วัสดุ
เครื่องมือพื้นฐาน
การตัด ต่อ และขึ้นรูปวัสดุ
วิเคราะห์สมบัติของวัสดุ เพื่อนำไปใช้ในการสร้างหรือพัฒนาชิ้นงานได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม
วิเคราะห์และเลือกเครื่องมือพื้นฐาน เพื่อนำไปใช้ในการสร้างหรือพัฒนาชิ้นงานได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัย
ในการสร้างสิ่งของเครื่องใช้ขึ้นมา ผู้สร้างต้องกำหนดสมบัติเบื้องต้นที่ต้องการ เพื่อที่จะเลือกใช้วัสดุ และเครื่องมือให้เหมาะสม เช่น มีความแข็งแรง ทนรับน้ำหนักได้ มีความยืดหยุ่น ไม่แตกหัดง่าย ดังนั้นการเลือกวัสดุเพื่อนำมาสร้างสิ่งของหรือชิ้นงานนั้นจะต้องตอบโจทย์กับชิ้นงานที่ต้องการสร้าง ยกตัวอย่าง ในการสร้างเก้าอี้สำหรับผู้สูงอายุ จะต้องใช้วัสดุที่สามารถรองรับน้ำหนักได้ดี มีความแข็งแรง และมีความนุ่ม เพื่อให้ผู้สูงอายุนั่งสบาย ในขณะเดียวกันเครื่องมือที่นำมาสร้าง ต้องเหมาะสมในการยึดติดวัสดุ เช่น ใช้กาวในการติดวัสดุที่เป็นผ้ากับพลาสติก นั่นคือวัสดุแต่ละประเภทมีสมบัติที่ต้องการแตกต่างกัน จึงทำให้มีความเหมาะสมในการนำมาใช้งานที่แตกต่างกันด้วย อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่ใช้สร้างหรือประกอบ ชิ้นส่วนของชิ้นงาน ต้องเลือกใช้งานให้เหมาะสมกับประเภทของงานและวัสดุด้วยเช่นกัน
นักเรียนต้องมีความรู้เกี่ยวกับวัสดุพื้นฐานว่า มีหลายประเภท ซึ่งแต่ละประเภทมีสมบัติที่เหมือนหรือแตกต่างกัน รวมทั้งเครื่องมือพื้นฐานที่ใช้ในการสร้างหรือพัฒนาชิ้นงาน ก็จะมีความแตกต่างกัน ดังนั้นการเลือกใช้วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ มาใช้ในการสร้างหรือพัฒนาชิ้นงาน ต้องพิจารณาจากสมบัติของวัสดุ ลักษณะของอุปกรณ์ และประเภทของเครื่องมือให้เหมาะสมแก่การใช้งาน เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทำงาน
เทคโนโลยีที่มนุษย์สร้างขึ้นเป็นงานต่าง ๆ นั้น จำเป็นต้องใช้วัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ ที่เหมาะสม เพื่อให้เทคโนโลยีนั้นสามารถแก้ปัญหาหรือช่วยอำนวยความสะดวกได้ตามต้องการ นักเรียนจึงจำเป็นต้องศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับวัสดุ สมบัติของวัสดุ อุปกณณ์ รวมทั้งเครื่องมือพื้นฐาน และการใช้งานเครื่องมือพื้นฐานประเภทต่างๆ เพื่อให้สามารถเลือกใช้งานได้อย่างเหมาะสม ความสามารถในการเลือกและการใช้งานวัสดุ อุปกรณ์ และเครื่องมือต่างๆ นี้ นอกจากจะช่วยลดเวลาในการสร้างชิ้นงานแล้ว ยังจะช่วยได้ชิ้นงานที่ตรงกับความต้องการ มีความปลอดภัยในการใช้เครื่องมือ และใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า
วัสดุมีอยู่หลายประเภท ทั้งจากธรรมชาติ และมนุษย์สร้างขึ้นหรือที่เรียกว่า "วัสดุสังเคราะห์" วัสดุบางประเภทอาจนำมาใช้ได้ทันทีโดยไม่มีการแปรรูป หรือมีการแปรรูปให้เหมาะสมต่อการนำไปใช้งาน โดยกระบวนการในการแปรรูปจะแตกต่างกันตามความเหมาะสมของสมบัติวัสดุ และความต้องการในการใช้งาน ในอดีตวัสดุประเภทต่างๆ ยังมีไม่มาก มนุษย์จึงใช้วัสดุที่มาจากธรรมชาติ เช่น ดิน หิน ทราย เขาสัตว์ หนังสัตว์ นำมาส้างเป็นสิ่งของเครื่องใช้ ต่อมาได้มีการนำวัสดุธรรมชาิตมาพัฒนาเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ได้มากขึ้น เช่น โลหะ ไม้ เซรามิก คอมโพสิต วัสดุสมัยใหม่
รูปแสดงสิ่งของเครื่องใช้ที่ทำจากวัสดุต่างๆ
วัสดุธรรมชาติและวัสดุสังเคราะห์ มีสมบัติเฉพาะที่แตกต่งกันไป ดังนั้นต้องเลือกใช้วัสดุให้เหมาะสมต่อการใช้งาน สมบัติของวัสดุมีหลายด้าน ในบทนี้จะยกตัวอย่างสมบัติของวัสดุด้านความยืดหยุ่น ความแข็ง และการนำความร้อน
1) สภาพยืดหยุ่น (elasticity) เป็นสมบัติของวัสดุที่เปลี่ยนแปลงรูปร่างได้เมื่อมีแรงกระทำ และจะกลับคืนสู่รูปร่างเดิมเมื่อหยุดออกแรกกระทำต่อวัสดุนั้น ตัวอย่างวัสดุที่มีสภาพยืดหยุ่น เช่น ยาง สปริง สายเคเลิล มีการนำสายเคเบิลมาเป็นส่วนประกอบของโครงสร้างสะพาน เนื่องจากสะพานต้องการโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและรับแรงดึงได้ดี
รูปแสดงสะพานแขวนที่ต้องการโครงสร้างที่ยืดหยุ่นและรับแรงดึงได้ไดี
