูงอายุสูญเสียการได้ยิน
องค์ประกอบพื้นฐานที่สำคัญอย่างหนึ่งของเครื่องช่วยฟัง คือ วงจรขยายเสียง ซึ่งทำหน้าที่รับสัญญาณไฟฟ้าจากไมโครโฟน เพื่อขยายสัญญาณไฟฟ้าที่เปลี่ยนมาจากสัญญาณเสียงให้ตรงกับระดับการได้ยินของผู้ใช้งาน จากความรู้ของนักเรียนที่ได้เรียนรู้ในระดับมัธยมศึกษาอาจไม่สามารถออกแบบวงจรช่วยขยายเสียงได้ แต่จากการสืบค้นพบว่า ผลิตและจำหน่ายชุดอุปกรณ์ที่สามารถนำมาสร้างวงจรที่ช่วยขยายเสียงอย่างง่ายได้ ซึ่งมีผู้ผลิตไว้หลายวงจร โดยอาจมีอุปกรณ์ที่ช่วยในการขยายเสียงแตกต่างกัน โดยนำแต่ละวงจรมาเปรียบเทียบกันดังตารางแสดงการเปรียบเทียบวงจรขยายเสียงที่มีการผลิตเพื่อจำหน่าย เพื่อเลือกใช้ให้เหมาะสมต่อการนำไปใช้พัฒนาชิ้นงาน
วงจรแบบที่ 1
ใช้แหล่งกำเนิดไฟฟ้า 3 โวลต์
ใช้กระแสไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 60 MA
กำลังขยายสูงสุด 1 วัตต์
ใช้ IC ขยายเสียงสัญญาณ
มีปุ่มปรับระดับเสียงดังเบา
วงจรแบบสเตอริโอ
ขนาดแผ่นวงจรพิมพ์ 2.24 x 1.34 นิ้ว
ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้น้อย
ไม่มีเสียงรบกวน
การปรับเปลี่ยนความดังของเสียงทำได้ง่าย
ราคาถูก
การประกอบ/ซ่อมแซมยาก
วงจรแบบที่ 2
ใช้แหล่งกำเนิดไฟฟ้า 3 โวลต์
ใช้กระแสไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 40 MA
ใช้ไอซีขยายเสียงสัญญาณจำนวน 2 ครั้ง
มีปุ่มปรับระดับเสียงดังเบา
วงจรแบบโมโน
ใช้ไมค์คอนเดนเซอร์เป็นตัวรับเสียง
ขนาดแผ่นวงจรพิมพ์ 2.10 x 1.32 นิ้ว
ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้น้อย
ไม่มีเสียงรบกวน
การปรับเปลี่ยนความดังของเสียงทำได้ง่าย
ราคาถูก
การประกอบ/ซ่อมแซมง่าย
วงจรแบบที่ 3
ใช้แหล่งกำเนิดพลังงานไฟฟ้า 3 โวลท์
ใช้กระแสไฟฟ้าสูงสุดประมาณ 40 MA
ใช้ ใช้ทรานซิสเตอร์ขยายเสียงสัญญาณ
ถ้ามีปุ่มปรับระดับเสียงดังเบา
มีวงจรแบบโมโน
ใช้ไมค์คอนเดอร์เซอร์เป็นตัวรับเสียง
ขนาดแผ่นวงจรพิมพ์ 2.10 x 17 32 นิ้ว
ปริมาณกระแสไฟฟ้าที่ใช้น้อย
มีเสียงรบกวน
การปรับเปลี่ยนความดังของเสียงทำได้ยาก
ราคาแพง
การประกอบ/ซ่อมแซมง่าย
จากการเปรียบเทียบข้อมูลของแต่ละวงจรพบว่า วงจรขยายเสียงแบบที่ 2 มีความเหมาะสมที่นำมาใช้ในการออกแบบและพัฒนาเครื่องช่วยฟัง เนื่องจากวงจรใช้กระแสไฟฟ้าน้อยในการทำงาน มีการขยายเสียงสัญญาณให้แรงขึ้นถึง 2 ครั้งโดยใช้ IC คุณภาพเสียงมีเสียงรบกวนน้อย สามารถปรับเพิ่ม ลด เสียงที่ได้ยินได้ ประกอบง่าย และมีราคาถูก แต่ด้วยขนาดแผ่นวงจรพิมพ์ที่มีขนาดใหญ่เป็นข้อจำกัด ไม่สามารถนำมาใช้ในเครื่องช่วยฟังแบบทัดหลังใบหู และเครื่องช่วยฟังแบบใส่ในช่องหู แต่สามารถนำมาพัฒนาเครื่องช่วยฟังแบบกล่อง
การออกแบบเครื่องช่วยฟังนอกจากวงจรที่ช่วยขยายเสียงแล้ว ยังมีส่วนประกอบอื่นที่จำเป็นในการทำงานของเครื่องช่วยฟัง โดยการวิเคราะห์ด้วย function analysis diagram ได้แก่ อุปกรณ์รับเสียง อุปกรณ์ถ่ายทอดเสียงแหล่งกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งส่วนประกอบเหล่านี้สามารถเลือกใช้จากอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตเพื่อจำหน่าย เพื่อนำมาใช้ในการออกแบบและพัฒนาเครื่องช่วยฟังดังรูป