2) ความแข็งแรง (strength) คือความสามารถในการรับน้ำหนักหรือแรงกดทับ โดยวัสดุนั้นยังคงสภาพได้ไม่แตกหัก วัสดุที่รับน้ำหนักได้มากจะมีความแข็งแรงมากกว่าวัสดุที่รับน้ำหนักน้อย สมบัติของความแข็งแรงของวัสดุ สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย เช่น การสร้างสะพาน โครงสร้างที่เป็นคานจะต้องมีสมบัติในการรับน้ำหนักและแรงกดได้มาก
รูปแสดงโครงสร้างสะพาน ที่ต้องรับน้ำหนักและแรงกดได้ดี
3) การนำความร้อน (heat conduction) เป็นการถ่ายเทความร้อนภายในวัตถุหนึ่งๆ หรือระหว่างวัตถุสองชิ้นที่สัมผัสกัน โดยมีทิศทางการเคลื่อนที่ของพลังงานความร้อนจากบริเวณที่มีอุณหภูมิสูงไปยังบริเวณที่มีอุณหภูมิต่ำ วัสดุที่มีสมบัติเป็นตัวนำความร้อน คือวัสดุที่ความร้อนผ่านได้ดี เช่น เหล็ก อะลูมิเนียม ทองเหลือง ส่วนวัสดุที่เป็นฉนวนความร้อน คือ วัสดุที่นำความร้อนได้ไม่ดี เช่น ไม้ พลาสติก ผ้า ดังนั้น ควรเลือกวัสดุให้เหมาะสมกับการใช้งาน ตัวอย่างเช่น กระทะหรือหม้อหุงต้ม ตัวกระทะหรือตัวหม้อหุงต้ม ต้องการให้ความร้อนผ่านไปยังอาหาร ส่วนมากทำด้วยสเตนเลส หรืออะลูมิเนียม แต่ที่จับหรือหูหิ้วไม่ต้องการให้ความร้อนผ่าน จึงทำด้วยพลาสติก เนื่องจากเป็นฉนวนความร้อน
รูปแสดงภาชนะที่ตัวภาชนะเป็นโลหะนำความร้อน และที่จับทำด้วยพลาสติกที่เป็นฉนวนความร้อน
สิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ในชีวิตประจำวันทำมาจากวัสดุหลายประเภท ขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมกับการใช้งาน ในปัจจุบันมีวัสดุที่พัฒนาขึ้นอย่างมากมาย ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อทดแทนวัสดุธรรมชาติ หรือเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน
รูปแสดงวัสดุประเภทต่าง ๆ
เมื่อทราบว่าวัสดุมีหลายประเภท วัสดุแต่ละประเภทมีสมบัติและการใช้งานอย่างไร สามารถศึกษาได้จากตัวอย่างต่อไปนี้
1) โลหะ (metal)
โลหะ เป็นวัสดุที่เกิดจากการถลุงสินแร่ต่างๆ เช่น เหล็ก ทองแดง อะลูมิเนียม นิกเกิล ดีบุก สังกะสี ทองคำ ตะกั่ว โลหะที่ได้จากการถลุงสินแร่ ส่วนใหญ่จะเป็นโลหะเนื้อค่อนข้างบริสุทธิ์ มีความแข็งแรงไม่เพียงพอที่จะนำมาใช้ในงานอุตสาหกรรมโดยตรง ส่วนมากจึงต้องนำไปผ่านกระบวนการปรับปรุงสมบัติก่อนการใช้งาน ซึ่งโลหะสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่ โลหะประเภทเหล็ก และโลหะประเภทที่ไม่ใช่เหล็ก
1.1 โลหะประเภทเหล็ก (ferrous metal) เป็นโลหะที่มีธาตุเหล็กเป็นส่วนประกอบหลัก เช่น เหล็กท่อ เหล็กเหนียว เหล็กกล้า นิยมใช้กันมากที่สุดในวงการอุตสาหกรรม เนื่องจากมีความแข็งแรงสามารถปรับปรุงคุณภาพและเปลี่ยนรูปร่างและรูปทรงได้หลายวิธี เช่น การหล่อ การกลึง การอัดรีด ขึ้นรูป
เหล็กฉาก (angle bar) มีลักษณะเป็นรูปตัวแอล (L) เกิดจากการรีดร้อนของเหล็ก เหล็กฉากเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในงานโครงสร้างอาคารต่างๆ เช่น โครงสร้างอาคาร โรงงาน
เหล็กเส้นกลม (round bar) มีลักษณะเป็นเส้นกลม ผิวเรียบ เหมาะสำหรับการใช้งานทั่วไป งานก่อสร้างเสริมคอนกรีตต่างๆ เช่นอาคารพาณิชย์ สำนักงาน ที่พักอาศัย งานเฟอร์นิเจอร์ สะพาน รั้ว
เหล็กกล่อง (steel tube) มีลักษณะเป็นกล่องสีเหลี่ยม สามารถรับแรงต้นทานการเสียรูปขณะใช้งานได้ดี ใช้เป็นโครงหลังคาเหล็กคานเหล็ก และยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้แทนวัสดุไม้ หรือคอนกรีต ในงานก่อสร้างทั่วไปได้
เหล็กตัวซี (C light lip channel) มีลักษณะเป็นรูปตัวแอล (L) เกิดจากการรีดร้อนของเหล็ก เหล็กฉากเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในงานโครงสร้างอาคารต่างๆ เช่น โครงสร้างอาคาร โรงงาน
เหล็กแผ่น (plate) มีลักษณะเป็นแผ่นสีเหลี่ยม ผิวเรียบ ใช้ในงานโครงสร้างทั่วไป ใช้ปูพื้น เชื่อมต่อโครงสร้างยานยนต์ ต่อเรือ งานก่อสร้างสะพานเหล็ก เป็นต้น
เหล็กท่อดำ (steel tube) มีลักษณะเป็นท่อกลม ใช้สำหรับการก่อสร้างที่รับน้ำหนักไม่มาก และใช้ในงานประกอบทั่วไป นอกจากนี้ยังใช้สำหรับทำท่อลม และท่อน้ำมัน บางครั้งเรียกว่า ท่อกลม เหล็กหลอด กลมดำ ท่อดำ
ในการซื้อเหล็กมาใช้งาน จากร้านค้าทั่วไป ผู้ขายหรือช่างนิยมวัดขนาดความยาวของเส้นผ่านศูนย์กลางของท่อเหล็กหรือวัสดุอื่นๆ ในหน่วย "หุน" นอกจากนี้ในคู่มือการใช้เครื่องมือ เหรือวัสดุในงานช่าง มักระบุความยาวเป็นหน่วยนิ้ว หรือมิลลิเมตร ซึ่งสามารถเทียบหน่วยได้ดังนี้
วิธีแปลงหน่วย หุนเป็นนิ้ว
1 หุน เท่ากับ 1/8 นิ้ว (0.125 นิ้ว) ดังนั้น 8 หุน เท่ากับ 1 นิ้ว
วิธีแปลงหน่วย นิ้วเป็นมิลลิเมตร
1 นิ้ว เท่ากับ 25.4 มิลลิเมตร
1 นิ้วเท่ากับ 2.54 เซนติเมตร
1 เซนติเมตร เท่ากับ 10 มิลิเมตร
1.2 โลหะประเภทไม่ใช่เหล็ก (non ferrous metal) เป็นโลหะที่ไม่มีธาตุเหล็กเป็นองค์ประกอบ ดังนั้น โลหะประเภทนี้จะไม่เกิดสนิม เช่น ดีบุก อะลูมิเนียม สังกะสี ตะกั่ว ทองแดง ทองคำ เงิน ทองคำขาว แมกนีเซียม พลวง ซึ่งโลหะแต่ละประเภทมีสมบัติเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน จึงเหมาะกับการใช้งานเฉพาะตัวที่แตกต่างกัน เช่น แมกนีเซียมใช้กับวัสถุทนความร้อน นิกเกิลใช้กับงานในอุตสาหกรรมที่ต้องการป้องกันการกัดกร่อนจากสารเคมี อะลูมิเนียมใช้กับงานที่ต้องการน้ำหนักเบา
ตัวอย่างโลหะประเภทไม่ใช่เหล็กที่ใช้ในชิวิตประจำวัน
สังกะสี ขึ้นรูปง่าย มีความแข็งแรง และทนต่อการเกิดสนิม จึงใช้ในงานเคลือบโลหะ เพื่อป้องกันสนิมและการกัดกร่อน
ทองคำ มีความอ่อนตัวสามารถยืดและตีเป็นแผ่นนำไฟฟ้าได้ดี และทนต่อการกัดกรอ่น นิยมใช้ในอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์
อะลูมิเนียม น้ำหนักเบา ง่ายต่อการเปลี่ยนแปลงรูปร่าง นำไฟฟ้าและความร้อนได้ดี นิยมนำมาทำเป็นกรอบประตูหรือหน้าต่าง และอะลูมิเนียมห่ออาหาร เป็นต้น
ทองแดง ตัดให้มีรูปร่างตามต้องการได้ นำความร้อนและไฟฟ้าได้ดี ทนทานต่อการกัดกร่อน จึงนิยมนำมาเป็นชิ้นส่วนอุปกรณ์ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์
นอกจากโลหะทั้งสองประเภทที่กล่าวมาแล้วข้างต้น ยังมีการนำโลหะตั้งแต่ 2 ประเภทขึ้นไปมาหลอมรวมกัน แล้วได้โลหะประเภทใหม่ที่มีสมบัติแตกต่างจากเดิม เรียกว่า โลหะผสม หรือ อัลลอย (alloy) ทำให้สามารถแก้ปัญหาการกัดกร่อนและการเกิดสนิมของโลหะได้
2) ไม้ (wood)
ไม้ เป็นวัสดุพื้นฐานที่ถูกนำมาใช้งานอย่างแพร่หลาย เนื่องจากไม้ธรรมชาติมีความสวยงาม แข็งแรง แต่มีข้อเสีย คือ การเสื่อมสภาพตามอายุ ดูดความชื้น ผุพังง่าย ถูกทำลายโดยปลวก มอด แมลง และติดไฟได้ง่าย ด้งนั้นจึงมีการผลิตวัสดุขึ้นมาเพื่อทดแทนไม้ธรรมชาติ มีลักาณะคล้ายหรือสามารถใช้งานได้เช่นเดียวกับไม้ธรรมชาติ และมีลักษณะบางประการที่ดีกว่าไม้ธรรมชาติ เช่น ป้องกันการติดไฟ ป้องกันความชื้น หรือที่เรียกว่า ไม้สังเคราะห์ (synthetic wood) จึงทำให้ไม้สังเคราะห์เป็นทางเลือกหนึ่งของการใช้วัสดุทดแทนไม้ธรรมชาติ ซึ่งไม้สังเคราะห์สามารถแบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ คือ
2.1) ไม้สังเคราะห์พลาสติก (wood plastic composite) เป็นวัสดุทนแทนไม้ธรรมชาติที่เกิดจากการนำผงไม้ ขี้เลื่อยไม้ มาผสมกับพลาสติก ซึ่งสมบัติของไม้สังเคราะห์พลาสติกจะขึ้นอยู่กับสัดส่วนของไม้และพลาสติกที่นำมาผสมกัน ดังตัวอย่างต่อไปนี้
2.1.1) ไฟเบอร์บอร์ดความหนาแน่นปานกลาง (medium-density fiber board) เป็นไม้สังเคราะห์ที่ผลิตจากการบดท่อนไม้เนื้ออ่อนให้เป็นเส้นใย ผ่านกระบวนการอัดประสานกันเป็นชิ้นไม้ด้วยกาว ภายใต้อุณหภูมิและความดันสูง โดยไม้สังเคราะห์ที่ได้จะมีลักษณะคล้ายไม้อัด แต่ลักษณะโครงสร้างของไม้จะต่งกันตามส่วนประกอบของเศษไม้ ซึ่งมีสมบัติเด่นคือ สามารถผลิตเป็นแผ่นบางๆ ขึ้นรูป เจาะหรือทำเป็นชิ้นงานได้ง่าย พ่นสีได้ และมีราคาถูกกว่าไม้อัด
ไฟเบอร์บอร์ดความหนาแน่นปานกลางและการใช้ประโยชน์ในงานตกแต่งภายในเพื่อความสวยงาม
2.1.2) แผ่นไม้อัด (particle board) เป็นไม้สังเคราะห์ที่ผลิตจากเศษไม้ หรือ ขี้เลื่อยประสานกันด้วยสารเคมีโดยผ่านการบดอัดด้วยความดันสูง ซึ่งมีข้อดี คือ ราคาถูก มีความสวยงาม แต่มีความแข็งแรงน้อย และไม่มีความต้านทานต่อศัตรูของไม้ เช่น ความชื้น แมลงกินไม้ ทำให้อายุการใช้งานสั้นกว่าไม้อัด
แผ่นไม้อัดและการใช้ประโยชน์ในงานตกแต่งภายในในพื้นที่ที่มีความชื้นน้อย
2.2) ไม้สังเคราะห์ไฟเบอร์ซีเมนต์ (wood fiber composite) เป็นไม้สังเคราะห์ที่มีส่วนผสมของปูน ทราย และผงไม้ โดยผ่านกระบวนการอัดขึ้นรูป ซึ่งมีความแข็งแรงทนทานเทียบเท่าคอนกรีต ใช้ในงานก่อสร้างได้หลายอย่าง และสามารถใช้ได้ทั้งงานภายในและภายนอกอาคาร เช่น ใช้เป็นไม้เชิงชาย ไม้ระแนง ไม้บัวพื้น ไม้ผนังบันได้ และไม้บังดา
ไม้สังเคราะห์ไฟเบอร์ซีเมนต์และการใช้ประโยชน์ในพื้นที่โล่ง หรือบริเวณนอกอาคาร
ตัวอย่างการใช้ประโยชน์จากไม้สังเคราะห์