รูปแสดงแผนที่ความคิดแสดงแนวทางการพัฒนาเครื่องช่วยฟัง
จากการเปรียบเทียบอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่ผลิตเพื่อจำหน่วย เพื่อนำมาใช้ในการออกแบบและพัฒนาเครื่องช่วยฟัง จึงเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อเป็นส่วนประกอบในการออกแบบและพัฒนาเครื่องข่วยฟังดังนี้
อุปกรณ์รับเสียง เลือกใช้ไมค์คอนเดอร์เซอร์ เนื่องจากมีความไวในการรับเสียงสัญญาณ
อุปกรณ์ถ่ายทอดเสียง เลือกใช้หูฟังชนินใส่ในช่องหู เนื่องจากมีความสะดวกในการใช้งาน และมีน้ำหนักเบากว่าลำโฟง
แหล่งกำเนิดไฟฟ้า เลือกใช้แบตเตอรี่ชนิด AAA 1.5 โวลต์ หากใช้จำนวน 2 ก้อน ก็ให้ความต่างศักย์ไฟฟ้าเพียงพอขนาด 3 โวลต์ มีน้ำหนักเบาและหาซื้อได้สะดวก
เมื่อเลือกรูปแบบวงจรขยายเสียง และอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่นำมาพัฒนาเครื่องช่วยฟังเสียงเรียบร้อยแล้ว อาจนำอุปกรณ์เหล่านี้มาทดลองต่อตามรูปแบบวงจรขยายเสียง เพื่อทดสอบการทำงานว่าสามารถช่วยขยายเสียงสัญญาณเพื่อช่วยการได้ยินได้หรือไม่
จากการออกแบบและพัฒนาเครื่องช่วยฟังที่ผ่านมา ซึ่งได้กำหนดรูปแบบวงจรขยายเสียง และอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่นำมาใช้พัฒนาเครื่องช่วยฟังเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการออกแบบและพัฒนาตัวโครงสร้างของเครื่องช่วยฟังให้เหมาะสมกับผู้ใช้งาน โดยมีวงจรขยายเสียงและอุปกรณ์ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ที่จำเป็นต่อการทำงานของเครื่องช่วยฟัง
6.3.3 การถ่ายทอดความคิด
ในการออกแบบจำเป็นต้องอาศัยความรู้เรื่องการถ่ายทอดความคิด ซึ่งสามารถทำได้หลายลักณษณะ เช่น การร่างภาพ การเขียนผังงาน การเขียนแผนภาพ ซึ่งอาจใช้ซอฟต์แวร์ช่วยในการออกแบบ โดยสามารถเลือกใช้ได้ทั้งแบบฟรีแวร์ หรืออาจเป็นโปรแกรมอื่น ทั้งนี้การถ่ายทอดความคิดอาจเริ่มจากวิธีการที่ง่ายและใช้ทรัพยากรน้อยไปจนถึงวิธีการที่ซับซ้อน ดังแผนภาพ
รูปแสดงวิธีการถ่ายทอดความคิด
การถ่ายทอดความคิดจึงเป็นการสื่อสารแนวคิดที่ใช้แก้ปัญหา หรือสนองความต้องการให้เป็นรูปธรรม เพื่อธิบายและสื่อสารให้ผู้อื่นเข้าใจ ซึ่งสามารถทำได้หลายวิธี ซึ่งในบทเรียนนี้ได้เสนอไว้ ได้แก่ ภาพร่าง ภาพฉาย แบบจำลอง ผังงาน และแผนภาพ
1) ภาพร่าง เป็นภาพที่แสดงรายละเอียดในแต่ละส่วนของสิ่งที่ได้ออกแบบไว้ ซึ่งอาจเป็นภาพ 2 มิติ ภาพ 3 มิติ และภาพฉาย
ภาพ 2 มิติ เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงความกว้าง ความยาว หรือความสูงของชิ้นงาน
ภาพ 3 มิติ เป็นภาพที่ประกอบด้วย ความกว้าง ความยาว และความสูง มีความเหมือนจริง มากกว่าภาพ 2 มิติ การเขียนภาพ 3 มิติที่นิยมใช้มี 2 แบบ คือ ภาพแบบออบลิค (0blique) และภาพแบบไอโซเมตริก (isomatric)
ภาพแบบออกลิค (0blique) เป็นภาพ 3 มิติ ที่มองเห็นรูปด้านหน้าเป็นแนวตรง มีฐานของภาพขนานกับเส้นระดับ สามารถวัดขนาดได้ ส่วนด้านยาวนิยมเขียนให้ทำมุมกับเส้นระดับ 45 องศา
ภาพแบบไอโซเมตริก (isomatric) เป็นภาพ 3 มิติที่มองเห็นรูปร่างลักษณะใกล้เคียงของจริง มีแนวสันของวัถต