ในการสร้างบ้านหลังหนึ่งนั้น มีส่วนประกอบหลายอย่าง และไม้ที่เหมาะสมกับการใช้งานก็แตกต่างกัน ขึ้นกับสมบัติของไม้ เช่น ในพื้นที่ที่เป็นระเบียง ต้องใช้ไม้ที่สามารถทนแดด ทนฝนได้ ไม้ที่เหมาะสมควรเป็นไม้สังเคราะห์ไฟเบอร์ซีเมนต์ ที่มีความแข็งแรง ทนต่อสภาพอากาศ เป็นต้น สำหรับในพื้นที่ภายในบ้าน ที่ต้องการตกแต่งเพื่อความสวยงาม มักนิยมใช้ไฟเบอร์บอร์ดความหนาแน่นปานกลางหรือแผ่นไม้อัด ทั้งนี้ขึ้นกับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน
จากตัวอย่างการใช้ประโยชน์ไม้สังเคราะห์ ดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น จะเห็นได้ว่าไม้สังเคราะห์ เป็นทางเลือกหนึ่งที่นำมาใช้ทดแทนไม้ธรรมชาติที่มีจำนวนลดลงได้
3) เซรามิก (ceramic)
เซรามิก เป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากวัตถุดิบในธรรมชาติ เช่น ดิน หิน ทราย และแร่ธาตุต่างๆ นำมาผสมกัน หลังจากนั้นจึงนำไปเผาเพื่อเปลี่ยนเนื้อวัตถุให้แข็งแรง และคงรูป ตัวอย่างวัสดุเซรามิกในที่นี้คือ แก้ว (glass) ซึ่งเป็นวัสดุที่มีความโปร่งใส ความแข็งแกร่ง และความมันวาว มีองค์ประกอบหลักคือ สารประกอบซิลิคอน ซึ่งผ่านกระบวนการผลิตที่อุณหภูมิสูง โดยเมื่อแก้วผ่านกระบวนการปรับปรุงสมบัติ และขึ้นรูปเป็นแผ่นจะเรียกว่า กระจก การผลิตกระจกเพื่อตอบสนองความต้องการในการใช้งานของมนุษย์ สามารถแบ่งออกเป็นประเภทได้ดังนี้
กระจกแผ่น เป็นกระจกที่พบได้ทั่วไป มีความแข็งแรงต่ำ ผิวกระจกเป็นรอยขูดขีดได้ง่าย ส่วนใหญ่นิยมใช้เป็นกรอบรูป กระจกเงา และกระจกที่ใช้สำหรับเครื่องเรือน
กระจกเงา (mirror glass) เกิดจากการฉาบโลหะเงินลงไปที่ด้านใดด้านหนึ่งของกระจก กระจกเงาที่พบทั่วไปมักมีผิวที่เรียบแบนเสมอกัน สามารถสะท้อนภาพจากวัตถุได้เท่ากันหมด ใช้เป็นกระจกส่องในห้องน้ำ หรือห้องแต่งตัว
กระจกสะท้อนแสง (reflective glass) เป็นกระจกที่มีการเคลือบสารสะท้อนแสงไว้ที่ผิวหน้า ทำให้สามารถสะท้อนแสงได้ 20-30% จึงช่วยลดความร้อนที่เข้ามาภายในอาคาร แต่ก็ส่งผลให้แสงไม่สามารถผ่านเข้ามาในอาคารได้ ทำให้ต้องติดตั้งไฟส่องสว่างในอาคาร ส่วนใหญ่ใช้ในอาคารพาณิขย์ หรือกระจกประตูบ้าน
กระจกนิรภัย (tempered glass) เป็นกระจกที่แข็วแรงกว่ากระจกธรรม 5-10 เท่า เมื่อแตกจะแตกกระจายออกเป็นเม็ดเล็กๆ คล้ายเม็ดข้าวโพด มีความคมน้อย นิยมใช้เป็นกระจกตู้โชว์ กระจกหน้ารถยนต์ หน้าต่าง ผนังกระจกของอาคารที่ได้รับความร้อนที่สูงกว่าปกติ
กระจกกึ่งนิรภัย (heat strengthened glass) เป็นกระจกที่แข็งแรงกว่ากระจกธรรมดา 2-3 เท่า เมื่อกระจกแตกจะมีลักษณะเป็นปากฉลามยึดติดอยู่กับกรอบไม่ร่วงหล่น จึงนิยมใช้ในการทำผนังภายนอกอาคารที่มีแรงปะทะของลมสูง
กระจกฉนวนความร้อน (insulating glass) เป็นการนำกระจกตั้งแต่ 2 แผ่นมาประกบกัน โดยบรรจุฉนวนไว้ภายใน เพื่อให้มีสมบัติในการเก็บรักษาอุณหภูมิภายใน และยอมให้แสงผ่านเข้ามาภายในอาคารได้ แต่ไม่ยอมให้ความร้อนผ่านเข้ามาหรือเข้ามาน้อยมาก ใช้สำหรับอาคารที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิให้คงที่ตลอดเวลา เช่น พิพิธภัณฑ์ อาคารเก็บอาหาร ห้องเก็บไวน์
4) วัสดุผสม (composite)
วัสดุผสมเป็นวัสดุที่มีการผสมวัสดุตั้งแต่ 2 ชนิดขึ้นไปเข้าด้วยกัน โดยวัสดุที่ผสมเข้าด้วยกันจะต้องไม่ละลายซึ่งกันและกัน ซึ่งวัสดุที่มีประมาณมากกว่าจะเรียกว่าเป็นวัสดุหลัก (matrix) และวัสดุอีกชนิดหนึ่งหรือหลายชนิดที่กระจายหรือแทรกตัวอยู่ในเนื้อวัสดุหลัก เรียกว่า วัสดุเสริมแรง (reinforcement material) วัสดุเสริมแรงที่นำมาผสมนั้น จะช่วยปรับปรุงสมบัติเชิงกลของวัสดุหลักให้ดีขึ้น โดยวัสดุเสริมแรงอาจมีลักษณะเป็นก้อน เส้น เกล็ด หรืออนุภาคก็ได้ วัสดุคอมโพสิตสามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ประเภท คือ
4.1) วัสดุเชิงประกอบพอลิเมอร์ (Polymer Matrix Composite:PMC) เป็นการเสริมแรงให้พอลิเมอร์ โดยเติมเส้นใยเสริมแรง เช่น เส้นใยแก้ว ไฟเบอร์กลาส เส้นใยคาร์บอน เส้นลวด โลหะ ลงในพอลิเมอร์ซึ่งเป็นวัสดุหลัก เพื่อทำให้วัสดุผสมที่ได้มีความแข็งแรง สามารถทนแรงดึงหรือแรงกดทับได้สูงขึ้นกว่าวัสดุหลัก ตัวอย่างการใช้งานวัสดุเชิงประกอบพอลิเมอร์ เช่น การนำเส้นใยแก้วมาผสมกับพอลิเมอร์ เพื่อผลิตเป็นหลังคารถกระบะ ชิ้นส่วนเครื่องบินเล็ก ถังน้ำขนาดใหญ่ เพราะเส้นใยแก้วมีสมบัติความแข็งแรง สามารถทนแรงดึง หรือแรงกดทับได้สูง ไม่เป็นสนิม และทนต่อการกัดกร่อน นอกจากนี้เส้นใยแก้วยังมีสมบัติเป็นฉนวนความร้อนที่ดี ใช้ผลิตเป็นฉนวนในตู้เย็น หรือผสมในวัสดุก่อสร้าง
ตัวอย่างการใช้งานวัสดุเชิงประกอบพอลิเมอร์ในชุดตกแต่งของรถยนต์หรืออุปกรณ์กีฬา ที่ต้องการความแข็งแรงของวัสดุ
4.2) วัสดุเชิงประกอบโลหะ (Metal Matrix Composite: MMC) วัสดุผสมกลุ่มนี้ มีโลหะเป็นวัสดุหลัก เช่น อะลูมิเนียม ส่วนวัสดุเสริมแรงของคอมโพสิตกลุ่มนี้เป็นวัสดุเซรามิก หรือสารเสริมแรงโลหะ เช่น ซิลิคอนคาร์ไบด์ การผสมวัสดุเสริมแรงเข้าไปในโลหะหลักเป็นการทำให้โลหะหลักมีความทนทานต่อการใช้งานมากขึ้น และมีอายุการใช้งานนานขึ้น ทนต่อการกัดกร่อน มีน้ำหนักเบา พบมากในผลิตภัณฑ์กลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์
4.3) วัสดุเชิงประกอบเซรามิก (Ceramic Matrix Composite: CMC) เซรามิกเป็นวัสดุที่มีความทนทานต่อการใช้งานที่อุณหภูมิสูง ไม่นำความร้อน ทนทานต่อการกัดกร่อน แต่เปราะและแตกหักง่าย ดังนั้นจึงมีการผสมสารเสริมแรง เพื่อทำให้มีความเหนียวและทนทานมากขึ้น โดยสารเสริมแรงที่ใช้กันอยู่ในรูปแบบเส้นใย หรืออนุภาค เช่น อะลูมินา ซิลิกา ซิลิคอนคาร์ไบด์ เช่น คอนกรีตเป็นวัสดุเชิงประกอบเซรามิกที่พบได้โดยทั่วไป ซึ่งมีการนำปูน กรวด และทรายผสมเข้าด้วยกัน ตามอัตราส่วนที่กำหนด ตามประเภทของการใช้งาน
คอนกรีตเกิดจากการผสมของ ปูน หิน และทราย ด้วยน้ำ กลายเป็นวัสดุเชิงประกอบเซรามิกที่มีความทนทาน
ข้อควรระวัง
ไฟเบอร์กลาสผลิตขึ้นจากสารเคมีและวัสดุหลายประเภท ซึ่งเป็นอันตรายต่อร่างกาย เช่น ดวงตา ผิวหนัง ระบบทางเดินหายใจ ดังนั้นในขณะที่นำไฟเบอร์กลาสมาใช้งาน จึงควรระมัดระวังและใช้อุปกรณ์ป้องกัน ได้แก่ หน้ากากกรองอากาศ ถุงมือ แว่นตาสำหรับป้องกันเศษใยแก้ว
5) วัสดุสมัยใหม่ (modern material)
วัสดุสมัยใหม่ถูกผลิต หรือสังเคราะห์ขึ้นด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ซึ่งเป็นการพัฒนาสมบัติของวัสดุให้ดีขึ้น สามารถนำไปใช้งานได้หลากหลายด้าน เช่น วัสดุนาโน (nanomaterial) วัสดุชีวภาพ (biomaterial) ตัวเก็บประจุยิ่งยวด (ultracapactor) แต่ในบทนี้จะขอนำเสนอรายละเอียดเฉพาะเรื่องวัสดุนาโน ดังนี้
วัสดุนาโน เป็นวัสดุที่มีขนาด 1-100 นาโนเมตร หรือมีโครงสร้างในระดับนาโน ทำให้มีสมบัติพิเศษหรือสมบัติที่แตกต่างจากวัสดุชนิดเดียวกันที่มีขนาดใหญ่กว่า วัสดุนาโนสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่ม คือ
(1) วัสดุนาโนจากธรรมชาติ เป็นวัสดุนาโนที่มีอยู่ในธรรมชาติและมีอยู่ในระดับนาโนเมตร เช่น เส้นขนขนาดเล็กในตีนตุ๊กแก โครงสร้างขนาดเล็กบนผิวใบบัว
(2) วัสดุนาโนจากการผลิต ผลิตขึ้นเพื่อปรับปรุงวัสดุให้มีสมบัติดีขึ้น หรือเฉพาะเจาะจงมากขึ้น เมื่อขนาดของวัสดุถูกทำให้เล็กในระดับนาโนเมตร จะทำให้วัสดุมีพื้นที่ผิวมากขึ้น ส่งผลต่อสัดส่วนของพื้นที่ผิวต่อปริมาตรมีค่าสูงขึ้น ส่งผลให้สมบัติของวัสดุเกิดการเปลี่ยนแปลง เช่น สมบัติเชิงกล สมบัติทางแม่เหล็ก สมบัติเชิงแสง การไวต่อการทำปฏิกิริยา และยังส่งผลให้วัสดุที่มีโครงสร้างในระดับนาโนเมตรมีสมบัติพิเศษเพิ่มขึ้นมา
รูปแสดงสัดส่วนพื้นที่ผิวต่อปริมาตรที่เพิ่มขึ้น เมื่อวัสดุมีขนาดเล็กระดับนาโนเมตร
จากสมบัติพิเศษของวัสดุนาโนดังกล่าวข้างต้น จึงได้มีการนำความรู้และผลผลิตทางด้านนาโนเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ เช่น
(1) ท่อนาโนคาร์บอน (carbon nanotube) เป็นท่อเปิดรูปทรงกระบอก โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 นาโนเมตร มีความแข็งแรง น้ำหนักเบา มีความยืดหยุ่นสูง พื้นที่ผิวต่อปริมาตรสูง ระบายความร้อนได้ดี ทนต่อการกัดกร่อน ทนความร้อน นำความร้อน และนำกระแสไฟฟ้าได้ดี จึงได้มีการนำท่อนาโนคาร์บอนไปใช้ในการสร้างอากาศยาน ผลิตเส้นใยเสริมความแข็งแกร่งในวัสดุคอมโพสิต ผลิตแบตเตอรีที่มีอายุการใช้งานยาวนาน และตัวเก็บประจุ
รูปแสดงท่อนาโนและการประยุกต์ใช้ท่อนาโนคาร์บอนในการสร้างเครื่องบิน
(2) อนุภาคนาโนไททาเนียมไดออกไซด์ (Nano-TiO2) มีลักษระเป็นผงสีขาวของไททาเนียมไดออกไซด์ขนาดนาโนเมตร มีการประยุกต์ใช้โดยการนำ Nano-TiO2 ผสมกับสีทาบ้าน เพื่อให้สีมีสมบัติที่สามารถทำความสะอาดตัวเองได้ ไม่เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกและเชื้อราบนผนังที่ทาสี นั่นคือเมื่อ Nano-TiO2 ได้รับแสง จะทำให้เกิดอนุมูลอิสระไปจับกับสารอินทรีย์หรือฝุ่นละออง ทำให้กลายเป็นน้ำและคาร์บอนไดออกไซต์หลุดออกมา ทำให้ไม่เกิดการสะสมของสิ่งสกปรกบนผนัง
รูปแสดงผงไททาเนียมไดออกไซด์
รูปแสดงสีผสมอนุภาคระดับนาโนเมตร
(3) เส้นใยนาโน (nano fiber) เป็นเส้นใยสังเคราะห์ระดับนาโนเมตร มีอัตรส่วนระหว่างพื้นผิวต่อปริมาตรสูง ทำให้ยืดหยุ่นได้ดี จึงนำมาประยุกต์ใช้งานได้อย่างหลากหลายด้าน เช่น ผลิตเป็นผ้าปิดแผลเส้นใยนาโนผสมกับวัสดุชีวภาพ ที่มีสมบัติในการช่วยสมานแผล และยังมีความแข็งแรงเมื่อได้รับความชื้น ในขณะเดียวกันมีการนำอนุภาคนาโนผสมกับเส้นใย ทำให้ผ้าไม่เกิดรอยยับจากการสวมใส่ และของเหลวที่ตกกระทบไม่สามารถที่จะซึมผ่าน หรือกระจายตัวเกาะติดกับเสื้อผ้าได้ จึงทำให้ของเหลวไหลหลุดออกจากเนื้อผ้า
รูปแสดงเส้นใยนาโน
รูปแสดงเสื้อนาโน
4.2 เครื่องมือพื้นฐาน
ในการสร้างชิ้นงานตามแบบร่างที่ออกแบบไว้ให้มีความถูกต้อง ทั้งรูปร่าง มาตราส่วน และมีความสวยงามนั้น นอกจากจะต้องเลือกวัสดุที่เหมาะสมแล้ว จะต้องเลือกใช้เครื่องมือให้เหมาะสมกับชนิดของงานและวัสดุด้วย เพื่อให้มีความปลอดภัยและได้ชิ้นงานตามต้องการ เครื่องมือที่ใช้ในการสร้างหรือพัฒนาชิ้นงานมีอยู่หลายประเภท ในที่นี้ของนำเสนอเฉพาะเครื่องมือพื้นฐานที่สำคัญ ได้แก่ เครื่องมือสำหรับการวัดขนาด เครื่องมือสำหรับการตัด และเครื่องมือสำหรับการเจาะ
4.2.1 เครื่องมือสำหรับการวัดขนาด
เครื่องมือพื้นฐานสำหรับการวัดขนาดที่นักเรียนจะได้เรียนรู้ในบทนี้ จะมีความละเอียดและความถูกต้องมากขึ้น ได้แก่ ไมโครมิเตรอ์ เวอร์เนียร์คาลิเปอร์ ไม้บรรทัดวัดองศา หรือใบวัดมุม ดังรายละเอียดต่อไปนี้
รูปแสดงไมโครมิเตอร์วัดนอก
1) ไมโครมิเตอร์ (Micrometer)
เป็นเครื่องมือวัดขนาดชิ้นงานขนาดเล็กที่มีความแม่นยำสูง สามารถแบ่งขนาด 1 เซนติเมตรได้ละเอียด 1,000 เท่า หรือแบ่งขนาด 1 มิลลิเมตรได้ 100 เท่า จึงใช้วัดความหนาของวัสดุ เช่น กระดาษ หรือวัดเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นลวดได้ ไมโครมิเตอร์มีทั้งไมโครมิเตอร์วัดนอก ไมโครมิเตอร์วัดใน และไมโครมิเตอร์วัดลึก
รูปแสดงเวอร์เนียร์คาลิเปอร์
2) เวอร์เนียร์คาลิเปอร์ (Vernier Caliper)
เป็นเครื่องมือวัดขนาดอย่างละเอียดที่ใช้หลักของเวอร์เนียสเกลและปากวัด (Caliper) 2 ชุด คือชุดปากวัดใน และปากวัดนอก เวอร์เนียคาลิเปอร์จะมีทั้งสเกลหลักและสเกลรอง (ซึ่งเรียกชื่อเฉพาะว่าเวอร์เนียสเกล) การวัดต้องจัดให้ปากวัดทั้ง 2 ขาตรงกับขอบของชิ้นงานทั้ง 2 ข้าง ทำให้สามารถอ่านสเกลวัดได้ทั้งขอบในและขอบนอกของชิ้นงาน เวอร์เนียร์คาลิเปอร์ยังสามาถใช้วัดความลึกของชิ้นงานได้โดยใช้ก้านวัดลึก เวอร์เนียร์คาลิเปอร์ที่ใช้อยู่ทั่วไปสามารถแบ่งได้เป็น 2 แบบ ดังรูป
รูปแสดงไม้บรรทัดวัดองศาหรือใบวัดมุม
3) ไม้บรรทัดวัดองศาหรือใบวัดมุม (Protractor)
เป็นเครื่องมือวัดขนาดมุมของชิ้นงาน เป็นองศาที่มีความละเอียด ใบวัดมุมสามารถวัดมุมได้ตั้งแต่ 0-180 องศา โดยการทำงานของไม้บรรทัด 2 อันที่วางซ้อนกันและมีปลายข้างหนึ่งติดกัน ทำให้ส่วนปลายอีกข้างสามารถปรับแขน 2 ข้างที่ทำมุมกันสำหรับวัดมุมของชิ้นงาน ในขณะวัดมุมต้องกดแขนวัดมุมทั้ง 2 ข้างให้แนบกับชิ้นงาน ใบวัดมุมมีทั้งแบบธรรมดาและแบบดิจิทัล
4.2.2 เครื่องมือสำหรับการตัด
เครื่องมือพื้นฐานที่จำเป็นสำหรับการตัดมีอยู่หลายประเภท ในการใช้งานต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมโดยขึ้นอยู่กับประเภทของงาน ในที่นี้จะนำเสนอเครื่องมือสำหรับการตัดประเภทคีมขนาดเล็ก เลื่อยลอ เลื่อยจิ๊กซอ เลื่อยเหล็ก เลื่อยวงเดือน เครื่องตัดไฟบอร์ และปากกาตัดกระจก
รูปแสดงคีมปากแหลม
1) คีมปากแหลม
เป็นคีมขนาดเล็กที่มีปากเล็กยาว ใช้สำหรับบีบ ตัด หรืองอวัสดุขนาดเล็กที่ไม่แข็งมาก เช่น ลวดเล้นเล็ก คีมปากแหลมจะเหมาะสำหรับพื้นที่ปฏิบัติงานที่เล็กและแคบ
รูปแสดงคีมตัดปากเฉียง
2) คีมตัดปากเฉียง
เป็นเครื่องมือสำหรับการตัดวัสดุชิ้นเล็กที่ไม่แข็ง เช่น สายไฟ เส้นลวด นอกจากนี้ยังสามารถใช้จับหรือดัดงอวัสดุได้ บางตัวจะมีร่อง ไว้สำหรับปลอกสายไฟ
รูปแสดงเลื่อยลอ
3) เลื่อยลอ
เป็นเครื่องมือสำหรับตัดแต่งไม้ ใบเลื่อยมีลักษณะเป็นปื้นรูปสีเหลี่ยมผืนผ้า มีฟันละเอียด ใช้สำหรับตัดแต่งให้ผิวหน้าไม้ที่ถูกตัด ให้ผิวหน้าเรียบ หรือการเลื่อยตัดแต่งผิวหน้า ปากไม้ระหว่างแนวต่อของการเข้าไม้ให้แนวต่อที่ชนกันได้สนิท
รูปแสดงเลื่อยจิ๊กซอ
4) เลื่อยจิ๊กซอ
เป็นเลื่อยไฟฟ้าที่ใช้สำหรับตัดไม้ที่ทำงานโดยใช้ใบเลื่อย ซึ่งมีฟันละเอียดเคลื่อนที่ขึ้นลง และตัดชิ้นงานไปตามแนวที่ต้องการ สามารถตัดชิ้นงานทั้งในแนวตรงและแนวโค้งได้ เนื่องจากใบเลื่อยมีขนาดเล็กและบาง
รูปแสดงเลื่อยเหล็ก
5) เลื่อยเหล็ก
เป็นเลื่อยสำหรับตัดเหล็กหรือโลหะต่างๆ ได้โดยใช้ใบเลื่อยมีลักษณะเป็นแถบยาว มีฟันละเอียด และมีนอตหางปลาไว้สำหรับขันใบเลื่อยให้แน่นและตึงก่อนใช้งาน ในการตัดชิ้นงานจะต้องไม่ใช้แรงกมากหรือตัดเร็วเกินไป เพราะใบเลื่อยอาจจะหักได้
รูปแสดงเครื่องตัดไฟเบอร์
5) เครื่องตัดไฟเบอร์
เป็นเครื่องมือตัดความเร็วสูงที่นิยมใช้มากทั้งในงานซ่อมและงานผลิตเกือบทุกชนิด เนื่องจากมีความสะดวกและรวดเร็ว แผ่นใบเลื่อยทำจากไฟเบอร์จึงเหมาะสำหรับตัดโลหะต่างๆ เช่น เหล็ก ทองแดง แต่ไม่แนะนำให้ใช้เครื่องตัดชนิดนี้ไปเจียชิ้นงาน เพราะอาจเกิดอันตรายจากใบเลื่อยแตกได้
รูปแสดงเลื่อยวงเดือน
6) เลื่อยวงเดือน
เป็นเลื่อยชนิดหนึ่ง ใบเลื่อยมีลักษณะเป็นแผ่นวงกลงมีฟันอยู่โดยรอบ มีประโยชน์มากในงานตัดทั้งแบบตัดตรง และตัดเอียง ตัดซอย และเซาะร่องชิ้นงาน ฟันเลื่อยทำจากวัสดุคาร์ไบด์ที่มีความแข็งและช่วยรักษาคม ใช้ตัดวัสดุได้หลายชนิด เช่น ไม้ พลาสติก อะลูมิเนียม สเตนเลส โดยเลือกใช้ใบเลื่อยให้เหมาะสมกับวัสดุและลักษณะงาน
รูปแสดงปากกาตัดกระจก
7) ปากกาตัดกระจก
เป็นเครื่องมือที่มีลักษณะคล้ายปากกา แต่จะมีหัวที่ทำด้วยวัสดุที่มีองค์ประกอบของเพชร ซึ่งมีความแข็งแกร่งมาก ใช้สำหรับตัดกระจกได้โดยการลากปากกาไปบนกระจกให้เกิดแนวตามที่ต้องการโดยไม่ลากซ้ำ แล้วใช้มือค่อยๆ แยกกระจกออกจากกันตามรอยที่เกิดขึ้น
4.2.3 เครื่องมือสำหรับการเจาะ
ในการออกแบบและสร้างชิ้นงานบางอย่าง จำเป็นต้องใช้เครื่องมือสำหรับการเจาะ ในที่นี้จะแนะนำเครื่องมือสำหรับการเจาะคือสว่านมือ ซึ่งสามารถแบ่งตามกลไลการทำงานคือ แบบธรรมดา และแบบโรตารี และแบ่งตามประเภทแหล่งพลังงานคือ สว่านที่ใช้ไฟฟ้า และแบบใช้แบตเตอรี่
รูปแสดงสว่านมือแบบใช้แบตเตอรี่
รูปแสดงสว่านมือแบบใช้ไฟฟ้า
สว่านมือ
เป็นเครื่องมือเจาะรูที่ใช้ร่วมกับดอกสว่านประเภทต่างๆ สว่านจะมีเฟืองเป็นตัวช่วยขับดอกสว่านให้หมุน ดอกสว่านจะเป็นตัวเจาะวัสดุและนำเศษวัสดุที่เกิดขึ้นออกไปจากรูเจาะ ซึ่งดอกสว่านสำหรับเจาะวัสดุแต่ละประเภทจะมีลักษณะแตกต่างกันและใช้งานเฉพาะงานนั้น เช่น ดอกสว่านสำหรับเจาะไม้ เจาะเหล็ก เจาะปูน เจาะกระเบื้อง และเจาะแก้ว หากใช้ดอกสว่านผิดประเภทจะทำให้ดอกสว่าน ตัวสว่านและชิ้นงานเสียหาย ตลอดจนอาจเกิดอันตรายกับผู้ใช้งานได้ สว่านมือมีทั้งแบบใช้ไฟฟ้าและใช้แบตเตอรี่ (ซึ่งส่วนใหญ่จะใช้สำหรับการขันนอต ไม่เหมาะกับงานเจาะ)
นอกจากนี้ ตัวสว่านมือยังสามารถแบ่งตามกลไกการทำงานได้ 2 แบบ คือ
(1) แบบธรรมดา ใช้สำหรับเจาะวัสดุทั่วไป เช่น ไม้ เหล็ก
(2) แบบโรตารี มีรูปลักษณ์ภายนอกไม่แตกต่างจากแบบธรรมดา แต่จะมีกลไกพิเศษภายใน สำหรับช่วยผ่อนแรง ส่วนใหญ่จึงใช้สำหรับเจาะปูน แต่สว่านโรตารีจะต้องใชักับดอกสว่านเฉพาะสำหรับสว่านโรตารีเท่านั้น
ตัวอย่างสว่านมือที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ในการเลือกใช้งานสว่านมือและดอกสว่านต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับประเภทของงาน เพื่อความปลอดภัย และได้ชิ้นงานตามต้องการ ดอกสว่านสำหรับงานประเภทต่าง ๆ แสดงดังรูป
รูปแสดงดอกสว่านเจาะไม้
รูปแสดงดอกสว่านเจาะปูน
รูปแสดงดอกสว่านเจาะกระเบื้อง
รูปแสดงดอกสว่านเจาะแก้ว
รูปแสดงดอกสว่านเจาะเหล็ก
รูปแสดงดอกสว่านอเนกประสงค์สำหรับเจาะวัสดุได้หลายประเภท
รูปแสดงจำปาสำหรับไขดอกสว่าน
ตัวอย่างกิจกรรม 4.2
ในการสร้างหรือซ่อมแซมสิ่งของเครื่องใช้ จำเป็นต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับเทคนิคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็ฯการตัด ต่อ และขึ้นรูปวัสดุ เนื่องจากวัสดุมีหลากหลายประเทค ซึ่งแต่ละประเภทมีสมบัติที่แตกต่างกัน ผู้ใช้จำเป็นต้องเลือกเทคนิควิธีการสร้างหรือซ่อมแซมสิ่งของเครื่องใช้ให้ถูกต้อง และเหมาะสม กับชิ้นงานที่จะปฏิบัติงาน โดยนำความรู้จากข้อมูลเกี่วกับ วัสดุและอุปกรณ์ข้างต้นมาประกอบการตัดสินใจ
4.3 การตัด ต่อ และขึ้นรูปวัสดุ
4.3.1 การตัด (cutting) เป็นการทำให้ชิ้นงานแยกออกจากกัน จากหนึ่งส่วนเป็นสองส่วนหรือมากกว่า หรือเป็นการตัดชิ้นงานให้ได้ตามรูปแบบที่กำหนด วิธีการตัดวัสดุมีหลายวิธีและใช้เครื่องมือหลายชนิด ควรเลือกใช้ตามความเหมาะสมของวัสดุที่จะทำการตัดและการนำไปใช้ การพิจารณาเลือกใช้วิธีใดนั้นจะต้องคำนึงถึง ความหนา ความยาว รูปร่าง และรูปทรงของวัสดุ
ตัดเป็นแนวตรง
ตัวอย่างชิ้นงาน
ตัดเป็นแนวโค้ง
ตัวอย่างชิ้นงาน
4.3.2 การต่อ (joining) เป็นการนำวัสดุประเภทเดียวกันหรือต่างชนิดกัน มาประกอบกันให้เป็นรูปร่างตามที่ต้องการ โดยใช้วัสดุหรืออุปกรณ์เป็นตัวประสาน เพื่อนำไปใช้งาน การต่อวัสดุมีหลายวิธี ควรเลือกใช้วิธีตามความเหมาะสม และคำนึงถึงประเภทของวัสดุ ดังข้อมูลที่แสดงในตารางตัวอย่างเทคนิคและเครื่องมือในการเชื่อมต่อวัสดุ
วัสดุ : ไม้
เทคนิคในการต่อ : การเข้าไม้
เครื่องมือและวัสดุ : สกรู กาว สลักเกลียว
วัสดุ : โลหะ
เทคนิคในการต่อ : การบัดกรี การเชื่อม การประสาน
เครื่องมือและวัสดุ : หมุดโลหะ สกรูและนอต
วัสดุ :พลาสติก
เทคนิคในการต่อ : การเชื่อม
เครื่องมือและวัสดุ : กาวยาง สกรูและนอต
วัสดุ :คอนกรีต
เทคนิคในการต่อ : การประสานด้วยวัสดุหรือสารเคมี
เครื่องมือและวัสดุ : การเชื่อมคอนกรีต ปูนกาวประสาน
นอกจากนี้การพิจารณาเลือกวิธีการต่อชิ้นงานใดนั้น จะต้องคำนึงถึงประเภทของการต่อ ไม่ว่าจะเป็นการต่อแบบถาวร และการต่อแบบชั่วคราว รวมทั้งชนิดของวัสดุ ความสามารถในการต่อกันได้ ค่าใช้จ่าย และคุณภาพของงานที่ได้ ดังตัวอย่างการต่อชิ้นงานต่อไปนี้
การเชื่อมเหล็กกับเหล็ก ในการสร้างหรือซ่อมบำรุงรางรถไฟ นิยมใช้กระบวนการเชื่อมแบบเทอร์มิท โดยอาศัยการหลอมผงเหล็กและผงอะลูมิเนียมที่อุณหภูมิประมาณ 2,450 องศาเซลเซียส
การเชื่อมประตู หรือบานพับตู้ เพื่อให้เคลื่อนไหวได้ต้องมีการใช้ข้อต่อหรือบานพับ
การต่องานไม้ด้วยวิธีการเข้าเดือย ทำให้ชิ้นงานมีความสวยงามและแข็งแรง
เกร็ดน่ารู้
การต่อโลหะสามารถทำได้หลายวิธีด้วยกัน เช่น การประสานหรือการบัดกรี (soldering) และการเชื่อมโลหะ (welding)
การบัดกรี (soldering) เป็นการต่อโลหะตั้งแต่สองชิ้นเข้าด้วยกัน โดยการให้ความร้อนที่โลหะชิ้นงาน แล้วจึงให้ความร้อนแก่โลหะประสาน ซึ่งโลหะประสานอาจเป็นตะกั่วหรือดีบุก มักใช้กับงานบัดกรีอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์
การเชื่อมโลหะ (welding) เป็นการต่อโลหะตั้งแต่สองชิ้นให้ติดกัน โดยการให้ความร้อนแก่โลหะจนหลอมละลายติดกันเป็นเนื้อเดียวกัน หรืออาจมีการเติมลวดเชื่อมเป็นตัวประสาน วิธีในการเชื่อมโลหะมีหลายวิธี เช่น การเชื่อมแก๊ส การเชื่อมไฟฟ้า การเชื่อมด้วยควมดัน
4.3.3 การขึ้นรูป (forming) เป็นการเปลี่ยนรูปร่งของวัสดุให้เป็นผลิตภัณฑ์ (product) หรือชิ้นงานที่มีรูปร่างตามต้องการ โดยใช้แม่พิมพ์ หรือเครื่องมือเฉพาะ เทคนิคการขึ้นรูปมีหลายประเภท ขึ้นอยู่กับชนิดของวัสดุ ในที่นี้ขอยกตัวอย่างวิธีการขึ้นรูปโลหะ ดังนี้
1) การขึ้นรูปแบบร้อน (hot working) เป็นการใช้ความร้อนแก่วัสดุ ที่อุณหภูมิสูงการอุณหภูมิในการเกิดผลึกใหม่ (recrystallization) แต่จะต่ำหรือน้อยกว่าอุณหภูมิในการทำให้เกิดการหลอม (melting point) ของโลหะหรือวัสดุนั้นๆ ตัวอย่างเช่น การตีเหล์ก (forging) การรีดแบบร้อน (hot rolling)
รูปแสดงการขึ้นรูปแบบร้อน
2) การขึ้นรูปแบบเย็น (cold working) เป็นการรีดขึ้นรูปเพื่อให้วัสดุเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปร่างชนิดถาวรที่อุณหภูมิต่ำ ตัวอย่างเช่น การดัดงอ (bending) การอัดรีด (extruding) การบิดงอ (squeezing)
รูปแสดงการขึ้นรูปแบบเย็น
สรุปท้ายบท
วัสดุและเครื่องมือในปัจจุบันมีอยู่หลายประเภท ซึ่งมีสมบัติและการใช้งานที่แตกต่างกัน จึงต้องเลือกใช้ให้เหมาะสมกับการสร้างหรือพัฒนาชิ้นงาน นอกจากนี้วัสดุและเครื่องมือยังมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวก เพิ่มประสิทธิภาพ และลดขั้นตอนในการปฏิบัติงาน ซึ่งในการใช้งานจะต้องศึกษาข้อปฏิบัติและข้อควรระวัง ควรตรวจสอบเครื่องมือให้อยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน